สืบสู้ผี ภาค 1-2
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
43) กุญแจเปิดนรก ดอกที่ 3
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความร้อนใจของผม ทำให้ผมวิ่งล้ำนำหน้าจันไปช่วงหนึ่ง ในขณะที่พี่เมฆเองก็วิ่งตามจันมาติดๆ
พอพ้นหัวโค้งตามแนวลำธารนี้ไปทางขวาแค่เพียงอึดใจแล้ว ผมก็มองเห็นร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ริมธารข้างหน้านั้นได้อย่างทันที
แต่ทว่าร่างที่นอนอยู่นั้นกลับไม่ใช่ไอริณ แต่เป็นใครก็ไม่รู้ที่กำลังนอนอยู่บนตักของไอริณ
"น้องริณ... ?!" ผมตะโกนเรียกเธอขณะที่วิ่งเข้าไปจนใกล้แล้ว
ไอริณเงยหน้ามองผม "พี่กิต ! เร็วๆค่ะ เขาคนนี้ยังไม่ตาย แต่กำลังจะตายค่ะ !"
พอเราทั้งสามคนวิ่งมาจนถึงไอริณแล้ว ก็ได้เห็นว่าร่างที่นอนอยู่บนตักของไอริณในขณะนี้ก็คือร่างของผู้ชายคนหนึ่ง เป็นผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บและมีลูกธนูปักคาร่างอยู่บนเนินอก เลือดที่ออกมาจากปากบาดแผลของลูกธนูนัั้นตอนนี้ก็ไหลเปลอะเปื้อนร่างกายของเขาจนชุ่มโชก
แล้วผมก็หันไปมองหน้าจัน แล้วถามด้วยเสียงหอบๆ
"เมือกี้ฉันถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับน้องริณ แต่จันดันบอกว่าตายแล้ว จันนี่เเทบจะทำให้ฉันหัวใจวายตายไปซะเองจริงๆเลยนะ ?!"
จันทำหน้าเหรอหรา "ระ... เหรอครับพี่กิต ก็เมื่อกี้ผมกำลังตื่นเต้นนี่ครับ พอพี่ริณกับผมมาเจอคนๆนี้นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนี้แถมมีเลือดออกเต็มตัว พี่ริณก็ใช้ให้ผมวิ่งไปตามพวกพี่ทันทีนี่ครับ ผมเองก็ไม่ทันได้ฟังว่าพี่กิตถามผมว่าไรกันแน่น่ะ แฮะๆ"
ไอริณมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มที่มุมปาก "นี่พี่กิตห่วงริณจริงๆเหรอคะ ถึงว่าเมื่อกี้ริณเห็นพี่วิ่งมาหน้าตั้งเลย"
"ก็... ก็..." ผมรู้สึกเขินและติดอ่างขึ้นมาทันที "ช่างพี่เถอะน่า แล้วตกลงผู้ชายคนนี้เขาไปสู้รบกับใครหรือไปโดนใครยิงมากันล่ะเนี่ย ?"
"ริณก็ไม่รู้หรอกค่ะ พอริณกับจันเดินเลียบลำธารมาถึงตรงนี้แล้ว ก็เห็นเขานอนหงายแน่นิ่งอยู่ตรงนี้แล้วล่ะค่ะ"
ผมเข้าไปยืนใกล้ๆและพิจารณาดูลักษณะของชายคนนี้แล้วก็เห็นว่าเขามีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงและมีหน้าตาคมสันแต่ผิวออกจะเกรียมแดด เขาอยู่ในชุดซาฟารีอย่างดีแบบที่พวกนักผจญภัยกลางแจ้งชอบใส่กัน
พี่เมฆเองก็เข้าไปนั่งคุกเข่าดูใกล้ๆ "เขายังไม่ตายสินะ... อืม... แต่ดูท่าทางแล้วคงจะอยู่ได้อีกไม่นานหรอกนะ"
พี่เมฆว่าแล้วก็เอื้อมมือไปแตะที่ร่างนั้นพร้อมกับท่องคาถาบางอย่าง
แล้วปาฏิหารย์บางอย่างก็เกิดขึ้น ชายผู้ที่กำลังจะสิ้นใจนี้ค่อยๆเผยอลืมตาขึ้นมา แล้วก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆขึ้นที่มุมปากของเขา
"อา... เธอ... เธอช่างดูเหมือนคน... เหมือนมนุษย์อย่างพวกเรามากเลยนะ... หรือว่าเธอคือนางฟ้าที่มารับฉัน... ฉัน..." เขาพูดได้แค่นั้น แล้วก็ค่อยๆยกมือขึ้นมาจะแตะใบหน้าของไอริณ แต่ไอริณกลับจับมือของเขาไว้ซะก่อน
"ค่อยๆพูดเถอะนะคะ คุณกำลังบาดเจ็บมาก เกรงว่า..."
ชายผู้นั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "บาดเจ็บ...? อา... นี่ฉันยังไม่ได้ตายไปจริงๆหรอกรึ ? แต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยนะ แต่ฉัน... ฉันรู้สึกเหนื่อยและกระหายมากเหลือเกิน..."
ไอริณเงยหน้าขึ้นมองผม "พี่กิตคะ พี่รีบไปวักน้ำมาให้เขาดื่มสักหน่อยนะคะ"
และหลังจากที่ผมไปวักน้ำมาใส่ปากเขาหน่อยหนึ่งแล้ว สีหน้าของเขาก็มีสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อย แต่ผมก็คิดว่านั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเขา
"ชื่อของผมคือชัยยา..." เขาค่อยๆเล่าเรื่อง "ผมกับพี่ชายชื่อเรืองเดชเป็นพรานที่ได้เดินทางท่องเที่ยวมาทั่วโลก แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมกับพี่ชายได้รับการติดต่อจากคณะผู้ว่าจ้างชาวอังกฤษสองคนให้นำทางพวกเขาเข้าไปสำรวจหาแร่ธาตุบางอย่างที่ในป่าลึกแถวเมืองกาญ และเรายังหาพรานพื้นเมืองอีกสองคนพร้อมด้วยลูกหาบอีกสี่คนให้เดินทางเข้าไปในป่าลึกพร้อมกับเราด้วย... แค่กๆ..."
ชายผู้ชื่อชัยยาไอออกมาเล็กน้อยก่อนจะเล่าต่อไป "ในระหว่างเดินทางอยู่ในป่า ผมกับพี่ชายก็เริ่มเอะใจในเป้าหมายที่แท้จริงของชาวอังกฤษทั้งสองนี้ เมื่อในบางครั้งเรากลับได้ยินการสนธนาของเขาทั้งสองที่ได้พูดถึงเรื่องของขุมทรัพย์อะไรบางอย่างโดยที่ทั้งสองเองนั้นบางทีก็คงจะลืมไปว่าผมกับพี่ชายได้เดินทางผจญภัยในป่าใหญ่มาแล้วทั่วโลกโดยได้เคยอาศัยอยู่ในเมืองไทยแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงทำให้เราสองคนเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างแตกฉาน แต่เขาสองคนก็มักจะมองผมเป็นแค่คนเอเชียตะวันออก จึงมักจะเผลอคุยกันถึงเรืองขุมทรัพย์นั้นให้เราได้ยินอยู่เรื่อยๆ"
"และเมื่อเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง พี่ชายกับผมก็ได้ตัดสินใจเปิดอกถามถึงเรื่องขุมทรัพย์เหล่านั้น จะว่าพี่ชายของผมสนใจในเรื่องของขุมทรัพย์นั่นมากก็ได้ ถึงได้ตัดสินใจอย่างนี้... แค่กๆ..."
"ตอนแรกฝรั่งสองคนนั่นก็ตกอกตกใจเหมือนกัน ที่เราสองคนระแคะระคายถึงเรื่องขุมทรัพย์ที่พวกเขาคุยกัน พวกเขาจึงขอตัวไปคุยปรึกษากัน แล้วก็กลับมาบอกเราสองคนว่า พวกเขากำลังค้นหาขุมทรัพย์บางอย่างอยู่จริงๆ โดยที่พวกเขาได้สืบหรือได้ศึกษาแผนที่ลึกลับอันหนึ่งจนได้ข้อมูลมาว่า มีนครร้างหรือเมืองร้างอันเก่าแก่โบราณอายุนับหลายหมื่นปีซุกซ่อนอยู่ในป่าลึกของเมืองไทย โดยที่ภายในสุสานของเมืองร้างแห่งนี้น่าจะเต็มไปด้วยขุมทรัพย์อันมากมายมหาศาลตามข้อมูลที่พวกเขาได้ศึกษากันมา"
"แล้วฝรั่งทั้งสองคนนี้ก็ได้ตัดสินใจยื่นข้อเสนอให้ผมกับพี่ชายมีส่วนร่วมในการค้นหาขุมทรัพย์ครั้งนี้โดยที่ไม่ว่าจะเจอขุมทรัพย์เป็นจำนวนหรือมูลค่ามากน้อยเท่าไรก็จะแบ่งให้เราสองคนสามสิบเปอร์เซ็นต์ แต่พี่ชายของผมกลับไม่โอเคด้วย และบอกว่าเขากับผมต้องได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะการเดินทางเข้ามาในป่าลึกของเมืองไทยครั้งนี้ถือว่าค่อนข้างลำบากยากเข็ญกว่าป่าลึกของที่อื่นๆในโลกมากนัก
ฝรั่งสองคนนั่นปรึกษากันอยู่ชั่วครู่แล้วก็หันมาบอกเราว่า เขาให้ได้แค่สี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะพวกเขาเองก็เหนื่อยลำบากยากเข็ญเช่นกันที่กว่าจะได้แผนที่และของบางสิ่งที่จะใช้เปิดสุสานของนครโบราณที่ว่านั่นมา..."
ราวกับว่าผมจะสังหรณ์ถึงอะไรบางอย่าง...? ผมเงยหน้าขึ้นมองไอริณที่เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัยเช่นกัน
"ขอโทษนะครับ... ขอผมถามหน่อยได้ไหมครับ..." ผมตัดสินใจถามเขาขึ้นมา "ของบางสิ่งที่จะใช้เปิดสุสานโบราณอย่างที่ฝรั่งสองคนว่านั่น มันคืออะไรกันเหรอครับ ?"
ชายผู้ชื่อชัยยาค่อยๆเหลือบตามองมาทางผม
"มันคือ... มันก็คือ ดอกกุญแจประหลาด... มันเป็นดอกกุญแจประหลาดที่มีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ครับ !"
"ดอกกุญแจประหลาดดอกใหญ่... ?!!" ผมกับไอริณและพี่เมฆต่างอุทานขึ้นมาทันที !
ชายผู้ชื่อชัยยาแม้จะดูอ่อนเพลีย แต่ก็มีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาที่เห็นอาการของเราทั้งสาม แต่เขาก็เล่าต่อไป
"และ.. และเจ้าดอกกุญแจบ้าบออันนี้นั่นเองที่ทำให้คณะเดินทางของพวกเราทั้งหมดต้องเข้ามาหลงติดอยู่ในดินแดนที่ประหลาดและอันตรายสาหัสยิ่งกว่าอันตรายใดๆที่เราได้เคยเจอกันมาแล้วทั้งหมด... !"
คุณพระ...! มีเรื่องของกุญเเจประหลาดโผล่ขึ้นมาอีกดอกแล้ว ?
นี่ชายที่ชื่อชัยยาคนนี้ คงจะยังไม่รู้สินะว่า กำลังยุ่งเกี่ยวกับดอกกุญแจที่สามารถจะนำพาพวกเขาไปสู่ขุมนรกด้วยกันทั้งหมด... !
และขณะที่พวกเรากำลังตกตะลึงจากเรืองเล่าของชายที่ชื่อชัยยา อยู่ๆก็มีเสียงพูดของใครคนอื่นดังขึ้น
"วางผู้ชายคนนั้นลง และออกมาจากตรงนั้นซะเดี๋ยวนี้... !"
เสียงประกาศิตที่ค่อนข้างดังมากนั้นกลับดังมาจากด้านหลังของพวกเรา
แล้วพวกเราเองทั้งหมดก็ต้องตาโตตกตะลึง เมื่อหันกลับไปมองที่ต้นตอของเสียงนั้นแล้วก็เห็นว่า
นี่เป็นเสียงที่ดังมาจากร่างของบุคคลที่มีศรีษระเป็นอสูรกายหรือปิศาจอะไรสักอย่างที่มีเขาสองเขายื่นออกมาจากที่ส่วนหน้าของหน้าผาก และบุคคลที่ยืนขนาบอยู่ข้างๆเขาคนนี้ก็คือ... สิงห์ในร่างของนุชนั่นเอง... !
แต่สิงห์ในขณะนี้กลับกำลังยืนทำหน้าเคร่งเครียดอย่างผิดปกติ....
แล้วนี่มันกำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันอีกล่ะเนี่ย...?!!
(โปรดติดตามในบทต่อไป เร็วๆนี้นะครับ)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ