สืบสู้ผี ภาค 1-2

8.7

เขียนโดย Jintanakorn

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.

  73 ตอน
  3 วิจารณ์
  64.70K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

59) สลายจิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

"ถูกต้องแล้วล่ะ ท่านกิตติ..." น้ำเสียงแปลกๆ ที่ยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ดังอ้อมมาจากหลังเนินหินก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวตามมา ซึ่งก็คือมูติชาห์บุตรแห่งท่านจ้าวแห่งมิตทราห์นั่นเอง

และผู้ที่ได้ปรากฏตัวตามเขามาติดๆ ก็คือสิงห์ที่ยังคงอยู่ในร่างของหญิงงามที่ชื่อนุช

ขณะที่ก็ยังมีพี่เมฆของเราก้าวตามมาที่เบื้องหลังของสิงห์อีกคน

"อา... ในที่สุดพวกเจ้าก็ปลอดภัยกันทุกคน" ท่านจ้าวแห่งมิตทราห์กล่าวขึ้นพร้อมกับเดินไปจับมือของพี่เมฆ

"ไม่นึกเลยว่าท่านผู้นี้ก็กลับมีฝีมือในการใช้ธนูได้อย่างไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน? " ท่านจ้าวกล่าวชมพี่เมฆจนเขาเองก็ต้องเกาหลังหัวตัวเองอย่างเขินๆ

"ท่านจ้าวยกย่องกระผมเกินไปนิดนะครับ เพราะที่จริงฝีมือของกระผม ก็ถือได้ว่ายังห่างไกลกับบุตรของท่านหรือสิงห์อยู่ค่อนข้างเยอะนะครับ..." คำพูดของพี่เมฆกลับถ่อมตัวอยู่ไม่น้อย

"แต่การที่พวกทหารทรยศนั่นได้ถอยร่นกลับไปอย่างไม่เป็นท่าก็เป็นเพราะท่านผู้นี้เองนะพ่อจ้าว..." มูติชาห์กลับกล่าวยกย่องพี่เมฆขึ้นมา ทั้งที่ตอนแรกๆ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบขี้หน้าพี่เมฆสักเท่าไร

"เกิดอะไรขึ้นรึ... ทำไมทหารทรยศนั่นถึงได้ถอยร่นแทนที่จะรุกคืบเข้ามาอีกกันล่ะ? " สีหน้าของท่านจ้าวดูจะแปลกใจอยู่ไม่น้อย

แล้วมูติชาห์ก็ได้เล่าเหตุการณ์

"ที่ข้าได้เห็นอย่างชัดเจนหลังจากที่ข้ากับสิงห์ได้วิ่งหลบลูกธนูของพวกมันกันอย่างซิกแซกก่อนที่จะพุ่งเข้ามาถึงยังโขดหินใหญ่ทางด้านนี้แล้วก็คือ ดอกธนูทางฝั่งนี้ที่เพิ่งได้พุ่งไปตกยังกลางวงของพวกมันนั้นกลับมีสิ่งที่แตกกระจายออกมาเป็นฝูงผึ้งนับพัน จนทำให้พวกมันที่กำลังวิ่งตามข้ากับสิงห์มา ถึงกับแตกฮือกันไปเพราะได้ถูกฝูงผึ้งเข้าโจมตีอย่างไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว"

น้ำเสียงและเรื่องราวที่มูติชาห์ได้เล่ามานี้กลับแฝงไปด้วยความชื่นชมอย่างไร้อคติอีกต่อไป

"โอ... นี่ท่านเมฆา คงจะได้ใช้เวทมนต์หรือมายากลใดในการทำให้เกิดฝูงผึ้งเหล่านั้นขึ้นมาอย่างนั้นสิ...? " ดวงตาที่เป็นประกายของท่านจ้าวมองพี่เมฆอย่างชื่นชม "มันช่างวิเศษเหลือเกินสำหรับสถานการณ์อันล่อแหลมของพวกเราในขณะนี้ ฮ่าๆ ข้าต้องขอขอบคุณท่านมากจริงๆ ท่านเมฆา..." ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็กุมมือของพี่เมฆไว้ทั้งสองข้างอย่างซาบซึ้ง

"ท่านจ้าวยกย่องกระผมเกินไปอีกแล้ว เวทมนต์เล็กๆ นั่นบางทีอาจจะใช้กับพวกมันได้ผลเพียงแค่ครั้งเดียวก็เป็นได้นะครับ" แล้วพี่เมฆก็ถามท่านจ้าวขึ้นมาว่า "เอ่อ... ตอนนี้เราก็คงจะมีเวลาได้หายใจหายคอกันได้บ้างแล้วใช่ไม๊ครับ คราวนี้ผมอยากจะขอถามท่านจ้าวสักหน่อยว่า ท่านจ้าวพอที่จะรู้ไม๊ครับ ว่าอยู่ๆ ทำไมพวกทหารของท่านจ้าวเหล่านั้นถึงได้หักหลังท่านจ้าวได้ล่ะครับ? "

อา... ใช่ล่ะ นี่เป็นสิ่งที่ผมสงสัยอยู่พอดีเช่นกัน เพราะจะว่าไปแล้ว เหล่าทหารของท่านจ้าวเองนั้นที่จริงก็มีสายเลือดของชาวมิตทราห์ทุกคน และขณะนี้จำนวนของชาวมิตทราห์ก็ถือได้ว่ามีจำนวนที่ลดน้อยลงไปกว่าแต่ก่อนมากดังเรื่องเล่าที่ท่านจ้าวได้เคยเล่าให้พวกเราฟังมาก่อนหน้านี้ และชาวมิตทราห์ทั้งหมดนั้นก็ดูเหมือนจะมีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูอณาจักรของตนเองขึ้นมาใหม่กันอย่างแน่วแน่ แต่การที่ต้องมาทรยศและหักหลังกันเองเช่นนี้ จะไม่เป็นการทำลายเป้าหมายของเผ่าพันธุ์ตัวเองกันหรอกรึ?

และคำถามของพี่เมฆนี้ก็เล่นเอาท่านจ้าวและมูติชาห์ถึงกับมีสีหน้าที่ตึงๆ ขึ้นมาทันที แต่จากนั้นท่านจ้าวก็ถอนใจออกมาครั้งหนึ่ง

"เฮ้อ... จะว่าไปเรื่องนี้ข้าก็เคยได้คาดคิดไว้อยู่เหมือนกันว่าจะเกิดขึ้นได้ และที่จริงข้าก็ประมาทไปหน่อย แม้ว่าจะได้เคยคาดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงเพียงนี้..."

"นางเลวมาก..." มูติชาห์โพล่งขึ้นมา "ถ้าข้ากลับไปถึงได้เมื่อไร ข้าก็จะลงมือจัดการกับนางทันที! "

ถ้าไม่นับท่านจ้าวแล้ว ทุกๆ คนในที่นี้ต่างก็หันหน้าไปมองมูติชาห์กันทั้งหมด และตัวผมเองก็อดจะสงสัยไม่ได้ว่า ผู้ที่มูติชาห์กล่าวถึงนี้ เป็นใครกันแน่?

"มูติชาห์..." ท่านจ้าวเรียกชื่อเขา "อย่าให้โทสะโน้มนำเจ้า เพราะหลังจากนี้ไปถ้าเราไม่วางแผนกันให้ดีแล้วล่ะก็ โอกาสที่เราจะพลิกสถานการณ์กันให้ได้อีกครั้งก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้"

ท่านจ้าวหยุดไปเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ " แต่ณ.เวลานี้อย่างน้อยๆ เราก็ยังเห็นโอกาสของเราอยู่ที่ข้างหน้าของปลายถ้ำแห่งนี้กันนะ และเส้นทางลับภายในถ้ำก็มีแต่เจ้ากับข้าเท่านั้นที่รู้จัก..."

แล้วมูติชาห์ก็สงบสติอารมณ์ลง "พ่อจ้าว ท่านเองก็เคยคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า นัง'อัณยาวีร์'นั่นอาจจะทรยศหักหลังเราได้ เพราะท่านเองนั้นก็ได้เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ท่านลุงของข้าต้องมาตายไปในคราวนั้น แต่ท่านเองก็คงจะไม่คาดว่านางจะลงมือด้วยวิธีการที่คาดไม่ถึงแบบนี้ใช่ไหม? "

ท่านจ้าวพยักหน้าเนิบๆ "ใช่ ใช่แล้วล่ะ... ข้าเองก็ไม่คิดเลยว่า นางจะสามารถหาวิธีที่จะสลายจิตของเหล่าพี่น้องของเราที่เป็นพลทหารเหล่านั้นจนได้เช่นนี้...? "

สลายจิตพลทหารรึ... นี่มันเรื่องอะไรกัน?

แม้จะดูเหมือนว่า ท่านจ้าวกับมูติชาห์จะคุยโต้ตอบกันสองคน แต่หลายๆ คำนั้นก็ดูเหมือนจะคลี่คลายปริศนาบางอย่างออกมา และหลายๆ คำก็ดูเหมือนจะเปิดปมปริศนาเพิ่มขึ้นมาอีก

แล้วท่านจ้าวก็กวาดตามองหน้าพวกเราที่เหลือ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นผม จัน และแม้แต่พี่เมฆ แต่ล่ะคนต่างก็ทำหน้างงๆ กับคำสนธนาของสองพ่อลูกที่พวกเราไม่ได้มีข้อมูลกันมาก่อนหน้านี้

"ต้องขอโทษ ที่เราสองคนได้คุยกันในเรื่องที่พวกท่านอาจจะไม่เข้าใจในตอนนี้ ก็อย่างที่เห็น ว่ามูติชาห์กับข้าก็เพิ่งจะเจอหน้ากันหลังจากที่ถูกซุ่มโจมตีกันเมื่อสักครู่นี้ และหลังจากการโจมตีนั้น ก็ได้ทำให้ข้ากับมูติชาห์ได้เล็งเห็นถึงความจริงของเหตุการณ์ได้อย่างเข้าใจมากขึ้น "

ท่านจ้าวยิ้มขึ้นอย่างบางเบาก่อนที่จะเล่าต่อไป "ข้าเองคิดว่า พวกท่านเองก็คงจะอดสงสัยอยู่ไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมพวกข้าถึงกล้ายิงธนูโต้ตอบกับเหล่าพลหารที่ได้ทรยศต่อเราอย่างไม่ลังเล ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว พวกเราชาวมิตทราห์โดยปกติจะไม่ทำร้ายหรือเข่นฆ่ากันเองโดยเด็ดขาด ยิ่งตัวข้าเองนั้นก็ไม่เคยคิดที่จะทำให้ประชาชนของข้านั้นต้องมีจำนวนลดน้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่..."

สีหน้าของท่านจ้าวดูจะเศร้าสลดลงเล็กน้อย "แต่ถ้าหากว่าพวกท่านได้ดูสีหน้าหรือสีตาของพวกทหารที่ทรยศเหล่านั้นดูดีๆ แล้ว ท่านก็จะเข้าใจว่า เหล่าพลทหารที่ทรยศเหล่านั้นต่างก็ได้ถูกสลายจิตกันไปแล้วทุกคน และนั่นก็หมายความว่าตัวตนข้างในของพวกเขานั้น ไม่ใช่พี่น้องของเราอีกต่อไป แต่จิตภายในนั้นกลับถูกเปลี่ยนเป็นจิตของอสูรหรือผีร้ายที่ได้ถูกชักใยโดยมีผู้บงการ เพียงแต่ว่า ร่างกายภายนอกของพวกเขานั้นมิได้แปรเปลี่ยนไปในลักษณะที่เหมือนกับพวกทหารที่ได้ติดเชื้ออสูรดำเท่านั้นเอง..."

หา...? ที่แท้ ก็เป็นอย่างนี้เองรึ มิน่าล่ะ ว่าทำไมมูติชาห์ถึงไม่ได้ลังเลในการที่จะยิงธนูสังหารพวกทหารเหล่านั้นแม้แต่น้อย...

"ที่จริง ผมเองก็ได้สังเกตุเห็นอยู่แล้วเช่นกัน " พี่เมฆพูดขึ้น "ผมได้เห็นถึงดวงตาสีดำแทนที่จะเป็นสีฟ้าตรงส่วนในตาขาว ก็รู้แล้วว่าพวกเขาไม่ได้เป็นชาวมิตทราห์อีกต่อไป..."

ท่านจ้าวพยักหน้าเนิบๆ "ท่านเมฆา นับว่ายังมีดวงตาที่คมกริบจริงๆ เอาล่ะ คราวนี้ข้าก็จะขอตอบคำถามก่อนหน้านี้ของท่านเมฆาล่ะกัน ว่าที่จริงข้านั้นก็พอรู้อยู่คร่าวๆ หรือจะว่าเป็นคาดการน่าจะดีกว่า ว่าข้ากำลังจะถูกทรยศจากคนคนหนึ่งที่เป็นญาติที่ใกล้ชิดกับข้าเอง และก็อย่างที่มูติชาห์ได้เอ่ยชื่อมาเมื่อกี้นี้ว่า 'อัณยาวีร์' นั่นล่ะ..."

แล้วผมก็โพล่งถามขึ้นมา "ขอโทษนะครับ 'อัณยาวีร์' นี่เป็นญาติทางไหนของท่านจ้าวเหรอครับ? "

มูติชาห์กลับเป็นผู้หันมาตอบผม "เป็นมเหสีของท่านลุง ที่เป็นน้องชายของท่านพ่อข้านั่นเอง...! "

อา... ที่แท้ก็เป็นญาติที่ชิดใกล้กันแบบนี้น่ะเอง ผมกับพี่เมฆถึงกับมองสบตากันอย่างอึ้งๆ

"ท่านกิตติ" ท่านจ้าวพูดขึ้นอีก "ก่อนหน้านี้ท่านคงพอจะได้ยินข้าได้คุยกับมูติชาห์อยู่บ้างแล้วกระมัง ว่าข้าเองนั้นที่เป็นสาเหตุที่ทำให้น้องชายของข้าต้องเสียชีวิตไป..."

"ครับท่านจ้าว... " ผมพยักหน้า

"แล้วอยากรู้ไม๊ ว่าน้องชายของข้าเสียชีวิตยังไง? " ท่านจ้าวกลับถามออกมาแบบนี้

และแทนที่ผมจะตอบคำถามท่านจ้าว ผมก็หันไปมองพี่เมฆที่กำลังยืนคิ้วขมวดเล็กน้อยราวกับกำลังสงสัยในคำถามของท่านจ้าวเช่นกัน

แล้วท่านจ้าวก็มีอาการเหม่อลอยขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะตอบเองว่า

"ที่จริงน้องชายของข้านั้น ได้เสียชีวิตด้วยคมดาบของข้า... ข้านี่ล่ะ ที่เป็นผู้ที่ฆ่าน้องชายของข้าด้วยมือของข้าเอง...! "

ท่านจ้าวพูดประโยคนี้จบแล้ว ผมและพี่เมฆก็ถึงกับอ้าปากค้างกันไปทันที...?!

 

 

(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา