สืบสู้ผี ภาค 1-2
8.7
เขียนโดย Jintanakorn
วันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 09.18 น.
73 ตอน
3 วิจารณ์
63.14K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2562 13.11 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) แมวบุก !
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดนั้น ดังมาจากทางฝั่งทุ่งร้าง ซึ่งบัดนี้ก็มีแต่ความมืดสลัวจนมองอะไรแทบไม่เห็นในระยะไกลๆ
แต่พอเราทั้งสามลุกขึ้นไปมองทางทิศนั้น เสียงหัวเราะประหลาดๆ นั้นก็กลับหยุดหายไปทันที และเหลือไว้แต่เพียงเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านชายทุ่ง และชั่วครู่ต่อมาลมนั้นก็เริ่มพัดแรงขึ้น ราวกับจะมีพายุพัดผ่านมาทางนี้ แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นดังขึ้นมาอีก
พี่เมฆหันมาสบตาผมกับไอริณ "เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้นั้น... ก็คือเสียงนังแมวดำนั่นไง นังแมวตัวนี้ที่จริงมันก็คือหนึ่งในบริวารของไอ้ตาไฟนั่นเอง! "
"งั้น... งั้นก็หมายความว่าเจ้าแมวตัวนั้น มันมาแอบฟังเราคุยกันงั้นเหรอพี่? " ผมถามพี่เมฆด้วยความรู้สึกสุดจะทึ่ง
"อยู่ในที่แจ้งแบบนี้ ยังไงก็ยากที่จะรอดหูรอดตาพวกมันไปได้อยู่แล้ว" พี่เมฆตอบยิ้มๆ "เอาเถอะ สักวันหนึ่ง พวกเราคงจะได้ปิดประตูตีแมวกันบ้างล่ะ"
อารมณ์ขันของพี่เมฆทำให้ไอริณอดหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาไม่ได้ แต่ทว่าอารมณ์ของผมเองนั้น กลับรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าจะมีลางสังหรณ์ถึงภัยอันตรายบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
"บอกตามตรงนะพี่เมฆ..." ผมพูดขึ้นอย่างกังวล "ผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย..."
พี่เมฆยิ้มมุมปาก "นังแมวตัวนี้ ที่จริงมันก็ไม่ค่อยมีฤทธิ์เดชอะไรเท่าไรนักหรอก แต่เล่ห์กลเล่ห์เพทุบายของมันนั้นอาจจะมีไม่น้อยแค่นั้นเอง..." พี่เมฆบอกออกมาราวกับว่าจะได้เคยรู้จักเจ้าแมวตัวนั่นมาแต่เก่าก่อน
แล้วเขาก็ก้าวออกจากศาลา และเดินไปที่ริมชายทุ่ง ส่วนผมกับไอริณกลับไม่ได้เดินตามเขาออกไป แต่ก็ยังคอยเงี่ยหูฟังเสียงประหลาดๆ ที่อาจจะดังขึ้นมาอีก
แล้วพี่เมฆก็ตะโกนไปยังทุ่งร้างอันมืดสลัวนั้น "เฮ้ย...! มาแอบฟังแล้วทำเป็นหัวเราะเสียงทุเรศๆ ถ้าแน่จริงนักล่ะก็ ตอนนี้ก็ออกมาเจอกันสักหน่อยสิว๊ะ นังแมวอัปลักษณ์! "
เสียงที่ดังลั่นของเขานั้นได้ท้าทายออกไปอย่างชัดเจน
แต่แล้ว... ก็เงียบเชียบ ไม่มีเสียงหัวเราะ หรือเสียงใดๆ ดังออกมาจากทุ่งร้างข้างหน้านั้นอีกเลย นอกจากเสียงของลมที่ยังคงพัดกรรโชกไปทั่วบริเวณนั้น
"เฮ๊อะ...! " พี่เมฆส่งเสียงหยันๆ "เวลาเจอคนจริง ที่พอจะมีฝีมืออยู่นิดหน่อย ก็ถึงกับกลัวจนหางจุกตูดเหมือนแมว เอ๊ย... เหมือนหมาไปเลยเรอะ โธ่... อีนังแมวสอดแนมชั้นต่ำเอ๊ยยยย...! "
แต่มันก็เงียบเชียบเหมือนเช่นเดิม...
แล้วผมก็เห็นพี่เมฆหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบจนไฟแดงวาบๆ อยู่ท่ามกลางความมืดสลัว และก็ยังทำท่าสอดส่ายสายตาไปรอบๆ นั้นอยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายหัว ก่อนที่จะหมุนตัวกลับมาทางศาลาที่ผมกับไอริณยังคงยืนสังเกตุการณ์กันอยู่
แต่ขณะที่พี่เมฆกำลังเดินกลับมาได้ไม่กี่ก้าวนั้น ไอริณก็กลับมีสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมา...
"เอ๊ะ... พี่กิตคะ... นั่นมันอะไรกันแน่คะนั่น...? เธอชี้นิ้วให้ผมมองดูอะไรบางอย่างที่อยู่เลยด้านหลังของพี่เมฆไปราวยี่สิบเมตร "นั่นมันฝูงอะไรกันคะพี่กิต?! "
"ฝูง... ฝูงอะไรนะน้องริณ...?! " ผมมองไปตรงบริเวณที่ไอริณชี้ แต่ก็ยังแยกแยะอะไรไม่ออกในทันที เพราะตรงนั้นค่อนข้างจะมืดพอควร อีกทั้งยังมีพวกกอหญ้าที่ขึ้นเป็นตะคุ่มๆ อยู่ทั่วๆ ด้วยแล้ว ก็เลยยิ่งทำให้แยกแยะอะไรลำบากเข้าไปใหญ่
"พี่เมฆคะ...!! " แล้วไอริณก็ตะโกนไปทางพี่เมฆทันทีราวกับว่าเธอได้เกิดมองออกแล้วว่าสิ่งที่เธอได้เห็นนั้นมันเป็นฝูงอะไรกันแน่ "ระวังข้างหลังค่ะพี่เมฆ... ระวังข้างหลัง...!! "
แล้วพี่เมฆก็รีบเหลียวกลับไปดูด้านหลัง จากนั้นเขาก็ถึงกับออกอาการผงะขึ้นมาจนบุหรี่ที่คาบไว้ก็กระเด็นออกจากปากทันที!
"ฉิบ... ฉิบหายแล้วสิกู...?! " เสียงพี่เมฆอุทาน แล้วผมก็เห็นเขารีบก้มตัวลงหมอบกับพื้นอย่างเร็วมาก!
แล้วในตอนนั้นเอง... ผมจึงได้มาเห็นชัดตาว่า มันมีฝูงของสัตว์อะไรบางอย่างที่กำลังวิ่งยกโขยงกันมาทางด้านหลังของพี่เมฆด้วยความเร็วแบบเต็มที่!
และสิ่งนั้นมันก็คือกองทัพของฝูงแมวนั่นเอง..!
มันเป็นกองทัพของฝูงแมวที่มีอยู่หลากสีหลากสายพันธ์ุและหลากขนาดรูปร่าง!
และมองดูคร่าวๆ แล้วพวกมันน่าจะมีจำนวนอยู่ไม่ต่ำกว่าสี่ห้าร้อยตัวขึ้นไปแน่ๆ และพวกมันก็กำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางพี่เมฆและทางศาลานี้ด้วยหน้าตาที่ดูคลุ้มคลั่งราวกับแมวบ้า...!
และที่พวกเรามองพวกมันไม่เห็นกันมาก่อนหน้านี้ ก็คงจะเป็นเพราะว่าพวกมันคงจะซุ่มหมอบกันอยู่ในพงหญ้ามืดๆ มาก่อนที่จะค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อนและรวมตัวกันเพื่อที่จะโจมตีพวกเราในตอนนี้!
ขณะที่ผมกับไอริณกำลังตื่นตะลึงกันจนยังทำอะไรไม่ถูกกันในขณะนี้ ผมก็ได้มองเห็นว่าพวกฝูงแมวขนาดใหญ่นั้นกำลังวิ่งเข้ามาจวนจะถึงตัวของพี่เมฆที่กำลังหมอบก้มหัวอยู่รอมร่อแล้ว ไอริณเองก็รีบหันมาตะโกนสั่งผมด้วยเสียงอันดังลั่นทันที
"พี่กิต...! " รีบหมอบลงเร็ว!! "
แม้ว่าผมจะดึงสติกลับมาได้ช้ากว่าไอริณ แต่ปฏิกิริยาในการป้องกันภัยของผมนั้นก็ยังถือว่าเร็วใช้ได้อยู่ ดังนั้นผมจึงรีบทรุดตัวลงหมอบกับพื้นอย่างรวดเร็ว แล้วซุกหน้าของตัวเองไว้ในวงแขนทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันหน้าตาของตัวเองไว้จากกรงเล็บของพวกมันอย่างเร่งด่วน!
แต่ในชั่วพริบตา ก่อนที่ผมจะซุกหน้าของตัวเองไว้ในวงแขนของตัวเอง ผมก็ได้มองเห็นว่าฝูงแมวขนาดใหญ่อันดุร้ายนั้นได้วิ่งเข้ามาปะทะกับตัวของพี่เมฆอย่างรุนแรงแล้ว โดยที่ตัวของเขาเองนั้น ก็ไม่มีโอกาสที่จะตั้งหลักรับมือกับพวกมันได้ทันแม้แต่น้อย!
โอย... คราวนี้พวกเราทั้งหมดคงจะได้ยับเยินกันทั้งตัวแน่ๆ แล้ว...! ผมบอกกับตัวเองพร้อมกับความรู้สึกที่หวาดหวั่นเกินจะบรรยายได้
แต่ก่อนที่ฝูงแมวจะวิ่งเข้ามาปะทะถึงตัวผมกับไอริณ ผมก็ได้ยินเสียง ฟึ่บบบ! ดังขึ้นทางด้านซ้ายที่ซึ่งไอริณกำลังทรุดร่างหมอบอยู่ จากนั้นผมก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะมีประกายไฟบางอย่างที่สว่างวาบขึ้นมาราวกับได้มีใครมากดเปิดไฟแฟลชกำลังสูงอยู่ข้างๆ ผม
และจากที่ผมคาดว่าพวกขบวนของกองทัพแมวนั้นจะต้องตรงเข้ามาปะทะกับตัวของเราสองคนเป็นลำดับต่อไปแน่ๆ แล้วนั้น ผมก็กลับรู้สึกว่าพวกมันกลับได้แตกแยกกลุ่มออกเป็นสองสายซ้ายและขวาขึ้นมาอย่างปุปปับฉับพลัน ก่อนที่จะพุ่งผ่านด้านข้างของเราทั้งสองคนไปอย่างฉิวเฉียด!
ผมแปลกใจ จึงค่อยๆ โงหัวขึ้นมาเล็กน้อย เหลือบไปข้างๆ ก็มองเห็นไอริณกำลังนั่งคุกเข่าอยู่แทนที่จะหมอบ และก็สังเกตุว่าในมือขวาที่แบออกมาข้างหน้าของเธอนั้นเหมือนจะมีของอะไรบางอย่างวางอยู่ในอุ้งมือ และสิ่งนั้นมันก็กำลังส่องแสงสีขาววูบๆ วาบๆ เจิดจ้าแสบตา จนผมเองถึงกับต้องหรี่ตามอง ในขณะที่ฝูงของกองทัพแมวที่ยังเหลืออยู่เหล่านั้นต่างก็เปลี่ยนทิศทางวิ่งออกไปทางด้านข้างของเราด้วยกันทุกตัว!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกกองทัพแมวกันล่ะ...? หรือว่าสิ่งที่อยู่ในมือของไอริณนั้น มันจะสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกมันจนไม่อาจจะกล้าเข้ามาทึ้งพวกเราเหมือนอย่างที่ผมคาดคิดไว้แต่แรก?
เสียงอื้ออึงที่เกิดจากฝูงแมวที่ได้วิ่งผ่านด้านข้างผมและไอริณดังอยู่ไม่นานนัก แล้วสุดท้ายจำนวนฝูงแมวที่เหลืออยู่ท้ายๆ ไม่กี่ตัวนั้นก็ได้วิ่งหนีหายเข้าไปในความมืดที่อยู่ด้านหลังของเราด้วยกันทั้งหมด
แล้วผมก็ค่อยๆ ผงกหัวขึ้นมา พลางเหลียวมองไปรอบๆ ตัว อย่างหวาดๆ ก่อนที่จะค่อยๆ แน่ใจว่าไม่เหลือพวกแมวบ้าตัวไหนอยู่ในบริเวณนี้อีกต่อไป
จากนั้นผมถึงได้ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ พลางมองไปที่ไอริณที่ได้ลุกขึ้นมายืนแล้วเช่นกันโดยที่อะไรบางสิ่งที่เล็กๆ ที่อยู่ในมือของเธอนั้น ขณะนี้ก็ยังคงสว่างวูบวาบเจิดจ้าอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ อ่อนแสงลงไปราวกับถ่านหมด
"นั่นมัน... อะไรเหรอน้องริณ ท่าทางมันจะช่วยเราไว้นะ? " ผมถามออกไปอย่างแปลกใจกับของสิ่งนั้น
"สร้อยคอของริณไง..." ไอริณตอบยิ้มๆ "ถ้าดึงมันออกมาใช้ช้ากว่านี้อีกนิด รับรองว่าตัวของเราสองคน คงจะมีแต่รอยเล็บแมวกันเป็นร้อยๆ รอยแน่ๆ เลย"
"เหรอ...? " ช่างน่าอัศจรรย์นัก..." ผมชโงกเข้าไปดูใกล้ๆ ก็มองเห็นว่ามันก็เป็นแค่หินหรืออัญมณีอะไรสักอย่างที่มีสีขาวๆ แวววาวราวกับทองคำขาวเท่านั้นเอง
"พี่กิต... อย่าเพิ่งสนใจสิ่งนี้เลย" ไอริณพูดแล้วก็ดันสร้อยลงไปในเสื้อ พลางชะเง้อออกไปมองที่ชายทุ่ง "พี่เมฆน่ะ ตอนนี้เป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้? "
"โอใช่... ตายล่ะ! " ผมรีบเหลียวไปดูตรงชายทุ่งนั้น "พี่เองก็ดันมัวตกตะลึงกับสร้อยของน้องริณอยู่... พี่ว่า เหมือนจะเห็นพี่เมฆโดนพวกกองทัพของแมวเข้าปะทะเต็มๆ ตัวเลยนะน้องริณ? "
แล้วเราสองคนก็รีบก้าวลงไปที่ริมทุ่งร้างนั้น พลางกวาดสายตามองหาพี่เมฆไปรอบๆ
"พี่เมฆๆ ... พี่เมฆอยู่ที่ไหนเหรอครับพี่เมฆ... พี่เมฆได้ยินแล้วตอบด้วยๆ ..." ผมส่งเสียงเรียกออกไปด้วยความรู้สึกกังวลใจขึ้นทุกขณะ
"อยู่... อยู่ทางนี้..." แล้วเสียงพี่เมฆก็ดังมาจากกอหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากเรานัก แต่เสียงนั้นก็ฟังดูเหมือนว่าจะเหนื่อยล้าอ่อนแรงไปอยู่ไม่น้อยทีเดียว
แล้วผมกับไอริณรีบก็วิ่งเข้าไปดูทันที
และที่หลังกอหญ้านั้น เราสองคนก็ได้เห็นสภาพของพี่เมฆในตอนนี้ว่า มันมีสภาพที่ไม่ค่อยจะน่าดูสักเท่าไร
พี่เมฆในขณะนี้กำลังอยู่ในท่านอนหงายอย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังอุตส่าห์ฝืนยิ้มฝืดๆ มาให้เรา ที่แขนและมือทั้งสองข้างของเขาในตอนนี้นั้น กลับเต็มไปด้วยรอยแผลรอยข่วนที่เกิดจากกรงเล็บของพวกฝูงแมวบ้าที่เมื่อครู่นี้ได้พุ่งเข้ามาปะทะกับตัวเขาอย่างเต็มเหนี่ยว และเสื้อผ้าของเขาที่ก่อนหน้านี้ก็ยังมีสภาพดีๆ อยู่นั้น ตอนนี้มันก็กลับเต็มไปด้วยริ้วรอยขาดหลุดรุ่ยไปจนเกือบทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะประคองตัวของพี่เมฆให้ลุกขึ้นมา เขาก็รีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างพรวดพราดราวกับว่าเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรที่ส่วนไหนของร่างกายเลยแม้แต่ที่เดียว จากนั้นเขาก็สลัดหัวไปมา เหมือนกับว่าจะต้องการขับไล่ความมึนงงที่มีให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
"มันช่างแสบจริงๆ เลยนะ... อีนังแมวปิศาจตัวนี้น่ะ..." เขาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสบายๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ถึงแม้ว่าที่ใบหน้าด้านข้างทั้งสองของเขาในยามนี้ จะดูยับเยินไปด้วยริ้วรอยที่เกิดจากกรงเล็บแมวจนเลือดไหลออกมาอยู่ซิบๆ ก็ตาม
"ไม่นึกว่ามันจะไประดมพวกฝูงแมวมาได้จนมากมายถึงขนาดนี้ แต่คิดดูอีกทีมันก็คงใช้อำนาจจิตที่มีอยู่น้อยนิดของมัน นั่นแหล่ะ ไปบังคับบงการให้พวกแมวมารวมตัวกันเพื่อมาโจมตีพวกเราซะมากกว่า... นี่ล่ะ ที่พี่ถึงได้บอกมาก่อนหน้านี้ยังไงว่า ฤทธิเดชของมันน่ะ ไม่เท่าหรอก แต่เล่กลห์เล่ห์เพทุบายของมันนี่ล่ะที่มันมีอยู่ไม่น้อยเลยนะจะบอกให้...! " พี่เมฆว่าแล้ว ก็ควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ จากนั้นก็พ่นควันออกมาจนลอยโขมงเหมือนเดิม
"พี่เมฆคะ... พี่ต้องไปหายาทาหรือฉีดยาสักหน่อยนะคะ เพราะว่าแผลที่ริณเห็นนี่ ก็ถือว่าเยอะอยู่เหมือนกันนะคะ" ไอริณพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง "คือว่าแมวพวกนี้น่ะ มันเป็นแมวจริงๆ และเล็บของมันก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้อยู่เหมือนกันนะคะพี่เมฆ..."
"เอาเถอะ... ยังไงพี่ก็คงยังไม่ตายง่ายๆ เพราะอีนังแมวกิ๊กก๊อกนั่นหรอก..." พี่เมฆพูดแล้วก็ยังคงนั่งสูบบุหรี่พ่นควันเป็นสาย ราวกับไม่กังวลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
"พี่เมฆครับ..." ผมเอ่ยขึ้น "ที่เรียกแมวตัวนั้นแบบนั้น เพราะว่ามันเป็นแมวตัวเมียงั้นเหรอครับ... แล้วพี่เมฆก็พูดถึงมันราวกับว่า ได้เคยรู้จักกับมันมาตั้งแต่เก่าก่อนเลยนะครับ? "
พี่เมฆเงยหน้าขึ้น แล้วพ่นควันบุหรี่เสียงดังฟู่ ก่อนจะพยักหน้า "ใช่แล้วล่ะ... อีนังแมวผีนั่นเป็นตัวเมียอย่างแน่นอน และพี่เองก็ได้เคยเจอหรือคุ้นเคยกับมันมาเมื่อนานมาแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า นังแมวผีนั่นได้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพี่มาตั้งนานแล้วก็ว่าได้นะ..."
"ครับ... แต่พี่เมฆพูดถึงมัน ราวกับว่ามันเป็นคนเลยนะครับ? " ผมตั้งข้อสังเกตุ
"ก็ใช่น่ะสิ... เพระตั้งแต่ดั้งเดิมนั้น นังแมวผีนี่มันก็เป็นคนมาก่อนนะ ไม่เชื่อก็ลองถามหนูไอริณดูก็ได้..." พี่เมฆตอบออกมา
"เคยเป็นคนมาก่อนจริงๆ จ้ะพี่กิต..." ไอริณพยักหน้าบอก "แถมเขาว่ากันว่า ตอนที่ยังเป็นคนนั้น เธอก็เป็นคนที่มีความสวยเป็นอย่างมาก ก่อนที่ในภายหลังจะเกิดเหตุบางอย่างจนทำให้เธอต้องมาอยู่ในร่างของแมวดำตัวนั้นจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ค่ะพี่กิต"
"เป็นคนมาก่อน... และสวยมากด้วย? " ผมรู้สึกแปลกประหลาดสุดๆ "ก็แล้วต่อมามันเกิดเหตุอะไรที่ถึงกับทำให้เธอต้องมาอยู่ในร่างของแมวดำแมวผีตัวนั้นกันได้ล่ะนี่...?! "
แต่พอเราทั้งสามลุกขึ้นไปมองทางทิศนั้น เสียงหัวเราะประหลาดๆ นั้นก็กลับหยุดหายไปทันที และเหลือไว้แต่เพียงเสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านชายทุ่ง และชั่วครู่ต่อมาลมนั้นก็เริ่มพัดแรงขึ้น ราวกับจะมีพายุพัดผ่านมาทางนี้ แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอย่างอื่นดังขึ้นมาอีก
พี่เมฆหันมาสบตาผมกับไอริณ "เสียงที่ได้ยินเมื่อกี้นั้น... ก็คือเสียงนังแมวดำนั่นไง นังแมวตัวนี้ที่จริงมันก็คือหนึ่งในบริวารของไอ้ตาไฟนั่นเอง! "
"งั้น... งั้นก็หมายความว่าเจ้าแมวตัวนั้น มันมาแอบฟังเราคุยกันงั้นเหรอพี่? " ผมถามพี่เมฆด้วยความรู้สึกสุดจะทึ่ง
"อยู่ในที่แจ้งแบบนี้ ยังไงก็ยากที่จะรอดหูรอดตาพวกมันไปได้อยู่แล้ว" พี่เมฆตอบยิ้มๆ "เอาเถอะ สักวันหนึ่ง พวกเราคงจะได้ปิดประตูตีแมวกันบ้างล่ะ"
อารมณ์ขันของพี่เมฆทำให้ไอริณอดหัวเราะเบาๆ ขึ้นมาไม่ได้ แต่ทว่าอารมณ์ของผมเองนั้น กลับรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด ราวกับว่าจะมีลางสังหรณ์ถึงภัยอันตรายบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น
"บอกตามตรงนะพี่เมฆ..." ผมพูดขึ้นอย่างกังวล "ผมรู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดีเลย..."
พี่เมฆยิ้มมุมปาก "นังแมวตัวนี้ ที่จริงมันก็ไม่ค่อยมีฤทธิ์เดชอะไรเท่าไรนักหรอก แต่เล่ห์กลเล่ห์เพทุบายของมันนั้นอาจจะมีไม่น้อยแค่นั้นเอง..." พี่เมฆบอกออกมาราวกับว่าจะได้เคยรู้จักเจ้าแมวตัวนั่นมาแต่เก่าก่อน
แล้วเขาก็ก้าวออกจากศาลา และเดินไปที่ริมชายทุ่ง ส่วนผมกับไอริณกลับไม่ได้เดินตามเขาออกไป แต่ก็ยังคอยเงี่ยหูฟังเสียงประหลาดๆ ที่อาจจะดังขึ้นมาอีก
แล้วพี่เมฆก็ตะโกนไปยังทุ่งร้างอันมืดสลัวนั้น "เฮ้ย...! มาแอบฟังแล้วทำเป็นหัวเราะเสียงทุเรศๆ ถ้าแน่จริงนักล่ะก็ ตอนนี้ก็ออกมาเจอกันสักหน่อยสิว๊ะ นังแมวอัปลักษณ์! "
เสียงที่ดังลั่นของเขานั้นได้ท้าทายออกไปอย่างชัดเจน
แต่แล้ว... ก็เงียบเชียบ ไม่มีเสียงหัวเราะ หรือเสียงใดๆ ดังออกมาจากทุ่งร้างข้างหน้านั้นอีกเลย นอกจากเสียงของลมที่ยังคงพัดกรรโชกไปทั่วบริเวณนั้น
"เฮ๊อะ...! " พี่เมฆส่งเสียงหยันๆ "เวลาเจอคนจริง ที่พอจะมีฝีมืออยู่นิดหน่อย ก็ถึงกับกลัวจนหางจุกตูดเหมือนแมว เอ๊ย... เหมือนหมาไปเลยเรอะ โธ่... อีนังแมวสอดแนมชั้นต่ำเอ๊ยยยย...! "
แต่มันก็เงียบเชียบเหมือนเช่นเดิม...
แล้วผมก็เห็นพี่เมฆหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบจนไฟแดงวาบๆ อยู่ท่ามกลางความมืดสลัว และก็ยังทำท่าสอดส่ายสายตาไปรอบๆ นั้นอยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายหัว ก่อนที่จะหมุนตัวกลับมาทางศาลาที่ผมกับไอริณยังคงยืนสังเกตุการณ์กันอยู่
แต่ขณะที่พี่เมฆกำลังเดินกลับมาได้ไม่กี่ก้าวนั้น ไอริณก็กลับมีสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมา...
"เอ๊ะ... พี่กิตคะ... นั่นมันอะไรกันแน่คะนั่น...? เธอชี้นิ้วให้ผมมองดูอะไรบางอย่างที่อยู่เลยด้านหลังของพี่เมฆไปราวยี่สิบเมตร "นั่นมันฝูงอะไรกันคะพี่กิต?! "
"ฝูง... ฝูงอะไรนะน้องริณ...?! " ผมมองไปตรงบริเวณที่ไอริณชี้ แต่ก็ยังแยกแยะอะไรไม่ออกในทันที เพราะตรงนั้นค่อนข้างจะมืดพอควร อีกทั้งยังมีพวกกอหญ้าที่ขึ้นเป็นตะคุ่มๆ อยู่ทั่วๆ ด้วยแล้ว ก็เลยยิ่งทำให้แยกแยะอะไรลำบากเข้าไปใหญ่
"พี่เมฆคะ...!! " แล้วไอริณก็ตะโกนไปทางพี่เมฆทันทีราวกับว่าเธอได้เกิดมองออกแล้วว่าสิ่งที่เธอได้เห็นนั้นมันเป็นฝูงอะไรกันแน่ "ระวังข้างหลังค่ะพี่เมฆ... ระวังข้างหลัง...!! "
แล้วพี่เมฆก็รีบเหลียวกลับไปดูด้านหลัง จากนั้นเขาก็ถึงกับออกอาการผงะขึ้นมาจนบุหรี่ที่คาบไว้ก็กระเด็นออกจากปากทันที!
"ฉิบ... ฉิบหายแล้วสิกู...?! " เสียงพี่เมฆอุทาน แล้วผมก็เห็นเขารีบก้มตัวลงหมอบกับพื้นอย่างเร็วมาก!
แล้วในตอนนั้นเอง... ผมจึงได้มาเห็นชัดตาว่า มันมีฝูงของสัตว์อะไรบางอย่างที่กำลังวิ่งยกโขยงกันมาทางด้านหลังของพี่เมฆด้วยความเร็วแบบเต็มที่!
และสิ่งนั้นมันก็คือกองทัพของฝูงแมวนั่นเอง..!
มันเป็นกองทัพของฝูงแมวที่มีอยู่หลากสีหลากสายพันธ์ุและหลากขนาดรูปร่าง!
และมองดูคร่าวๆ แล้วพวกมันน่าจะมีจำนวนอยู่ไม่ต่ำกว่าสี่ห้าร้อยตัวขึ้นไปแน่ๆ และพวกมันก็กำลังวิ่งหน้าตั้งมาทางพี่เมฆและทางศาลานี้ด้วยหน้าตาที่ดูคลุ้มคลั่งราวกับแมวบ้า...!
และที่พวกเรามองพวกมันไม่เห็นกันมาก่อนหน้านี้ ก็คงจะเป็นเพราะว่าพวกมันคงจะซุ่มหมอบกันอยู่ในพงหญ้ามืดๆ มาก่อนที่จะค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อนและรวมตัวกันเพื่อที่จะโจมตีพวกเราในตอนนี้!
ขณะที่ผมกับไอริณกำลังตื่นตะลึงกันจนยังทำอะไรไม่ถูกกันในขณะนี้ ผมก็ได้มองเห็นว่าพวกฝูงแมวขนาดใหญ่นั้นกำลังวิ่งเข้ามาจวนจะถึงตัวของพี่เมฆที่กำลังหมอบก้มหัวอยู่รอมร่อแล้ว ไอริณเองก็รีบหันมาตะโกนสั่งผมด้วยเสียงอันดังลั่นทันที
"พี่กิต...! " รีบหมอบลงเร็ว!! "
แม้ว่าผมจะดึงสติกลับมาได้ช้ากว่าไอริณ แต่ปฏิกิริยาในการป้องกันภัยของผมนั้นก็ยังถือว่าเร็วใช้ได้อยู่ ดังนั้นผมจึงรีบทรุดตัวลงหมอบกับพื้นอย่างรวดเร็ว แล้วซุกหน้าของตัวเองไว้ในวงแขนทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันหน้าตาของตัวเองไว้จากกรงเล็บของพวกมันอย่างเร่งด่วน!
แต่ในชั่วพริบตา ก่อนที่ผมจะซุกหน้าของตัวเองไว้ในวงแขนของตัวเอง ผมก็ได้มองเห็นว่าฝูงแมวขนาดใหญ่อันดุร้ายนั้นได้วิ่งเข้ามาปะทะกับตัวของพี่เมฆอย่างรุนแรงแล้ว โดยที่ตัวของเขาเองนั้น ก็ไม่มีโอกาสที่จะตั้งหลักรับมือกับพวกมันได้ทันแม้แต่น้อย!
โอย... คราวนี้พวกเราทั้งหมดคงจะได้ยับเยินกันทั้งตัวแน่ๆ แล้ว...! ผมบอกกับตัวเองพร้อมกับความรู้สึกที่หวาดหวั่นเกินจะบรรยายได้
แต่ก่อนที่ฝูงแมวจะวิ่งเข้ามาปะทะถึงตัวผมกับไอริณ ผมก็ได้ยินเสียง ฟึ่บบบ! ดังขึ้นทางด้านซ้ายที่ซึ่งไอริณกำลังทรุดร่างหมอบอยู่ จากนั้นผมก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะมีประกายไฟบางอย่างที่สว่างวาบขึ้นมาราวกับได้มีใครมากดเปิดไฟแฟลชกำลังสูงอยู่ข้างๆ ผม
และจากที่ผมคาดว่าพวกขบวนของกองทัพแมวนั้นจะต้องตรงเข้ามาปะทะกับตัวของเราสองคนเป็นลำดับต่อไปแน่ๆ แล้วนั้น ผมก็กลับรู้สึกว่าพวกมันกลับได้แตกแยกกลุ่มออกเป็นสองสายซ้ายและขวาขึ้นมาอย่างปุปปับฉับพลัน ก่อนที่จะพุ่งผ่านด้านข้างของเราทั้งสองคนไปอย่างฉิวเฉียด!
ผมแปลกใจ จึงค่อยๆ โงหัวขึ้นมาเล็กน้อย เหลือบไปข้างๆ ก็มองเห็นไอริณกำลังนั่งคุกเข่าอยู่แทนที่จะหมอบ และก็สังเกตุว่าในมือขวาที่แบออกมาข้างหน้าของเธอนั้นเหมือนจะมีของอะไรบางอย่างวางอยู่ในอุ้งมือ และสิ่งนั้นมันก็กำลังส่องแสงสีขาววูบๆ วาบๆ เจิดจ้าแสบตา จนผมเองถึงกับต้องหรี่ตามอง ในขณะที่ฝูงของกองทัพแมวที่ยังเหลืออยู่เหล่านั้นต่างก็เปลี่ยนทิศทางวิ่งออกไปทางด้านข้างของเราด้วยกันทุกตัว!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับพวกกองทัพแมวกันล่ะ...? หรือว่าสิ่งที่อยู่ในมือของไอริณนั้น มันจะสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกมันจนไม่อาจจะกล้าเข้ามาทึ้งพวกเราเหมือนอย่างที่ผมคาดคิดไว้แต่แรก?
เสียงอื้ออึงที่เกิดจากฝูงแมวที่ได้วิ่งผ่านด้านข้างผมและไอริณดังอยู่ไม่นานนัก แล้วสุดท้ายจำนวนฝูงแมวที่เหลืออยู่ท้ายๆ ไม่กี่ตัวนั้นก็ได้วิ่งหนีหายเข้าไปในความมืดที่อยู่ด้านหลังของเราด้วยกันทั้งหมด
แล้วผมก็ค่อยๆ ผงกหัวขึ้นมา พลางเหลียวมองไปรอบๆ ตัว อย่างหวาดๆ ก่อนที่จะค่อยๆ แน่ใจว่าไม่เหลือพวกแมวบ้าตัวไหนอยู่ในบริเวณนี้อีกต่อไป
จากนั้นผมถึงได้ลุกขึ้นมายืนอย่างช้าๆ พลางมองไปที่ไอริณที่ได้ลุกขึ้นมายืนแล้วเช่นกันโดยที่อะไรบางสิ่งที่เล็กๆ ที่อยู่ในมือของเธอนั้น ขณะนี้ก็ยังคงสว่างวูบวาบเจิดจ้าอยู่อีกครู่หนึ่ง แล้วก็ค่อยๆ อ่อนแสงลงไปราวกับถ่านหมด
"นั่นมัน... อะไรเหรอน้องริณ ท่าทางมันจะช่วยเราไว้นะ? " ผมถามออกไปอย่างแปลกใจกับของสิ่งนั้น
"สร้อยคอของริณไง..." ไอริณตอบยิ้มๆ "ถ้าดึงมันออกมาใช้ช้ากว่านี้อีกนิด รับรองว่าตัวของเราสองคน คงจะมีแต่รอยเล็บแมวกันเป็นร้อยๆ รอยแน่ๆ เลย"
"เหรอ...? " ช่างน่าอัศจรรย์นัก..." ผมชโงกเข้าไปดูใกล้ๆ ก็มองเห็นว่ามันก็เป็นแค่หินหรืออัญมณีอะไรสักอย่างที่มีสีขาวๆ แวววาวราวกับทองคำขาวเท่านั้นเอง
"พี่กิต... อย่าเพิ่งสนใจสิ่งนี้เลย" ไอริณพูดแล้วก็ดันสร้อยลงไปในเสื้อ พลางชะเง้อออกไปมองที่ชายทุ่ง "พี่เมฆน่ะ ตอนนี้เป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้? "
"โอใช่... ตายล่ะ! " ผมรีบเหลียวไปดูตรงชายทุ่งนั้น "พี่เองก็ดันมัวตกตะลึงกับสร้อยของน้องริณอยู่... พี่ว่า เหมือนจะเห็นพี่เมฆโดนพวกกองทัพของแมวเข้าปะทะเต็มๆ ตัวเลยนะน้องริณ? "
แล้วเราสองคนก็รีบก้าวลงไปที่ริมทุ่งร้างนั้น พลางกวาดสายตามองหาพี่เมฆไปรอบๆ
"พี่เมฆๆ ... พี่เมฆอยู่ที่ไหนเหรอครับพี่เมฆ... พี่เมฆได้ยินแล้วตอบด้วยๆ ..." ผมส่งเสียงเรียกออกไปด้วยความรู้สึกกังวลใจขึ้นทุกขณะ
"อยู่... อยู่ทางนี้..." แล้วเสียงพี่เมฆก็ดังมาจากกอหญ้าที่อยู่ไม่ไกลจากเรานัก แต่เสียงนั้นก็ฟังดูเหมือนว่าจะเหนื่อยล้าอ่อนแรงไปอยู่ไม่น้อยทีเดียว
แล้วผมกับไอริณรีบก็วิ่งเข้าไปดูทันที
และที่หลังกอหญ้านั้น เราสองคนก็ได้เห็นสภาพของพี่เมฆในตอนนี้ว่า มันมีสภาพที่ไม่ค่อยจะน่าดูสักเท่าไร
พี่เมฆในขณะนี้กำลังอยู่ในท่านอนหงายอย่างอ่อนแรง แต่ก็ยังอุตส่าห์ฝืนยิ้มฝืดๆ มาให้เรา ที่แขนและมือทั้งสองข้างของเขาในตอนนี้นั้น กลับเต็มไปด้วยรอยแผลรอยข่วนที่เกิดจากกรงเล็บของพวกฝูงแมวบ้าที่เมื่อครู่นี้ได้พุ่งเข้ามาปะทะกับตัวเขาอย่างเต็มเหนี่ยว และเสื้อผ้าของเขาที่ก่อนหน้านี้ก็ยังมีสภาพดีๆ อยู่นั้น ตอนนี้มันก็กลับเต็มไปด้วยริ้วรอยขาดหลุดรุ่ยไปจนเกือบทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะประคองตัวของพี่เมฆให้ลุกขึ้นมา เขาก็รีบลุกขึ้นมานั่งตัวตรงอย่างพรวดพราดราวกับว่าเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรที่ส่วนไหนของร่างกายเลยแม้แต่ที่เดียว จากนั้นเขาก็สลัดหัวไปมา เหมือนกับว่าจะต้องการขับไล่ความมึนงงที่มีให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
"มันช่างแสบจริงๆ เลยนะ... อีนังแมวปิศาจตัวนี้น่ะ..." เขาพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มสบายๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ถึงแม้ว่าที่ใบหน้าด้านข้างทั้งสองของเขาในยามนี้ จะดูยับเยินไปด้วยริ้วรอยที่เกิดจากกรงเล็บแมวจนเลือดไหลออกมาอยู่ซิบๆ ก็ตาม
"ไม่นึกว่ามันจะไประดมพวกฝูงแมวมาได้จนมากมายถึงขนาดนี้ แต่คิดดูอีกทีมันก็คงใช้อำนาจจิตที่มีอยู่น้อยนิดของมัน นั่นแหล่ะ ไปบังคับบงการให้พวกแมวมารวมตัวกันเพื่อมาโจมตีพวกเราซะมากกว่า... นี่ล่ะ ที่พี่ถึงได้บอกมาก่อนหน้านี้ยังไงว่า ฤทธิเดชของมันน่ะ ไม่เท่าหรอก แต่เล่กลห์เล่ห์เพทุบายของมันนี่ล่ะที่มันมีอยู่ไม่น้อยเลยนะจะบอกให้...! " พี่เมฆว่าแล้ว ก็ควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ จากนั้นก็พ่นควันออกมาจนลอยโขมงเหมือนเดิม
"พี่เมฆคะ... พี่ต้องไปหายาทาหรือฉีดยาสักหน่อยนะคะ เพราะว่าแผลที่ริณเห็นนี่ ก็ถือว่าเยอะอยู่เหมือนกันนะคะ" ไอริณพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง "คือว่าแมวพวกนี้น่ะ มันเป็นแมวจริงๆ และเล็บของมันก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้อยู่เหมือนกันนะคะพี่เมฆ..."
"เอาเถอะ... ยังไงพี่ก็คงยังไม่ตายง่ายๆ เพราะอีนังแมวกิ๊กก๊อกนั่นหรอก..." พี่เมฆพูดแล้วก็ยังคงนั่งสูบบุหรี่พ่นควันเป็นสาย ราวกับไม่กังวลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
"พี่เมฆครับ..." ผมเอ่ยขึ้น "ที่เรียกแมวตัวนั้นแบบนั้น เพราะว่ามันเป็นแมวตัวเมียงั้นเหรอครับ... แล้วพี่เมฆก็พูดถึงมันราวกับว่า ได้เคยรู้จักกับมันมาตั้งแต่เก่าก่อนเลยนะครับ? "
พี่เมฆเงยหน้าขึ้น แล้วพ่นควันบุหรี่เสียงดังฟู่ ก่อนจะพยักหน้า "ใช่แล้วล่ะ... อีนังแมวผีนั่นเป็นตัวเมียอย่างแน่นอน และพี่เองก็ได้เคยเจอหรือคุ้นเคยกับมันมาเมื่อนานมาแล้ว หรือพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า นังแมวผีนั่นได้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพี่มาตั้งนานแล้วก็ว่าได้นะ..."
"ครับ... แต่พี่เมฆพูดถึงมัน ราวกับว่ามันเป็นคนเลยนะครับ? " ผมตั้งข้อสังเกตุ
"ก็ใช่น่ะสิ... เพระตั้งแต่ดั้งเดิมนั้น นังแมวผีนี่มันก็เป็นคนมาก่อนนะ ไม่เชื่อก็ลองถามหนูไอริณดูก็ได้..." พี่เมฆตอบออกมา
"เคยเป็นคนมาก่อนจริงๆ จ้ะพี่กิต..." ไอริณพยักหน้าบอก "แถมเขาว่ากันว่า ตอนที่ยังเป็นคนนั้น เธอก็เป็นคนที่มีความสวยเป็นอย่างมาก ก่อนที่ในภายหลังจะเกิดเหตุบางอย่างจนทำให้เธอต้องมาอยู่ในร่างของแมวดำตัวนั้นจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ค่ะพี่กิต"
"เป็นคนมาก่อน... และสวยมากด้วย? " ผมรู้สึกแปลกประหลาดสุดๆ "ก็แล้วต่อมามันเกิดเหตุอะไรที่ถึงกับทำให้เธอต้องมาอยู่ในร่างของแมวดำแมวผีตัวนั้นกันได้ล่ะนี่...?! "
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ