สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.09K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
73) วิหคอาคม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเพียงชั่วครู่ หลังจากที่อัณยาวีร์ออกคำสั่งให้ทหารปิศาจนำควันสยบวิญญาณมาใช้กับพวกเรา คบไฟที่ยังไม่ถูกจุดก็ถูกนำลำเลียงออกมาราวห้าแท่งพร้อมกับการเตรียมน้ำแห่งอาคมเพื่อนำมาฉีดใส่พวกเราหลังจากที่ได้รมควันใส่พวกเราเรียบร้อยแล้ว
และก่อนที่จะมีการจุดคบไฟขึ้นมา พวกเราทั้งหมดต่างก็ขยับร่างถอยไปด้านหลังเพื่อให้อยู่ห่างจากรัศมีของควันไฟให้มากที่สุด เพราะขณะนี้พวกเราเองก็ยังไม่สามารถจะหาวิธีป้องกันควันอาคมนั้นได้เลย
"พี่เมฆ" ผมเรียกเขาเบาๆ "จะทำยังไงกันดีล่ะครับทีนี้ พี่เมฆพอจะมีวิธีที่จะจัดการกับพวกควันไฟนั่นหรือเปล่า ?"
หัวคิ้วของพี่เมฆขมวดเข้าหากันอีกครั้ง "ลำบากนะน้องกิตติ"
คำตอบของพี่เมฆแทบจะปิดความหวังของพวกเราทั้งหมดขณะที่สายตาของเขาก็จดจ้องไปที่พวกทหารปิศาจที่กำลังเริ่มจุดคบไฟขึ้นมา
"ที่จริงพี่เองก็มี'คาถาวายุ'ที่จะสร้างลมขึ้นมาได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่คาถาชนิดนี้ของพี่จำเป็นจะต้องใช้ในที่แจ้งเพื่อที่จะได้ดึงลมจากรอบๆด้านเข้ามาใช้ให้เป็นลมที่อยู่ในความควบคุมของพี่เองได้"
แม้แต่พี่เมฆผู้เป็นจอมเวทคนหนึ่งก็ยังไม่สามารถจะหาทางป้องกันควันอาคมชนิดนี้ได้ สรุปแล้วพวกเราคงต้องแพ้พ่ายให้กับสถานการณ์แบบนี้กันซะแล้วกระมัง ?
คบไฟเมื่อถูกจุดขึ้นแล้ว พวกมันทุกคนที่อยู่นอกกรงขังก็เดินกลับขึ้นไปสู่ระเบียงด้านบนอีกครั้ง จากนั้นแต่ล่ะคนก็ได้นำหน้ากากชนิดหนึ่งที่เพิ่งได้รับมาจากอัณยาวีร์มาใส่คาดปิดปากและจมูกไว้เพื่อกันการสูดควันเข้าสู่ร่างกาย
ส่วนพวกเราที่แม้จะถอยจนร่างชิดติดกับผนังกันแล้ว ก็ค่อยๆมองเห็นควันไฟนั้นลอยเข้ามาหาพวกเราราวกับเป็นอสูรร้ายที่ไร้รูปไร้ร่าง
ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์หันมาทางพี่เมฆขณะที่ใช้แขนปิดที่จมูกเหมือนคนอื่นๆในนี้
"ท่านจะไม่ลองใช้คาถาอะไรนั่นของท่านหรอกรึท่านเมฆา ?" เสียงท่านจ้าวถามออกมาเบาๆ
มุมปากของพี่เมฆกลับเผยอยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย แต่ดูแล้วมันก็เป็นการยิ้มแบบสิ้นหวังซะมากกว่า
"เปล่าประโยชน์ครับท่านจ้าว ในนี้ไม่มีลมแม้แต่น้อยนิด อย่าว่าแต่ลมเลยครับ แม้แต่อากาศก็ยังมีน้อย ยิ่งถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งไม่สามารถสร้างลมอาคมขึ้นมาได้เลยครับ ที่จริงคาถาอาคมเป็นรหัสคำสั่งที่ใช้ดัดแปลงธรรมชาติชนิดหนึ่ง หากไม่มีต้นทางของสิ่งที่ใช้ย่อมไม่สามารถต่อยอดมันได้ครับ"
คำอธิบายสั้นๆของพี่เมฆรวบรัดชัดเจนขณะที่กลุ่มควันนั้นก็แผ่มาจนเกือบถึงด้านหน้าของพวกเราแล้ว และแทบทุกคนต่างก็ยืนค้างทำอะไรกันไม่ถูก จะมีก็แต่จันที่กลัวหัวหดจนเอาหน้าของเขาซุกเข้ากับต้นแขนของผมพร้อมหลับตาปี๋
สำหรับสิงห์ที่แม้จะยังคงอยู่ในร่างของนุช แต่แววตาของเขาในขณะนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลและร้อนใจอยู่ไม่น้อย
ขณะนั้นเสียงหัวเราะจากบนระเบียงนั้นก็ดังประสานกันขึ้นมาราวกับจะเย้ยเยาะสะใจกับการหมดหนทางถอยของพวกเรา
ทว่าจู่ๆก็มีเสียงประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงคล้ายๆเสียงนกร้องถี่เร็ว พร้อมกับเสียงของการกระพือปีกของสัตว์มีปีกชนิดหนึ่งดังฉวัดเฉวียนอยู่หน้าห้องขังก่อนที่เสียงเหล่านั้นจะเคลื่อนเข้ามาในห้องขังที่พวกเราอยู่ โดยที่ตอนนี้ิ ผมเองก็ไม่สามารถจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนอีกแล้ว เพราะที่เบื้องหน้าขณะนี้ก็มีแต่กลุ่มควันที่กระจายปกปิดทัศนียภาพเบื้องหน้าไปเกือบทั้งหมด
"เสียงตัวอะไรร้อง ?" เสียงที่ถามขึ้นนี้ดังมาจากบนระเบียงและน่าจะเป็นเสียงของบุรุษหน้าซีดขาว
"ไม่ใช่แค่เสียง แต่ดูเหมือนมันจะบินไปบินมานะ ?!" เสียงอัณยาวีร์ออกตื่นๆ
"นั่นสิน้องอัณยาวีร์" เสียงกุสุมาดังขึ้นอีกคน "นี่มันเป็นสัตว์เลี้ยงอะไรของเธอหรือเปล่าล่ะ ?"
"ไม่ไม่ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของฉัน" เสียงอัณยาวีร์ตอบทันควัน "เสียงนี้มันเหมือนเสียงนก ฉันไม่เคยเอานกมาเลี้ยงแม้แต่ตัวเดียวนะ"
"ไม่ได้การแล้ว...!" เสียงของจ้าวเวตาลดังกว่าคนอื่น
"นี่มันเป็นนกที่มีเกิดจากอาคมอันแรงกล้า รีบหามันให้เจอและกำจัดมันโดยเร็ว !"
การโต้ตอบของพวกมันทำให้ผมตื่นตะลึงอย่างที่สุด โดยที่แทบจะไม่รู้สึกว่าพี่เมฆได้จับต้นแขนผมไว้
"น้องกิตติ นั่นมันนกอาคมจริงๆ !" เสียงพี่เมฆดูตื่นเต้นราวกับมองเห็นความหวัง
ผมอึ้งกับที่พี่เมฆบอกไปชั่วขณะ 'นกอาคมหรือ ?' แต่ถ้านั่นเป็นนกอาคมจริงๆ ก็แล้วมันมาจากไหนกันล่ะ ในเมื่อในที่นี้ก็มีจอมเวทอย่างพี่เมฆอยู่คนเดียว แล้วนกนั่นมันจะมาช่วยเราหรือย่างไร และถ้าช่วยมันจะช่วยได้ยังไงกันล่ะ ?
เสียงที่เหมือนนกยังคงบินฉวัดเฉวียนไปรอบๆ ก่อนที่พวกเราจะมองเห็นรูปร่างของมันที่ค่อยสว่างเรืองแสงจนเจิดจ้าเป็นสีขาวสุกใส และรูปร่างของมันก็เป็นนกเหมือนอย่างที่คาด ซึ่งขนาดของมันก็พอๆกับนกพิราบ และยังคงบินวนไปรอบๆห้องขังอย่างไม่หยุดหย่อน
พวกเราทุกคนในห้องขังต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจที่มองเห็นตัวมันได้อย่างชัดเจนแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมมันยังคงบินไปมาอยู่อย่างนั้น ?
แต่แล้วผมก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แปรเปลี่ยนไป นั่นคือกลุ่มควันอาคมหรือควันสยบวิญญาณนี้กลับเริ่มสลายเจือจางลงไปเรื่อยๆขณะที่เจ้านกยังคงบินไปมา
"นกนั่นกำลังดูดควันอาคม เห็นไหม ?!" พี่เมฆบอกผมอย่างตื่นเต้น
และนั่นก็ทำให้ผมพอจะเข้าใจแล้ว ว่าทำไมนกนั่นถึงบินไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะว่ามันกำลังดูดควันอาคมอยู่นั่นเอง และเมื่อควันอาคมที่อยู่ด้านหน้าพวกเราจางหายไปเรื่อยๆ เจ้านกนั่นก็ค่อยๆเปลี่ยนสีจากสีขาวสว่างเป็นสีดำคล้ำลงเรื่อยๆเช่นกัน
ในตอนนี้พวกอัณยาวีีร์ก็กลับลงมาอยู่หน้าห้องขังแล้ว
"มันดูดควันสลายวิญญาณไปเกือบหมดแล้ว ดูสิ !" กุสุมาพูดขึ้น
"ต้องทำลายหรือจับมันให้ได้ !" จ้าวเวตาลบอกด้วยเสียงอันเหี้ยมเกรียม
"จะจัดการมันอย่างไรดีล่ะ ?" อัณยาวีร์หันไปถาม
จ้าวเวตาลโลหิตไม่ตอบคำ แต่กลับยื่นมือขวาเข้าไปในห้องขังผ่านซี่ลูกกรง พริบตานั้นตาข่ายที่เรืองแสงเจิดจ้าเป็นสีแดงก็พุ่งออกจากมือของมันทันที
เจ้านกเหมือนจะรู้ตัวว่ามีการจู่โจมเข้าหาตัวมัน มันจึงหยุดบินวนและพุ่งตัวเข้าหาตาข่ายนั้นอย่างที่ผมไม่คาดคิด !
แล้วตาข่ายสีแดงก็ถูกเจ้านกพุ่งเจาะทะลุราวกับเป็นวัตถุที่มีความอ่อนยุ่ยเหมือนเส้นบะหมี่ !
จากนั้นเจ้านกที่ลำตัวของมันได้กลายเป็นสีดำคล้ำทั้งหมดแล้วก็บินลอดลูกกรงออกไป แล้วโผผินบินขึ้นไปสู่เบื้องบนจนหายลับไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตกตะลึงของพวกเราและพวกอัณยาวีร์
"อัศจรรย์ยิ่งนัก นกนั่นมาช่วยเรา ดูเถอะ ควันสลายวิญญาณสูญสลายไปหมดแล้ว !" ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์พูดขึ้นอย่างดีใจ
และก็เป็นอย่างที่ท่านจ้าวพูดจริงๆ ควันอาคมที่ก่อนหน้านี้กำลังจะเข้าปกคลุมไปทั่วร่างกายของพวกเราทุกคนในที่นี้ แต่ขณะนี้กลับสูญสลายไปโดยสิ้นเชิงแล้วจริงๆ เจ้านกอัศจรรย์ตัวนั้นมันกลับทำสิ่งนี้ได้โดยที่พี่เมฆเองก็ยังทำไม่ได้ ถ้าไม่เรียกว่าอัศจรรย์แล้วจะเรียกว่าอะไร ?
"หึ เจ้านกนั่นมาจากไหนก็ช่างมันเถอะ แต่ตอนนี้มันก็หนีไปแล้ว" อัณยาวีร์เชิดหน้าพูด
"แม้ว่ามันจะดูดควันสลายวิญญาณเมื่อกี้ไปจนหมด แต่คบไฟของข้ายังอยู่ และข้าก็สามารถจะจุดสร้างควันขึ้นมาใหม่อีกกี่ครั้งก็ได้ ยิ่งพวกเจ้าถูกขังกันอยู่ในกรงแบบนี้ ยังไงก็จะต้องถูกรมควันจนได้ล่ะ !" แล้วนางก็หันกลับไปด้านหลัง
"ทหาร ! จงจุดคบไฟที่ดับขึ้นอีกครั้ง !" นางออกคำสั่งทันที
มูติชาห์หันไปทางท่านจ้าวแห่งมิตทราห์ "พ่อจ้าว นางว่าไม่ผิด ถึงนกประหลาดนั่นจะช่วยเราได้ครั้งหนึ่ง แต่พวกเรายังหลังชนฝากระดึกหนีไปไหนไม่ได้อย่างนี้ สุดท้ายเราก็จะถูกนางรมควันอีก"
ก่อนท่านจ้าวจะกล่าวอะไร และทหารปิศาจกำลังเริ่มจุดคบไฟเพื่อสร้างควันขึ้นอีกครั้ง จู่ๆก็มีเสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ
"ใครว่าพวกท่านกระดิกหนีไปไหนไม่ได้กันล่ะ ?"
เสียงปริศนานั้นดังมาจากด้านบนเพดานห้องขังตรงกับที่ท่านจ้าวและมูติชาห์ยืนอยู่พอดี ทั้งสองจึงรีบแหงนขึ้นไปมอง ทว่าก็กลับมองไม่เห็นอะไรนอกจากเพดานต่ำๆ
แต่แล้วจู่ๆตรงเพดานนั้น ก็ถล่มลงมาเป็นช่องพร้อมกับเศษอิฐิเศษปูนทันที จากนั้นก็มีร่างของใครคนหนึ่งร่วงตกตามมาจนทับร่างของมูติชาห์อย่างไม่ทันตั้งตัว !
และนั่นก็ทำให้เขาต้องล้มคว่ำล้มหงายหลังกระแทกลงไปกับพื้นแต่เขาก็ยังอุตส่าห์รับร่างนั้นไว้ไม่ให้เสียหลักกระแทกพื้นไปด้วย
แล้วเจ้าของร่างนั้นก็รีบลุกขึ้นมา แต่ทว่าด้วยบรรยากาศที่มืดสลัวภายในห้องขังนี้ ทำให้ผมไม่สามารถจะมองเห็นหน้านั้นได้อย่างทันที
"แย่จัง ร่วงตกลงมาอย่างนี้ เสียฟอร์มหมดเลย ว่าแต่ทำไมตัวของเธอมันถึงได้นุ่มนิ่มกว่าที่คิดนะ....?" เจ้าของร่างนั้นพูดกับมูติชาห์ราวกับรู้จักกันมาก่อน
"นี่เจ้า...?!" น้ำเสียงของมูติชาห์ดูจะตื่นตะลึง "ที่แท้เป็นเจ้าเองหรอกรึ...?!!"
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ