สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.11K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
53) หุบเหวมรณะ !
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ มูติชากับสิงห์และท่านจ้าวที่เดินนำหน้าพวกเราอยู่กลางขบวนต่างหันกลันมามองพวกเรา
"อา... นี่ข้าคงยังไม่ได้บอกพวกท่านสินะ ว่าก่อนจะถึงหมู่บ้านของพวกเราท่านจะต้องได้พบกับสิ่งนี้ก่อน" ท่านจ้าวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงของพวกเรา
"ท่านจ้าวคะ.. นี่มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก สิ่งที่เห็นนี้มันเกิดจากธรรมชาติจริงๆ เหรอคะนี่? " ไอริณเอ่ยถามท่านจ้าวพร้อมกับชี้นนิ้วไปยังเบื้องล่างที่ได้ปรากฏเป็นภาพของทัศนียภาพอันสุดจะพิลึกพิลั่นและน่าหวาดหวั่นแม้แต่แค่มองไป
เลยออกไปจากหน้าปากถ้ำมันก็คือชง่อนผาที่เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่างแล้วผมก็อดจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจนใจหวิวๆ ขึ้นมาอีกไม่ได้
เพราะลึกลงไปข้างล่างที่ไม่รู้ว่าจะลึกสักกี่สิบเมตรหรืออาจจะลึกเป็นร้อยเมตร มันก็คือทะเลหินอันแหลมคมที่ได้ชูปลายของยอดที่เป็นหินปลายแหลมนับเป็นพันๆ หรืออาจจะเป็นหมื่นๆ ขึ้นสู่อากาศเบื้องบนอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นการสรรค์สร้างของธรรมชาติแห่งนี้
"ฮ่าๆ ๆ "ท่านจ้าวหัวเราะออกมาราวกับรู้สึกขำขันกับท่าทางหรือสีหน้าของพวกเราที่ต่างก็ดูไม่จืดกันสักคน
"สิ่งที่พวกท่านได้เห็นนี้ ไม่ใช่ภาพมายาแต่อย่างใด หินอันแหลมคมที่อยู่เบื้องล่างนับไม่ถ้วนนั้นล้วนเป็นหินจริงๆ หากว่ามีผู้ใดได้พลัดตกลงไปข้างล่างก็เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องถูกหนามหินอันแหลมคมนั้นเสียบทะลุร่างอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว"
"เอื้อก..." เสียงจันกลืนน้ำลายจนได้ยินชัด "พี่กิต... ถ้าจะให้ผมข้ามหน้าผานี้ไปผมก็ขอเลือกกลับไปทางเก่าดีกว่านะพี่กิต อูย... หุบเหวข้างล่างนี่มันไม่แตกต่างอะไรกับขุมนรกเลยนะพี่กิต" จันพูดออกมาเบาๆ โดยหวังให้ผมได้ยินคนเดียว แต่แล้วท่านจ้าวก็กลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นราวกับว่าเขาได้ยินที่จันพูดทั้งหมด
"น้องชายรู้ไม๊ว่า หุบเหวอันน่าหวาดกลัวแห่งนี้นี่ล่ะ ที่ได้เป็นปราการอันสำคัญแห่งหนึ่งที่ได้ทำให้หมู่บ้านของชาวมิตทราห์เราได้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงปัจจุบันนี้เลยนะ" ท่านจ้าวบอกออกมาอย่างยิ้มๆ
"ครับ ผมพอจะเข้าใจแล้ว " ผมกลับเป็นฝ่ายตอบท่านจ้าว "แต่หมู่บ้านของชาวมิตทราห์นั้นตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะครับท่านจ้าว หรือว่าจะอยู่เลยหุบเหวนี้ไปครับ? " ผมถามท่านจ้าวพร้อมกับพยายามหรี่ตามองข้ามหุบเหวนี้ไปทางด้านตรงข้ามที่มองเห็นเป็นแค่กลุ่มม่านหมอกอันหนาแน่นจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีแผ่นดินอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามด้วย
"ถูกต้อง..." แล้วท่านจ้าวก็หันหน้าไปทางด้านนั้น "หลังกลุ่มหมอกอันหนาหนักนี้ก็คือทางเข้าหมู่บ้านของชาวมิตทราห์เราที่ได้ตั้งอยู่บนหน้าผาอีกด้านหนึ่ง และกลุ่มหมอกอันมากมายเหล่านี้ที่จริงก็เป็นม่านหมอกบังตาที่ได้เกิดจากเวทมนต์ของท่านมหาดาบสที่ได้เสกบันดาลไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พวกเราได้อพยพหนีภัยมาจากพวกศัตรูเมื่อครั้งแรกๆ "
"อะไรนะคะ...? หมอกเวทมนต์อย่างนั้นหรือคะท่านจ้าว?!! " สีหน้าของไอริณดูจะตื่นตะลึงยิ่งขึ้่นกว่าเดิม "มัน... มันแทบไม่น่าจะเชื่อเลยนะคะท่านจ้าว คือ... ถ้าท่านมหาดาบสสามารถใช้เวทมนต์สร้างหมอกบังตาได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือได้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีเวทมนต์อาคมอันแรงกล้ายิ่งกว่าผู้ใดที่ริณได้เคยได้ยินหรือได้รู้จักมาอีกนะคะ? "
ท่านจ้าวยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก "การใช้เวทมนต์สร้างหมอกบังตาอันหนาแน่นนี้ขึ้นมาอาจจะไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับท่านมหาดาบส แต่การทำให้หมอกนี้คงอยู่ชั่วหน้าตาปีเช่นนี้ได้ ก็ไม่แน่นักว่าท่านมหาดาบสจะเอาอยู่ซะทีเดียว..."
"ผมคิดว่า นี่คงจะมีทริกประกอบเข้าด้วยกันด้วย..." พี่เมฆเอ่ยขึ้นมาขณะที่ใช้นิ้วชี้ถูข้างจมูกอย่างกับชอลิ้วเฮียง แต่ท่านจ้าวกลับเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะคำที่พี่เมฆใช้
"ทริกอย่างนั้นหรือ...? "
"อ๋อ... ผมหมายถึงกลหรือเครื่องมือวัตถุอะไรบางอย่างน่ะครับท่านจ้าว" พี่เมฆรีบอธิบาย
"อ๋อ เข้าใจล่ะ... ฮ่าๆ ๆ " ท่านจ้าวถึงกับเงยหน้าหัวเราะ "ท่านเมฆานับว่ามีความฉลาดหลักแหลมจริงๆ แต่ก็ถูกของท่านแล้ว ลำพังเวทมนต์ของท่านมหาดาบสอย่างเดียวนั้นก็ไม่สามารถจะดลบันดาลให้เกิดม่านหมอกบังตาอยู่ชั่วนาตาปีได้หรอกท่านเมฆา แต่สิ่งที่เสริมพลังเวทมนต์ของท่านมหาดาบสนี้ก็คือ ศิลาฤดูกาล ที่ท่านมหาดาบสได้เอามาตั้งไว้รอบหมู่บ้านทั้งสี่ทิศทาง...! "
ศิลาฤดูกาล...? อา... ในโลกที่ประหลาดแห่งนี้กลับมีสิ่งที่แปลกประหลาดเหลือเชื่อปรากฏออกมาให้ผมได้งวยงงอีกอย่างหนึ่งแล้วสินะ
แล้วมูติชาห์ที่กำลังยืนคุยอยู่กับสิงห์ในร่างนุชอยู่ที่ริมหน้าผาก็รีบเดินกลับมาหาท่านจ้าว
"พ่อจ้าว นี่ท่านแทบจะบอกความลับของชนเผ่าเราให้กับคนพวกนี้แทบจะทุกอย่างแล้วนะ..." เขาติงท่านจ้าวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่
ท่านจ้าวโบกมืออย่างยิ้มๆ "เอาเถอะน่า ข้ามองคนเหล่านี้ไม่ผิดหรอก ข้ามั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนดีกันทุกคน ท่านสิงหโรจน์เองก็เคยได้ยืนยันรับประกันให้พวกเขาแล้วมิใช่หรือ...? "
แล้วมูติชาห์ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปอีกครั้ง เขาจึงเดินกลับไปที่สิงห์ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างหงุดหงิด ขณะที่สิงห์กลับมองมาที่มูติชาห์ด้วยสีหน้าที่ขันๆ เล็กน้อย
ท่านจ้าวชายตามองมูติชาห์ด้วยหางตาอยู่วูบหนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับมาทางพวกเรา
"เป็นไง บุตรแห่งข้าผู้เป็นว่าที่ผู้นำของชนเผ่าเราในวันที่ไม่มีข้าอยู่ ที่จริงแล้วก็เป็นคนรอบคอบดีอยู่นะ เสียแต่ว่าอารมณ์อาจจะปรวนแปรขี้ระแวงจนเกินเหตุอย่างที่ได้เห็นกัน" ท่านจ้าวส่ายหัวเบาๆ แล้วก็อดที่จะถอนใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้
แล้วไอริณก็ทำท่าเหมือนจะถามอะไรออกมา แต่พี่เมฆกลับส่งซิกขยิบตาไปให้ไอริณ เธอจึงหุบปากลงอย่างทันควัน
เธอคิดจะถามอะไรท่านจ้าวกันนะ? แล้วทำไมพี่เมฆถึงรู้ว่าเธอขยับจะถามอะไรกันล่ะนั่น...? ผมเองคิดว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้และเอาไปถามไอริณในภายหลัง
แต่ท่านจ้าวนั้นกลับมีทีท่าเหมือนไม่ได้สังเกตุเห็นปฏิกิริยาของไอริณกับพี่เมฆเมื่อกี้นี้ แต่กลับพูดต่อไปว่า
"เอาล่ะ... ข้าคิดว่าพวกท่านคงจะสงสัยกันแล้วใช่ไหมว่า แล้วทางที่เราจะใช้ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามนั้นอยู่ที่ใดกัน...? "
แล้วท่านจ้าวก็หันไปประกาศกับพวกทหารที่ยืนรอคำสั่งกันอยู่ "จงเดินทางกันต่อไปได้ เหล่าทหารหาญแห่งข้า...! "
สิ้นคำสั่งท่านจ้าว เหล่าทหารที่ได้ตั้งแถวรอท่านจ้าวอยู่ที่ริมหน้าผาก็ค่อยๆ เคลื่อนพลต่อไปยังด้านหน้าของริมหน้าผาทันที
แต่... แต่ให้ตายสิ ก็ตรงจุดที่อยู่เลยริมหน้าผานั่นไป มั่นเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้นไม่ใช่เหรอ แล้วผมก็มองไม่เห็นว่ามันจะมีสะพานอะไรที่จะช่วยให้พวกทหารเดินขึ้นไปได้เลย?
แต่แล้วกองหน้าของทหารท่านจ้าวก็กลับก้าวขาลงไปบนอากาศที่ว่างเปล่ากันอย่างหน้าตาเฉยราวกับจะปลิดชีพตัวเองกันถ้วนทั่วทุกคน...!
"เหวอ...! " จันถึงกับกระโดดเข้ามากอดผมทันที "ตายแหล่ว...! เขาฆ่าตัวตายกันแล้วพี่กิต...?!!
ผมเองนั้นก็แทบกลั้นใจมองกองทหารก้าวเดินไปบนอากาศ เพราะตอนแรกก็คิดว่าอย่างไรก็คงจะทยอยกันร่วงหล่นไปสู่หุบเหวเบื้องล่างจนถ้วนทั่วทุกคน แต่ที่ไหนได้ พวกทหารของท่านจ้าวกลับก้าวเดินไปในอากาศโดยที่ไม่ได้ร่วงหล่นลงไปที่หุบเหวเบื้องล่างกันสักคนเดียว นี่มันราวกับว่าจะมีสะพานหรือเชือกล่องหนพาดอยู่ระหว่างหน้าผาซีกนี้กับหน้าผาซีกโน้นซะอย่างนั้นล่ะ....?
ผม ไอริณ พี่เมฆ ต่างก็หันมามองหน้ากันเองอยู่ชั่ววูบเหมือนกับจะตั้งคำถามกันเองว่า สิ่งที่พวกเราได้เห็นกันอยู่ข้างหน้านี้มันเป็นเวทมนต์หรือกลบังตาอีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่?
แล้วท่านจ้าวก็หัวเราะร่วน "ไปกันเหล่าท่านอาคันตุกะแห่งข้า อย่าเพิ่งได้สงสัยอะไร จงเดินตามข้าไปเถอะ" ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็เดินนำไปข้างหน้าทันที
ขณะนั้นมูติชาห์กับสิงห์ได้ก้าวเดินกันไปถึงตรงกลางระหว่างหน้าผาทั้งสองข้างแล้ว ขาทั้งสองของคนทั้งคู่ก็กำลังก้าวอยู่บนอากาศอยู่เนิบๆ ราวกับจอมยุทธสองคนจากหนังจีนที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศด้วยวิชาตัวเบาชั้นยอดก็ปาน
แล้วท่านจ้าวก็ออกเดินไปในอกาศเป็นคนต่อมาโดยที่ก่อนก้าวออกไปท่านจ้าวก็ยังอุตส่าห์หันมายิ้มและยักคิ้วให้กับพวกเราครั้งหนึ่ง
"ไปกันเถอะ..." พี่เมฆพยักพเยิด "เขาข้ามไปกันได้ เราก็ต้องข้ามไปกันได้เช่นกัน"
"ห๋า... เอาจริงดิ? " ดวงตาของจันเหลือกลานขณะยังกอดแขนผมแจ "แล้วถ้าผมเป็นคนเดียวที่ร่วงตกลงไป ใครจะรับผิดชอบล่ะ? "
พี่เมฆส่ายหัวดิก "ไม่มีใครรับผิดชอบหรอก ถ้าเอ็งทำเลวมาเยอะ หรือเป็นคนชั่วช้าเหลือประมาณก็สมควรที่จะตกลงไปให้หินเสียบนะ"
ว่าแล้วพี่เมฆก็หันตัวไป แล้วก้าวฉับๆ นำไปทันที ส่วนจันก็ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกอีกเลย
"ไปกันจัน อย่ามากลัวอะไรตอนนี้ อะไรๆ เราก็ผ่านก็ผจญกันมาตั้งหลายอย่างแล้วจะมากลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ล่ะ จันเชื่อฉันอย่างนะ ตรงนั้นน่ะมันต้องมีสะพานล่องหน เรามองไม่เห็นสะพานแต่มันมีสะพานอยู่อย่างแน่นอนล่ะ"
จันทำหน้าเหมือนจะร้องให้ "แต่พี่กิตครับ พี่กิตรู้ไม๊ว่า ผมน่ะเป็นคนกลัวความสูงที่สุดเลย ถึงผมจะไม่ตกลงไป แต่แค่ผมมองลงไปข้างล่างแล้วเห็นแต่หินแหลมๆ นั่น ผมก็แทบหัวใจวายแล้วล่ะครับ ฮือๆ "
จันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ จนผมเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาอีก
"เอางี้นะ จันหลับตาเดินก็ได้ แล้วคอยจับแขนฉันไว้อย่างนี้ แล้วเราก็ค่อยๆ เดินกันไป"
แล้วผมก็หันไปที่ไอริณ "น้องริณ เดินตามพี่เมฆไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่กับจันจะค่อยๆ ตามไป
"ค่ะพี่กิต... เดินตามมาเร็วๆ นะจัน อย่างงอแงนักล่ะ" ไอริณว่าแล้วก็ก้าวตามพี่เมฆไปทันที
ครู่ต่อมาผมกับจันก็ค่อยๆ เดินมาจนถึงตรงกลางระหว่างหน้าผาทั้งสองฝั่งขณะที่จันยังคงหลับตาปี๋
"ถะ... ถึงอีกฝั่งหรือยังพี่กิต ทำไมผมรู้สึกว่าเราเดินกันมาตั้งนานแล้วล่ะนี่? " จันถามออกมาเบาๆ
"โธ่เอ๊ย.. ก็จันน่ะเดินช้ามากเลยรู้หรือเปล่า? " แล้วผมก็เกิดคิดพิเรนท์ขึ้นมา ไม่... ผมต้องทำให้จันเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย
"จัน ลืมตาได้ เรามาถึงอีกฝั่งกันแล้วล่ะ..." ผมตัดสินใจบอกจันไปอย่างนั้น
และพอจันลืมตาขึ้นมา และเห็นว่าตัวเองเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็ถึงกับตาเหลือกร้องจ้ากทันที...!
"พ... พี่กิต หลอกผม! เหวอ...! ข้างล่างมีแต่หินแหลมๆ ผ... ผมจะเป็นลมล่ะทีนี้..."
"จัน! อย่ามองลงไปข้างล่างสิ มองไปตรงๆ ทางฝั่งโน้น เห็นไม๊นั่น น้องริณเดินถึงฝั่งโน้นแล้วนะ" ผมชี้ให้จันมองไปที่ฝั่งตรงข้ามที่เหล่าคนที่ึเดินไปก่อนหน้าเราทั้งหมดได้ยืนอยู่ริมหน้าผาทางด้านนั้นท่ามกลางหมอกหนาจนผมเองก็ยังมองเห็นใครไม่ชัดซะทีเดียว
"อยากจะไปให้ถึงฝั่งโน้นเร็วๆ ก็อย่าหลับตาอีก แล้วรีบเดินให้ไวๆ หน่อย มา ก้าวตามฉันมาให้ติดๆ เลย" ผมไม่เสียเวลาพูดอีกต่อไป รีบก้าวออกไปทันที
"ว๊าก...! พี่กิตรอผมด้วยสิคร้าบ" จันเกาะเอวผมและก็เดินตามมาอย่างเร็วจนได้
แต่ขณะที่ผมก้าวเดินไปใกล้จะถึงฝั่งตรงข้าม ผมก็ได้ยินเสียงคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่งเสียงดังโวยวายเอะอะราวกับมีเหตุอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง
"พี่กิต...! ระวังตัวด้วยค่ะ! " เสียงของไอริณดังออกมาจากหลังหมอกหนาอย่างร้อนรน "มีศัตรูปรากฏอยู่ทางด้านนี้ค่ะพี่กิต ระวังค่ะๆ ...! "
แล้วเสียงเฟี้ยวของวัตถุอะไรบางอย่างก็พุ่งผ่านหน้าผมไปทันที
ผมรีบดึงจันให้ก้มตัวลงโดยเร็ว "หมอบลงก่อนเร็วจัน! "
"ม... มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะพี่กิต...! " จันหมอบลงอย่างรวดเร็วพลางละล่ำละลักถามผม
ที่ฝั่งตรงข้ามอันเต็มไปด้วยม่านหมอกอันหนาแน่นมีเสียงเอะอะโวยวายมากขึ้นกว่าเดิม แล้วตามมาด้วยเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของคนกลุ่มหนึ่ง จากนั้นเสียงเหมือนลูกธนูแหวกอากาศก็ดังขึ้นมาอีกถี่ๆ จนผมต้องรีบก้มหัวให้ต่ำที่สุดเพราะเกรงว่าจะมีดอกธนูพุ่งมาทางด้านนี้อีก และต่อมามันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
ดอกธนูดอกหนึ่งได้พุ่งตกลงมาปักจึ้กยังพื้นเบื้องหน้าของผมขณะที่ผมยังคงฟุบหมอบร่างไว้ให้ต่ำที่สุดกับพื้นล่องหนที่ผมมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ว่ามีมันอยู่ตรงนี้
แล้วผมก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้ผมแทบช็อค...! ก็คือเมื่อผมได้มองดอกธนูที่ได้ปักเด่อยู่กับพื้นสะพานล่องหนนี้ดูดีๆ แล้ว ผมก็ได้เห็นว่า
นี่มันเป็นดอกธนูสีเขียวที่เหล่าทหารของท่านจ้าวได้ใช้กันอยู่นี่เอง...?!
คุณพระช่วย...! นี่พวกทหารของท่านจ้าวต้องการจะยิงพวกเรางั้นเหรอ...?!!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
"อา... นี่ข้าคงยังไม่ได้บอกพวกท่านสินะ ว่าก่อนจะถึงหมู่บ้านของพวกเราท่านจะต้องได้พบกับสิ่งนี้ก่อน" ท่านจ้าวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงของพวกเรา
"ท่านจ้าวคะ.. นี่มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อมาก สิ่งที่เห็นนี้มันเกิดจากธรรมชาติจริงๆ เหรอคะนี่? " ไอริณเอ่ยถามท่านจ้าวพร้อมกับชี้นนิ้วไปยังเบื้องล่างที่ได้ปรากฏเป็นภาพของทัศนียภาพอันสุดจะพิลึกพิลั่นและน่าหวาดหวั่นแม้แต่แค่มองไป
เลยออกไปจากหน้าปากถ้ำมันก็คือชง่อนผาที่เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่างแล้วผมก็อดจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนจนใจหวิวๆ ขึ้นมาอีกไม่ได้
เพราะลึกลงไปข้างล่างที่ไม่รู้ว่าจะลึกสักกี่สิบเมตรหรืออาจจะลึกเป็นร้อยเมตร มันก็คือทะเลหินอันแหลมคมที่ได้ชูปลายของยอดที่เป็นหินปลายแหลมนับเป็นพันๆ หรืออาจจะเป็นหมื่นๆ ขึ้นสู่อากาศเบื้องบนอย่างไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นการสรรค์สร้างของธรรมชาติแห่งนี้
"ฮ่าๆ ๆ "ท่านจ้าวหัวเราะออกมาราวกับรู้สึกขำขันกับท่าทางหรือสีหน้าของพวกเราที่ต่างก็ดูไม่จืดกันสักคน
"สิ่งที่พวกท่านได้เห็นนี้ ไม่ใช่ภาพมายาแต่อย่างใด หินอันแหลมคมที่อยู่เบื้องล่างนับไม่ถ้วนนั้นล้วนเป็นหินจริงๆ หากว่ามีผู้ใดได้พลัดตกลงไปข้างล่างก็เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องถูกหนามหินอันแหลมคมนั้นเสียบทะลุร่างอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว"
"เอื้อก..." เสียงจันกลืนน้ำลายจนได้ยินชัด "พี่กิต... ถ้าจะให้ผมข้ามหน้าผานี้ไปผมก็ขอเลือกกลับไปทางเก่าดีกว่านะพี่กิต อูย... หุบเหวข้างล่างนี่มันไม่แตกต่างอะไรกับขุมนรกเลยนะพี่กิต" จันพูดออกมาเบาๆ โดยหวังให้ผมได้ยินคนเดียว แต่แล้วท่านจ้าวก็กลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นราวกับว่าเขาได้ยินที่จันพูดทั้งหมด
"น้องชายรู้ไม๊ว่า หุบเหวอันน่าหวาดกลัวแห่งนี้นี่ล่ะ ที่ได้เป็นปราการอันสำคัญแห่งหนึ่งที่ได้ทำให้หมู่บ้านของชาวมิตทราห์เราได้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงปัจจุบันนี้เลยนะ" ท่านจ้าวบอกออกมาอย่างยิ้มๆ
"ครับ ผมพอจะเข้าใจแล้ว " ผมกลับเป็นฝ่ายตอบท่านจ้าว "แต่หมู่บ้านของชาวมิตทราห์นั้นตอนนี้อยู่ที่ไหนล่ะครับท่านจ้าว หรือว่าจะอยู่เลยหุบเหวนี้ไปครับ? " ผมถามท่านจ้าวพร้อมกับพยายามหรี่ตามองข้ามหุบเหวนี้ไปทางด้านตรงข้ามที่มองเห็นเป็นแค่กลุ่มม่านหมอกอันหนาแน่นจนไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะมีแผ่นดินอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามด้วย
"ถูกต้อง..." แล้วท่านจ้าวก็หันหน้าไปทางด้านนั้น "หลังกลุ่มหมอกอันหนาหนักนี้ก็คือทางเข้าหมู่บ้านของชาวมิตทราห์เราที่ได้ตั้งอยู่บนหน้าผาอีกด้านหนึ่ง และกลุ่มหมอกอันมากมายเหล่านี้ที่จริงก็เป็นม่านหมอกบังตาที่ได้เกิดจากเวทมนต์ของท่านมหาดาบสที่ได้เสกบันดาลไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พวกเราได้อพยพหนีภัยมาจากพวกศัตรูเมื่อครั้งแรกๆ "
"อะไรนะคะ...? หมอกเวทมนต์อย่างนั้นหรือคะท่านจ้าว?!! " สีหน้าของไอริณดูจะตื่นตะลึงยิ่งขึ้่นกว่าเดิม "มัน... มันแทบไม่น่าจะเชื่อเลยนะคะท่านจ้าว คือ... ถ้าท่านมหาดาบสสามารถใช้เวทมนต์สร้างหมอกบังตาได้ถึงขนาดนี้ ก็ถือได้ว่าท่านเป็นผู้ที่มีเวทมนต์อาคมอันแรงกล้ายิ่งกว่าผู้ใดที่ริณได้เคยได้ยินหรือได้รู้จักมาอีกนะคะ? "
ท่านจ้าวยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก "การใช้เวทมนต์สร้างหมอกบังตาอันหนาแน่นนี้ขึ้นมาอาจจะไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับท่านมหาดาบส แต่การทำให้หมอกนี้คงอยู่ชั่วหน้าตาปีเช่นนี้ได้ ก็ไม่แน่นักว่าท่านมหาดาบสจะเอาอยู่ซะทีเดียว..."
"ผมคิดว่า นี่คงจะมีทริกประกอบเข้าด้วยกันด้วย..." พี่เมฆเอ่ยขึ้นมาขณะที่ใช้นิ้วชี้ถูข้างจมูกอย่างกับชอลิ้วเฮียง แต่ท่านจ้าวกลับเลิกคิ้วขึ้นสูงเพราะคำที่พี่เมฆใช้
"ทริกอย่างนั้นหรือ...? "
"อ๋อ... ผมหมายถึงกลหรือเครื่องมือวัตถุอะไรบางอย่างน่ะครับท่านจ้าว" พี่เมฆรีบอธิบาย
"อ๋อ เข้าใจล่ะ... ฮ่าๆ ๆ " ท่านจ้าวถึงกับเงยหน้าหัวเราะ "ท่านเมฆานับว่ามีความฉลาดหลักแหลมจริงๆ แต่ก็ถูกของท่านแล้ว ลำพังเวทมนต์ของท่านมหาดาบสอย่างเดียวนั้นก็ไม่สามารถจะดลบันดาลให้เกิดม่านหมอกบังตาอยู่ชั่วนาตาปีได้หรอกท่านเมฆา แต่สิ่งที่เสริมพลังเวทมนต์ของท่านมหาดาบสนี้ก็คือ ศิลาฤดูกาล ที่ท่านมหาดาบสได้เอามาตั้งไว้รอบหมู่บ้านทั้งสี่ทิศทาง...! "
ศิลาฤดูกาล...? อา... ในโลกที่ประหลาดแห่งนี้กลับมีสิ่งที่แปลกประหลาดเหลือเชื่อปรากฏออกมาให้ผมได้งวยงงอีกอย่างหนึ่งแล้วสินะ
แล้วมูติชาห์ที่กำลังยืนคุยอยู่กับสิงห์ในร่างนุชอยู่ที่ริมหน้าผาก็รีบเดินกลับมาหาท่านจ้าว
"พ่อจ้าว นี่ท่านแทบจะบอกความลับของชนเผ่าเราให้กับคนพวกนี้แทบจะทุกอย่างแล้วนะ..." เขาติงท่านจ้าวขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่เงียบไปพักใหญ่
ท่านจ้าวโบกมืออย่างยิ้มๆ "เอาเถอะน่า ข้ามองคนเหล่านี้ไม่ผิดหรอก ข้ามั่นใจว่าพวกเขาเป็นคนดีกันทุกคน ท่านสิงหโรจน์เองก็เคยได้ยืนยันรับประกันให้พวกเขาแล้วมิใช่หรือ...? "
แล้วมูติชาห์ก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปอีกครั้ง เขาจึงเดินกลับไปที่สิงห์ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างหงุดหงิด ขณะที่สิงห์กลับมองมาที่มูติชาห์ด้วยสีหน้าที่ขันๆ เล็กน้อย
ท่านจ้าวชายตามองมูติชาห์ด้วยหางตาอยู่วูบหนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับมาทางพวกเรา
"เป็นไง บุตรแห่งข้าผู้เป็นว่าที่ผู้นำของชนเผ่าเราในวันที่ไม่มีข้าอยู่ ที่จริงแล้วก็เป็นคนรอบคอบดีอยู่นะ เสียแต่ว่าอารมณ์อาจจะปรวนแปรขี้ระแวงจนเกินเหตุอย่างที่ได้เห็นกัน" ท่านจ้าวส่ายหัวเบาๆ แล้วก็อดที่จะถอนใจออกมาเฮือกหนึ่งไม่ได้
แล้วไอริณก็ทำท่าเหมือนจะถามอะไรออกมา แต่พี่เมฆกลับส่งซิกขยิบตาไปให้ไอริณ เธอจึงหุบปากลงอย่างทันควัน
เธอคิดจะถามอะไรท่านจ้าวกันนะ? แล้วทำไมพี่เมฆถึงรู้ว่าเธอขยับจะถามอะไรกันล่ะนั่น...? ผมเองคิดว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้และเอาไปถามไอริณในภายหลัง
แต่ท่านจ้าวนั้นกลับมีทีท่าเหมือนไม่ได้สังเกตุเห็นปฏิกิริยาของไอริณกับพี่เมฆเมื่อกี้นี้ แต่กลับพูดต่อไปว่า
"เอาล่ะ... ข้าคิดว่าพวกท่านคงจะสงสัยกันแล้วใช่ไหมว่า แล้วทางที่เราจะใช้ข้ามไปที่ฝั่งตรงข้ามนั้นอยู่ที่ใดกัน...? "
แล้วท่านจ้าวก็หันไปประกาศกับพวกทหารที่ยืนรอคำสั่งกันอยู่ "จงเดินทางกันต่อไปได้ เหล่าทหารหาญแห่งข้า...! "
สิ้นคำสั่งท่านจ้าว เหล่าทหารที่ได้ตั้งแถวรอท่านจ้าวอยู่ที่ริมหน้าผาก็ค่อยๆ เคลื่อนพลต่อไปยังด้านหน้าของริมหน้าผาทันที
แต่... แต่ให้ตายสิ ก็ตรงจุดที่อยู่เลยริมหน้าผานั่นไป มั่นเป็นเพียงอากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้นไม่ใช่เหรอ แล้วผมก็มองไม่เห็นว่ามันจะมีสะพานอะไรที่จะช่วยให้พวกทหารเดินขึ้นไปได้เลย?
แต่แล้วกองหน้าของทหารท่านจ้าวก็กลับก้าวขาลงไปบนอากาศที่ว่างเปล่ากันอย่างหน้าตาเฉยราวกับจะปลิดชีพตัวเองกันถ้วนทั่วทุกคน...!
"เหวอ...! " จันถึงกับกระโดดเข้ามากอดผมทันที "ตายแหล่ว...! เขาฆ่าตัวตายกันแล้วพี่กิต...?!!
ผมเองนั้นก็แทบกลั้นใจมองกองทหารก้าวเดินไปบนอากาศ เพราะตอนแรกก็คิดว่าอย่างไรก็คงจะทยอยกันร่วงหล่นไปสู่หุบเหวเบื้องล่างจนถ้วนทั่วทุกคน แต่ที่ไหนได้ พวกทหารของท่านจ้าวกลับก้าวเดินไปในอากาศโดยที่ไม่ได้ร่วงหล่นลงไปที่หุบเหวเบื้องล่างกันสักคนเดียว นี่มันราวกับว่าจะมีสะพานหรือเชือกล่องหนพาดอยู่ระหว่างหน้าผาซีกนี้กับหน้าผาซีกโน้นซะอย่างนั้นล่ะ....?
ผม ไอริณ พี่เมฆ ต่างก็หันมามองหน้ากันเองอยู่ชั่ววูบเหมือนกับจะตั้งคำถามกันเองว่า สิ่งที่พวกเราได้เห็นกันอยู่ข้างหน้านี้มันเป็นเวทมนต์หรือกลบังตาอีกอย่างหนึ่งใช่หรือไม่?
แล้วท่านจ้าวก็หัวเราะร่วน "ไปกันเหล่าท่านอาคันตุกะแห่งข้า อย่าเพิ่งได้สงสัยอะไร จงเดินตามข้าไปเถอะ" ท่านจ้าวกล่าวแล้วก็เดินนำไปข้างหน้าทันที
ขณะนั้นมูติชาห์กับสิงห์ได้ก้าวเดินกันไปถึงตรงกลางระหว่างหน้าผาทั้งสองข้างแล้ว ขาทั้งสองของคนทั้งคู่ก็กำลังก้าวอยู่บนอากาศอยู่เนิบๆ ราวกับจอมยุทธสองคนจากหนังจีนที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศด้วยวิชาตัวเบาชั้นยอดก็ปาน
แล้วท่านจ้าวก็ออกเดินไปในอกาศเป็นคนต่อมาโดยที่ก่อนก้าวออกไปท่านจ้าวก็ยังอุตส่าห์หันมายิ้มและยักคิ้วให้กับพวกเราครั้งหนึ่ง
"ไปกันเถอะ..." พี่เมฆพยักพเยิด "เขาข้ามไปกันได้ เราก็ต้องข้ามไปกันได้เช่นกัน"
"ห๋า... เอาจริงดิ? " ดวงตาของจันเหลือกลานขณะยังกอดแขนผมแจ "แล้วถ้าผมเป็นคนเดียวที่ร่วงตกลงไป ใครจะรับผิดชอบล่ะ? "
พี่เมฆส่ายหัวดิก "ไม่มีใครรับผิดชอบหรอก ถ้าเอ็งทำเลวมาเยอะ หรือเป็นคนชั่วช้าเหลือประมาณก็สมควรที่จะตกลงไปให้หินเสียบนะ"
ว่าแล้วพี่เมฆก็หันตัวไป แล้วก้าวฉับๆ นำไปทันที ส่วนจันก็ถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกอีกเลย
"ไปกันจัน อย่ามากลัวอะไรตอนนี้ อะไรๆ เราก็ผ่านก็ผจญกันมาตั้งหลายอย่างแล้วจะมากลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ล่ะ จันเชื่อฉันอย่างนะ ตรงนั้นน่ะมันต้องมีสะพานล่องหน เรามองไม่เห็นสะพานแต่มันมีสะพานอยู่อย่างแน่นอนล่ะ"
จันทำหน้าเหมือนจะร้องให้ "แต่พี่กิตครับ พี่กิตรู้ไม๊ว่า ผมน่ะเป็นคนกลัวความสูงที่สุดเลย ถึงผมจะไม่ตกลงไป แต่แค่ผมมองลงไปข้างล่างแล้วเห็นแต่หินแหลมๆ นั่น ผมก็แทบหัวใจวายแล้วล่ะครับ ฮือๆ "
จันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ จนผมเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมาอีก
"เอางี้นะ จันหลับตาเดินก็ได้ แล้วคอยจับแขนฉันไว้อย่างนี้ แล้วเราก็ค่อยๆ เดินกันไป"
แล้วผมก็หันไปที่ไอริณ "น้องริณ เดินตามพี่เมฆไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่กับจันจะค่อยๆ ตามไป
"ค่ะพี่กิต... เดินตามมาเร็วๆ นะจัน อย่างงอแงนักล่ะ" ไอริณว่าแล้วก็ก้าวตามพี่เมฆไปทันที
ครู่ต่อมาผมกับจันก็ค่อยๆ เดินมาจนถึงตรงกลางระหว่างหน้าผาทั้งสองฝั่งขณะที่จันยังคงหลับตาปี๋
"ถะ... ถึงอีกฝั่งหรือยังพี่กิต ทำไมผมรู้สึกว่าเราเดินกันมาตั้งนานแล้วล่ะนี่? " จันถามออกมาเบาๆ
"โธ่เอ๊ย.. ก็จันน่ะเดินช้ามากเลยรู้หรือเปล่า? " แล้วผมก็เกิดคิดพิเรนท์ขึ้นมา ไม่... ผมต้องทำให้จันเข้มแข็งขึ้นอีกหน่อย
"จัน ลืมตาได้ เรามาถึงอีกฝั่งกันแล้วล่ะ..." ผมตัดสินใจบอกจันไปอย่างนั้น
และพอจันลืมตาขึ้นมา และเห็นว่าตัวเองเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ เขาก็ถึงกับตาเหลือกร้องจ้ากทันที...!
"พ... พี่กิต หลอกผม! เหวอ...! ข้างล่างมีแต่หินแหลมๆ ผ... ผมจะเป็นลมล่ะทีนี้..."
"จัน! อย่ามองลงไปข้างล่างสิ มองไปตรงๆ ทางฝั่งโน้น เห็นไม๊นั่น น้องริณเดินถึงฝั่งโน้นแล้วนะ" ผมชี้ให้จันมองไปที่ฝั่งตรงข้ามที่เหล่าคนที่ึเดินไปก่อนหน้าเราทั้งหมดได้ยืนอยู่ริมหน้าผาทางด้านนั้นท่ามกลางหมอกหนาจนผมเองก็ยังมองเห็นใครไม่ชัดซะทีเดียว
"อยากจะไปให้ถึงฝั่งโน้นเร็วๆ ก็อย่าหลับตาอีก แล้วรีบเดินให้ไวๆ หน่อย มา ก้าวตามฉันมาให้ติดๆ เลย" ผมไม่เสียเวลาพูดอีกต่อไป รีบก้าวออกไปทันที
"ว๊าก...! พี่กิตรอผมด้วยสิคร้าบ" จันเกาะเอวผมและก็เดินตามมาอย่างเร็วจนได้
แต่ขณะที่ผมก้าวเดินไปใกล้จะถึงฝั่งตรงข้าม ผมก็ได้ยินเสียงคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่งเสียงดังโวยวายเอะอะราวกับมีเหตุอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง
"พี่กิต...! ระวังตัวด้วยค่ะ! " เสียงของไอริณดังออกมาจากหลังหมอกหนาอย่างร้อนรน "มีศัตรูปรากฏอยู่ทางด้านนี้ค่ะพี่กิต ระวังค่ะๆ ...! "
แล้วเสียงเฟี้ยวของวัตถุอะไรบางอย่างก็พุ่งผ่านหน้าผมไปทันที
ผมรีบดึงจันให้ก้มตัวลงโดยเร็ว "หมอบลงก่อนเร็วจัน! "
"ม... มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะพี่กิต...! " จันหมอบลงอย่างรวดเร็วพลางละล่ำละลักถามผม
ที่ฝั่งตรงข้ามอันเต็มไปด้วยม่านหมอกอันหนาแน่นมีเสียงเอะอะโวยวายมากขึ้นกว่าเดิม แล้วตามมาด้วยเสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของคนกลุ่มหนึ่ง จากนั้นเสียงเหมือนลูกธนูแหวกอากาศก็ดังขึ้นมาอีกถี่ๆ จนผมต้องรีบก้มหัวให้ต่ำที่สุดเพราะเกรงว่าจะมีดอกธนูพุ่งมาทางด้านนี้อีก และต่อมามันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ!
ดอกธนูดอกหนึ่งได้พุ่งตกลงมาปักจึ้กยังพื้นเบื้องหน้าของผมขณะที่ผมยังคงฟุบหมอบร่างไว้ให้ต่ำที่สุดกับพื้นล่องหนที่ผมมองไม่เห็นแต่รู้สึกได้ว่ามีมันอยู่ตรงนี้
แล้วผมก็ได้พบกับสิ่งที่ทำให้ผมแทบช็อค...! ก็คือเมื่อผมได้มองดอกธนูที่ได้ปักเด่อยู่กับพื้นสะพานล่องหนนี้ดูดีๆ แล้ว ผมก็ได้เห็นว่า
นี่มันเป็นดอกธนูสีเขียวที่เหล่าทหารของท่านจ้าวได้ใช้กันอยู่นี่เอง...?!
คุณพระช่วย...! นี่พวกทหารของท่านจ้าวต้องการจะยิงพวกเรางั้นเหรอ...?!!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ