สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.01K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
65) ทะลุสู่ห้องลับ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความการข้ามสะพานเชือกกลับไม่ได้สร้างความกดดันให้จันมากเหมือนอย่างที่คิด เพราะในที่สุดแล้ว จันก็สามารถข้ามไปได้โดยตลอดรอดฝั่งโดยที่ไม่ค่อยมีอาการเสียหลักหรือเสียศูนย์จนถึงกับต้องมีการช่วยเหลือจากใครคนอื่น และแม้แต่ผมเองก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ที่จันดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคนขนาดนี้ หรือว่านี่จะเป็นฐิฑิมานะของเขาที่ต้องการจะเอาชนะคำพูดของมูติชาห์ให้ได้กระมัง?
ส่วนผมเองแม้จะมีความกังวลต่อสะพานเชือกนี้อยู่บ้างในตอนก่อนที่จะข้ามไป แต่ในที่สุดผมก็ไต่ข้ามไปได้อย่างไม่ติดขัด โดยผมเองก็พยายามนึกถึงตัวเองในสมัยเด็กๆ ว่าเคยซ้อมไต่สะพานเชือกต่างๆ ในสมัยเรียนลูกเสือได้เร็วเกินหน้าเกินตาเด็กคนอื่นๆ หลายๆ คน สะพานเชือกนี้ก็เลยไม่ใช่ยาขมสำหรับผมเหมือนอย่างที่คิด
และสำหรับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น ท่านจ้าว มูติชาห์ สิงห์และพี่เมฆ ต่างก็ไต่สะพานนี้ได้อย่างรวดเร็วราวกับลิงดีๆ นี่เอง และพวกทหารของท่านจ้าวเองก็ไม่ได้ต่างกัน
และพวกเราทั้งหมดนั้น ก็ถือว่ายังโชคดีกันอีกอย่าง คือขณะที่กำลังข้ามสะพานเชือกนี้ พวกเราก็ไม่ได้ถูกลอบโจมตีจากพวกศัตรูเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้กันอีกเลย
แต่เมื่อได้ข้ามไปยังอีกด้านของหน้าผากันถ้วนทั่วทุกคนแล้ว พวกเราก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรกับเรื่องนี้อีกต่อไปนัก เพราะสิ่งที่พวกเรามุ่งหวังกันตอนนี้ก็คือ การมุ่งเข้าสู่ห้องลับที่อยู่ใต้คุกใต้ดินของหมู่บ้านชาวมิตทราห์ให้ได้โดยเร็วที่สุด
และเมื่อยืนอยู่ทางฝั่งนี้ พวกหมอกที่ดูหนาแน่นและบดบังทัศนียภาพมาก่อนหน้าที่จะข้ามมาก็ไม่ได้บดบังไม่ให้เราเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าอีกต่อไป
เพราะในขณะนี้ ผมก็ได้เห็นว่าทางด้านหน้าของพวกเรานี้ไม่ได้มีโถงทางเดินในถ้ำอีกแล้ว แต่กลับมีผนังศิลาอันสูงและกว้างยาวไปจนจรดผนังถ้ำทางซ้ายและขวา โดยที่ตรงกลางผนังศิลานี้ก็มีประตูเหล็กซึ่งมีความสูงราวสองเมตรและกว้างประมาณหนึ่งเมตรพอที่จะให้พวกเราผ่านเข้าไปได้ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด และที่เห็นชัดเจนอีกอย่างก็คือ ประตูนี้ได้ถูกคล้องไว้ด้วยแม่กุญแจรูปร่างประหลาดอันใหญ่
"ประตูเหล็กนี้ ข้ากับมูติชาห์ได้นำกุญแจมาคล้องไว้เอง และโชคดีที่ครั้งนี้ข้าก็ได้พกดอกกุญแจมาด้วย..." ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็ดึงดอกกุญแจมาไขที่แม่กุญแจอันใหญ่ที่คล้องอยู่บนห่วงหน้าประตูทันที
"และหลังจากนี้ พวกเราก็จะได้พบกับอุโมงค์สั้นๆ ที่จะนำเราตรงไปยังห้องลับอันเป็นเป้าหมายของพวกเรานั่นเอง..." ท่านจ้าวกล่าวเพิ่มเติม ขณะที่กุญแจได้ถูกไขออกเรียบร้อย และประตูได้ถูกเปิดเข้าไป
และก่อนที่ท่านจ้าวจะพาเราเข้าสู่ประตูอุโมงค์ที่นำไปสู่ห้องลับ ท่านจ้าวก็ได้สั่งให้พวกทหารได้ทำลายสะพานเชือกโดยการเผาให้เป็นจุณไปอย่างไม่เหลือซากเสียก่อน
อุโมงค์ที่พวกเราได้เข้าไปนี้ไม่ได้เป็นถ้ำเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นอุโมงค์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ และความยาวก็แค่เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น
เมื่อพวกเราได้เดินกันมาจนสุดอุโมงค์ ท่านจ้าวและพวกทหารต่างก็แหงนมองขึ้นไปบนเพดานด้านบนที่อยู่ไม่สูงนักกันทันที และเมื่อผมได้มองตามขึ้นไป ก็ได้เห็นว่าเหมือนจะมีประตูสี่เหลี่ยมอยู่ที่ตรงนั้น
ต่อมาไม่นาน หลังจากที่ทหารของท่านจ้าวได้ต่อบันไดพิเศษเพื่อปีนขึ้นไปเปิดช่องสี่เหลี่ยมนั้นแล้ว พวกเราทั้งหมดก็ได้ไต่ขึ้นไปบนช่องนั้นด้วยเวลาอันรวดเร็ว
และแล้ว ในขณะนี้พวกเราทั้งหมดก็ได้มาอยู่ในห้องที่เหมือนเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งของเเละเสบียงต่างๆ ที่ท่านจ้าวและมูติชาห์ได้เคยเตรียมไว้มาก่อนหน้านี้
"ที่นี่ไม่ใช่มีแค่เสบียงอาหารเท่านั้น" ท่านจ้าวกล่าวขึ้นพลางกวาดตามองพวกเรา "ในห้องลับแห่งนี้ ข้าเตรียมไว้แม้กระทั่งอาวุธหลายร้อยชิ้น และนอกจากนี้ก็ยังมีเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว สำหรับการออกศึกอย่างพร้อมเพรียง และมีแม้กระทั่งน้ำสะอาดสำหรับใช้ชำระร่างกาย"
'พวกท่านอาคันตุกะของข้า..." รอยยิ้มกว้างของท่านจ้าวปรากฏขึ้นอย่างผ่อนคลาย "หลังจากที่พวกท่านได้ดื่มกินเพื่อให้ร่างกายของพวกท่านได้กลับคืนสู่ความแข็งแกร่งเป็นปกติกันแล้ว ก็ขอเชิญพวกท่านได้ไปชำระร่างกายและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ด้วยเสื้อผ้าของพวกเราชาวมิตทราห์เถอะ..."
หลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ เมื่อได้ปฏิบัติตามที่ท่านจ้าวได้บอกพวกเราแล้ว ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าก็กลับมาหาเราอีกครั้ง แม้ว่าเราจะยังไม่ได้นอนหลับพักผ่อนกันอย่างเต็มตาก็ตาม
ท้องที่อิ่ม น้ำชำระร่างกายที่สะอาด และเสื้อผ้าชุดใหม่ทำให้พวกเรารู้สึกว่า พร้อมสำหรับการผจญภัยหรือการทำศึกกันอีกรอบแล้วก็ว่าได้..!
แต่ทว่า ท่านจ้าวก็ยังอุตส่าห์ให้พวกเราทั้งหมดได้พักกันอีกราวสองชั่วโมงเพื่อให้ได้ฟื้นกำลังกันอีกหน่อย ผม จัน และพี่เมฆจึงได้ถือโอกาสหลับนกพักผ่อนกันไปอีกหน่อยหนึ่ง
และขณะที่ผมกำลังอยู่ในภวังค์ของการหลับนก ผมก็อดที่จะหวนคิดถึงไอริณไม่ได้
'นี่น้องไอริณจะไปตกละกำลำบากอยู่ที่ตรงส่วนไหนของดินแดนแห่งนี้กันนะ... แล้วนี่เธอจะยังปลอดภัยดีหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ...? พี่เป็นห่วงเธอมากเหลือเกินน้องไอริณ...' ผมรำพึงอยู่ในใจขณะที่ก็รู้สึกถึงหยาดน้ำตาของตนเองที่ซึมๆ ออกมาจากหางตาเล็กน้อย
และหลังจากที่พวกเราได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับนกแล้ว ข่าวที่น่ายินดีบางอย่างก็ได้มาเข้าหูเราพอดี
ข่าวที่ว่านี้ก็คือ ท่านจ้าวและมูติชาห์พร้อมพวกทหารส่วนหนึ่งได้แอบขึ้นไปยังด้านบนที่เป็นห้องขังหรือคุกใต้ดินในหมู่บ้านของชาวมิตทราห์ในขณะที่พวกผมกำลังหลับนกแล้วก็ได้พบว่า 'ท่านมหาดาบส' ผู้เป็นปรมจารย์ชี้นำชาวมิตทราห์และยังเป็นอาจารย์ของมูติชาห์นั้น ได้ถูกคุมขังอยู่ในห้องขังห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากห้องที่พวกของท่านจ้าวได้โผล่ขึ้นไป
"เป็นโอกาสดีจริงๆ ที่พวกเราจะได้ช่วยท่านมหาดาบสในครั้งนี้ด้วย" ท่านจ้าวกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ท่านมหาดาบสมีบุญคุณกับพวกเราชาวมิตทราห์มาก เพราะหากว่าไม่มีท่านมาชี้นำให้กับพวกเราในตอนนั้น พวกเราชาวมิตทราห์ก็อาจจะสูญพันธ์ุกันไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็เป็นได้นะ..."
"เเต่ข้ารู้สึกแปลกๆ อยู่เรื่องหนึ่งนะพ่อจ้าว..." มูติชาห์กลับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่กังขา "ทำไมในตอนที่พวกเรากำลังข้ามสะพานเชือกมาทางฝั่งนี้ จึงไม่มีพวกศัตรูตามมาอีก เพราะที่จริงแล้วพวกมันก็คอยติดตามราวีพวกเรามาโดยตลอด แต่จู่ๆ มันก็หยุดรุกไล่พวกเราซะอย่างนั้นน่ะ...? "
ท่านจ้าวพยักหน้าอย่างช้าๆ "เรื่องนี้ข้าก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้าเองก็คิดว่า ไม่ว่าพวกศัตรูจะเก่งกาจปานใด พวกมันก็คงจะยังไม่รู้ว่า ทางลับของพวกเรานี้จะไปโผล่ที่ส่วนไหนของหมู่บ้านเรากันแน่..."
"นั่นสิครับ..." ผมเอ่ยขึ้นกับท่านจ้าว "ทางลับที่โผล่ขึ้นไป แล้วไปออกที่คุกใต้ดินนี้ มันเป็นทางออกที่ดีมาก ผมเองก็คิดว่า พวกศัตรูเองก็คงจะคาดไม่ถีงอย่างแน่นอนครับท่านจ้าว"
ความสงสัยกังขาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น จะอย่างไรก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแผนการที่จะช่วยท่านมหาดาบสออกไปจากที่คุมขังให้ได้ ดังนั้นท่านจ้าวและมูติชาห์จึงได้นำทหารและพวกเราขึ้นไปสู่ห้องขังด้านบนอย่างเงียบกริบ แต่ก่อนที่พวกเราจะโผล่ขึ้นไป ท่านจ้าวยังได้เสริมขึ้นอีกว่า
"ข้าขอย้ำว่า เป้าหมายในครั้งนี้ของพวกเรา นอกจากช่วยท่านมหาดาบสออกมาแล้ว เราจะต้องบุกเข้าไปในห้องลับอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านบน และห้องนั้นก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดอีกห้องหนึ่ง เพราะเป็นห้องอาคมที่มีอัญมณีสำหรับใช้ควบคุมศิลาฤดูกาลทั้งสี่ลูกนั้นด้วย จากนั้นเราก็จะขอให้ท่านมหาดาบสช่วยควบคุมสภาพอากาศรอบๆ หมู่บ้านของพวกเราเพื่อให้พวกเราได้เปรียบในการต่อสู้กับพวกทหารที่ทรยศหรือติดเชื้อพวกนั้น เอาล่ะ หวังว่าคงจะเข้าใจกันอย่างชัดเจนแล้ว ตอนนี้ก็ลงมือปฏิบัติตามแผนนี้ได้กันได้แล้ว..."
แต่เมื่อพวกเราได้ลักลอบเข้าไปถึงหน้าห้องขังที่ได้คุมขังบุคคลที่น่าจะเป็นท่านมหาดาบสอย่างที่เข้าใจในตอนแรกแล้ว มูติชาห์ที่ได้นำอยู่ด้านหน้าสุดก็มีอาการแปลกๆ ขึ้นมาทันที
"มีอะไรรึ มูติชาห์...? " ท่านจ้าวที่ยืนอยู่ด้านหลังมูติชาห์เลิกคิ้วถาม "ทำไมท่านมหาดาบสของเจ้าถึงยังนั่งเฉยอยู่ล่ะ หรือท่านมองไม่เห็นเจ้าหรือจำเจ้าไม่ได้กันล่ะ...? "
ผม พี่เมฆ สิงห์ และจันที่ยืนอยู่หลังท่านจ้าวอีกที ก็มีสีหน้าที่รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาเช่นกัน
"พ่อจ้าว..." มูติชาห์เรียก "มันผู้นี้ หาใช่ ท่านมหาดาบสไม่...! "
คำบอกของมูติชาห์ทำเอาพวกเราทุกคนแทบจะช็อคไปตามๆ กัน!
และท่าทางมันผู้นั้นก็ดูเหมือนจะรู้ตัวว่า ไม่อาจจะตบตาพวกเราได้อีกต่อไป มันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ
"หึ... ความสูงของรูปร่าง และลักษณะของท่านมหาดาบสที่เจ้ากำลังเสแสร้งตบตาข้านั้น เจ้าอาจจะสามารถเสแสร้งได้คล้ายคลึงกับตัวจริงของท่านมหาดาบสก็จริง..." ดวงตาของมูติชาห์เป็นประกาย ขณะที่มองไปยังร่างของคนลึกลับที่ซ่อนใบหน้าอยู่ใต้เสื้อคลุมที่มีฮู้ดปกปิดใบหน้า
"แต่เจ้าจะตบตาข้ามูติชาห์คนนี้ได้โดยตลอดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ เผยโฉมของเจ้าออกมาดีกว่า ว่าตัวจริงของเจ้าน่ะ คือใครกันแน่...?! "
แล้วคนลึกลับก็นิ่งเงียบไปอึดใจ จากนั้นก็ราวกับจะตัดสินใจ มันค่อยๆ เลิกฮู้ดที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองไปข้างหลัง
และจากนั้น ใบหน้าอันแท้จริงของมันที่กระทบกับแสงสะท้อนภายในห้องขังอันมืดสลัวนี้ ก็ปรากฏโฉมออกมาอย่างชัดเจน
แต่ทว่า... ใบหน้าของมันผู้นี้ แม้จะไม่ใช่ท่านมหาดาบสจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่ใบหน้าของคนแปลกหน้าที่ไหนแต่อย่างใด...?
เพราะแท้ที่จริงแล้ว มันผู้นี้ก็คือ 'สิงห์'นั่นเอง...!
สิงห์ผู้มีรูปร่างสูงสง่า และมีขนดกเต็มตัวผู้นั้น!
หาใช่สิงห์ในร่างนุชที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ผมในขณะนี้ไม่...?
นี่มัน... อะไรกันนี่...?!!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
ส่วนผมเองแม้จะมีความกังวลต่อสะพานเชือกนี้อยู่บ้างในตอนก่อนที่จะข้ามไป แต่ในที่สุดผมก็ไต่ข้ามไปได้อย่างไม่ติดขัด โดยผมเองก็พยายามนึกถึงตัวเองในสมัยเด็กๆ ว่าเคยซ้อมไต่สะพานเชือกต่างๆ ในสมัยเรียนลูกเสือได้เร็วเกินหน้าเกินตาเด็กคนอื่นๆ หลายๆ คน สะพานเชือกนี้ก็เลยไม่ใช่ยาขมสำหรับผมเหมือนอย่างที่คิด
และสำหรับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น ท่านจ้าว มูติชาห์ สิงห์และพี่เมฆ ต่างก็ไต่สะพานนี้ได้อย่างรวดเร็วราวกับลิงดีๆ นี่เอง และพวกทหารของท่านจ้าวเองก็ไม่ได้ต่างกัน
และพวกเราทั้งหมดนั้น ก็ถือว่ายังโชคดีกันอีกอย่าง คือขณะที่กำลังข้ามสะพานเชือกนี้ พวกเราก็ไม่ได้ถูกลอบโจมตีจากพวกศัตรูเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้กันอีกเลย
แต่เมื่อได้ข้ามไปยังอีกด้านของหน้าผากันถ้วนทั่วทุกคนแล้ว พวกเราก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรกับเรื่องนี้อีกต่อไปนัก เพราะสิ่งที่พวกเรามุ่งหวังกันตอนนี้ก็คือ การมุ่งเข้าสู่ห้องลับที่อยู่ใต้คุกใต้ดินของหมู่บ้านชาวมิตทราห์ให้ได้โดยเร็วที่สุด
และเมื่อยืนอยู่ทางฝั่งนี้ พวกหมอกที่ดูหนาแน่นและบดบังทัศนียภาพมาก่อนหน้าที่จะข้ามมาก็ไม่ได้บดบังไม่ให้เราเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าอีกต่อไป
เพราะในขณะนี้ ผมก็ได้เห็นว่าทางด้านหน้าของพวกเรานี้ไม่ได้มีโถงทางเดินในถ้ำอีกแล้ว แต่กลับมีผนังศิลาอันสูงและกว้างยาวไปจนจรดผนังถ้ำทางซ้ายและขวา โดยที่ตรงกลางผนังศิลานี้ก็มีประตูเหล็กซึ่งมีความสูงราวสองเมตรและกว้างประมาณหนึ่งเมตรพอที่จะให้พวกเราผ่านเข้าไปได้ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด และที่เห็นชัดเจนอีกอย่างก็คือ ประตูนี้ได้ถูกคล้องไว้ด้วยแม่กุญแจรูปร่างประหลาดอันใหญ่
"ประตูเหล็กนี้ ข้ากับมูติชาห์ได้นำกุญแจมาคล้องไว้เอง และโชคดีที่ครั้งนี้ข้าก็ได้พกดอกกุญแจมาด้วย..." ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็ดึงดอกกุญแจมาไขที่แม่กุญแจอันใหญ่ที่คล้องอยู่บนห่วงหน้าประตูทันที
"และหลังจากนี้ พวกเราก็จะได้พบกับอุโมงค์สั้นๆ ที่จะนำเราตรงไปยังห้องลับอันเป็นเป้าหมายของพวกเรานั่นเอง..." ท่านจ้าวกล่าวเพิ่มเติม ขณะที่กุญแจได้ถูกไขออกเรียบร้อย และประตูได้ถูกเปิดเข้าไป
และก่อนที่ท่านจ้าวจะพาเราเข้าสู่ประตูอุโมงค์ที่นำไปสู่ห้องลับ ท่านจ้าวก็ได้สั่งให้พวกทหารได้ทำลายสะพานเชือกโดยการเผาให้เป็นจุณไปอย่างไม่เหลือซากเสียก่อน
อุโมงค์ที่พวกเราได้เข้าไปนี้ไม่ได้เป็นถ้ำเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เป็นอุโมงค์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ และความยาวก็แค่เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น
เมื่อพวกเราได้เดินกันมาจนสุดอุโมงค์ ท่านจ้าวและพวกทหารต่างก็แหงนมองขึ้นไปบนเพดานด้านบนที่อยู่ไม่สูงนักกันทันที และเมื่อผมได้มองตามขึ้นไป ก็ได้เห็นว่าเหมือนจะมีประตูสี่เหลี่ยมอยู่ที่ตรงนั้น
ต่อมาไม่นาน หลังจากที่ทหารของท่านจ้าวได้ต่อบันไดพิเศษเพื่อปีนขึ้นไปเปิดช่องสี่เหลี่ยมนั้นแล้ว พวกเราทั้งหมดก็ได้ไต่ขึ้นไปบนช่องนั้นด้วยเวลาอันรวดเร็ว
และแล้ว ในขณะนี้พวกเราทั้งหมดก็ได้มาอยู่ในห้องที่เหมือนเป็นโลกอีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยสิ่งของเเละเสบียงต่างๆ ที่ท่านจ้าวและมูติชาห์ได้เคยเตรียมไว้มาก่อนหน้านี้
"ที่นี่ไม่ใช่มีแค่เสบียงอาหารเท่านั้น" ท่านจ้าวกล่าวขึ้นพลางกวาดตามองพวกเรา "ในห้องลับแห่งนี้ ข้าเตรียมไว้แม้กระทั่งอาวุธหลายร้อยชิ้น และนอกจากนี้ก็ยังมีเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว สำหรับการออกศึกอย่างพร้อมเพรียง และมีแม้กระทั่งน้ำสะอาดสำหรับใช้ชำระร่างกาย"
'พวกท่านอาคันตุกะของข้า..." รอยยิ้มกว้างของท่านจ้าวปรากฏขึ้นอย่างผ่อนคลาย "หลังจากที่พวกท่านได้ดื่มกินเพื่อให้ร่างกายของพวกท่านได้กลับคืนสู่ความแข็งแกร่งเป็นปกติกันแล้ว ก็ขอเชิญพวกท่านได้ไปชำระร่างกายและเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ด้วยเสื้อผ้าของพวกเราชาวมิตทราห์เถอะ..."
หลังจากนั้นอีกครู่ใหญ่ เมื่อได้ปฏิบัติตามที่ท่านจ้าวได้บอกพวกเราแล้ว ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าก็กลับมาหาเราอีกครั้ง แม้ว่าเราจะยังไม่ได้นอนหลับพักผ่อนกันอย่างเต็มตาก็ตาม
ท้องที่อิ่ม น้ำชำระร่างกายที่สะอาด และเสื้อผ้าชุดใหม่ทำให้พวกเรารู้สึกว่า พร้อมสำหรับการผจญภัยหรือการทำศึกกันอีกรอบแล้วก็ว่าได้..!
แต่ทว่า ท่านจ้าวก็ยังอุตส่าห์ให้พวกเราทั้งหมดได้พักกันอีกราวสองชั่วโมงเพื่อให้ได้ฟื้นกำลังกันอีกหน่อย ผม จัน และพี่เมฆจึงได้ถือโอกาสหลับนกพักผ่อนกันไปอีกหน่อยหนึ่ง
และขณะที่ผมกำลังอยู่ในภวังค์ของการหลับนก ผมก็อดที่จะหวนคิดถึงไอริณไม่ได้
'นี่น้องไอริณจะไปตกละกำลำบากอยู่ที่ตรงส่วนไหนของดินแดนแห่งนี้กันนะ... แล้วนี่เธอจะยังปลอดภัยดีหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ...? พี่เป็นห่วงเธอมากเหลือเกินน้องไอริณ...' ผมรำพึงอยู่ในใจขณะที่ก็รู้สึกถึงหยาดน้ำตาของตนเองที่ซึมๆ ออกมาจากหางตาเล็กน้อย
และหลังจากที่พวกเราได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับนกแล้ว ข่าวที่น่ายินดีบางอย่างก็ได้มาเข้าหูเราพอดี
ข่าวที่ว่านี้ก็คือ ท่านจ้าวและมูติชาห์พร้อมพวกทหารส่วนหนึ่งได้แอบขึ้นไปยังด้านบนที่เป็นห้องขังหรือคุกใต้ดินในหมู่บ้านของชาวมิตทราห์ในขณะที่พวกผมกำลังหลับนกแล้วก็ได้พบว่า 'ท่านมหาดาบส' ผู้เป็นปรมจารย์ชี้นำชาวมิตทราห์และยังเป็นอาจารย์ของมูติชาห์นั้น ได้ถูกคุมขังอยู่ในห้องขังห้องหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากห้องที่พวกของท่านจ้าวได้โผล่ขึ้นไป
"เป็นโอกาสดีจริงๆ ที่พวกเราจะได้ช่วยท่านมหาดาบสในครั้งนี้ด้วย" ท่านจ้าวกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ท่านมหาดาบสมีบุญคุณกับพวกเราชาวมิตทราห์มาก เพราะหากว่าไม่มีท่านมาชี้นำให้กับพวกเราในตอนนั้น พวกเราชาวมิตทราห์ก็อาจจะสูญพันธ์ุกันไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็เป็นได้นะ..."
"เเต่ข้ารู้สึกแปลกๆ อยู่เรื่องหนึ่งนะพ่อจ้าว..." มูติชาห์กลับเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่กังขา "ทำไมในตอนที่พวกเรากำลังข้ามสะพานเชือกมาทางฝั่งนี้ จึงไม่มีพวกศัตรูตามมาอีก เพราะที่จริงแล้วพวกมันก็คอยติดตามราวีพวกเรามาโดยตลอด แต่จู่ๆ มันก็หยุดรุกไล่พวกเราซะอย่างนั้นน่ะ...? "
ท่านจ้าวพยักหน้าอย่างช้าๆ "เรื่องนี้ข้าก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้าเองก็คิดว่า ไม่ว่าพวกศัตรูจะเก่งกาจปานใด พวกมันก็คงจะยังไม่รู้ว่า ทางลับของพวกเรานี้จะไปโผล่ที่ส่วนไหนของหมู่บ้านเรากันแน่..."
"นั่นสิครับ..." ผมเอ่ยขึ้นกับท่านจ้าว "ทางลับที่โผล่ขึ้นไป แล้วไปออกที่คุกใต้ดินนี้ มันเป็นทางออกที่ดีมาก ผมเองก็คิดว่า พวกศัตรูเองก็คงจะคาดไม่ถีงอย่างแน่นอนครับท่านจ้าว"
ความสงสัยกังขาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น จะอย่างไรก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแผนการที่จะช่วยท่านมหาดาบสออกไปจากที่คุมขังให้ได้ ดังนั้นท่านจ้าวและมูติชาห์จึงได้นำทหารและพวกเราขึ้นไปสู่ห้องขังด้านบนอย่างเงียบกริบ แต่ก่อนที่พวกเราจะโผล่ขึ้นไป ท่านจ้าวยังได้เสริมขึ้นอีกว่า
"ข้าขอย้ำว่า เป้าหมายในครั้งนี้ของพวกเรา นอกจากช่วยท่านมหาดาบสออกมาแล้ว เราจะต้องบุกเข้าไปในห้องลับอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านบน และห้องนั้นก็ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดอีกห้องหนึ่ง เพราะเป็นห้องอาคมที่มีอัญมณีสำหรับใช้ควบคุมศิลาฤดูกาลทั้งสี่ลูกนั้นด้วย จากนั้นเราก็จะขอให้ท่านมหาดาบสช่วยควบคุมสภาพอากาศรอบๆ หมู่บ้านของพวกเราเพื่อให้พวกเราได้เปรียบในการต่อสู้กับพวกทหารที่ทรยศหรือติดเชื้อพวกนั้น เอาล่ะ หวังว่าคงจะเข้าใจกันอย่างชัดเจนแล้ว ตอนนี้ก็ลงมือปฏิบัติตามแผนนี้ได้กันได้แล้ว..."
แต่เมื่อพวกเราได้ลักลอบเข้าไปถึงหน้าห้องขังที่ได้คุมขังบุคคลที่น่าจะเป็นท่านมหาดาบสอย่างที่เข้าใจในตอนแรกแล้ว มูติชาห์ที่ได้นำอยู่ด้านหน้าสุดก็มีอาการแปลกๆ ขึ้นมาทันที
"มีอะไรรึ มูติชาห์...? " ท่านจ้าวที่ยืนอยู่ด้านหลังมูติชาห์เลิกคิ้วถาม "ทำไมท่านมหาดาบสของเจ้าถึงยังนั่งเฉยอยู่ล่ะ หรือท่านมองไม่เห็นเจ้าหรือจำเจ้าไม่ได้กันล่ะ...? "
ผม พี่เมฆ สิงห์ และจันที่ยืนอยู่หลังท่านจ้าวอีกที ก็มีสีหน้าที่รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างขึ้นมาเช่นกัน
"พ่อจ้าว..." มูติชาห์เรียก "มันผู้นี้ หาใช่ ท่านมหาดาบสไม่...! "
คำบอกของมูติชาห์ทำเอาพวกเราทุกคนแทบจะช็อคไปตามๆ กัน!
และท่าทางมันผู้นั้นก็ดูเหมือนจะรู้ตัวว่า ไม่อาจจะตบตาพวกเราได้อีกต่อไป มันจึงค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างช้าๆ
"หึ... ความสูงของรูปร่าง และลักษณะของท่านมหาดาบสที่เจ้ากำลังเสแสร้งตบตาข้านั้น เจ้าอาจจะสามารถเสแสร้งได้คล้ายคลึงกับตัวจริงของท่านมหาดาบสก็จริง..." ดวงตาของมูติชาห์เป็นประกาย ขณะที่มองไปยังร่างของคนลึกลับที่ซ่อนใบหน้าอยู่ใต้เสื้อคลุมที่มีฮู้ดปกปิดใบหน้า
"แต่เจ้าจะตบตาข้ามูติชาห์คนนี้ได้โดยตลอดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ เผยโฉมของเจ้าออกมาดีกว่า ว่าตัวจริงของเจ้าน่ะ คือใครกันแน่...?! "
แล้วคนลึกลับก็นิ่งเงียบไปอึดใจ จากนั้นก็ราวกับจะตัดสินใจ มันค่อยๆ เลิกฮู้ดที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองไปข้างหลัง
และจากนั้น ใบหน้าอันแท้จริงของมันที่กระทบกับแสงสะท้อนภายในห้องขังอันมืดสลัวนี้ ก็ปรากฏโฉมออกมาอย่างชัดเจน
แต่ทว่า... ใบหน้าของมันผู้นี้ แม้จะไม่ใช่ท่านมหาดาบสจริงๆ แต่มันก็ไม่ใช่ใบหน้าของคนแปลกหน้าที่ไหนแต่อย่างใด...?
เพราะแท้ที่จริงแล้ว มันผู้นี้ก็คือ 'สิงห์'นั่นเอง...!
สิงห์ผู้มีรูปร่างสูงสง่า และมีขนดกเต็มตัวผู้นั้น!
หาใช่สิงห์ในร่างนุชที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ผมในขณะนี้ไม่...?
นี่มัน... อะไรกันนี่...?!!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ