สืบสู้ผี ภาค 1-2

8.7

เขียนโดย Jintanakorn

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.

  73 ตอน
  3 วิจารณ์
  64.71K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

58) อันตรายศิลาฤดูกาล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ก่อนที่ผมกับจันจะตกอกตกใจอะไรไปมากกว่านั้น เราทั้งสองก็อุทานออกมาแทบจะพร้อมกันทันที

"พี่เมฆ...! "

หนึ่งในคนทั้งสามที่มายืนค้ำหัวเราสองคนนี้กลับเป็นพี่เมฆจริงๆ

"อย่ามัวตะลึงกันอยู่สิ... รีบอ้อมเข้าไปซ่อนข้างหลังเร็วๆ เข้า! " พี่เมฆที่ยืนอยู่ตรงกลางเหนือโขดหินใหญ่สั่งออกมาเสียงดังฟังชัด จนผมต้องรีบหันไปดึงมือจันที่ยังยืนตะลึงค้างอยู่เพื่อพาวิ่งอ้อมเข้าไปที่หลังโขดหินนั้นทันที

แล้วผมก็ได้เห็นท่านจ้าวแห่งมิตทราห์กำลังยืนอยู่ในวงอารักขาของทหารแห่งมิตทราห์ที่ยังมีเหลืออยู่ประมาณยี่สิบคนณ.ที่หลังโขดหินนั้น และเมื่อท่านจ้าวได้เห็นผมกับจันแล้ว ท่านจ้าวก็รีบแหวกวงล้อมออกมาที่ผมทันที

"อา... ท่านทั้งสองยังปลอดภัยกันดี ข้าดีใจกับพวกท่านจริงๆ ...! "

ท่านจ้าวพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น และใบหน้าของท่านจ้าวก็ดูจะไม่ได้อยู่ในความเคร่งเครียดนัก นับว่าท่านจ้าวเป็นผู้ที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีโดยที่ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกกับสถานการณ์แห่งความระทึกในขณะนี้

และก่อนที่ผมจะพูดตอบกับท่านจ้าว เสียงของพี่เมฆก็ดังมาจากบนโขดหิน

"รีบเข้าไปหลบที่ในถ้ำกับท่านจ้าวก่อน ตอนนี้สิงห์กับมูติชาห์กำลังวิ่งมาทางนี้แล้ว พี่กับทหารฝีมือดีสองคนนี่จะคอยยิงธนูช่วยสกัดพวกทหารทรยศที่กำลังวิ่งตามเขาสองคนเอง! "

แล้วผมก็ได้สังเกตเห็นว่า ที่บนไหล่ของพี่เมฆนั้นก็ได้สะพายกระบอกหรือแล่งธนูไว้ โดยที่ในมือของเขาก็ยังมีคันธนูที่กำลังเริ่มใช้ยิงไปทางด้านหน้าอย่างแคล่วคล่องราวกับว่าเขาได้เคยเป็นนักกีฬายิงธนูชั้นโปรหรือเคยเป็นหนึ่งในมือยิงธนูชั้นดีของท่านจ้าวมาก่อน ในขณะที่ทหารมือยิงธนูของท่านจ้าวที่ได้ยืนอยู่บนโขดหินทางด้านซ้ายและขวาของพี่เมฆ ต่างก็ช่วยกันระดมยิงไปทางด้านหน้ากันอย่างถี่ยิบเช่นกัน

"ไปกันเถอะท่านทั้งสอง ใกล้ๆ นี้มีถ้ำอยู่ เราไปรอคอยพวกเขาอยู่ที่หน้าถ้ำนั่นดีกว่า สำหรับมูติชาห์กับสิงห์ ข้ามั่นใจอย่างที่สุดว่าพวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างแน่นอน และอีกสักเดี๋ยวก็คงจะตามเราเข้าไปที่ถ้ำเอง"

ไม่รู้ว่าทำไมท่านจ้าวถึงได้มั่นใจในตัวของมูติชาห์หรือสิงห์นัก ทั้งๆ ที่ผมเองกลับมั่นใจในตัวของพี่เมฆซะมากกว่าว่าเขาน่าจะเป็นคนที่เอาตัวเองรอดไปได้ในทุกสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน แต่ก็นั่นล่ะ ท่านจ้าวเองนั้นก็ย่อมรู้ในศักยภาพของมูติชาห์และสิงห์เกินกว่าที่ผมจะรู้ด้วยเช่นกัน

แล้วทหารของท่านจ้าวสี่คนก็ได้เดินนำท่านจ้าวและเราสองคนอ้อมเนินหินที่อยู่ข้างหน้านั้นไปทันทีโดยที่ทหารของท่านจ้าวที่เหลืออยู่อีกสิบกว่าคนนั้นก็ได้คอยสนับสนุนพี่เมฆอยู่ที่ด้านหลังโขดหินอย่างเต็มที่

และเมื่อเรามาถึงจุดที่เป็นบริเวณหน้าปากถ้ำกันแล้ว ผมก็ได้พบกับแท่นหินกลมแท่นหนึ่งสูงประมาณราวเมตรครึ่งจากพื้นดินและที่ตรงปลายยอดก็ยังมีหินกลมๆ ที่มีขนาดพอๆ กับลูกฟุตบอลตั้งอยู่ลูกหนึ่ง

"ท่านอาคันตุกะทั้งสอง สิ่งนี้ก็คือหนึ่งใน'ศิลาฤดูกาล'ที่ข้าได้เคยเล่าให้พวกท่านได้ฟังก่อนหน้านี้ยังไงล่ะ..." ท่านจ้าวหันมาบอกผมกับจันอย่างยิ้มๆ

"ห๋า... สิ่งนี้เองหรือครับ ที่เรียกว่าศิลาฤดูกาล ดูๆ ไปก็เหมือนกับหินธรรมดาทั่วๆ ไปนะครับท่านจ้าว? "

ผมกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เห็นข้างหน้านี้ ก็อย่างว่า มันช่างดูเหมือนกับหินธรรมดาๆ ที่ราวกับว่าได้ถูกแกะสลักให้เป็นลูกกลมๆ แค่นั้นเองซะมากกว่า ดังนั้นผมก็เลยจะลองเอื้อมมือไปสัมผัสผิวของมันดู

"อย่า...! อย่าได้แตะต้องมันนะท่านอาคันตุกะ...! " ท่านจ้าวถึงกับร้องห้ามเสียงดังขึ้นมาทันที และผมเองก็ต้องรีบหดมือกลับมาอย่างทันทีเช่นกัน

และขณะที่ผมหดมือกลับมานั้น ผมก็ได้ค่อยๆ เห็นว่าที่ใจกลางของลูกหินที่เรียกว่าศิลาฤดูกาลนี้ก็ได้มีประกายไฟราวกับสายฟ้าเต้นระยิบระยับอยู่ที่ภายใน แล้วท่านจ้าวก็ปล่อยลมฟู่ออกจากปากราวกับโล่งอกที่ผมยังไม่ทันได้แตะลูกหินกลมนี้

"แตะ... แตะไม่ได้หรือครับท่านจ้าว? " ผมหันไปถามท่านจ้าวอย่างเขินๆ และรู้สึกผิดที่ตัวเองเกือบจะมือไวไปหน่อย

"คืออย่างงี้นะท่านอาคันตุกะ" ท่านจ้าวเริ่มอธิบาย "ศิลาฤดูกาลที่ดูราวกับเป็นแค่หินธรรมดานี่ แท้ที่จริงกลับมีธาตุลึกลับซ่อนอยู่ภายใน คุณสมบัติของธาตุนี้สามารถที่จะสร้างหมอกและพายุต่างๆ รวมทั้งความร้อนเย็นของทุกฤดูกาลได้ในบริเวณตรงจุดที่ศิลาได้ตั้งอยู่ และในจุดที่เป็นหมู่บ้านของชาวมิตทราห์นี้ก็ได้มีศิลาฤดูกาลตั้งอยู่ล้อมรอบถึงสี่ลูกเพื่อช่วยกันสร้างฤดูกาลต่างๆ ไว้คุ้มครองหมู่บ้านอย่างที่ขณะนี้เราได้ใช้สร้างพวกหมอกหนาๆ เพื่อบดบังพวกศัตรูไม่ให้เห็นตำแหน่งที่จะเป็นทางเข้าหมู่บ้านของพวกเราที่อยู่โดยรอบได้ และขณะที่ศิลาฤดูกาลทั้งสี่ลูกนี้ได้ทำหน้าที่ของมันอยู่ตามการร่ายเวทของท่านมหาดาบสไว้ หากว่ามีใครผู้ใดได้มาสัมผัสกับมันแม้ว่าแค่จะเป็นลูกใดลูกหนึ่งก็จะต้องโดนกระแสไฟที่ราวกับสายอัศนีแห่งฟ้าได้แผดเผาจนเป็นจุลไปแค่ในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว...! "

พอจบคำอธิบายของท่านจ้าวแล้ว ผมเองก็ถึงกับแทบจะช็อคไปทันที นี่ดีนะ ที่ท่านจ้าวได้ร้องเตือนผมได้ทัน ไม่อย่างงั้นผมก็คงได้ดำเป็นตอตะโกไปแล้ว และจันเองหลังจากที่ได้ฟังท่านจ้าวอธิบายจบแล้ว เขาก็ถึงกับหน้าซีด อ้าปากค้างไปเลยทีเดียว

"หูย... เกือบไปแล้วนะครับตัวผมนี่..." ผมหันไปมองท่านจ้าวอย่างตื่นๆ "ถ้าท่านบอกผมช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ผมก็คง..."

แล้วผมก็อดจะสยิวกายอย่างหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ได้ "มัน... มันไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่ามันจะมีของอันสุดพิศดารอย่างนี้อยู่ในโลกอันประหลาดแห่งนี้ได้? "

"ฮ่าๆ ท่านอาคันตุกะ ที่จริงยังมีของที่พิศดารกว่านี้อีกหลายชิ้นในมิติดินแดนต่างๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักต้องใช้ควบคู่ไปกับเวทมนต์ด้วยเช่นกันน่ะ" ท่านจ้าวอธิบายเพิ่มเติม

แต่แล้วในห้วงเวลานี้ ผมก็ได้ประหวัดนึกถึงไอริณขึ้นมาอย่างทันที

"ท่านจ้าวครับ ผู้หญิงคนที่เธอมาพร้อมกับพวกผมน่ะ ตอนนี้เธอจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้นะครับ? "

"โอ ใช่ล่ะ..." ท่านจ้าวตาโตอย่างนึกขึ้นได้ "สตรีนางนั้น ตอนนั้นได้วิ่งวนไปวนมาอยู่ตรงลานกว้างที่อยู่ระหว่างเนินหินที่พวกศัตรูซุ่มโจมตีอยู่กับโขดหินต่างๆ ที่อยู่แถวปลายของสะพานล่องหน แถมยังได้ตะโกนบอกให้พวกท่านระวังตัว อา... นางช่างกล้าหาญซะเหลือเกิน เพราะขณะที่เราถูกลอบโจมตีอย่างที่แทบจะไม่ทันตั้งตัวจากพวกที่ทรยศนั้น ลูกธนูนับสิบๆ ก็ได้พุ่งเฉียดร่างของเธอไปมาอย่างน่าหวาดเสียว โอ... และหลังจากนั้น เธอก็วิ่งหนีพวกพลธนูของฝ่ายตรงข้ามไปอีกทางหนึ่งที่เป็นชายป่าทางด้านโน้น เพราะตอนนั้นน่ะ ได้เหลือนางอยู่แค่คนเดียวตรงจุดนั้น ขณะที่มูติชาห์และสิงห์ก็ไปหลบอยู่ที่โขดใหญ่อีกลูกที่อยู่ใกล้ๆ สะพาน ส่วนข้ากับพวกทหารรวมทั้งเพื่อนชายของท่านคนนั้นก็ได้วิ่งหลบลูกธนูมาทางด้านนี้แล้ว และนางก็คงจะไม่กล้าวิ่งมาทางด้านนี้แบบเดี่ยวๆ เพราะคงคาดได้ว่าอาจจะพลาดโดนลูกธนูจากฝั่งตรงข้ามที่ยิงมาอย่างถี่ยิบในขณะนั้น..."

ผมพยักหน้าให้ท่านจ้าว "มูติชาห์ได้บอกให้ผมได้ทราบถึงเรื่องนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ท่านจ้าวครับ ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะหลบหนีไปถึงตรงไหนแล้ว และตอนนี้ผมเองน่ะก็รู้สึกเป็นห่วงเธอซะเหลือเกิน แล้วตอนแรกที่เจอกับมูติชาห์ผมก็เกือบจะออกไปตามเธอด้วยตัวเอง ถ้าเขาไม่ได้ห้ามผมไว้ซะก่อนน่ะครับ..."

"อืม... แม่หนูนางนั้น ดูจะเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบดีอยู่มาก ข้าคิดว่านางน่าจะเอาตัวเองให้รอดพ้นไปจากอันตรายได้อยู่นะ..."

แม้แต่ท่านจ้าวเองก็ได้เล็งเห็นถึงคุณสมบัติพิเศษของไอริณ

"อีกอย่างหนึ่งนะ ในดินแดนที่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านของชาวมิตทราห์ในที่นี้ก็ไม่ได้ใหญ่โตกว้างใหญ่จนเกินไปนัก หากว่าพวกเราได้กลับไปที่ใจกลางหมู่บ้านของพวกเราได้แล้ว ข้าเองก็มีวิธีที่จะค้นหานางให้พบเจอจนได้อย่างแน่นอนทีเดียว เพราะฉนั้นท่านเองก็อย่าได้กังวลถึงเรื่องนี้จนเกินไปจะดีกว่านะ..."

"มีวิธีที่จะหาเธอให้เจอได้หรือครับท่านจ้าว? " ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที "และ... ที่ว่า'หากว่ากลับไปที่ใจกลางหมู่บ้านได้แล้ว' นี่มันหมายถึงว่าท่านมีวิธีที่จะกลับไปที่นั่นแล้วงั้นหรือครับ... ก็ตอนนี้ท่านเองก็ได้ถูกคนของท่านที่อยู่ที่หมู่บ้านหักหลังอยู่ไม่ใช่เหรอครับ? "

"ท่านฟังไม่ผิดหรอกท่านอาคันตุกะ" ท่านจ้าวเน้นเสียง " เมื่อกลับไปที่หมู่บ้านได้แล้ว ข้าก็ย่อมมีวิธีที่จะค้นหานางให้พบเจอได้อย่างเร็วไวแน่ๆ ..." คำกล่าวนี้หนักแน่นชัดเจน

"และหนทางหรือวิธีที่ข้าจะสามารถกลับเข้าไปยังหมู่บ้านได้ ก็อยู่ที่ภายในถ้ำข้างหน้านี้ยังไงล่ะ..." ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็ผายมือไปที่หน้าปากถ้ำ

ทว่าผมเองก็รีบหันไปมองท่านจ้าวอย่างตื่นตะลึง

"ท่านจ้าวครับ หมาย... หมายความว่า ภายในถ้ำนี้จะมีทางลัด หรือทางลับให้ไปโผล่ที่ใจกลางของหมู่บ้านได้อย่างงั้นเหรอครับ...?! "

 

 

(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา