Demon สัตว์อสูรจอมราชันย์
-
เขียนโดย Dinnsor
วันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 16.50 น.
15 ตอน
0 วิจารณ์
15.03K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ. 2562 16.55 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) บทที่ 10 Hope : ความหวัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 10
Hope : ความหวัง
Richard : ศิลปะการต่อสู้ที่แท้จริงไม่ได้ฝึกเพื่อไปสู้กับใคร แต่ฝึกเพื่อสู้กับใจของตัวเอง
อาเธอร์ จอนสตัน มองดูผลึกสีเขียวครามรูปร่างเด็กทารกในมือ มันคือตุ๊กตาผลึกที่เขานั่งทับในคืนที่แล้ว
‘ทำไมมันถึงมาอยู่ในกระเป๋ากางเกงได้’
แต่ความคิดเขาก็ต้องหยุดลงในทันทีเมื่ออาเธอร์เห็น 'เป้าหมาย' กำลังเดินเข้ามาในระยะการมอง อาเธอร์รีบหลบเข้าไปอยู่ในมุมมืด 'เป้าหมาย' เดินมาหยุดยืนอยู่หน้าขอทานคนหนึ่ง และทำทีท่าเหมือนกำลังล้วงกระเป๋าหาเงินเหรียญให้ขอทานเฒ่า
"ทำไมลุงถึงมาแถวนี้ทุกวันเลยล่ะครับ"
ขอทานเฒ่ายิ้มรับด้วยแววตาเศร้าสร้อย เขาเคยชักชวนให้ขอทานเฒ่าเข้าไปพักอาศัยในวัดแต่ขอทานเฒ่ากลับปฏิเสธอาจเป็นไปได้ว่ามีความคับแค้นรันทดบางอย่างจึงไม่สามารถย้ายที่อยู่อย่างอิสระได้ บัดดี้ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่ได้คำตอบเขาจึงเดินเข้าไปในวัด
มืดแล้ว ภายในวัดก็มืดมิด เขาเคยเสนอให้นักบวชชราติดไฟฟ้าภายในวัด แต่นักบวชบอกปัดปฏิเสธเห็นว่าไม่จำเป็น
จึงทำให้เขาคิดได้ว่าชีวิตคนในปัจจุบันล้วนพึ่งพาแต่เครื่องอำนวยความสะดวกมากเกินไป ความเรียบง่ายสุขสงบในการดำรงชีวิตล้วนแต่ถูกกลืนกินโดยเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นเพื่อสนองตัณหา ถ้าหากวันหนึ่งอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ทั่วโลกเกิดทำงานไม่ได้ พวกเขาเหล่านั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
แสงเทียนส่องสว่างมาจากกระท่อมหลังวัด พอบัดดี้เดินเข้าไปใกล้ ก็พบเห็นนักบวชชราที่กำลังใช้ไม้กวาดทำความสะอาดบันไดกระท่อม ทันทีที่เห็นเขานักบวชก็เอ่ยปากพูดขึ้น
"เอ้ย คุณบัดดี้ อย่าเพิ่งขึ้นมา อย่างเพิ่งขึ้นมา รอสักประเดี๋ยวก่อน มีแขกตามมาด้วย" สายตาของท่านนักบวชมองไปยังมุมมืดที่แสงเทียนส่องไม่ถึง
เมื่อบัดดี้หันไปมองตามหลวงพ่อ ก็มองเห็นเห็นเงาตะคุ่มเงาหนึ่งกำลังขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวในความมืด
อาเธอร์ จอนสตัน เดินออกมาจากเงามืดด้วยสีหน้าประหลาดใจ ที่ถูกเปิดโปง จากความสามารถในการซ่อนตัวของเขาที่เลือกซ่อนตัวในมุมมืดที่สุดและอับสายตาที่สุด แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่สายตาของนักบวชชรารูปนี้จะมองเห็น
"เข้ามาข้างในสิ" นักบวชที่เข้าไปในกระท่อมเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ร้องเรียกคนทั้งสองให้เดินเข้ามา
เมื่อทั้งหมดนั่งลงในกุฏิเรียบร้อย อาเธอร์ก็เริ่มจ้องมองนักบวชชรา จนเขาสังเกตเห็นถึงริ้วรอยความร่วงโรยที่ธรรมชาติมอบให้แก่ท่าน ความอ่อนโยนทั้งจากสีหน้าและแววตาทำให้อาเธอร์ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าเขามาถูกที่แล้วนักบวชก็ไล่สายตามองสำรวจอาเธอร์เช่นกัน
บัดดี้ได้แต่มองคนทั้งสองสลับไปมา เขากลัวก็แต่ท่านนักบวชจะมองคนผิดที่เลือกอาเธอร์มา
"เลือกไม่ผิดหรอก เป็นเด็กหนุ่มที่มีความยอดเยี่ยมไม่เหมือนกับอีกคน" นักบวชพูดจนบัดดี้ที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกกระสับกระส่าย
"ไม่ได้หมายถึงเจ้า อย่าร้อนตัวไปคุณบัดดี้" นักบวชหน้ากลับมาถามอาเธอร์
"เอ้า มานี่มีธุระอะไรล่ะเจ้าหนุ่ม"
อาเธอร์เรียบเรียงความคิดแล้วเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องเหตุการณ์ในโรงพยาบาลร้างจวบจนกระทั่งถึงตอนที่นาตาลีหายตัวไปให้ทั้งสองคนฟัง
บัดดี้มีสีหน้าประหลาดใจ ส่วนนักบวชชราท่านนั่งฟังอย่างสงบ
เมื่อเขาเล่าจบในกระท่อมก็เงียบไปนาน จนในที่สุดท่านนักบวชก็ขยับตัวไปหยิบตำราเก่าๆ เล่มหนึ่ง ซึ่งอาเธอร์มองดูแล้วพอจะคาดเดาอายุได้ว่าคงไม่ต่ำไปกว่าห้าสิบปีแน่นอน นักบวชยื่นของสิ่งนั้นให้เขา อาเธอร์รับมันมาและจ้องมองดูมัน
"เอ้า กลับไปได้แล้ว กลางค่ำกลางคืน อยู่แถวๆ วัดมันจะไม่งาม" นักบวชชราพูดพลางหันหน้าไปทางประตู
"ระวังรถไฟจะชนกันล่ะคุณบัดดี้" นักบวชพูดยิ้มๆ หันหน้าไปมองบัดดี้และอาเธอร์สลับกัน
บัดดี้นั่งคุกเข่ากราบลาท่านนักบวช อาเธอร์รีบทำตาม เขาลุกขึ้นเดินไปอย่างเลื่อนลอยในมือกำหนังสือเก่าที่ได้รับมาไว้แน่น พอเดินไปถึงตรงประตูเสียงของนักบวชก็แว่วเข้ามาในหัว
"เจ้าอยากจะช่วยเพื่อน หรืออยากฆ่าปีศาจ" อาเธอร์หัวใจกระตุกวูบหยุดเดิน หันมาจ้องหน้านักบวชชราเขม็ง ท่านนักบวชทำทีพยักหน้าให้แล้วนั่งหลับตาทำสมาธิเข้าฌาน
อาเธอร์ยังคงจ้องมองอยู่อย่างนั้น จนบัดดี้ยกมือมาแตะไหล่เป็นนัยว่าไปได้แล้ว เขาจึงหันหน้าก้าวลงบันได บัดดี้หันหน้ามามองท่านนักบวชเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเดินตามอาเธอร์ลงบันไดไป
ทั้งสองคน คนหนึ่งเดินตาม อีกคนเดินนำพออาเธอร์เดินก้าวขาออกจากประตูวัดก็หันกลับมาเพื่อที่จะถามอะไรบางอย่าง บัดดี้ที่เดินใจลอยตามมาเมื่อจู่ๆ คนเดินนำหันหน้ากลับมาก็สะดุ้งก้าวพลาดไปสะดุดเข้าให้กับขอบประตูวัด
เมื่อทั้งคู่หันหน้าเข้าหากันคนหนึ่งไม่ทันตั้งตัวดี อีกคนก็พุ่งเข้ามาอย่างสูญเสียการทรงตัว ปากกับก็ปากเลยประสานกัน
"อุ๊บ!" อาเธอร์รีบเอามือไปยันอกบัดดี้ไว้ไม่ให้ล้มไปด้วยกัน บัดดี้เองก็รีบเอามือมาจับไหล่อาเธอร์ พอทั้งคู่ตั้งตัวได้ดีแล้ว ปากกับปากแยกออกจากกันแล้ว บัดดี้ก็รีบพูดขึ้นก่อนแก้เขิน
"น นายไม่เป็นไรนะ"
อาเธอร์ใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปากด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์สุดๆ แต่พอเหลือบไปเห็นบัดดี้กำลังแสดงสีหน้าตกตะลึงปากอ้าตาค้างกับบางสิ่งที่อยู่ด้านหลังของเขา บรรยากาศทั้งหมดก็เปลี่ยนไป
ในความมืดมิดไร้แสงไฟจากหลอดไฟหน้าประตูวัด อาเธอร์ค่อยๆ หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำให้บัดดี้ตกตะลึง
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด
ครั้งนี้เปลี่ยนกลับไปเป็นอาเธอร์ที่ตกตะลึง เมื่อเขาเห็นจูดี้กรีดร้องและหันหน้าวิ่งออกไป
บัดดี้รีบวิ่งตามพลางตะโกนร้อง "เดี๋ยวก่อนมันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด"
เมื่อทั้งคู่วิ่งไปจนลับสายตาแล้วอาเธอร์จึงก้มลงมองดูหนังสือเก่าขาดในมือ
"รถไฟชนกันบ้าอะไรเนี่ย" เขาเลื่อนมือไปขยับแว่นตาให้เข้าที่ แสงไฟจากหลอดไฟฟ้าที่เพิ่งมาติดเอาป่านนี้ เหมือนจะจงใจเยาะเย้ยเขา
………………………………………………………………
"พื้นผิวของโลก ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำถึง 70% เช่นเดียวกับร่างกายมนุษย์ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักถึง 70% และทำหน้าที่เป็นระบบไหลเวียนเลือด คอยหล่อเลี้ยงแทรกซึม นำสารอาหารต่างๆ ไปยัง ทุกอณูของร่างกาย เมื่อเราได้ทำการวิจัยโดยการใช้กล้อง ส่องดูโมเลกุลของน้ำที่มีการนำมาจากแหล่งต่างๆ พบว่ารูปผลึกของน้ำมีความสวยงามและหลากหลายตามสภาวะสิ่งแวดล้อม ภาพของผลึกน้ำ(รูปร่างคล้ายผลึกของเกล็ดหิมะ) จะเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่งดงาม เพียงแค่พูดคำว่า “ขอบคุณ” และเปลี่ยนเป็นรูปร่างที่น่าเกลียด เพียงแค่คำพูดว่า “ไอ้โง่”
สก็อต แมคโดนัล เดอแฮมเบิร์ก หันหน้ามายิ้มให้กับสาวสวยผู้ฟังหลังจากพูดจบ
นาตาลีมองไปที่ภาพโมเลกุลผลึกน้ำรูปร่างต่างๆ บนเกระจกใส ประกอบด้วยภาพตัวอย่างของผลึกน้ำจากหลากหลายสถานที่ ผลึกน้ำที่เรียงตัวกันสวยสะดุดตาเธอมากที่สุดคงจะเป็นผลึกน้ำที่มาจากวัดจิตสงบ วัดแห่งหนึ่งในมหานครยิ้มแฉ่ง
"ทั้งหมดนี้ยังไม่สามารถทำให้ฉันตัดสินใจเข้าร่วมกับองค์กรของคุณได้หรอกค่ะ" นาตาลีมองกลุ่มภาพผลึกน้ำที่แตกต่างกัน แต่มีที่มาของน้ำเพียงสถานที่เดียว
"ภาพพวกนี้" คิ้วทั้งสองของเธอขมวดเข้าหากัน ส่งสายตาคาดคั้นคำตอบจากชายชราในชุดสูทหรูหรา
"ครับ ภาพพวกนั้น คืองานที่แท้จริงขององค์กรเรา และเราคิดว่าคุณน่าจะช่วยเราได้"
………………………………………………………………
อาเธอร์ จอนสตัน หยุดยืนอยู่เพียงลำพังบนศีรษะของเขาสวมไว้ด้วยเครื่องDC สถานที่ตรงหน้าในตอนนี้คือสวนสาธารณะยิ้มแฉ่ง สถานที่ซึ่งเกิดเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของเมืองเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า
ไม่มีตำรวจมาคอยเฝ้าแล้ว
เขาเดินผ่านแผงกั้น 'ห้ามเข้า' ที่ประตูหน้าไปยังบริเวณเคยเป็นบ่อน้ำ ที่ซึ่งเคยมีรูปปั้นปลาประหลาดคอยพ่นน้ำขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ตอนนี้ มันกลับลึกลงไปเป็นหลุมกลมขนาดใหญ่ กินบริเวณกว้าง เส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าร้อยเมตร
อาเธอร์ก้มลงตรวจดูพื้นผิวดินในบริเวณนี้กลับพบว่ามันไม่ใช่หลุมที่เกิดขึ้นจากการระเบิด ขณะที่อาเธอร์กำลังวิเคราะห์ขบคิดอยู่ พื้นดินส่วนที่เขายืนอยู่ก็เริ่มเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตึกรามบ้านช่องที่มีประตูหน้าต่างเป็นกระจกแก้วใส ล้วนแตกร้าวจนแทบไม่หลงเหลือ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเชื่องช้าไปหมดในช่วงเวลาหายนะ
ต้นไม้ต่างๆ ในบริเวณสวนสาธารณะ สั่นไหวเอนเอียงมีบางต้นที่ล้มลงมา เขาหมอบราบลงไปกับพื้น ความรู้สึกปวดบริเวณต้นขาเกิดขึ้นทันทีที่เขาหมอบลง
เวลาห้านาทีผ่านไปเชื่องช้าราวกับห้าชั่วโมง การสั่นสะเทือนของแผ่นดินจึงหยุดลง อาเธอร์ยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากใบหน้า ความเจ็บปวดบริเวณต้นขาทำให้เขาต้องรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง......แล้วตัวการที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเขาก็ปรากฏขึ้น
มันคือตุ๊กตาผลึกรูปเด็กทารกที่กำลังส่องแสงสีเขียวสว่างจ้าจนอาเธอร์ต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดตา
To be continue…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ