สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.09K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
61) ปีกมฤตยู !
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเมื่อพวกเราทั้งหมดเดินทางเข้ามาในถ้ำได้ราวห้านาทีเราก็พบว่าถายในถ้ำนั้นได้มืดลงทุกขณะจากที่ตอนแรกพอจะมีแสงสว่างให้พอมองเห็นจากหน้าถ้ำอยู่บ้างก็กลายเป็นมืดครึ้มขึ้นมาอย่างน่ากลัว แต่ก่อนที่ความหวาดหวั่นหรือความกลัวที่มีต่อความมืดสนิทจะเกาะกุมจิตใจของพวกเราที่ไม่ใช่ชาวมิตทราห์อย่างคณะของท่านจ้าว เสียงพูดของมูติชาห์ก็ดังขึ้นว่า
"ทางสายหลักภายในถ้ำหลังจากนี้ไปจะมีแต่ความมืดมิดที่แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใดข้างหน้าเลย ดังนั้นเราจึงจะจุดคบไฟขึ้นมาเพื่อให้พวกเราพอจะมองเห็นหนทางข้างหน้ากันได้ง่ายขึ้น แต่ขอบอกว่าหลังจากที่พวกเราได้เดินทางผ่านเส้นทางหลักภายในถ้ำนี้ไปอีกราวสิบนาทีเราก็จะตัดผ่านเข้าไปในเส้นทางลับซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครได้ล่วงรู้มาก่อนนอกจากท่านพ่อของข้าและตัวข้าเอง"
"แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะขอเตือนสักนิดสำหรับเส้นทางลับที่พวกเรากำลังจะไปพบเจออีกไม่นานหลังจากนี้ก็คือ ที่ภายในเส้นทางลับนั้นเราจะสามารถเดินเข้าไปได้เพียงทีล่ะคนเท่านั้นเพราะความกว้างของช่องทางเดินตรงนั้นค่อนข้างจะแคบสักหน่อย และทางฝั่งด้านขวาของทางเดินที่ไม่ได้มีผนังถ้ำใดๆ เหมือนทางฝั่งด้านซ้ายนั้นก็จะมีหุบเหวลึกอันมืดมิดที่ภายใต้สุดจะมีบ่อกำมะถันที่กำลังเดือดปุดๆ พร้อมกับส่งควันหรือไอของกำมะถันขึ้นมายังเบื้องบน เพราะฉนั้นก็ขอให้พวกท่านทุกคนจงอย่าได้ตื่นตกใจและพยามยามอยู่ในสมาธิไม่หวาดหวั่นจนกว่าพวกเราทั้งหมดจะผ่านพ้นกันไปได้ หวังว่าคงจะเข้าใจที่ข้ากล่าวมานี้กันทั้งหมดแล้วนะ..."
สิ้นคำอธิบายของมูติชาห์ จันก็ทำท่าเหมือนจะหมดแรง
"พี่กิต ทำไมพวกเขาถึงไม่บอกพวกเรามาก่อนหน้าที่จะเข้ามาในถ้ำนี้ว่า พวกเราจะต้องเข้าไปเดินในที่แคบๆ แบบเรียงเดี่ยวพร้อมกับต้องระวังบ่อกำมะถันอะไรนั่นซะก่อนล่ะ...? "
"แล้วไง...? " ผมทำหน้าสงสัย "ถ้าบอกก่อนแล้วจันคิดว่าจะไม่เข้ามาอย่างนั้นเหรอ? "
"ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้ามาหรอกพี่กิต" จันเกาหัวอย่างเขินๆ "แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ผมได้มีเวลาทำใจและเตรียมพร้อมที่จะไต่ไปในทางแคบๆ นั้นได้ล่วงหน้าน่ะครับ แฮะๆ "
"มูติชาห์ทำถูกแล้วที่ไม่บอกล่วงหน้า" ผมตอบจันอย่างยิ้มๆ "เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเราทั้งหมดก็อาจจะมีการลังเลในการที่จะเข้ามาในถ้ำนี้กันก็ได้ และยิ่งตอนนี้พวกศัตรูด้านนอกก็ประชิดเข้ามาใกล้ทุกที หากพวกเรามัวแต่ลังเลหรือหวาดกลัวอยู่ก็ยิ่งทำให้ชีวิตของพวกเรากลับต้องเสี่ยงอยู่ในอันตรายมากกว่านี้ก็ว่าได้" คำอธิบายของผมที่มีต่อจันนี้ ผมเองกลับค่อนข้างมั่นใจว่าจะใกล้เคียงกับความคิดที่อยู่ในหัวของมูติชาห์อยู่ไม่น้อยแน่ๆ เพราะแม้แต่สิงห์ที่เดินนำหน้าผมไปเล็กน้อยก็กลับหันมามองผมด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเนิบๆ ให้ผมอย่างพึงพอใจ
แต่ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเราก็กลับเกิดขึ้นในขณะที่พวกเราทั้งหมดยังเดินต่อไปตามเส้นทางหลักได้ยังไม่ถึงห้านาที เมื่อเสียงแห่งความปั่นป่วนของกองทหารท่านจ้าวที่นำขบวนอยู่ด้านหน้าส่วนหนึ่งถึงกับเอ็ดอึงราวกับได้พบเจอกับสิ่งที่ทำให้เสียขวัญอย่างปั่นป่วน
แล้วเสียงของท่านจ้าวที่ได้ตามติดอยู่ที่ท้ายขบวนของกองทหารซีกหน้าก็ตะโกนบอกถึงอันตรายบางอย่างที่อยู่ข้างหน้า
"ทุกๆ ท่าน...! โปรดระวังอันตรายจากค้างคาวดูดเลือด!! "
ยังไม่ทันขาดเสียงของท่านจ้าวดี เสียงปีกที่กระทบกับอากาศนับพันๆ ก็ดังขึ้นอย่างอื้ออึงจากซีกด้านหน้าพร้อมๆ กับที่ผมได้เห็นพวกกองทหารของท่านจ้าวที่อยู่ด้านหน้านั้นร้องโวยวายกันเป็นพัลวัน จากนั้นฝูงค้างคาวที่กรูเกรียวกันมาจากด้านหน้าก็เริ่มปรากฏภาพให้ผมได้เห็นอย่างถนัดชัดเจน
อันฝูงค้างคาวทั้งหมดที่กำลังบินเข้ามาปะทะพวกเราทั้งหมดนี้ที่จริงมองเผินๆ พวกมันก็ดูไม่ค่อยแตกต่างจากฝูงค้างคาวที่อยู่ในถ้ำอื่นๆ ที่ผมได้เคยพบเจอมาก่อนหน้านี้นัก ถ้าเพียงมูติชาห์ที่อยู่เลยไปทางด้านหน้าของผมไม่ได้ตะโกนกลับมาว่า
"อย่าให้ค้างคาวพวกนี้กัดได้ นี่คือค้างคาวของพวกศัตรู ถ้ากัดโดนเนื้อเมื่อไร คนคนนั้นจะติดเชื้ออสูรดำทันที...! "
เชื้ออสูรดำที่จะทำให้ผู้ที่ถูกกัดกลายร่างเป็นกึ่งอสูรกายและสูญเสียสติสัมปชัญะไป กลับมีอยู่ในคมเขี้ยวของฝูงค้างคาวพวกนี้ อา... นี่พวกศัตรูของท่านจ้าวถึงกับได้วางกับดักหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าไว้ที่ภายในถ้ำนี้แล้วอย่างนั้นหรือ?!
และแล้วการปกป้องตัวเองจากฝูงค้างคาวปิศาจเพื่อไม่ให้มันกัดโดนเนื้อของพวกเราก็เป็นไปด้วยความทุลักทุเลพอควร แต่ด้วยที่พวกเราในขณะนั้นต่างก็มีอาวูธอยู่ในมือด้วยกันทุกคนและแม้แต่ผมกับจันเองก็ยังมีคันธนูพกติดตัวกันคนล่ะคัน นับตั้งแต่ที่ได้ไปยึดมาจากพวกทหารที่ทรยศในตอนนั้น เราจึงได้ใช้ประโยชน์ในการฟาดตีฝูงค้างคาวที่บินตรงปรี่เข้ามากันอย่างไม่ยั้งมือ และในที่สุดทั้งพวกคณะของท่านจ้าวและพวกอาคันตุกะอย่างเราเองก็สามารถรอดพ้นคมเขี้ยวของฝูงค้างคาวปิศาจไปได้อย่างหวุดหวิด
"แฮกๆ เหนื่อยชมัดเลยพี่กิต" จันทำท่าหอบเหมือนจะหมดแรงหลังจากที่ได้หวดตีค้างคาวไปได้หลายสิบตัวจนกระทั่งไม่เหลือค้างคาวให้หวดตีอีก แล้วเขาก็ยกคันธนูขึ้นมามองอย่างภูมิใจ "แหม ตอนแรกนึกว่าคันธนูนี่จะใช้ยิงลูกธนูได้อย่างเดียวนะ ที่ไหนได้กลับใช้ตีค้างคาวได้สนุกด้วย"
แล้วมูติชาห์กับท่านจ้าวก็ย้อนกลับมาดูคณะของเราด้วยสีหน้าที่เหมือนจะห่วงๆ ในตัวของพวกเราแต่ล่ะคนอยู่ไม่น้อย
"ทุกท่านไม่เป็นไรกันนะ... เอ่อ คงจะไม่มีใครโดนกัดใช่ไม๊? " ท่านจ้าวถาม
"ไม่ครับท่านจ้าว ผมสกัดพวกค้างคาวพวกนั้นได้ทุกตัว จันเองก็ฟาดร่วงไปหลายตัวเหมือนกันครับ เอ่อ... แต่..." แล้วผมก็หันกลับไปที่พี่เมฆที่ตามมาทางด้านหลังผม "พี่เมฆเองก็คงไม่โดนค้างคาวกัดเหมือนกันใช่ไม๊ครับ? "
"ระดับชั้นนี้แล้ว จะปล่อยให้มันกัดง่ายๆ ได้ยังไงกัน" พี่เมฆพูดออกมายิ้มๆ พร้อมๆ กับชูคันธนูที่ถืออยู่ในมือ "คันธนูของชาวมิตทราห์นี้แข็งแรงยอดเยี่ยมไปเลยนะครับท่านจ้าว ผมใช้ฟาดค้างคาวไปได้ไม่น้อยอย่างถนัดมือทีเดียวเลยล่ะครับ"
"ข้าเองนึกว่า..." มูติชาห์กล่าวขึ้น "ท่านเมฆาที่อยู่ข้างหลังนี่จะยิงลูกธนูออกไปเป็นฝูงผึ้งเพื่อใช้สู้กับฝูงค้างคาวซะอีกนะ...? "
"โอ๊ยย..." พี่เมฆร้องออกมาทันที "ไม่ทันการหรอกครับสำหรับพวกฝูงค้างคาว เพราะกว่าจะตั้งท่ายิงเสร็จ พวกมันก็คงจะประชิดถึงตัวจนกัดผมเหวอะหวะไปแล้วล่ะครับทุกท่าน"
แล้วทุกคนในที่นั้นต่างก็ส่งเสียงหัวเราะกันอย่างพร้อมเพรียง
"เอาล่ะ เมื่อทุกคนปลอดภัยกันทั้งหมดก็ดีแล้ว" ท่านจ้าวพูดออกมาอย่างโล่งอก "คราวนี้ถือว่าโชคดีกันทุกๆ คนจริงๆ เพราะแม้แต่เหล่าทหารของข้าก็ไม่มีใครโดนค้างคาวกัด แต่ต่อไปหลังจากที่เราได้เข้าสู่เส้นทางลับแล้วก็ขอให้ตั้งสมาธิกันดีๆ หน่อยล่ะ เพราะข้าเองถึงจะมั่นใจว่าไม่มีศัตรูได้ล่วงรู้ถึงเส้นทางนั้นมาก่อนหน้านี้นอกจากมูติชาห์กับข้า แต่เราก็จะประมาทไม่ได้เหมือนกัน เอาล่ะเริ่มเดินทางกันต่อได้..."
คำพูดของท่านจ้าว กลับไม่ได้มีการรับประกันใดๆ ว่าภายในเส้นทางลับนั้นจะมีความปลอดภัยอย่างเต็มที่ซะทีเดียว ดังนั้นพวกเราจึงได้เงียบเสียงกันทุกคน แล้วก็เริ่มต้นเดินทางกันต่อไปทันที
ครู่ต่อมากองทหารของท่านจ้าวก็ได้ไปหยุดนิ่งอยู่ที่จุดหนึ่งของทางเดินถายในถ้ำ ก่อนที่ท่านจ้าวและมูิติชาห์จะเดินกลับมาทางพวกเราอีกครั้ง
"ขณะนี้เราได้เดินทางมาถึงจุดที่มีเส้นทางลับดังที่ข้าได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วล่ะทุกท่าน..." ท่านจ้าวบอกอย่างยิ้มๆ
แล้วคณะของพวกเราต่างก็กวาดสายตามองไล่ไปรอบๆ ผนังถ้ำนั้น แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าที่ส่วนไหนของถ้ำจะบ่งบอกว่ามีเส้นทางลับตัดออกไปได้ นอกจากจะมองเห็นเพียงแค่เส้นทางหลักต่อเนื่องออกไปจากทางเดินเดิมที่เราเพิ่งจะเดินผ่านกันมาก่อนหน้านี้
"ฮ่าๆ ๆ " ท่านจ้าวกลับหัวเราะออกมา "ทำหน้าสงสัยกันอีกแล้ว มูติชาห์เจ้าจงนำท่านอาคันตุกะเหล่านี้ไปชมทางลับนั้นเถอะ..."
แล้วมูติชาห์ก็กวาดตามองมาทางพวกเรา "ถ้าเป็นตอนแรกๆ ข้าคงจะไม่ยินยอมที่จะให้พวกท่านได้มาเห็นทางลับที่กำลังพูดถึงนี้หรอกนะ แต่ว่าหลังจากที่พวกท่านได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้ามาเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าก็คิดว่าพวกท่านทุกคนก็พอจะมีความบริสุทธิใจกันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เอาล่ะ ตามข้ามาเถอะ..." มูติชาห์พูดแล้วก็หันหลังเดินนำพวกเราไปยังผนังถ้ำด้านซ้ายมือที่ตรงเพดานถ้ำช่วงนั้นยังปรากกฏหินย้อยที่มีขนาดราวๆ ข้อมือปรากฏให้เห็นอยู่หลายอัน
หลังจากนั้นมูติชาห์ก็พยักหน้าให้สิงห์ก้าวตามเขาไปจนชิดผนังถ้ำก่อนที่มูติชาห์จะพูดอะไรกับสิงห์อยู่เบาๆ และสิงห์ก็พยักหน้าตอบมูติชาห์อยู่สองสามครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็ค่อยๆ คุกเข่าลงและลงมือพลักผนังถ้ำด้านล่างออกไปพร้อมๆ กัน
และในที่สุดเมื่อหินก้อนใหญ่ที่ตอนแรกมองเผินๆ ก็ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของผนังถ้ำได้ถูกผลักออกไป ตรงบริเวณนั้นก็เกิดเป็นช่องสี่เหลี่ยมคางหมูขึ้นมาทันที
ผมหันไปสบตากับพี่เมฆ ราวกับจะบอกกันว่า นี่น่ะเองทางลับที่ท่านจ้าวกับมูติชาห์ได้ค้นพบและปกปิดเป็นความลับไว้มาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่ก่อนที่พวกเราเริ่มจะมุดลอดกันเข้าไปในช่องแคบๆ ต่ำๆ นี้ เสียงเอ็ดอึงของกองทหารที่อยู่ด้านหลังพวกเราก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ดังนั้นมูติชาห์และสิงห์จึงรีบลุกกันขึ้นมาทันที และสิ่งประหลาดที่พวกเราได้เห็นกันอยู่ข้างหน้านี้ มันก็ถึงกับทำให้พวกเราทั้งหมดต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
คุณพระ...! ก่อนหน้านี้พวกเรายังได้ลงมือหวดตีพวกฝูงค้างคาวปิศาจกันยังไม่ทันจะหายเมื่อยมือ แต่สิ่งประหลาดที่เราได้เห็นกันอยู่ข้างหน้านี้ เห็นทีว่าพวกเราจะหวดกันไม่ลงแน่ เพราะไอ้ที่อยู่ข้างหน้านี้แม้จะเป็นสัตว์ปีกเช่นกัน แต่มันกลับเป็นสัตว์ปีกที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของค้างคาวปิศาจนั่นหลายเท่านัก และขณะนี้มันก็ได้ใช้ช่วงขาของมันที่มีลักษณะที่เป็นกรงเล็บขนาดใหญ่โฉบจับร่างของทหารของท่านจ้าวขึ้นไปอยู่กลางอากาศได้คนหนึ่งพอดี..!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
"ทางสายหลักภายในถ้ำหลังจากนี้ไปจะมีแต่ความมืดมิดที่แทบจะมองไม่เห็นสิ่งใดข้างหน้าเลย ดังนั้นเราจึงจะจุดคบไฟขึ้นมาเพื่อให้พวกเราพอจะมองเห็นหนทางข้างหน้ากันได้ง่ายขึ้น แต่ขอบอกว่าหลังจากที่พวกเราได้เดินทางผ่านเส้นทางหลักภายในถ้ำนี้ไปอีกราวสิบนาทีเราก็จะตัดผ่านเข้าไปในเส้นทางลับซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มีใครได้ล่วงรู้มาก่อนนอกจากท่านพ่อของข้าและตัวข้าเอง"
"แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะขอเตือนสักนิดสำหรับเส้นทางลับที่พวกเรากำลังจะไปพบเจออีกไม่นานหลังจากนี้ก็คือ ที่ภายในเส้นทางลับนั้นเราจะสามารถเดินเข้าไปได้เพียงทีล่ะคนเท่านั้นเพราะความกว้างของช่องทางเดินตรงนั้นค่อนข้างจะแคบสักหน่อย และทางฝั่งด้านขวาของทางเดินที่ไม่ได้มีผนังถ้ำใดๆ เหมือนทางฝั่งด้านซ้ายนั้นก็จะมีหุบเหวลึกอันมืดมิดที่ภายใต้สุดจะมีบ่อกำมะถันที่กำลังเดือดปุดๆ พร้อมกับส่งควันหรือไอของกำมะถันขึ้นมายังเบื้องบน เพราะฉนั้นก็ขอให้พวกท่านทุกคนจงอย่าได้ตื่นตกใจและพยามยามอยู่ในสมาธิไม่หวาดหวั่นจนกว่าพวกเราทั้งหมดจะผ่านพ้นกันไปได้ หวังว่าคงจะเข้าใจที่ข้ากล่าวมานี้กันทั้งหมดแล้วนะ..."
สิ้นคำอธิบายของมูติชาห์ จันก็ทำท่าเหมือนจะหมดแรง
"พี่กิต ทำไมพวกเขาถึงไม่บอกพวกเรามาก่อนหน้าที่จะเข้ามาในถ้ำนี้ว่า พวกเราจะต้องเข้าไปเดินในที่แคบๆ แบบเรียงเดี่ยวพร้อมกับต้องระวังบ่อกำมะถันอะไรนั่นซะก่อนล่ะ...? "
"แล้วไง...? " ผมทำหน้าสงสัย "ถ้าบอกก่อนแล้วจันคิดว่าจะไม่เข้ามาอย่างนั้นเหรอ? "
"ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้ามาหรอกพี่กิต" จันเกาหัวอย่างเขินๆ "แต่อย่างน้อยก็น่าจะทำให้ผมได้มีเวลาทำใจและเตรียมพร้อมที่จะไต่ไปในทางแคบๆ นั้นได้ล่วงหน้าน่ะครับ แฮะๆ "
"มูติชาห์ทำถูกแล้วที่ไม่บอกล่วงหน้า" ผมตอบจันอย่างยิ้มๆ "เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว พวกเราทั้งหมดก็อาจจะมีการลังเลในการที่จะเข้ามาในถ้ำนี้กันก็ได้ และยิ่งตอนนี้พวกศัตรูด้านนอกก็ประชิดเข้ามาใกล้ทุกที หากพวกเรามัวแต่ลังเลหรือหวาดกลัวอยู่ก็ยิ่งทำให้ชีวิตของพวกเรากลับต้องเสี่ยงอยู่ในอันตรายมากกว่านี้ก็ว่าได้" คำอธิบายของผมที่มีต่อจันนี้ ผมเองกลับค่อนข้างมั่นใจว่าจะใกล้เคียงกับความคิดที่อยู่ในหัวของมูติชาห์อยู่ไม่น้อยแน่ๆ เพราะแม้แต่สิงห์ที่เดินนำหน้าผมไปเล็กน้อยก็กลับหันมามองผมด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าเนิบๆ ให้ผมอย่างพึงพอใจ
แต่ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของพวกเราก็กลับเกิดขึ้นในขณะที่พวกเราทั้งหมดยังเดินต่อไปตามเส้นทางหลักได้ยังไม่ถึงห้านาที เมื่อเสียงแห่งความปั่นป่วนของกองทหารท่านจ้าวที่นำขบวนอยู่ด้านหน้าส่วนหนึ่งถึงกับเอ็ดอึงราวกับได้พบเจอกับสิ่งที่ทำให้เสียขวัญอย่างปั่นป่วน
แล้วเสียงของท่านจ้าวที่ได้ตามติดอยู่ที่ท้ายขบวนของกองทหารซีกหน้าก็ตะโกนบอกถึงอันตรายบางอย่างที่อยู่ข้างหน้า
"ทุกๆ ท่าน...! โปรดระวังอันตรายจากค้างคาวดูดเลือด!! "
ยังไม่ทันขาดเสียงของท่านจ้าวดี เสียงปีกที่กระทบกับอากาศนับพันๆ ก็ดังขึ้นอย่างอื้ออึงจากซีกด้านหน้าพร้อมๆ กับที่ผมได้เห็นพวกกองทหารของท่านจ้าวที่อยู่ด้านหน้านั้นร้องโวยวายกันเป็นพัลวัน จากนั้นฝูงค้างคาวที่กรูเกรียวกันมาจากด้านหน้าก็เริ่มปรากฏภาพให้ผมได้เห็นอย่างถนัดชัดเจน
อันฝูงค้างคาวทั้งหมดที่กำลังบินเข้ามาปะทะพวกเราทั้งหมดนี้ที่จริงมองเผินๆ พวกมันก็ดูไม่ค่อยแตกต่างจากฝูงค้างคาวที่อยู่ในถ้ำอื่นๆ ที่ผมได้เคยพบเจอมาก่อนหน้านี้นัก ถ้าเพียงมูติชาห์ที่อยู่เลยไปทางด้านหน้าของผมไม่ได้ตะโกนกลับมาว่า
"อย่าให้ค้างคาวพวกนี้กัดได้ นี่คือค้างคาวของพวกศัตรู ถ้ากัดโดนเนื้อเมื่อไร คนคนนั้นจะติดเชื้ออสูรดำทันที...! "
เชื้ออสูรดำที่จะทำให้ผู้ที่ถูกกัดกลายร่างเป็นกึ่งอสูรกายและสูญเสียสติสัมปชัญะไป กลับมีอยู่ในคมเขี้ยวของฝูงค้างคาวพวกนี้ อา... นี่พวกศัตรูของท่านจ้าวถึงกับได้วางกับดักหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าไว้ที่ภายในถ้ำนี้แล้วอย่างนั้นหรือ?!
และแล้วการปกป้องตัวเองจากฝูงค้างคาวปิศาจเพื่อไม่ให้มันกัดโดนเนื้อของพวกเราก็เป็นไปด้วยความทุลักทุเลพอควร แต่ด้วยที่พวกเราในขณะนั้นต่างก็มีอาวูธอยู่ในมือด้วยกันทุกคนและแม้แต่ผมกับจันเองก็ยังมีคันธนูพกติดตัวกันคนล่ะคัน นับตั้งแต่ที่ได้ไปยึดมาจากพวกทหารที่ทรยศในตอนนั้น เราจึงได้ใช้ประโยชน์ในการฟาดตีฝูงค้างคาวที่บินตรงปรี่เข้ามากันอย่างไม่ยั้งมือ และในที่สุดทั้งพวกคณะของท่านจ้าวและพวกอาคันตุกะอย่างเราเองก็สามารถรอดพ้นคมเขี้ยวของฝูงค้างคาวปิศาจไปได้อย่างหวุดหวิด
"แฮกๆ เหนื่อยชมัดเลยพี่กิต" จันทำท่าหอบเหมือนจะหมดแรงหลังจากที่ได้หวดตีค้างคาวไปได้หลายสิบตัวจนกระทั่งไม่เหลือค้างคาวให้หวดตีอีก แล้วเขาก็ยกคันธนูขึ้นมามองอย่างภูมิใจ "แหม ตอนแรกนึกว่าคันธนูนี่จะใช้ยิงลูกธนูได้อย่างเดียวนะ ที่ไหนได้กลับใช้ตีค้างคาวได้สนุกด้วย"
แล้วมูติชาห์กับท่านจ้าวก็ย้อนกลับมาดูคณะของเราด้วยสีหน้าที่เหมือนจะห่วงๆ ในตัวของพวกเราแต่ล่ะคนอยู่ไม่น้อย
"ทุกท่านไม่เป็นไรกันนะ... เอ่อ คงจะไม่มีใครโดนกัดใช่ไม๊? " ท่านจ้าวถาม
"ไม่ครับท่านจ้าว ผมสกัดพวกค้างคาวพวกนั้นได้ทุกตัว จันเองก็ฟาดร่วงไปหลายตัวเหมือนกันครับ เอ่อ... แต่..." แล้วผมก็หันกลับไปที่พี่เมฆที่ตามมาทางด้านหลังผม "พี่เมฆเองก็คงไม่โดนค้างคาวกัดเหมือนกันใช่ไม๊ครับ? "
"ระดับชั้นนี้แล้ว จะปล่อยให้มันกัดง่ายๆ ได้ยังไงกัน" พี่เมฆพูดออกมายิ้มๆ พร้อมๆ กับชูคันธนูที่ถืออยู่ในมือ "คันธนูของชาวมิตทราห์นี้แข็งแรงยอดเยี่ยมไปเลยนะครับท่านจ้าว ผมใช้ฟาดค้างคาวไปได้ไม่น้อยอย่างถนัดมือทีเดียวเลยล่ะครับ"
"ข้าเองนึกว่า..." มูติชาห์กล่าวขึ้น "ท่านเมฆาที่อยู่ข้างหลังนี่จะยิงลูกธนูออกไปเป็นฝูงผึ้งเพื่อใช้สู้กับฝูงค้างคาวซะอีกนะ...? "
"โอ๊ยย..." พี่เมฆร้องออกมาทันที "ไม่ทันการหรอกครับสำหรับพวกฝูงค้างคาว เพราะกว่าจะตั้งท่ายิงเสร็จ พวกมันก็คงจะประชิดถึงตัวจนกัดผมเหวอะหวะไปแล้วล่ะครับทุกท่าน"
แล้วทุกคนในที่นั้นต่างก็ส่งเสียงหัวเราะกันอย่างพร้อมเพรียง
"เอาล่ะ เมื่อทุกคนปลอดภัยกันทั้งหมดก็ดีแล้ว" ท่านจ้าวพูดออกมาอย่างโล่งอก "คราวนี้ถือว่าโชคดีกันทุกๆ คนจริงๆ เพราะแม้แต่เหล่าทหารของข้าก็ไม่มีใครโดนค้างคาวกัด แต่ต่อไปหลังจากที่เราได้เข้าสู่เส้นทางลับแล้วก็ขอให้ตั้งสมาธิกันดีๆ หน่อยล่ะ เพราะข้าเองถึงจะมั่นใจว่าไม่มีศัตรูได้ล่วงรู้ถึงเส้นทางนั้นมาก่อนหน้านี้นอกจากมูติชาห์กับข้า แต่เราก็จะประมาทไม่ได้เหมือนกัน เอาล่ะเริ่มเดินทางกันต่อได้..."
คำพูดของท่านจ้าว กลับไม่ได้มีการรับประกันใดๆ ว่าภายในเส้นทางลับนั้นจะมีความปลอดภัยอย่างเต็มที่ซะทีเดียว ดังนั้นพวกเราจึงได้เงียบเสียงกันทุกคน แล้วก็เริ่มต้นเดินทางกันต่อไปทันที
ครู่ต่อมากองทหารของท่านจ้าวก็ได้ไปหยุดนิ่งอยู่ที่จุดหนึ่งของทางเดินถายในถ้ำ ก่อนที่ท่านจ้าวและมูิติชาห์จะเดินกลับมาทางพวกเราอีกครั้ง
"ขณะนี้เราได้เดินทางมาถึงจุดที่มีเส้นทางลับดังที่ข้าได้เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้วล่ะทุกท่าน..." ท่านจ้าวบอกอย่างยิ้มๆ
แล้วคณะของพวกเราต่างก็กวาดสายตามองไล่ไปรอบๆ ผนังถ้ำนั้น แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่าที่ส่วนไหนของถ้ำจะบ่งบอกว่ามีเส้นทางลับตัดออกไปได้ นอกจากจะมองเห็นเพียงแค่เส้นทางหลักต่อเนื่องออกไปจากทางเดินเดิมที่เราเพิ่งจะเดินผ่านกันมาก่อนหน้านี้
"ฮ่าๆ ๆ " ท่านจ้าวกลับหัวเราะออกมา "ทำหน้าสงสัยกันอีกแล้ว มูติชาห์เจ้าจงนำท่านอาคันตุกะเหล่านี้ไปชมทางลับนั้นเถอะ..."
แล้วมูติชาห์ก็กวาดตามองมาทางพวกเรา "ถ้าเป็นตอนแรกๆ ข้าคงจะไม่ยินยอมที่จะให้พวกท่านได้มาเห็นทางลับที่กำลังพูดถึงนี้หรอกนะ แต่ว่าหลังจากที่พวกท่านได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้ามาเมื่อก่อนหน้านี้ ข้าก็คิดว่าพวกท่านทุกคนก็พอจะมีความบริสุทธิใจกันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เอาล่ะ ตามข้ามาเถอะ..." มูติชาห์พูดแล้วก็หันหลังเดินนำพวกเราไปยังผนังถ้ำด้านซ้ายมือที่ตรงเพดานถ้ำช่วงนั้นยังปรากกฏหินย้อยที่มีขนาดราวๆ ข้อมือปรากฏให้เห็นอยู่หลายอัน
หลังจากนั้นมูติชาห์ก็พยักหน้าให้สิงห์ก้าวตามเขาไปจนชิดผนังถ้ำก่อนที่มูติชาห์จะพูดอะไรกับสิงห์อยู่เบาๆ และสิงห์ก็พยักหน้าตอบมูติชาห์อยู่สองสามครั้ง จากนั้นทั้งคู่ก็ค่อยๆ คุกเข่าลงและลงมือพลักผนังถ้ำด้านล่างออกไปพร้อมๆ กัน
และในที่สุดเมื่อหินก้อนใหญ่ที่ตอนแรกมองเผินๆ ก็ดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของผนังถ้ำได้ถูกผลักออกไป ตรงบริเวณนั้นก็เกิดเป็นช่องสี่เหลี่ยมคางหมูขึ้นมาทันที
ผมหันไปสบตากับพี่เมฆ ราวกับจะบอกกันว่า นี่น่ะเองทางลับที่ท่านจ้าวกับมูติชาห์ได้ค้นพบและปกปิดเป็นความลับไว้มาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
แต่ก่อนที่พวกเราเริ่มจะมุดลอดกันเข้าไปในช่องแคบๆ ต่ำๆ นี้ เสียงเอ็ดอึงของกองทหารที่อยู่ด้านหลังพวกเราก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ดังนั้นมูติชาห์และสิงห์จึงรีบลุกกันขึ้นมาทันที และสิ่งประหลาดที่พวกเราได้เห็นกันอยู่ข้างหน้านี้ มันก็ถึงกับทำให้พวกเราทั้งหมดต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน
คุณพระ...! ก่อนหน้านี้พวกเรายังได้ลงมือหวดตีพวกฝูงค้างคาวปิศาจกันยังไม่ทันจะหายเมื่อยมือ แต่สิ่งประหลาดที่เราได้เห็นกันอยู่ข้างหน้านี้ เห็นทีว่าพวกเราจะหวดกันไม่ลงแน่ เพราะไอ้ที่อยู่ข้างหน้านี้แม้จะเป็นสัตว์ปีกเช่นกัน แต่มันกลับเป็นสัตว์ปีกที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวของค้างคาวปิศาจนั่นหลายเท่านัก และขณะนี้มันก็ได้ใช้ช่วงขาของมันที่มีลักษณะที่เป็นกรงเล็บขนาดใหญ่โฉบจับร่างของทหารของท่านจ้าวขึ้นไปอยู่กลางอากาศได้คนหนึ่งพอดี..!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ