สืบสู้ผี ภาค 1-2
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
64) การแก้พิษ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมูติชาห์คงจะสังเกตุเห็นสีหน้าที่งงงวยของผม จึงยิ้มออกมาจนหน้าหวาน (ผมเองรู้สึกทะแม่งๆ กับรอยยิ้มของมูติชาห์มากขึ้นทุกที คือรอยยิ้มหวานๆ ของเขาแบบนี้ มันถึงกับทำให้ผมอดที่จะใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ เอ... ผมไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาก่อนเลยนะ และผมก็ไม่น่าจะใจเต้นกับผู้ชายคนนี้นี่นา แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็ว่าไปอย่างสิ?)
"ท่านกิตติ มาดูสิ่งที่ข้าจะทำต่อไปนี้ดีกว่า" มูติชาห์พูดแล้วก็หันกลับไปยังด้านหลัง "ทหาร เอาสิ่งนั้นออกมาได้แล้ว"
สิ่งนั้น? สิ่งไหนกันล่ะนี่ ผมเหลียวไปดูหน้าพี่เมฆตอนนี้ก็เห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง
แล้วทหารคนหนึ่งก็เดินออกมายังด้านหน้า ในมือของเขากลับมีขวดโลหะหรือขวดดีบุกขนาดย่อมๆ อยู่ในมือ และขวดใบนี้ก็ถูกแกะสลักจนมีลวดลายที่วิจิตรอยู่ไม่น้อยทีเดียว
ทหารคนนี้ได้ส่งขวดใบนี้ให้กับมูติชาห์ด้วยความนุ่มนวลระมัดระวังราวกับจะกลัวว่าสิ่งที่อยู่ในขวดนั้นจะหกไหลลงสู่พื้นดินข้างล่าง
และเมื่อมูติชาห์ได้รับขวดนั้นมาแล้ว เขาก็ยกชูขึ้น เพื่อให้พวกเราได้เห็นอย่างเต็มตา
"พวกท่านคงจะเห็นแล้วสินะ ว่าขวดใบนี้มีความวิจิตรสวยงามน่ามองมากๆ และที่จริงขวดใบนี้ก็มีคุณค่าราคาอยู่ในตัวของมันเอง เพราะว่ามันเป็นขวดโอสถที่เป็นสมบัติตกทอดมาจากท่านปู่ผู้ล่วงลับของข้านั่นเอง"
มูติชาห์หยุดพูดไปเล็กน้อยขณะที่เขาได้หมุนเกลียวเปิดฝาขวด จากนั้นเขาก็ได้รินน้ำบางอย่างออกมาจากขวดลงบนฝ่ามืออีกข้างของเขา ซึ่งน้ำที่รินออกมาเล็กน้อยนั้นก็ดูใสบริสุทธิราวกับเป็นน้ำธรรมดาๆ แค่นั้นเอง
"น้ำใสๆ ที่ข้าเทออกมานี้ มองเผินๆ ก็เหมือนน้ำธรรมดาๆ แต่ที่จริงน้ำนี้ก็คือน้ำยาโอสถที่ไร้รูปรสและกลิ่นที่ได้มาจากการปรุงด้วยเวทมนต์ของท่านมหาดาบส"
ท่านจ้าวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มูติชาห์ลูบเคราสีเงินของตัวเองไปมาอย่างยิ้มๆ ก่อนจะกล่าวเสริมขึ้น
"ดีที่ข้าได้ให้ทหารของข้านำขวดโอสถนี้มาด้วย คราวนี้เลยได้มีโอกาสได้ใช้โอสถนี้กันเสียที"
"ท่านจ้าวครับ" ผมเอ่ยขึ้น "หมายความว่า น้ำในขวดที่เป็นโอสถเวทมนต์นี้ จะสามารถช่วยแก้พิษของพวกผีเสื้อยักษ์นั้นได้ใช่ไม๊ครับ เอ... หรือว่าน้ำยาวิเศษนี้จะสามารถแก้พิษอื่นๆ ได้อีกด้วยล่ะครับท่านจ้าว? "
"ฮ่าๆ น้ำยาโอสถนี้จะว่าวิเศษก็วิเศษอยู่ แต่การที่จะใช้แก้พิษต่างๆ นั้น ก็จำเป็นต้องใช้พิษนั้นๆ เข้าผสมด้วยจึงจะทำให้น้ำยาโอสถนี้เป็นน้ำยาโอสถวิเศษที่สามารถใช้แก้พิษต่างๆ ได้อย่างแท้จริง"
แล้วท่านจ้าวก็หันไปบอกมูติชาห์ "ลงมือเถอะลูกข้า อย่าได้ชักช้าอยู่เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์"
มูติชาห์หันไปพูดกับทหารคนหนึ่งเบาๆ ก่อนที่ทหารคนนั้นจะนำถุงมือคู่หนึ่งมาสวมมือตัวเอง จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปจับผีเสื้อยักษ์ที่เหลือปีกอยู่เพียงข้างเดียวขึ้นมาจากพื้นก่อนจะเดินกลับมาหามูติชาห์
และเมื่อมูติชาห์ยื่นขวดโอสถออกมาข้างหน้าแล้ว ทหารคนนั้นก็ดึงมีดพกออกมาจากข้างเอว แล้วก็ลงมือใช้มีดนั้นขูดไปที่ปีกและลำตัวของผีเสื้อยักษ์ จนมีผงร่วงลงไปในขวดน้ำโอสถทันที
ครู่ต่อมา เมื่อทหารคนนั้นได้ขูดผงสารพิษออกมาจากตัวของผีเสื้อยักษ์ได้มากพอแล้ว มูติชาห์ก็เขย่าขวดโอสถอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะเทน้ำโอสถออกมาบนฝ่ามืออีกครั้ง
คราวนี้น้ำที่เทออกมานั้นก็ไม่ได้มีสีใสๆ อีกต่อไป แต่มันกลับมีสีออกม่วงๆ และมีกลิ่นประหลาดๆ เล็กน้อย
"น้ำยาโอสถสำหรับแก้พิษที่ทำให้ร่างกายพวกเราทั้งหมดอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง บัดนี้ได้ปรุงเสร็จแล้ว" มูติชาห์ชูขวดโอสถขึ้นอีกครั้ง
"รีบๆ มาดื่มกันเถอะ เอาว่าแค่ได้จิบเพียงเล็กน้อย พิษในตัวของพวกท่านก็จะสลายหายไปในเวลาอันรวดเร็วเลยล่ะ"
และก็จริงอย่างที่มูติชาห์ว่า เมื่อพวกเราทั้งหมดได้ทยอยกันจิบน้ำยานั้นกันถ้วนทั่วทุกคนแล้ว เรี่ยวแรงของพวกเราทั้งหมดก็คืนกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง อาการที่หายใจติดๆ ขัดๆ ก็ปราสนาการไปจนหมดสิ้น
แล้วท่านจ้าวก็กล่าวขึ้น "พวกศัตรูคงไม่คิดว่าพวกเราจะสามารถฟื้นกำลังหรือแก้พิษกันได้รวดเร็วขนาดนี้ และการที่พวกมันคิดหวังว่าจะตามมาเจอพวกเราต้องนอนอ่อนระโหยโรยแรงกันอยู่ตรงนี้ ก็เป็นเพียงแค่ความฝันของพวกมันเท่านั้นล่ะ"
"เอาล่ะ เร่งเดินทางกันเถอะ อีกครู่เดียวเราก็จะทะลุถึงหน้าประตูที่จะนำเราขึ้นไปสู่ห้องใต้ดินด้านบนแล้วล่ะ" ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็หันหลังออกเดินนำไปข้างหน้าทันที
การเดินทางระยะสุดท้ายภายในเส้นทางอันคับแคบได้ผ่านไปเพียงครู่เดียว และในที่สุดพวกเราก็ได้มาบรรลุถึงขอบของหน้าผาภายในถ้ำที่เมื่อมองเลยออกไปจากริมขอบหน้าผานี้พวกเราก็แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากไอหมอกขาวขุ่นที่ได้บดบังทัศนียภาพข้างหน้าของพวกเรากันอีกครั้ง
จันเองที่ได้เดินขนาบมาข้างๆ ผมถึงกับเบรคร่างของตัวเองไว้ทันทีเมื่อได้มองเห็นขอบหน้าผาปรากฏอยู่ข้างหน้า
"พ... พี่กิต ท... ทำไมในถ้ำมืดๆ นี่ก็ยังมีหุบเหวหรือหน้าผาน่ากลัวอยู่ข้างหน้าเราอีกล่ะพี่กิต... ข... ข้างนอกสว่างๆ ผมยังกลัวแทบตาย แล้วนี่อยู่ในถ้ำมืดๆ แถมเต็มไปด้วยหมอกหนาอย่างนี้ ผ... ผมจะข้ามไปได้หรือเปล่าล่ะทีนี้? "
ความกลัวจนขึ้นสมองของจันได้กลับมาอีกครั้ง และความกลัวของเขานั้นก็ได้ทำให้เขาต้องติดอ่างหรือพูดตะกุกตะกักอยู่ทุกครั้งไป
มูติชาห์ซึ่งตอนนี้เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกลพวกผมก็ได้หันหน้ากลับมาแล้วส่ายหน้า
"เป็นผู้ชายซะเปล่า แต่กลับขี้กลัวเหมือนสตรีเพศ ถ้าเจ้าต้องมาตายอยู่แค่นี้ ก็น่าอายผีสางอยู่นะว่าไม๊? "
เมื่อมูติชาห์พูดจบประโยค สีหน้าของจันก็ถึงกับแดงฉานขึ้นมาทันที
"ด.. ดูถูกกระผมจังเลย... ฮึ่ม ผมจะต้องไม่ตายที่นี่ให้มันอายผีสางอย่างที่ท่านว่าหรอก คอยดูผมเถอะ...! "
คำปรามาสของมูติชาห์ในครั้งนี้ถึงกับทำให้จันเกิดแรงฮึดที่จะเอาชนะขึ้นมาให้ได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมกับพี่เมฆอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
แต่เมื่อพวกผมได้เดินตามมูติชาห์จนมาถึงขอบหน้าผาที่มีท่านจ้าวและสิงห์ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ผมก็ยังแอบเห็นว่าจันที่เดินตามผมมาติดๆ ก็มีอาการขาสั่นขึ้นมาเล็กน้อย
แล้วท่านจ้าวก็ชี้มือไปที่ฝั่งตรงข้ามของหน้าผา ที่ผมเองก็ยังมองไม่ออก ว่ามีอะไรอยู่ที่ตรงนั้น นอกจากกลุ่มหมอกควันสีขาวที่ลอยล่องอยู่ในความมืด
"ข้ารู้ว่าพวกท่านคงจะยังมองไม่เห็นอะไร..." ท่านจ้าวเอ่ยขึ้น "แต่ที่ข้าจะบอกพวกท่านในตอนนี้ก็คือ บัดนี้เราได้มาบรรลุถึงหน้าประตูที่จะนำเราไปสู่ห้องใต้ดินด้านบนแล้ว ขอให้พวกท่านข้ามหุบเหวในถ้ำนี้ไปก่อน แล้วท่านก็จะได้พบกับประตูนั้นอย่างแน่นอนล่ะ"
"ชิบๆ ... มืดๆ ก็มืด... หมอกก็หมอก... " จันสบถบ่นเบาๆ พอให้ผมได้ยิน "ร... เราจะต้องข้ามไปกันจริงๆ หราพี่กิต ผ... ผมว่า ถ้าพลาดกันคราวนี้ เราก็คงจะได้เจอนรกของแท้กันแล้วละมั้งพี่? "
จะว่าไปแล้ว ผมเองก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าไรเหมือนกัน แต่ก็ยังอุตส่าห์พูดปลอบใจจันว่า "แต่ถ้าเราไม่พลาดนะจัน ที่หลังบานประตูฝั่งตรงข้ามนั้น ก็อาจจะเป็นสวรรค์ที่แท้จริงสำหรับเราก็ได้นะ? "
จันจับมือผมไว้และทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "ไปกันพี่กิต ทางนี้นรก ทางโน้นสวรรค์ ผมขอเลือกสวรรค์ดีกว่า สะพานล่องหนเราก็ผ่านมาได้ ถึงสะพานนั้นมันจะล่องหน แต่ที่จริงมันก็กว้างอยู่ วันนี้จะต้องข้ามอีกสักสะพานก็คงไม่ต่างกันเท่าไรล่ะมั้งครับ? "
พอจันพูดถึงสะพานล่องหนที่เราได้เคยวิ่งหลบลูกธนูกันบนนั้นมาแล้ว ผมก็นึกได้ว่าที่จริงสะพานนั้นมันค่อนข้างกว้าง เพียงแต่ว่าเรามองสะพานนั้นไม่เห็นกันก็แค่นั้นเอง และสะพานข้างหน้าเรานี้ ก็อาจไม่ต่างกันเท่าไรอย่างที่จันว่ากระมัง?
พอผมเงยหน้าขึ้นมองมูติชาห์ และกำลังจะถามอย่างที่ใจคิด มูติชาห์ก็ยิ้มออกมาที่มุมปากพลางบอกออกมาด้วยเสียงเรียบๆ
"ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่า สะพานนี้ไม่ใช่สะพานล่องหน แต่เป็นสะพานจริงๆ ..."
ผมกับจันหันมามองหน้ากันอย่างยิ้มๆ ทันที แต่... คำต่อมาของมูติชาห์นี่สิ...
"แต่สะพานนี้เป็นสะพานเชือกที่มีความกว้างนิดเดียว และพวกท่านต้องเดินเรียงเดี่ยวอย่างเบาๆ เพื่อไม่ให้สะพานสั่นจนเกินไป สะพานนี้มีความยาวราวยี่สิบวา ไม่ต้องห่วงเรื่องความแข็งแรง เพราะก่อนหน้านี้ท่านพ่อของข้ากับข้าได้ตรวจสอบมาแล้วว่ารับน้ำหนักได้ดีแน่นอน..."
รอยยิ้มของจันถึงกับค้างอยู่แค่นั้นเมื่อได้ฟังคุณสมบัติของสะพานนั้นจบลง
"สะ... สะพานเชือก ก... กว้างนิดเดียว... ม... แม่จ๋า จ... จัน ย... แย่แล้ว...?! "
(โปรดติดตามในบทต่อไปเร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ