สืบสู้ผี ภาค 1-2

8.7

เขียนโดย Jintanakorn

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.

  73 ตอน
  3 วิจารณ์
  64.67K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

52) นรกที่ขวางหน้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ท่ามกลางความคับขัน ผมก็ได้มองเห็นวงแหวนสีเงินประหลาดสองวงพุ่งลอยอยู่กลางอากาศ และพริบตานั้นมันก็พุ่งเข้าไปสวมที่คอของเจ้างูยักษ์ทั้งสองอย่างพอดิบพอดี...!

วงแหวนทั้งสองที่เข้าไปสวมอยู่บนคอของเจ้างูนรกแต่ล่ะตัวต่างก็หมุนรอบตัวเองราวกับจักรผัน แล้วเจ้างูนรกทั้งสองก็ต้องร้องออกมาด้วยเสียงอันแหลมเล็กบาดหู ราวกับว่าพวกมันจะได้รับความเจ็บปวดจากวงแหวนทั้งสองอย่างเกินจะทนไหว จากนั้นพวกมันก็สะบัดตัวดิ้นรนไปมาอย่างเต็มที่ราวกับต้องการที่จะให้วงแหวนที่อยู่บนคอของพวกมันได้สลัดหลุดออกไปในทันที แต่วงแหวนทั้งสองวงนั้นก็ดูเหมือนว่าจะหดตัวลงไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดหัวของเจ้างูยักษ์แต่ล่ะตัวก็ถึงกับขาดหลุดออกจากลำตัวราวกับถูกใบเลื่อยอันคมกริบเลื่อยตัดคอของพวกมันอย่างไม่ปราณี...!

แล้วลำตัวของเจ้างูทั้งสองก็ค่อยๆ เปื่อยสลายลงไปกลายเป็นผงธุลีสีดำไปในที่สุด ขณะที่ไอริณกับจันก็ร่วงตกลงสู่พื้นเบื้องล่างอย่างแทบจะหน้าคะมำไปตามๆ กัน

ผมรีบถลาเข้าไปประคองไอริณไว้ทันที

"น้องริณ เป็นอะไรมากไม๊...? " ผมถามเธอเร็วปรื๋อ ในใจของตัวเองยังอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ไม่ได้

ไอริณหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ใช้แขนทั้งสองข้างโอบคอผมไว้ "ไม่... ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะพี่กิต ถ้า... ถ้าไม่ได้พี่เมฆช่วยไว้ได้ทัน ริณก็อาจจะแย่เหมือนกันล่ะค่ะ..."

"พี่เมฆ...? " ผมทวนคำนั้นอย่างแปลกใจ แล้วก็รีบหันไปมองทางที่พี่เมฆยืนอยู่ และขณะนั้นท่านจ้าวและกลุ่มทหารรวมทั้งมูติชาห์ต่างก็กำลังเพ่งมองพี่เมฆราวกับว่าได้เห็นตัวประหลาดสักตัวหนึ่งก็ปาน ขณะที่อีกด้านหนึ่งผมก็ได้เห็นสิงห์กำลังประคองจันขึ้นมา

พี่เมฆทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเหลียวไปมองท่านจ้าวกับมูติชาห์นิดหนึ่ง แล้วก็ทำท่าเหมือนกำลังเก็บอะไรเข้าไปในเสื้อแจ็คเก็ตของเขา และพอผมสังเกตุที่สิ่งนั้นอยู่แป๊บเดียว ผมก็เพิ่งรู้ในตอนนั้นเองว่า สิ่งนั้นก็คือ ห่วงนาคบาศก์สองห่วงที่พี่เมฆได้เคยนำไปใช้ปราบอัฒพาลสามคนที่ได้โดนผีสิงในตอนนั้นนั่นเอง

แล้วท่านจ้าวก็เดินไปที่เบื้องหน้าพี่เมฆ

"ช่างน่าอัศจรรย์นัก ข้าเองไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่า ท่านผู้นี้จะมีวิชาและวัตถุแห่งอาคมที่จะใช้จัดการพวกอสูรร้ายเหล่านั้นได้"

"จริงๆ ผมเองก็ไม่ได้มีวิชาอะไรเท่าไรหรอกท่านจ้าว แต่ถ้าเป็นอสูรที่เกิดจากอาคมร้ายบางอย่าง ผมเองก็พอจะมีวิชาและเครื่องมือนิดๆ หน่อยๆ ที่พอจะใช้จัดการกับพวกมันได้อยู่บ้างน่ะท่านจ้าว"

"อา... ท่านช่างถ่อมตัวดีเหลือเกิน" ท่านจ้าวส่ายหัวอย่างยิ้มๆ "ไม่รู้ว่าข้าเองนั้นได้สอบถามนามของท่านไปหรือยังล่ะนี่? "

"ชื่อของผมก็คือ เมฆา ครับท่านจ้าว"

"ดีๆ ๆ " ท่านจ้าวตรงเข้ามาจับมือของเมฆาไว้ "ท่านเมฆา ข้าดีใจเหลือเกิน ที่ได้รู้จักคนอย่างท่าน บุคคลที่มีความสามารถมีวิชาเช่นท่านนี้ ข้ารู้สึกเป็นเกียติและเป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาพบพานและรู้จัก แม้จะเป็นไปด้วยความบังเอิญเช่นนี้"

พี่เมฆยกมือขึ้นเกาหัวอันยุ่งเป็นกระเซิง "เป็นเกียติกับผมเช่นกันครับท่านจ้าว แต่ได้โปรดอย่ายกย่องผมจนเกินไป แล้วอีกอย่างพวกของผมที่ได้เดินทางมาด้วยกัน ต่างก็มีคุณสมบัติที่พิเศษติดตัวกันอยู่บ้างเหมือนกัน ไม่งั้นพวกเราก็คงจะไม่สามารถเดินทางมาถึงที่นี่กันได้หรอกนะครับ" พี่เมฆพูดออกมาอย่างยิ้มๆ พลางแอบขยิบตามาทางผมครั้งนึง

แต่ขณะนั้นผมเองก็ได้สังเกตุเห็นว่ามูติชาห์กลับมีสีหน้าที่บอกบุญไม่รับสักเท่าไร ซึ่งก็คงจะเป็นเพราะการที่ยังไม่ไว้วางใจพวกเราอย่างเต็มร้อยนั่นเอง หรืออาจจะเป็นเพราะไม่ชอบขี้หน้าพวกเราก็ไม่อาจจะรู้ได้

"พ่อจ้าว ก็อย่างที่ข้าได้บอกไปแล้ว ว่าเราจะมัวมาโอ้เอ้อยู่ในตอนนี้ไม่ได้" มูติชาห์พูดขึ้น " พวกเราจำเป็นที่จะต้องกลับไปที่หมู่บ้านของพวกเราให้เร็วที่สุด หากจะไม่ให้พบเจอกับการปิดล้อมของพวกศัตรูที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในครั้งนี้"

"อา... ถูกของเจ้า มูติชาห์ " ท่านจ้าวหันมากวาดตามองพวกเราทันที "ไป ไปกันเถอะ เหล่าอาคันตุกะผู้มีเกียติแห่งข้า มีอะไรเราค่อยไปคุยกันที่หมู่บ้านของข้ากันอีกทีก็คงยังไม่สายเกินไปหรอกนะพวกท่าน.."

แล้วในที่สุดทั้งคณะของพวกเราและคณะของท่านจ้าวก็ได้ออกเดินทางกลับไปสู่หมู่บ้านของท่านจ้าวกันอย่างเร่งด่วน

ครู่ต่อมาผมก็ได้พบว่าพวกเรากำลังเดินทางกันอยู่บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอันสวยงามของสองข้างทางที่มีแต่ต้นหญ้าอันเขียวชะอุ่มสลับกับพุ่มไม้ประหลาดๆ ที่ดูคล้ายๆ กับต้นปาล์มแต่มีดอกสีเหลืองสพรั่งอยู่ที่ส่วนยอดของมัน แต่พวกเราก็ได้พบกับสิ่งที่สวยงามแบบนั้นอยู่ได้ราวครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เพราะจากนั้นพวกเราก็ได้มาบรรลุถึงธารน้ำอีกแห่งหนึ่งที่ได้ทอดลำน้ำอยู่ระหว่างกรวดหินน้อยใหญ่ของทั้งสองฟากฝั่ง แต่ที่ฝั่งตรงข้ามนั้นกลับมีสายน้ำตกไหลหลั่งรุนแรงลงมาจากชง่อนผาที่อยู่สูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

แล้วท่านจ้าวก็ให้สัญญาณพวกเรา ให้เดินตามคณะของท่านที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ใต้ธารน้ำตกนั้น ซึ่งผมเองก็เพิ่งจะได้สังเกตุเห็น หลังจากที่เดินตามเข้าไปจนอยู่ใกล้กับปากถ้ำแล้ว

และต่อมาในภายหลัง ผมเองก็ได้มารู้และเข้าใจว่า พวกชาวมิตทราห์ทั้งหมดต่างก็ต้องใช้เส้นทางภายในถ้ำแห่งนี้เป็นเส้นทางลัดที่จะนำไปสู่หมู่บ้านอันลึกลับของพวกเขานั่นเอง

แต่ในครั้งนี้ หลังจากที่พวกเราได้ติดตามคณะของท่านจ้าวเข้าไปในถ้ำได้ราวยี่สิบนาทีแล้ว พวกเราก็ค่อยๆ ได้เห็นแสงสว่างลิบๆ อันสดใสอยู่ที่ปลายทางของถ้ำอันสลัวมืดนี้จนรู้สึกว่า หากพ้นจากถ้ำแห่งนี้ไปพวกเราก็คงจะได้พบกับหมู่บ้านของชาวมิตทราห์อยู่ที่เบื้องหน้านั้นอย่างแน่นอน

แต่ในความเป็นจริง เมื่อพวกเราได้บรรลุถึงทางออกของถ้ำอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ผมเองก็แทบอ้าปากค้าง และก็ไม่อาจจะกล้าก้าวขาออกไปจากตรงหน้าปากถ้ำแห่งนี้ได้เลย เพราะผมกลับได้เห็นสิ่งอันน่าตระหนกบางอย่างที่ขวางอยู่ที่เบื้องหน้าในขณะนี้...!

ให้ตายสิ... นี่มันนรกอะไรกันล่ะนี่?!

ผมรีบหันกลับไปมองไอริณและพี่เมฆที่ได้เดินตามผมมาติดๆ แล้วก็ได้เห็นสีหน้าอันตื่นตะลึงราวกับจะไม่เชื่อสายตากับสิ่งอันน่าสะพรึงข้างหน้านี้ด้วยกันทั้งสองคน

ส่วนจันที่ได้เดินขนาบมาพร้อมๆ กับผมก็ถึงกับขาสั่นเป็นจ้าวเข้าขึ้นมาทันที

"พ... พี่กิต นี่มันอะไรกัน น... นี่มันนรกชัดๆ ไม่ใช่เหรอพี่...?! "

 

 

(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆ นี้นะครับ)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา