สืบสู้ผี ภาค 1-2

8.7

เขียนโดย Jintanakorn

วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.

  73 ตอน
  3 วิจารณ์
  64.70K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) เขายังไม่ตาย...?!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ร่างที่นอนอยู่ในแท่นหรือในโลงประหลาดนี้ เป็นร่างของชายที่ชื่อสิงห์ไม่ผิดแน่ๆ และแสงสว่างสีฟ้าอ่อนๆที่อยู่ภายใต้กระจกใสบริสุทธินี้ ก็ดูราวกับจะเป็นออร่าบางอย่างที่คอยห่อหุ้มร่างของเขาไว้ให้อยู่ในสภาพเหมือนคนที่ ยังมีชีวิตอยู่...!

ใช่แล้ว... ร่างของชายที่ชื่อสิงห์ที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้ ไม่ได้เหมือนกับคนที่เสียชีวิตมาเนิ่นนานแล้วเลยสักนิด แต่เขาดูเหมือนกับคนปกติที่กำลังนอนหลับอยู่โดยที่ยังไม่ถึงเวลาที่จะตื่นขึ้นมาในตอนนี้ซะมากกว่า ?!

"นี่มัน... นี่มันเป็น ศพของเขาจริงๆหรือ...? " ผมพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง "แล้วทำไม.. แล้วทำไมศพนี่ ถึงดูไม่เหมือนศพเลยล่ะ พี่ว่า... เขาดูเหมือนกับคนที่กำลังนอนหลับอยู่ซะมากกว่านะน้องริณ นี่มันยังไงกันล่ะนี่...?"

ไอริณเงยหน้าขึ้นมองผม สีหน้าของเธอก็มีความประหลาดใจ และดูเหมือนจะมีความสงสัยในอะไรบางอย่าง กับร่างที่นอนอยู่ตรงหน้านี้ จนไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาในทันทีทันใดได้

แล้วจันก็ขยับเข้ามาจนชิดผมเพื่อต้องการจะมองดูร่างที่อยู่ในโลงประหลาดนี้ได้ถนัดๆ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงและพิศวงงงงวยไม่ต่างกับตัวผมเอง เขาเงยหน้าขึ้นมองผมสลับกับมองไอริณราวกับจะมีคำถามเช่นกัน

พวกเราทั้งสามต่างตกอยู่ในความเงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ไอริณจะพูดขึ้นว่า

"ร่างนี้... ยังมีชีวิตอยู่นะพี่กิต พูดง่ายๆก็คือ ร่างนี้ยังมีเลือดเนื้ออยู่โดยสมบูรณ์เหมือนอย่างเราๆนี่เลยล่ะพี่..."

แล้วผมก็ต้องตาโตกับคำวินิจฉัยของไอริณ นี่เธอใช้หลักการอะไรมาอธิบายถึงสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่กันนะ..? มันก็เห็นๆกันอยู่ว่า ชายที่ชื่อสิงห์นี้เป็นผีหรือวิญญาณที่วนเวียนอยู่ในระแวกนี้ และเพิ่งจะนำทางให้พวกเราลงมาที่ห้องใต้ดินอยู่เมื่อสักครู่นี้เอง...?

"น้องริณ... ทำไมน้องริณถึงคิดว่าเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะ พี่กับน้องริณก็เพิ่งจะมาเห็นสิ่งนี้พร้อมๆกันเองนะ...?" ผมถามไอริณอย่างกังขาสุดๆ

"บางทีศพนี่... " ผมเพ่งมองไปที่ร่างนั้นอีกครั้ง "อาจจะถูกแช่แข็งไว้ในโลงประหลาดนี่มานานแล้วก็ได้นะ พี่เคยได้ยินมาว่าร่างของสิ่งชีวิตในปัจจุบันนี้ ถ้าตายไปแล้วพวกนักวิทยาศาสตร์เขาก็สามารถเอาไปใส่ไว้ในแคปซูลเพื่อแช่แข็งให้อยู่ในสภาพเดิมๆได้อยู่หลายๆปีเลยไม่ใช่เหรอ บางทีอาจจะมีนักวิทยาศาสตร์คนไหนคนหนึ่งได้นำร่างอันไร้วิญญาณของเขามาแช่แข็งไว้ใน... ในแคปซูลประหลาดนี้มาตั้งหลายปีแล้วก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ....?"

ไอริณยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันกลับไปที่แท่นหินที่ดูเหมือนโลงศพประหลาดนี้ แล้วเอามือลูบคลำแท่นหินประหลาดนี้ไปๆมาๆ จากนั้นผมก็เห็นว่าเธอได้ใช้นิ้วมือของเธอไล่ไปตามรอยสลักนูนต่ำที่อยู่รอบๆแท่นหินนี้อยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเงยหน้ามามองผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเต็มเปี่ยม

"ตอนที่ริณได้เข้ามาถึงแท่นหินที่ดูเหมือนโลงศพนี่ในตอนแรก ริณก็สะดุดใจแต่แรก และเกิดความมั่นใจในสิ่งนี้ระดับหนึ่งว่ามันคืออะไรกันแน่... พี่กิต ลองดูรอยสลักรอบๆนี่สิ..."

สายตาของผมมองไปที่รอยสลักประหลาดๆที่อยู่รายรอบแท่นหินประหลาดนี้อย่างไม่อาจจะเข้าใจอะไรได้เลย รู้สึกแต่ว่าลายสลักพวกนี้ดูแปลกๆอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน มองเผินๆก็เหมือนรูปวาดบางอย่าง มองอีกทีก็เหมือนตัวหนังสือที่ดัดแปลงมาจากรูปวาด คล้ายๆกับ... คล้ายกับอะไรน๊า....?

แล้วผมก็นึกออก... คล้ายๆกับตัวหนังสือของพวกชนเผ่ามายาโบราณที่ผมเคยเห็นในวีดีโอสารคดีนั่นยังไงล่ะ แต่ก็แค่คล้ายๆเท่านั้นเองล่ะมั้ง ?

"รอยสลัก... จะบอกว่านี่เป็นรอยสลักของพวกชนเผ่ามายาหรืออะไรทำนองนั้นใช่ไหมน้องริณ ?!" ผมโพล่งออกไป "แล้วรอยสลักมันมาเกี่ยวอะไรกับเตียงแค็ป..."

"นี่ไม่ใช่เตียงแค็ปซูลหรือโลงแค็ปซูลของพวกชนเผ่ามายาอย่างที่พี่กิตกำลังจะพูดออกมา..." ไอริณทำหน้าเข้ม "แต่นี่คือแท่นศิลาน้ำแข็งแห่ง 'พิมาลายา' ต่างหากจ้ะพี่กิต"

ดูเหมือนว่าผมจะฟังไม่ทัน...? "อะไรนะ.... พิมาอะไรนะน้องริณ ?" ผมอดจะมึนๆกับศัพท์แปลกๆที่เพิ่งเคยได้ยินไม่ได้

"พิมาลายา เจ้าค่ะพี่กิต..." ไอริณอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ "พูดแล้วก็เหมือนนิยายหรือนิทาน พิมาลายา ที่ริณพูดถึงนี้ ก็คือนครลับแลนครหนึ่งที่มีอยู่จริงๆค่ะ"

แล้วไอริณก็เดินลูบคลำแท่นหินรูปสี่เหลี่ยมนี้ไปจนรอบ "ริณเองนั้นก็เพิ่งเคยได้ยินเรื่องราวของนครพิมาลายามาจากพี่สาวของริณได้ยังไม่นานเท่าไรนัก และดูเหมือนว่าพี่สาวของริณนั้นน่าจะรู้จักสถานที่นี้ค่อนข้างดีทีเดียว แต่คนส่วนใหญ่ในโลกของเรานี้น่าจะไม่เคยได้ยินหรือได้รู้ว่ามีนครนี้อยู่จริง แต่เรื่องนี้ พี่สาวของริณยืนยันได้อย่างแน่นอน เพราะตัวของเธอเองนั้นก็ได้เคยไปที่นั่นมาแล้วล่ะจ้ะพี่กิต..."

ผมกระพริบตาปริบๆแล้วมองไอริณอย่างมึนๆ "โอเค.. ในระยะไม่กี่วันมานี้ พี่เองก็ได้เจอกับเรื่องต่างๆที่มันพิศดารสุดๆมาแล้ว จะมีเรื่องของพิมาลายู เอ๊ย... พิมาลายานี่อีกสักเรื่องหนึ่งจะเป็นไรไป ก็แล้วนครที่ว่านี้มันไปลับแลอยู่ที่แห่งใดกันล่ะ แม่ริณจ๋า ?"

"ชิ... อย่าเล้นลิ้นให้มันมากนักนะ" ไอริณค้อนวงหนึ่ง ก่อนจะเล่าต่อด้วยรอยยิ้ม "พี่กิต... จะว่าไปแล้ว โลกของเราและจักรวาลของเรานี้ไม่ใช่อย่างที่เราจะเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือตาเนื้อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นนะ เอาง่ายๆ เรื่องของผีหรือวิญญาณนี้พี่กิตก็ได้เห็นแล้วว่ามันมีอยู่จริงๆถึงเราจะเห็นเขาบ้างไม่เห็นเขาบ้าง แต่การดำรงค์คงอยู่ของจิตเหล่านั้นมันมีอยู่จริงอย่างแน่นอน และสถานที่ที่เรามองไม่เห็นแต่มีอยู่จริงๆก็ยังมีอีกหลายที่ โดยที่สถานที่เหล่านั้นบางทีก็อยู่ในมิติที่ซ้อนทับกับโลกและจักรวาลของเรา สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเนื้ออยู่ในมิติหนึ่งและสิ่งที่มีจิตใจแต่ปราศจากกายเนื้อก็อยู่ในอีกมิติหนึ่ง ผู้มีจิตสัมผัสพิเศษหรือมีญาณบารมีบางอย่างนั้นก็มักจะสัมผัสถึงความมีของสิ่งเหล่านี้ได้อย่างแน่นอน แต่ว่า... ในมิติของนครพิมาลายานี้กลับมีความแตกต่างจากมิติที่ริณเพิ่งพูดถึงนี้ไปอีกรูปแบบหนึ่งล่ะจ้ะ.."

"เอาเถอะ... พี่เองก็หวังว่าพี่เองนั้นก็คงเริ่มจะเมคเซ้นท์ขึ้นมาเรื่อยๆแล้วล่ะมั้ง เอ่อ... แล้วในมิติหรือในโลกของพิมาลายานั้นแตกต่างจากมิติข้างต้นยังไงล่ะจ๊ะ ?" ผมถามไอริณ

"พิมาลายา ที่เป็นนครลับแลแห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งนครที่จะว่าอยู่ไกลก็ไกลจะว่าอยู่ใกล้ก็ใกล้เพราะว่ามีทางผ่านลัดผ่านเข้าไปทางประตูพิเศษอยู่สามจุดใหญ่ๆบนโลกของเรานี้ และพวกเขาก็ไม่ได้มีแค่ร่างจิตหรือวิญญาณเท่านั้น แต่พวกเขากลับมีร่างกายเหมือนมนุษย์โลกธรรมดาๆอย่างเราๆนี่เอง อารยธรรมของพวกเขามีมาตั้งแต่เก่าแก่บรรพกาลแล้ว พวกเขาบางคนเหล่านั้นได้เดินทางข้ามไปข้ามมาระหว่างโลกของเขากับโลกของเราเป็นว่าเล่นอยู่ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนก่อให้เกิดอารยธรรมและสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญบางอย่างที่คล้ายๆกับนครของเขาในโลกของเรา เช่นปราสาทหินโบราณต่างๆของบ้านเราและของเขมรนั้นล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลมาจากโลกของพิมาลายาอยู่ค่อนข้างมากเลยนะจ้ะ..."

"ห๋า... พวกปราสาทหินโบราณที่เราๆรู้จักกัน ต่างก็รับได้อิทธพลมาจากโลกของพิมาลายาเหรอนี่...?" ผมแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ไอริณเพิ่งได้เล่ามานี้เลยจริงๆ

"จ้ะพี่กิต..." ไอริณพยักหน้าพลางหันไปมองหน้าจัน ที่ยืนทำปากหวอ เพราะงงงันในสิ่งที่เธอเล่าจนเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก แล้วไอริณก็ยิ้มอย่างขำๆหน่อยหนึ่งก่อนจะเล่าต่อไป

"และไม่ใช่แค่โลกของเราจะได้อารยธรรมดีๆบางอย่างมาจากโลกของพิมาลายา แต่โลกของเรายังได้ศาสตร์เร้นลับหลายอย่างมาจากโลกนั้น แม้แต่ศาสตร์เร้นลับบางอย่างที่พวกเขาไม่ต้องการจะให้เราได้รับรู้ ก็กลับถูกนำมาเผยแพร่อย่างลับๆตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต ศาสตร์เร้นลับนี้ที่จริงเป็นที่ต้องห้ามในประชาชนทั่วๆไปในโลกของพิมาลายาอย่างเคร่งครัด เพราะหากผู้ใช้ ไม่เป็นผู้ที่เหมาะสมแล้ว ศาสตร์พวกนี้จะสร้างภัยพิบัติมากกว่าคุณประโยชน์ใดๆให้กับโลกทั้งสอง"

"พี่ขอเดาได้ไหม...?" ผมพูดขึ้นมา "หรือว่าศาสตร์เร้นลับที่น้องริณกำลังพูดถึงนี้ จะเกี่ยวข้องกับพวกเวทมนต์คาถาต่างๆนั่น...."

ไอริณพยักหน้า "ถูกแล้วพี่กิต... พวกเวทมนต์คาถาอาคมหลายๆอย่างที่ตกทอดอยู่ในโลกของเรามาตั้งแต่ครั้งอดีตนั้น ส่วนใหญ่จะมาจากศาสตร์เร้นลับจากโลกของพิมาลายานั้นนั่นเอง"

"เอาล่ะ... งั้นขอถามสิ่งที่พี่กำลังสงสัยอยู่ในขณะนี้สักนิด คือน้องริณพอจะบอกได้ไหมว่า เจ้าแท่นศิลาน้ำแข็งจากโลกของพิมาลายาอะไรนั่นทำไมถึงได้มาอยู่ที่ห้องใต้ดินแห่งนี้กันล่ะ แล้วทำไมร่างของชายที่ชื่อสิงห์คนนี้ถึงได้มานอนหลับจำศีลอยู่ในนี้กัน เออ... แล้วมีอีกอย่างที่พี่กำลังสงสัย หรือว่าชายที่ชื่อสิงห์คนนี้ก็คือชาวพิมาลายาอะไรนั่นใช่หรือเปล่า..?"

ไอริณเงียบไปครู่หนึ่งราวกับว่าเรื่องนี้เธอเองก็กำลังขบคิดอยู่ในใจ "เรื่องนี้น่าแปลก... ไม่ใช่ว่าริณแปลกใจในแท่นศิลาน้ำแข็งนี่หรอกนะพี่กิต แต่พอริณเห็นร่างของชายที่ชื่อสิงห์นี้แล้ว ริณก็รู้ทันทีเลยว่า เขาไม่ใช่ชาวพิมาลายาอย่างแน่นอน และก็ไม่ใช่ชาวโลกอย่างเราๆด้วย...!"

"อะไรนะน้องริณ....?!"แล้วผมก็ถึงกับตะลึงขึ้นมาอีก"เขาไม่ได้เป็นชาวพิมาลายาและก็ไม่ได้เป็นคนในโลกของเราด้วยงั้นเหรอ...?!"

ไอริณพยักหน้าก่อนหันกลับไปจ้องดูร่างของชายที่ชื่อสิงห์ "ไม่ผิดแน่ๆจ้ะพี่กิต ชาวพิมาลายานั้น... ที่จริงพวกเขาเรียกตัวเองว่าชาวพิมาลายัน ไม่ได้มีรูปร่างทางกายภาพแบบชายที่ชื่อสิงห์นี้เลยสักคนเดียว พูดง่ายๆก็คือพวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีขนดกไปทั่วทั้งตัวอย่างนี้อย่างแน่นอน แต่พอริณวิเคราะห์ดูทางด้านกายภาพโดยรวมของชายที่ชื่อสิงห์นี้แล้ว ริณกลับนึกถึงมนุษย์อีกเผ่าพันธุ์หนึ่งที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง... โลกอีกสถานที่หนึ่งที่เผ่าพันธุ์ของพวกเขาล้วนแล้วแต่มีขนดกไปทั่วทั้งตัวอย่างนี้เหมือนกันทุกคน !"

"โอ... ตายแล้ว...!" ตอนนี้ผมถึงกับต้องสลัดหัวไปมาด้วยความมึนงงไปหมด "จัน... มียาพาราสักสี่ห้าเม็ดไม๊ พี่อยากจะเอามากินซะตอนนี้ เผื่อจะหายมึนกับเรื่องที่มันน่าเหลือเชื่อพวกนี้..?!"

จันหัวเราะแหะๆ "ผมเองก็อยากจะกินสักสิบเม็ดเลยนะพี่กิต เพราะผมเองนี่ก็รู้สึกจะงงกว่าพี่กิตหลายเท่าเลยล่ะมั้งครับ...?"

ไอริณยิ้มกริ่มก่อนจะพูดต่อ "ที่จริง เรื่องโลกอื่นๆหรือมิติต่างๆพวกนี้จะว่าไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรหรอกนะ หากเราจะยอมรับว่ามันมีอยู่จริงๆ เพราะว่ามันก็มีอยู่จริงๆมาเนิ่นนานแสนนานแล้ว เพียงแต่ว่าจะมีใครสามารถได้เห็นหรือสัมผัสได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง พี่กิตเคยได้ยินเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลามาบ้างไม๊... สถานที่แห่งนั้นน่ะก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีประตูมิติเชื่อมต่อโลกของเรากับโลกของมิติอื่นๆอยู่อย่างแน่นอนล่ะจ้ะ"

ผมพยักหน้า "อืม... เรื่องของเขากะลาพี่ก็เคยได้ฟังและได้เห็นในรายการทีวีอยู่หลายครั้งเหมือนกัน เห็นว่ามีพวกดาราในเมืองไทยหลายคนสนใจในเรื่องนี้และพยายามจะไปพิสูจน์เรื่องนี้กันด้วยนะ แต่พี่ก็แค่มองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องขำๆซะเท่านั้นเองนะ"

"ใช่ๆ เรื่องของเขากะลานี่ ผมเองก็เคยได้ยินในรายการทีวีอยู่บ้างเหมือนกันครับพี่กิต ยังคิดว่ามนุษย์ต่างดาวที่พวกเขาพูดถึงกันว่ามีอยู่ที่นั่นจริงๆ นี่ มันจะเป็นไปได้ยังไงกันนะ ?" จันโพล่งเรื่องนี้ขึ้นมา

"สรุปแล้ว..." ผมหันไปหาไอริณ "เรื่องเหลือเชื่อหรือสถานที่ที่น่าเหลือเชื่อที่เราคุยกันทั้งหมดนี้น่าจะมีอยู่จริงๆสินะ แต่ว่าในตอนนี้... พี่เองมีความสงสัยอยู่อีกอย่างหนึ่งว่า แล้ววิญญาณของชายที่ชื่อสิงห์ในตอนนี้เขาไปอยู่ที่ไหนแล้ว หรือว่าเขาจะกลับเข้าไปอยู่ในร่างที่กำลังนอนอยู่ตรงนี้แล้วล่ะน้องริณ ?"

ไอริณส่ายหน้าขึ้นมาทันที "ในร่างของเขาที่เหมือนยังมีชีวิตอยู่นี้ ริณไม่พบว่าจะมีจิตหรือวิญญาณใดๆอยู่ข้างในเลยจ้ะพี่กิต นั่นสิ... ริณเองก็กำลังสงสัยอยู่ว่า จิตหรือวิญญาณของเขาในตอนนี้ กลับหายไปไหนแล้ว...?"

เมี้ยวววววววววว.......!!

อยู่ๆเสียงร้องอันแปลกประหลาดนั้น ก็ดันดังขึ้นมาในทันทีทันใด...! ทำเอาผมกับไอริณอดจะสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้ ส่วนจันเองนั้นก็ถึงกับกระโดดเข้ามากอดผมไว้ทันที...!

แล้วพวกเราต่างก็รีบมองหาที่มาของเสียงประหลาดนั้นว่ามันดังมาจากทางไหนกันแน่...?!

"ไม่นึกว่า..." อยู่ๆเสียงพูดอันแปลกประหลาดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาให้เราได้ยิน "จะมีคนที่รู้อะไรไม่น้อย อยู่ในนี้ด้วย... แล้วอยากรู้กันหรือเปล่าล่ะว่า ตอนนี้เจ้าผีขนดกนั่นมันอยู่ที่ไหน....??"

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา