สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.08K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
56) รวบรวมอาวุธ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสืบสู้ผี ภาค 2 บทที่ 56 'รวบรวมอาวุธ'
"แต่ว่า คันธนูมีอยู่ที่ท่านเพียงคันเดียวไม่ใช่หรือมูติชาห์? " ผมถามเขาทันที
มูติชาห์ยิ้มออกมาที่มุมปาก "ใครว่าล่ะท่านคนเถื่อน ก็ทีลูกธนูเรายังหาได้จากพวกทหารที่ทรยศนั่น ส่วนคันธนูเราก็ย่อมหาได้จากพวกนั้นเช่นเดียวกัน"
แล้วผมก็ตะลึงไปชั่วครู่ "หรือว่า... หรือว่าท่านคิดจะเข้าไปสู้กับพวกทหารเพื่อแย่งคันธนู ใช่หรือเปล่ามูติชาห์? "
"หึหึ จำเป็นอะไรที่ข้าจะต้องลุยเข้าไปในดงทหารพวกนั้น" มูติชาห์ว่าแล้วก็ดึงแขนผมไปตรงมุมของกองหินที่เป็นกำบังให้กับพวกเรา "ท่านลองมองกลับไปที่ฝั่งโน้นสิ ลองมองไปทางด้านซ้ายของเราหน่อยนึง แล้วท่านจะมองเห็นร่างของทหารทรยศสี่ห้าคนนอนตายกันอยู่ตรงนั้น ลองดูดีๆ ว่าท่านมองเห็นอะไรอีกบ้าง..."
แล้วผมก็มองไปตามที่มูติชาห์บอก ตรงจุดเยื้องๆ ไปทางซ้ายที่อยู่ระหว่างกลางของพวกเรากับเนินหินทางด้านตรงข้ามที่พวกทหารทรยศของชาวมิตทราห์ซ่อนตัวอยู่ ผมก็ได้เห็นร่างของทหารสี่หรือห้าคนนอนระเนระนาดกันอยู่บนพื้นดินตรงนั้นอย่างที่มูติชาห์บอก และสิ่งทีผมได้สังเกตุเห็นเพิ่มเติมก็คือ มีคันธนูสี่ห้าคันตกอยู่ใกล้กับร่างของทหารเหล่านั้นด้วย!
ผมหันขวับไปมองหน้ามูติชาห์ "เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านคิดจะไปเอาคันธนูที่ตกอยู่ตรงนั้นสินะ และสิงห์ก็จะได้ใช้คันธนูนั่นกับลูกธนูที่เก็บได้ทั้งหมดสินะ? "
"ถูกต้องแล้ว" มูติชาห์พูดด้วยรอยยิ้ม "ทั้งลูกธนูที่เรารวบรวมได้ทางฝั่งนี้และคันธนูกับลูกธนูที่อยู่ในกระบอกของทหารที่ตายนั่น จะทำให้ข้ากับสิงห์มีโอกาสที่จะพาพวกเราทั้งหมดนี่เร้นออกไปจากตรงนี้ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ท่านเองก็ต้องมาช่วยข้าด้วย มาเริ่มงานของเรากันเถอะ..."
หลังจากที่พวกเราได้ช่วยกันเก็บรวบรวมดอกธนูที่อยู่ทางฝั่งนี้มาไว้ได้จำนวนไม่น้อยแล้ว มูติชาห์ก็ได้กำหนดแผนการให้สิงห์กับผมรวมทั้งจันไปเก็บคันธนูและกระบอกใส่ลูกธนูที่ตกอยู่ใกล้ๆ กับศพของทหาร โดยมูติชาห์จะรับหน้าที่หลอกล่อพวกทหารทางฝั่งตรงข้ามให้มัวแต่สนใจในตัวเขา แต่เมื่อจันรู้ว่าตัวเองจะต้องออกไปตรงกลางลานดินที่มีศพทหารนอนตายอยู่ เขาก็เริ่มออกอาการปอดแหกขึ้นอีกครั้ง
"ฮือๆ นี่กะจะให้ผมไปวัดดวงกับลูกธนูที่อยู่ทางฝั่งโน้นกับพี่กิตและสิงห์ด้วยเหรอ พวกพี่ๆ รู้กันไม๊ว่า ปกติผมน่ะจะเป็นคนดวงซวยอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วผมก็แทบจะโดนงูยักษ์งับคอขาด แล้วไอ้คราวนี้มันจะเป็นไปได้ไม๊ว่า ผมอาจจะโดนลูกธนูเสียบร่างเป็นตัวเม่นซะก่อนที่จะเก็บอะไรได้ทันน่ะ ฮือๆ ๆ " จันพูดไปก็ทำเสียงสะอื้นไปอย่างน่ารำคาญ
"นี่จัน ถ้าฉันรู้ว่าจันจะปอดแหกถึงขนาดนี้ ตอนแรกฉันไม่ชวนจันมาด้วยซะก็จะดีหรอก! " ผมพูดใส่หน้าจันอย่างฉุนๆ "แล้วไหนๆ เราก็มาตกระกำลำบากหรือลงเรือลำเดียวร่วมกันแล้ว เราก็ต้องมาช่วยกันหาทางเอาตัวรอดไปจากที่ตรงนี้กันให้ได้สิ การที่เรามีกำลังคนเพิ่มมาอีกคนน่ะ มันยิ่งจะทำให้เราทำงานได้เสร็จเร็ว และมีโอกาสที่จะหนีออกไปจากที่ตรงนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้นนะ! "
คำเทศนาของผมเล่นเอาจันถึงกับอึ้งปากค้างและหยุดสะอื้นไปทันที
แล้วมูติชาห์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนบอกว่า
"จัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องออกไปรับลูกธนูเหล่านั้นให้กลายเป็นตัวเม่นหรอก เพราะข้าน่ะมีวิธีที่จะคำณวนช่วงเวลาแห่งความปลอดภัยเป็นอย่างมากให้ได้อยู่นะ"
พอมูติชาห์บอกออกมาอย่างนี้ ก็ไม่ใช่มีแต่จันเท่านั้นที่หูผึ่งขึ้นมา เพราะผมเองก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน
"มูติชาห์ ท่านหมายความว่ายังไง? " ผมถาม
"เรื่องนี้เป็นหลักวิชาบางอย่างที่ข้าไม่อาจจะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่ข้าขอบอกให้ท่านได้รู้กันอีกครั้งว่าม่านหมอกต่างๆ ที่ได้เห็นกันในที่นี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากมหาเวทของท่านมหาดาบสกับศิลาฤดูกาล และข้านั้นก็ได้เรียนรู้เคล็ดบางอย่างในการควบคุมหมอกจากท่านมหาดาบสได้อยู่เล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้ข้านั้นสามารถที่จะควบคุมหมอกเหล่านี้ได้บ้างในบางครั้ง แต่อาจจะต้องรอจังหวะด้วยนิดหนึ่ง ก็เหมือนกับตอนที่ท่านยังอยู่ที่บนสะพานล่องหนและข้าได้บอกให้ท่านมองมาทางข้าดีๆ แล้วท่านก็จะเห็นข้ากับสิงห์ในจังหวะหนึ่งจนได้ ครั้งนี้ข้าก็จะทำเช่นเดียวกับครั้งนั้น แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้หมอกนี้ลงหนามากยิ่งขึ้นแทนที่จะทำให้หมอกนั้นเบาบางลง เพื่อที่ท่านทั้งสามจะได้พรางตัวไปกับหมอกนั้นได้ โดยมีข้าเป็นตัวล่อวิ่งวนอยู่ตรงบริเวณนี้พร้อมกับยิงธนูโต้ตอบกับทางฝั่งทหารที่ทรยศ ท่านทั้งสองพอจะเข้าใจกันชัดเจนแล้วใช่ไหมตอนนี้? "
แม้ว่าเทคนิคการควบคุมหมอกนั้นจะเป็นที่กังขาและไม่ชัดเจนสำหรับผมว่าทำได้อย่างไร แต่เมื่อมูติชาห์สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ ก็เป็นอันว่า ตามแผนของมูติชาห์นั้นก็เป็นที่ชัดเจนสำหรับตัวผมในตอนนี้แล้ว และตอนนี้จันนั้นก็ดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่มูติชาห์พูดเช่นกัน เขาจึงได้หยุดสะอื้นไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากนั้นอีกไม่นาน มูติชาห์ก็ได้ให้สัญญาณกับพวกเราว่าถึงเวลาลงมือทำตามแผนแล้ว เมื่อม่านหมอกตรงรอบบริเวณนั้นเริ่มลงหนาจนแทบมองอะไรไม่เห็นเหมือนอย่างที่มูติชาห์ได้บอกว่าจะเกิดขึ้น
"อย่าลืมว่า หลังจากที่ท่านและจันได้เก็บคันธนูและกระบอกดอกธนูได้แล้ว ให้คอยตามหลังสิงห์กลับมาที่ตรงนี้ อย่าได้วิ่งออกมาก่อนเพราะท่านกับจันอาจจะเฉไฉไปผิดเส้นทางเพราะมองทางไม่เห็นได้" มูติชาห์ได้กระชับผมมาเป็นครั้งสุดท้าย และผมก็พยักหน้าให้เขาอย่างเข้าใจก่อนที่เขาจะพูดคำว่า ลงมือได้!
แล้วร่างอันพริ้วไหวของมูติชาห์ก็ถลาออกจากก้อนหินที่ใช้เป็นที่กำบังไปยังพื้นที่โล่งทางด้านขวาโดยเขาเจตนาให้เท้าที่วิ่งย่ำลงไปตรงพื้นบริเวณนั้นมีเสียงดังเป็นพิเศษในขณะที่เขาก็เริ่มยิงลูกธนูไปยังเนินหินฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้ก็เริ่มมีหมอกลงหนาหนักแล้วเช่นกัน
แล้วสิงห์ก็ออกนำผมกับจันไปทางด้านซ้ายของหินที่กำบัง พวกเรารีบวิ่งกันไปตรงจุดที่มีทหารนอนตายอยู่โดยไม่กลัวว่าจะผิดเป้าหมายเพราะได้หมายตากันไว้อย่างดีแล้ว สิ่งที่ผมกับจันจะต้องระวังก็มีเพียงตอนจะกลับมาที่เดิมที่จะต้องคอยตามสิงห์มาให้ดี เพราะในระหว่างการหันไปหันมาเพื่อที่จะเก็บรวบรวมของที่เราต้องการอาจจะทำให้ผมกับจันงงกับทิศทางที่เป็นทางกลับได้
การทำงานของเราเป็นไปด้วยความรวดเร็วว่องไวกว่าที่ผมได้คาดไว้ ผมรวบรวมคันธนูมาได้สองคันกับกระบอกใส่ลูกธนูหนึ่งกระบอก ขณะที่สิงห์เองก็รวบรวมคันธนูได้สามคันกับกระบอกใส่ลูกธนูหนึ่งกระบอก และจันเองนั้นได้กระบอกธนูมาถึงอีกสองกระบอกเช่นกัน
ขณะนั้นทางเราก็ยังได้ยินเสียงการวิ่งวนของมูติชาห์ที่อยู่ทางฝั่งขวาของก้อนหินที่กำบังได้อย่างชัดเจน ขณะที่ก็มีเสียงของลูกธนูแล่นไปมาระหว่างมูติชาห์กับทางฝั่งเนินหินฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ขาดสาย
แล้วสิงห์ก็ออกนำผมกับจันกลับสู่ก้อนหินที่กำบังทันที
และเมื่อเราทั้งสามกลับมาถึงหลังก้อนหินแล้ว ม่านหมอกอันหนาหนักก็ค่อยๆ สลายจางหายไปขณะที่มูติชาห์ก็กระโจนกลับมาที่หลังก้อนหินพอดี
ท่าทางของมูติชาห์ในตอนนี้นั้นดูจะเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเขาได้มองเห็นของที่เราทั้งสามได้ขนกันมาได้แล้ว เขาก็ดูเหมือนจะหายเหนื่อยไปในทันที
"ยอดเยี่ยมมาก สามารถเอาของพวกนี้กลับมาได้เยอะกว่าที่ข้าได้คิดไว้ซะอีก ดูเอาเถอะจัน เจ้าเองนั้นก็ไม่ได้ไร้ค่าซะทีเดียวหรอกนะ" มูติชาห์ถึงกับเอ่ยปากชมจัน จนจันเองก็ยิ้มออกมาอย่างแหยๆ
แล้วสิงห์ก็ลงมือคล้องกระบอกลูกธนูไปกับลำตัวที่ยังอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงสีครีมเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ชุดที่ใส่นั้นอาจจะขมุกขมอมไปพอควรเพราะการตรากตรำกับการผจญภัยที่ได้ผ่านมาจนเกือบจะสิ้นวัน
และเมื่อสิงห์ได้จับคันธนูขึ้นมาง้างลองกำลังแขน ท่าทางขอเขาในยามนี้ก็ดูจะไม่ต่างกับเทพนักรบที่อยู่ในร่างของสตรีเลย
อา... สิงห์ในร่างนุช เมื่อไรกันนะที่เขาจะกลับมาพูดได้อีกครั้ง หรือเมื่อไรกันนะที่เขาจะสามารถกลับไปสู่ร่างเดิมของตัวเองได้
และอีกเมื่อไรกันนะ ที่ทั้งสองร่างสองวิญญาณของสิงห์และนุชจะสามารถสลับกลับมาสู่ร่างเดิมของตัวเองได้ซะที?
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
"แต่ว่า คันธนูมีอยู่ที่ท่านเพียงคันเดียวไม่ใช่หรือมูติชาห์? " ผมถามเขาทันที
มูติชาห์ยิ้มออกมาที่มุมปาก "ใครว่าล่ะท่านคนเถื่อน ก็ทีลูกธนูเรายังหาได้จากพวกทหารที่ทรยศนั่น ส่วนคันธนูเราก็ย่อมหาได้จากพวกนั้นเช่นเดียวกัน"
แล้วผมก็ตะลึงไปชั่วครู่ "หรือว่า... หรือว่าท่านคิดจะเข้าไปสู้กับพวกทหารเพื่อแย่งคันธนู ใช่หรือเปล่ามูติชาห์? "
"หึหึ จำเป็นอะไรที่ข้าจะต้องลุยเข้าไปในดงทหารพวกนั้น" มูติชาห์ว่าแล้วก็ดึงแขนผมไปตรงมุมของกองหินที่เป็นกำบังให้กับพวกเรา "ท่านลองมองกลับไปที่ฝั่งโน้นสิ ลองมองไปทางด้านซ้ายของเราหน่อยนึง แล้วท่านจะมองเห็นร่างของทหารทรยศสี่ห้าคนนอนตายกันอยู่ตรงนั้น ลองดูดีๆ ว่าท่านมองเห็นอะไรอีกบ้าง..."
แล้วผมก็มองไปตามที่มูติชาห์บอก ตรงจุดเยื้องๆ ไปทางซ้ายที่อยู่ระหว่างกลางของพวกเรากับเนินหินทางด้านตรงข้ามที่พวกทหารทรยศของชาวมิตทราห์ซ่อนตัวอยู่ ผมก็ได้เห็นร่างของทหารสี่หรือห้าคนนอนระเนระนาดกันอยู่บนพื้นดินตรงนั้นอย่างที่มูติชาห์บอก และสิ่งทีผมได้สังเกตุเห็นเพิ่มเติมก็คือ มีคันธนูสี่ห้าคันตกอยู่ใกล้กับร่างของทหารเหล่านั้นด้วย!
ผมหันขวับไปมองหน้ามูติชาห์ "เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านคิดจะไปเอาคันธนูที่ตกอยู่ตรงนั้นสินะ และสิงห์ก็จะได้ใช้คันธนูนั่นกับลูกธนูที่เก็บได้ทั้งหมดสินะ? "
"ถูกต้องแล้ว" มูติชาห์พูดด้วยรอยยิ้ม "ทั้งลูกธนูที่เรารวบรวมได้ทางฝั่งนี้และคันธนูกับลูกธนูที่อยู่ในกระบอกของทหารที่ตายนั่น จะทำให้ข้ากับสิงห์มีโอกาสที่จะพาพวกเราทั้งหมดนี่เร้นออกไปจากตรงนี้ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้ท่านเองก็ต้องมาช่วยข้าด้วย มาเริ่มงานของเรากันเถอะ..."
หลังจากที่พวกเราได้ช่วยกันเก็บรวบรวมดอกธนูที่อยู่ทางฝั่งนี้มาไว้ได้จำนวนไม่น้อยแล้ว มูติชาห์ก็ได้กำหนดแผนการให้สิงห์กับผมรวมทั้งจันไปเก็บคันธนูและกระบอกใส่ลูกธนูที่ตกอยู่ใกล้ๆ กับศพของทหาร โดยมูติชาห์จะรับหน้าที่หลอกล่อพวกทหารทางฝั่งตรงข้ามให้มัวแต่สนใจในตัวเขา แต่เมื่อจันรู้ว่าตัวเองจะต้องออกไปตรงกลางลานดินที่มีศพทหารนอนตายอยู่ เขาก็เริ่มออกอาการปอดแหกขึ้นอีกครั้ง
"ฮือๆ นี่กะจะให้ผมไปวัดดวงกับลูกธนูที่อยู่ทางฝั่งโน้นกับพี่กิตและสิงห์ด้วยเหรอ พวกพี่ๆ รู้กันไม๊ว่า ปกติผมน่ะจะเป็นคนดวงซวยอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วผมก็แทบจะโดนงูยักษ์งับคอขาด แล้วไอ้คราวนี้มันจะเป็นไปได้ไม๊ว่า ผมอาจจะโดนลูกธนูเสียบร่างเป็นตัวเม่นซะก่อนที่จะเก็บอะไรได้ทันน่ะ ฮือๆ ๆ " จันพูดไปก็ทำเสียงสะอื้นไปอย่างน่ารำคาญ
"นี่จัน ถ้าฉันรู้ว่าจันจะปอดแหกถึงขนาดนี้ ตอนแรกฉันไม่ชวนจันมาด้วยซะก็จะดีหรอก! " ผมพูดใส่หน้าจันอย่างฉุนๆ "แล้วไหนๆ เราก็มาตกระกำลำบากหรือลงเรือลำเดียวร่วมกันแล้ว เราก็ต้องมาช่วยกันหาทางเอาตัวรอดไปจากที่ตรงนี้กันให้ได้สิ การที่เรามีกำลังคนเพิ่มมาอีกคนน่ะ มันยิ่งจะทำให้เราทำงานได้เสร็จเร็ว และมีโอกาสที่จะหนีออกไปจากที่ตรงนี้ได้เร็วขึ้นเท่านั้นนะ! "
คำเทศนาของผมเล่นเอาจันถึงกับอึ้งปากค้างและหยุดสะอื้นไปทันที
แล้วมูติชาห์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนบอกว่า
"จัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องออกไปรับลูกธนูเหล่านั้นให้กลายเป็นตัวเม่นหรอก เพราะข้าน่ะมีวิธีที่จะคำณวนช่วงเวลาแห่งความปลอดภัยเป็นอย่างมากให้ได้อยู่นะ"
พอมูติชาห์บอกออกมาอย่างนี้ ก็ไม่ใช่มีแต่จันเท่านั้นที่หูผึ่งขึ้นมา เพราะผมเองก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน
"มูติชาห์ ท่านหมายความว่ายังไง? " ผมถาม
"เรื่องนี้เป็นหลักวิชาบางอย่างที่ข้าไม่อาจจะอธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่ข้าขอบอกให้ท่านได้รู้กันอีกครั้งว่าม่านหมอกต่างๆ ที่ได้เห็นกันในที่นี้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากมหาเวทของท่านมหาดาบสกับศิลาฤดูกาล และข้านั้นก็ได้เรียนรู้เคล็ดบางอย่างในการควบคุมหมอกจากท่านมหาดาบสได้อยู่เล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้ข้านั้นสามารถที่จะควบคุมหมอกเหล่านี้ได้บ้างในบางครั้ง แต่อาจจะต้องรอจังหวะด้วยนิดหนึ่ง ก็เหมือนกับตอนที่ท่านยังอยู่ที่บนสะพานล่องหนและข้าได้บอกให้ท่านมองมาทางข้าดีๆ แล้วท่านก็จะเห็นข้ากับสิงห์ในจังหวะหนึ่งจนได้ ครั้งนี้ข้าก็จะทำเช่นเดียวกับครั้งนั้น แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้หมอกนี้ลงหนามากยิ่งขึ้นแทนที่จะทำให้หมอกนั้นเบาบางลง เพื่อที่ท่านทั้งสามจะได้พรางตัวไปกับหมอกนั้นได้ โดยมีข้าเป็นตัวล่อวิ่งวนอยู่ตรงบริเวณนี้พร้อมกับยิงธนูโต้ตอบกับทางฝั่งทหารที่ทรยศ ท่านทั้งสองพอจะเข้าใจกันชัดเจนแล้วใช่ไหมตอนนี้? "
แม้ว่าเทคนิคการควบคุมหมอกนั้นจะเป็นที่กังขาและไม่ชัดเจนสำหรับผมว่าทำได้อย่างไร แต่เมื่อมูติชาห์สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ ก็เป็นอันว่า ตามแผนของมูติชาห์นั้นก็เป็นที่ชัดเจนสำหรับตัวผมในตอนนี้แล้ว และตอนนี้จันนั้นก็ดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่มูติชาห์พูดเช่นกัน เขาจึงได้หยุดสะอื้นไปโดยสิ้นเชิง
หลังจากนั้นอีกไม่นาน มูติชาห์ก็ได้ให้สัญญาณกับพวกเราว่าถึงเวลาลงมือทำตามแผนแล้ว เมื่อม่านหมอกตรงรอบบริเวณนั้นเริ่มลงหนาจนแทบมองอะไรไม่เห็นเหมือนอย่างที่มูติชาห์ได้บอกว่าจะเกิดขึ้น
"อย่าลืมว่า หลังจากที่ท่านและจันได้เก็บคันธนูและกระบอกดอกธนูได้แล้ว ให้คอยตามหลังสิงห์กลับมาที่ตรงนี้ อย่าได้วิ่งออกมาก่อนเพราะท่านกับจันอาจจะเฉไฉไปผิดเส้นทางเพราะมองทางไม่เห็นได้" มูติชาห์ได้กระชับผมมาเป็นครั้งสุดท้าย และผมก็พยักหน้าให้เขาอย่างเข้าใจก่อนที่เขาจะพูดคำว่า ลงมือได้!
แล้วร่างอันพริ้วไหวของมูติชาห์ก็ถลาออกจากก้อนหินที่ใช้เป็นที่กำบังไปยังพื้นที่โล่งทางด้านขวาโดยเขาเจตนาให้เท้าที่วิ่งย่ำลงไปตรงพื้นบริเวณนั้นมีเสียงดังเป็นพิเศษในขณะที่เขาก็เริ่มยิงลูกธนูไปยังเนินหินฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้ก็เริ่มมีหมอกลงหนาหนักแล้วเช่นกัน
แล้วสิงห์ก็ออกนำผมกับจันไปทางด้านซ้ายของหินที่กำบัง พวกเรารีบวิ่งกันไปตรงจุดที่มีทหารนอนตายอยู่โดยไม่กลัวว่าจะผิดเป้าหมายเพราะได้หมายตากันไว้อย่างดีแล้ว สิ่งที่ผมกับจันจะต้องระวังก็มีเพียงตอนจะกลับมาที่เดิมที่จะต้องคอยตามสิงห์มาให้ดี เพราะในระหว่างการหันไปหันมาเพื่อที่จะเก็บรวบรวมของที่เราต้องการอาจจะทำให้ผมกับจันงงกับทิศทางที่เป็นทางกลับได้
การทำงานของเราเป็นไปด้วยความรวดเร็วว่องไวกว่าที่ผมได้คาดไว้ ผมรวบรวมคันธนูมาได้สองคันกับกระบอกใส่ลูกธนูหนึ่งกระบอก ขณะที่สิงห์เองก็รวบรวมคันธนูได้สามคันกับกระบอกใส่ลูกธนูหนึ่งกระบอก และจันเองนั้นได้กระบอกธนูมาถึงอีกสองกระบอกเช่นกัน
ขณะนั้นทางเราก็ยังได้ยินเสียงการวิ่งวนของมูติชาห์ที่อยู่ทางฝั่งขวาของก้อนหินที่กำบังได้อย่างชัดเจน ขณะที่ก็มีเสียงของลูกธนูแล่นไปมาระหว่างมูติชาห์กับทางฝั่งเนินหินฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ขาดสาย
แล้วสิงห์ก็ออกนำผมกับจันกลับสู่ก้อนหินที่กำบังทันที
และเมื่อเราทั้งสามกลับมาถึงหลังก้อนหินแล้ว ม่านหมอกอันหนาหนักก็ค่อยๆ สลายจางหายไปขณะที่มูติชาห์ก็กระโจนกลับมาที่หลังก้อนหินพอดี
ท่าทางของมูติชาห์ในตอนนี้นั้นดูจะเหน็ดเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเขาได้มองเห็นของที่เราทั้งสามได้ขนกันมาได้แล้ว เขาก็ดูเหมือนจะหายเหนื่อยไปในทันที
"ยอดเยี่ยมมาก สามารถเอาของพวกนี้กลับมาได้เยอะกว่าที่ข้าได้คิดไว้ซะอีก ดูเอาเถอะจัน เจ้าเองนั้นก็ไม่ได้ไร้ค่าซะทีเดียวหรอกนะ" มูติชาห์ถึงกับเอ่ยปากชมจัน จนจันเองก็ยิ้มออกมาอย่างแหยๆ
แล้วสิงห์ก็ลงมือคล้องกระบอกลูกธนูไปกับลำตัวที่ยังอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงสีครีมเหมือนเดิม เพียงแต่ตอนนี้ชุดที่ใส่นั้นอาจจะขมุกขมอมไปพอควรเพราะการตรากตรำกับการผจญภัยที่ได้ผ่านมาจนเกือบจะสิ้นวัน
และเมื่อสิงห์ได้จับคันธนูขึ้นมาง้างลองกำลังแขน ท่าทางขอเขาในยามนี้ก็ดูจะไม่ต่างกับเทพนักรบที่อยู่ในร่างของสตรีเลย
อา... สิงห์ในร่างนุช เมื่อไรกันนะที่เขาจะกลับมาพูดได้อีกครั้ง หรือเมื่อไรกันนะที่เขาจะสามารถกลับไปสู่ร่างเดิมของตัวเองได้
และอีกเมื่อไรกันนะ ที่ทั้งสองร่างสองวิญญาณของสิงห์และนุชจะสามารถสลับกลับมาสู่ร่างเดิมของตัวเองได้ซะที?
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ