สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
64.66K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
62) อมนุษย์เวตาล
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "ทุกๆคน ถอยหลังไปให้ด้านหลังอยู่ติดกับผนังถ้ำให้มากที่สุด !" ท่านจ้าวตะโกนบอกเสียงดังลั่น
แล้วผมก็รีบจับมือจันเพื่อดึงเขาให้ถอยหลังไปอยู่ชิดกับผนังถ้ำ
"ศัตรูชนิดนี้จะโจมตีเราได้ค่อนข้างลำบากหากเราอยู่ชิดผนังถ้ำเข้าไว้" มูติชาห์หันมาบอกผม "เพราะปีกอันเกะกะของมันของมันนั่นล่ะที่ทำให้มันมีข้อจำกัดในการโฉบโจมตีพวกเรา ท่านเห็นหรือเปล่าท่านกิตติ ?"
ผมพยักหน้าให้มูติชาห์ "ผมเห็นแล้ว มันโฉบลงมาจนชิดผนังถ้ำไม่ได้จริงๆนั่นล่ะ แต่ทหารคนนั้นล่ะ เราจะช่วยเขาออกมาจากกรงเล็บนั่นได้ยังไงกันล่ะ ?"
สิ้นคำผม อยู่ๆก็มีเสียงลูกธนูแหวกอากาศออกไป และชั่วพริบตานั้นเราก็ได้เห็นปีกของเจ้าอสูรกายที่มีรูปร่างพอๆกับพวกเราเกิดไฟลุกขึ้นมาอย่างทันทีทันใดขณะที่ยังคงบินอยู่ในอากาศ !
แล้วเสียงร้องกี๊ชๆๆของมันก็ดังลั่นขึ้นมาจนแสบแก้วหู ขณะที่ตัวของมันก็ยังคงบินลอยไปลอยมาอยู่ในถ้ำอย่างตื่นตระหนกกับเปลวไฟที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
และแล้วเจ้าอสูรกายมีปีกก็จำต้องคลายกรงเล็บที่เท้าของมันเพื่อปล่อยทหารคนนั้นใหัตกลงข้างล่าง และยังดีที่พวกทหารของท่านจ้าวต่างก็เข้าไปรับร่างนั้นไว้ได้ทัน ส่วนเจ้าอสูรกายเองนั้นก็รีบบินหนีห่างจากพวกเราไปอย่างสเปะสปะพร้อมกับเปลวไฟที่ยังคงลุกไหม้อยู่บนปีกของมัน
เมื่อพวกเราได้เห็นมันบินหายไปกับความมืดแล้ว ผมก็รีบหันไปหาพี่เมฆทันที
"เมื่อกี้นี้ เป็นฝีมือของพี่เมฆเองงั้นสิ ?"
แล้วพี่เมฆก็ยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองอย่างเขินๆอีกครั้ง
"น้องกิตติเอ๊ย... นั่นมันก็แค่ลูกเล่นของหนึ่งในวิชามายากลของพี่เท่านั้นเองล่ะ ฮ่าๆ"
อืม... ดูเหมือนว่าพี่เมฆจะไม่ยอมรับว่าวิชามายากลที่เขาใช้ที่แท้มันก็คือวิชาเวทมนต์ของเขานี่เอง บางทีแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่า เขาไม่อยากจะได้หน้าหรือให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการหักหน้าพวกของท่านจ้าวที่มัวตกตะลึงกันจนเเทบทำอะไรไม่ถูกกระมัง ?
"ไหวพริบของท่านดีมากท่านเมฆา" ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์กล่าวชมพี่เมฆอีกครั้ง "หากท่านไม่ใช่เวทมนต์ของท่านทำให้เกิดเปลวไฟที่ปลายลูกธนูก่อนที่จะยิงออกไปที่ปีกของมัน ป่านนี้พวกเราเองก็คงจะยังชุลมุนกับการรับมือกับมันอยู่ก็ได้นะ อา... ไฟเวทมนต์ของท่านมีปฏิกิริยารุนแรงกับปีกของมันไม่น้อยเลยทีเดียว"
"ขอบคุณสำหรับคำชมครับท่านจ้าว..." พี่เมฆค้อมหัวลงอย่างเขินๆ " แต่ก็อย่างที่ผมบอกล่ะครับ นี่มันก็แค่มายากลเล็กๆน้อยเท่านั้นเองครับ"
แล้วพี่เมฆก็เหลียวไปมองเงาร่างของเจ้าอสูรกายที่บัดนี้ได้บินหายไปกับความมืดแล้ว "เอ่อ... ตกลงไอ้ตัวเมื่อกี้นี้มันเป็นอมนุษย์ประเภทไหนกันแน่ครับ ผมเห็นมันมีทั้งปีกแบบค้างคาว และมีอุ้งเท้าที่เหมือนค้างคาวทั้งสองข้าง แต่ลำตัวของมันกลับเหมือนมนุษย์ ดูๆไปมันก็ดูคล้ายกับ 'เวตาล' อมนุษย์ในนิทานอินเดียของโลกผมเลยนะครับ ?"
แล้วมูติชาห์กับท่านจ้าวก็หันมามองหน้ากันทันทีพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นกันทั้งสองคน
"เอ... แปลกจริง ?" ท่านจ้าวกล่าวกับพี่เมฆ "เจ้าตัวนี้ที่จริงพวกเราก็เรียกว่า'พวกเวตาล'เหมือนกัน แต่ให้เรียกเต็มๆก็ต้องเรียกว่า'เวตาลแดง' หรือ'เวตาลโลหิต' ตามลักษณะสีผิวของมันที่มีสีแดงเข้ม และนอกจากนี้ก็ยังมี'เวตาลทอง' หรือ 'เวตาลปีกทอง' ที่เป็นอีกเผ่าพันธ์ุหนึ่งที่อาศัยอยู่ในโลกแห่งนี้ด้วยเช่นกัน แต่เวตาลทองนั้นเป็นพวกที่อารยธรรมชั้นสูงกว่าพวกเวตาลแดงนี้เยอะ และก็จะมีแต่พวกเวตาลแดงนี่ล่ะ ที่ยอมสวาภักดิ์ทำงานชั่วให้กับพวกศัตรูของพวกเราน่ะท่านเมฆา"
"ข้าขอเสริมอีกนิด..." มูติชาห์กล่าวขึ้นมาบ้าง "อันพวกเวตาลแดงนี้แท้ที่จริงพวกมันจะเหมือนกับสัตว์ชนิดหนึ่งที่ไม่ได้มีความคิดอ่านหรือสติปัญญาสักเท่าไรยกเว้นก็แต่หัวหน้าใหญ่หรือผู้นำของพวกมัน ส่วนพวกเวตาลทองแต่ละตนนั้นกลับเป็นพวกที่มีสติปัญญาเหมือนอย่างเราๆท่านๆนี้ เพียงแต่ว่า ในบรรดาพวกเวตาลทองนั้นก็มีทั้งเวตาลดีและไม่ดีผสมกันอยู่เหมือนคนอย่างเราๆนี่ล่ะ"
อา... ที่แท้ในโลกประหลาดแห่งนี้ ก็มีสัตว์หรืออมนุษย์ที่เรียกว่า'เวตาล'อยู่ด้วยเหมือนกัน จะแตกต่างกันก็เพียงแต่ว่า เวตาลของที่นี่แตกต่างจากเวตาลในนิทานหรือในวรรณคดีของโลกเรา เพราะเวตาลในวรรณคดีเรื่อง'นิทานเวตาล'นั้น กลับเป็นอมนุษย์ที่ทรงภูมิปัญญาเป็นอย่างมาก
ขณะที่พี่เมฆกำลังขยับจะถามอะไรกับท่านจ้าวอีก อยู่ๆก็มีเสียงร้องกีชๆดังมาจากทางที่เราเข้ามาก่อนหน้านี้กันอย่างเซ็งแซ่ แล้วจันที่ยืนอยู่ใกล้ๆผมก็จับต้นแขนผมอย่างหวาดๆขึ้นมาอีกครั้ง
"บรื๊อออ... พี่กิตนี่ใช่เสียงพวกมันไหม ฟังแล้วเหมือนมันจะมีอยู่อีกหลายตัวเลยนะ...?" จันถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
"ใช่ล่ะ นี่เป็นเสียงของไอ้พวกเวตาลแดงที่มีอยู่อีกหลายตัว" มูติชาห์เป็นผู้ตอบออกมา "ไอ้ตัวที่เราได้เจอกันเมื่อกี้ มันเป็นประเภทหน่วยซุ่มสังเกตุการณ์หรือหน่วยลาดตระเวณซะมากกว่า และหากไอ้พวกที่อยู่ทางโน้นแห่กันมาอีกหลายตัวในตอนนี้ก็เกรงว่าพวกเราจะรับมือกับพวกมันในนี้ได้อย่างยากลำบาก ดังนั้นตอนนี้เราก็ควรที่จะเข้าไปสู่เส้นทางลับกันได้แล้วล่ะพวกท่าน"
ท่านจ้าวเองก็กล่าวขึ้นว่า "ถูกของมูติชาห์แล้ว ตอนนี้เราจะต้องรีบเดินทางกันอย่างเร่งรีบได้แล้วล่ะ ระยะทางในเส้นทางลับก่อนจะถึงใต้ล่างของห้องใต้ดินก็ไม่ได้ยาวไกลเท่าไรนัก ถ้าหากว่าพวกเราไม่ชักช้าหรือติดขัดอุปสรรคอะไรกันอีก เราก็น่าจะเดินทางไปถึงที่นั่นได้ในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง"
"แต่ท่านจ้าวครับ...?" ผมเกิดสงสัยอะไรขึ้นมานิดหน่อย "แล้วพวกศัตรูหรือไอ้พวกเวตาลแดงนี่ล่ะครับ มันจะไม่คอยติดตามเราเข้าไปจนตลอดเส้นทางหรือครับ และถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าพวกศัตรูที่ได้ติดตามมาก็ได้รู้จักเส้นทางลับนี้กันหมดสิครับ ?"
ท่านจ้าวยิ้มออกมา "อย่าได้ห่วงท่านกิตติ เส้นทางลับที่ข้าได้เตรียมไว้กับมูติชาห์นี้ข้าเองก็หวังให้มันมีประโยชน์แค่ในวันนี้เท่านั้น และต่อไปมันก็จะไม่เป็นความลับหรือมีความสำคัญอีกต่อไปแล้วล่ะ งานนี้เราเตรียมไว้เพื่อใช่กันครั้งเดียวจริงๆ"
เมื่อหมดคำถามกันแล้ว พวกเราก็เริ่มเดินทางเข้าสู่เส้นทางลับกันทันที โดยที่พวกเราก็ไม่ได้ปิดช่องทางเข้าที่เป็นช่องสี่เหลี่ยมคางหมูนั้นแต่อย่างใด
แต่ทว่า กว่าที่พวกเราจะบรรลุกันถึงทางออกที่อยู่ภายใต้ห้องใต้ดินในหมู่บ้าน พวกเราก็ยังถูกโจมตีจากพวกศัตรูด้วยวิธีที่เหนือเมฆกันอีกครั้ง และในครั้งนี้พวกเราก็แทบจะเอาชีวิตกันไม่รอดจริงๆ และถ้าไม่ใช่เพราะมีสิงห์กับมูติชาห์อยู่กับพวกเรา งานนี้พวกเราทั้งหมดก็คงจะได้กลายเป็นผีเฝ้าเส้นทางลับนี้ไปชั่วกาลนานกันแน่ๆ...?!
(โปรดติดตามต่อในบทที่ 63)
*ขณะนี้ผมได้เขียนเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่ิอง 'เมลิญาอาถรรพ์' (แนว ลึกลับ ระทึกขวัญ แฟนตาซี ) ใครที่สนใจก็สามารถจิ้มเข้าไปที่ชื่อ จินตนากร ด้านบน เพื่อดูหรือลองอ่านได้เลยครับ ยังไงก็ขอฝากเรื่องใหม่นี้ด้วยนะครับ ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ