司文妙ยอดหญิงเเห่งเเผ่นดิน
-
เขียนโดย ตำหนักบุปผา
วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.07 น.
6 ตอน
1 วิจารณ์
7,772 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561 17.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) 四
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความซือเหวินเมี่ยวนั่งกอดเข่าสีหน้าอมทุกข์พิงผนังเกวียน เกือบจะสามสิบวันเเล้วที่มิอาจกลืนสิ่งใดลงเข้าคอได้อย่างสบายใจ ทุกคำที่กล้ำกลืนฝืนทานประทังชีวิตลงไปมีเเต่เพียงความเจ็บปวดรู้สึกผิดที่เพราะความเอาเเต่ได้ของนางเป็นผลให้ต้องมีคนมาตายตกไป "หยุนเยว่" นางกล่าวขึ้นในความเงียบ
"เจ้าคะคุณหนู"หยุนเยว่ที่นั่งอยู่ปากประตูรีบคลานไปหาคุณหนูใหญ่
"ข้าขอโทษนะหยุนเยว่...ชีวิตของเมิ่งเหยาที่เงียบดับลงไปเป็นเพราะข้า"คุณหนูใหญ่กล่าวเสียงสั่นระรัวพร้อมหยาดน้ำตาใสล้นดวงตา
"มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนู...เราทำบุญให้เขา...เขาก็ดีใจเเล้วที่ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเจ้านายที่เห็นคุณค่าในการจากไปของเขา"หยุนเยว่ยิ้มทั้งดวงตาที่เเดงก่ำร่ำไห้น้ำตาล่วงมาตลอดการเดินทางหลังจากที่สูญเสียเมิ่งเหยาไป มิเคยคิดว่าชะตาเราจะสั้นขาดกันง่ายดายเพียงนี้ ทะนงใจเกินไปว่าจะกล่าวความรู้สึกยามไหนก็ได้ เเต่สุดท้ายเเล้วชะตาฟ้าลิขิตก็พรากโอกาสไปเสียเเล้ว "ถึงจะดับเงียบสูญสิ้นจากพื้นพิภพไปเเล้ว เเต่เสียงของเขายังจะเป็นเสียงเเห่งความเงียบที่ดังก้องที่สุดในหัวใจของหยุนเยว่"
ล้อเกวียนรถม้าหยุดลงตรงที่หน้าตึกอาคารว่างข้างโรงเตี๋ยม
กั๋วเว่ยลงจากอาชามาเปิดผ้าม่านหลังเกวียน "เมี่ยวเอ๋อ เถียนเอ๋อ ถึงเสียนหยางเเล้วลูก"
ซือเหวินเมี่ยวค่อยๆก้าวลงจากเกวียนพร้อมใบหน้าเศร้าสร้อย นางมองสภาพเเวดล้อมในตัวเมืองรอบทิศของเสียนหยาง ดูคึกคักขวักไขว่ดีมิเงียบเหงาเหมือนตะเข็บชายเเดนซินเจียงที่ผู้คนเอาเเต่ก้มหน้าก้มตาซื้อของเเล้วรีบกลับจวนมิค่อยสุงสิงกับผู้ใดมากนัก
"โชคดีที่เพื่อนพ่อเป็นเจ้าของตึกใหญ่สองตึกติดกัน ตึกหนึ่งเปิดโรงเตี๋ยม เเต่อีกตึกหนึ่งว่างพอดี เขาขายให้เราตามที่เราพอจ่าย"กั๋วเว่ยกล่าวอย่างดีอกดีใจ "มีสหายดีก็ดีเช่นนี้เอง" เมื่อกล่าวจบเขาเดินก็เข้าไปข้างในโรงเตี๋ยมก่อนจะหันหลังไปหาครอบครัวที่ยังยืนเก้ๆกังๆอยู่ "นั่งคอยสักครู่ เเล้วจะมีคนมาช่วยขนของเข้าไปเก็บที่บ้านใหม่ของพวกเราให้"
เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๋ยมเห็นว่ามีคนเข้ามาพลันนึกไปว่าเป็นลูกค้าเดินเข้ามาเป็นครอบครัว จึงรีบเดินไปต้อนรับ "ยินดีต้อนรับนายท่านเข้าสู่โรงเตี๋ยมจิ่นเต๋อเจ้าคะ จะรับสำรับหรือเข้าพักดีเจ้าคะ"
"ข้าเป็นสหายของจิ่นหวัง จะมาเข้าพบสนทนากับเขา"
"เจ้าค่ะ ขออนุญาตนำทางเจ้าค่ะ"เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า
"สักครู่"กั๋วเว่ยยกมือปราม "ช่วยรับรองครอบครัวข้าที ข้าจะเข้าไปสนทนาครู่ใหญ่ เกรงพวกนางจะอึดอัด" เขาหันออกไปมองข้างนอกมองไปที่ครอบครัว
"เจ้าค่ะ"เสี่ยวเอ้อร์ย่อกายรับคำก่อนเดินไปเเจ้งให้เสี่ยวเอ้อร์นางอื่นมารับรองครอบครัวที่รออยู่เเล้วจึงนำทางสหายเจ้านายนางขึ้นพบชั้นบน
ซือเหยียนเม่ยนั่งบนเก้าอี้เเล้วเอื้อมมือไปจับมือของบุตรีคนโตที่ยังหน้าซีดเหม่อลอยอยู่ "มิเป็นไรนะลูก"
"เจ้าค่ะ"ซือเหวินเมี่ยวพยักหน้า
"นายหญิงจะรับอันใดหรือไม่เจ้าคะ"เสี่ยวเอ้อร์อีกนางเดินออกมาจากโรงเตี๋ยมมารับคำสั่งสำรับ
"ข้าวต้มสี่ถ้วยกับเนื้อตุ๋นจานนึงเเล้วกัน"เหยียนเม่ยกล่าว
"เจ้าค่ะ"เสี่ยวเอ้อร์ย่อกายรับเเล้วเดินเข้าไปในครัว
ระหว่างทางเดินไปในครัวของเสี่ยวเอ้อร์ได้ถูกขัดดักโดยคุณหนูจิ่นเจียอิงบุตรีคนเดียวของนายท่านจิ่นหวังเสียก่อน
"ครอบครัวนี้ดูเเปลกๆ เห็นบุรุษครอบครัวนี้ขึ้นไปที่ห้องท่านพ่อ พวกนี้เป็นผู้ใดกัน"จิ่นเจียอิงกล่าวพร้อมมองไปข้างนอกที่หัวข้อสนทนาอย่างมิละสายตา
"เห็นว่านายท่านผู้นำสกุลเป็นสหายของนายท่านเจ้าค่ะคุณหนู"
"สตรีที่ประดับปิ่นบุปผาสีเเดงมิถูกโฉลกข้าตั้งเเต่เเรกพบจริงๆ"เจียอิงกล่าวด้วยเสียงรังเกียจ "จะไปทำอันใดก็ไป"
"เจ้าค่ะคุณหนู"เสี่ยวเอ้อร์ย่อกายอีกคราเเล้วเดินเข้าไปในครัว
เเต่ทว่าจิ่นเจียอิงยังคงยืนมองเค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวด้วยท่าทีเกลียดชังของศัตรูอยู่มิเลิก
ซือเหวินเมี่ยวที่ทราบถึงรังสีอัมหิตที่จ้องมองนางอยู่ นางจึงหลีกเลี่ยงด้วยข้ออ้างสารพัดพันเเปดของนางลุกเดินไปสำรวจตัวเมืองเสียนหยางรอบๆนี้ กระทั้งไปตกหลุมร้านตำรา ติดตรึงตามอ่านตำรากวีซึ่งนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงได้ประพันธ์ไว้นับสิบเล่มตามชั้นวางไปเรื่อยๆมิมีรู้เบื่อเเม้เเต่น้อย
"โห!"อู๋ชุ่นฮวาที่เห็นสตรีวัยไล่เลี่ยกันยืนอ่านตำราบทกวีภาษาคมคายเกินกว่าสตรีทั่วๆไปจะเข้าใจกัน เเต่นางกลับอ่านพินิจใคร่ครวญอย่างสนใจ จึงกล่าวขึ้นเชิงอุทาน "เจ้าอ่านหนังสือออกด้วยหรือ"
เค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวขมวดคิ้วละสายตาจากตำราไปมองสตรีที่ยืนอยู่ข้างๆ "หากอ่านหนังสือมิออกเเล้วจะมาอยู่ในร้านตำราเพื่อเหตุใด เจ้านี่ถามอันใดเเปลกๆ"
ชุ่นฮวารีบส่ายหัวเเละกล่าวคำถามใหม่ "มิใช่สิ...ข้าจะกล่าวว่าเจ้าอ่านตำราเล่มนั้นเข้าใจด้วยหรือ"
"ก็ยืนอ่านอยู่นี่เรียกอ่านมิเข้าใจหรือ" ซือเหวินเมี่ยวขมวดคิ้วเอียงศรีษะมิเข้าใจ เเม้ท่าทีนางจะดูเหมือนเเม่เล้าคุมซ่องนางโลมไปเสียหน่อย เเต่มิได้มีเจตนายั่วเบื้องล่างผู้ใดลงหน้านาง
"ฝีปากกล่าวคมคายเสียด้วย...ให้อารมณ์เจ๊คุมซ่องนางโลมมากเลยเจ้า!"ชุ่นฮวาปรบมือท่าทีชอบอกชอบใจ
ซือเหวินเมี่ยวขมวดคิ้วตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันอยู่ครงหน้า "ที่เสียนหยางหากมิรู้จักกันมากล่าวเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ"
"นี่เจ้ามิใช่คนเสียนหยางหรือ"สตรีตัวเล็กส่วนสูงต่ำกว่าเขย่งขึ้นให้เทียมกับคู่สนทนาเพื่ออรรถรส "เเล้วเจ้ามาจากที่ใดเล่า"
"ข้าว่าเรามิได้รู้จักกันถึงขนาดมาซักไซร้ถามความกันลึกเช่นนี้"บุตรีตะกูลเค่อเอ้อร์ซื่อส่ายหน้าก่อนปิดหน้าตำราหมายจะเดินออกจากร้าน
"รอข้าก่อนสิ!"บุตรีตะกูลอู๋รีบเเทรกเเซงตัวไปดักข้างหน้า "เช่นนั้นเราก็ทำความรู้จักกันเสียสิ"
"กล่าวอันใดของเจ้ากัน กล่าวง่ายไปหรือไม่"ซือเหวินเมี่ยวถอนหายใจเบาๆ "เคยไปพบเเพทย์หรือไม่...หน้าตาเจ้าก็งามดีนะ มิน่าเลย"
"นี่! ข้ามิได้วิปลาสนะเจ้า!"ชุ่นฮวาส่ายหน้าปฏิเสธระรัว "เเล้วเหตุใดการที่คนสองคนจะผูกมิตรกันต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วยเล่า ผูกมิตรนะมิใช่ผูกศัตรูที่ต้องเตรียมการนานกว่าจะเกลียดกัน"
"เจ้าเข้าใจผิดเเล้ว...การผูกศัตรูมิต้องใช้เวลาอันใดให้ยืดยาว บางทีเพียงมองหน้าเเล้วรู้สึกเกลียดพาลเป็นศัตรูไปก็มีมิน้อย"
"เเต่ข้าว่าบางทีที่คนเราเป็นศัตรูกันก็เพราะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเวรทำกรรมไว้ให้ฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บเเค้น เขาเลยตามมาชาตินี้เพื่อเอาคืนมากกว่า"อู๋ชุ่นฮวากล่าวด้วยสีหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ก่อนกลับมาเป็นสีหน้าปัญญานิ่มเด็กน้อยตามเดิม "นี่ๆ! เจ้ากล่าวต่อตีเนียนสนทนากับข้าเองเช่นนี้ข้าก็เขินเเย่เลยสิ"
"ข้าว่าเจ้าควรไปพบเเพทย์---"
"ข้าก็บอกอยู่ว่ามิได้วิปลาส เเต่ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นห่วงสุขภาพข้าเเล้วกัน"ชุ่นฮวากล่าวเเทรกทวงคืนเเก้ต่างความจริงให้ตนเอง
"ข้าเป็นห่วงสุขภาพจิตเจ้ามากกว่านะเเม่นาง"เค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวหัวเราะเเห้งๆ
"ปากเจ้านี่เราะร้ายจริงๆ"อู๋ชุ่นฮวาเบ้ปากมิปลื้ม "ข้านามอู๋ชุ่นฮวา เเล้วเจ้าเล่า"
ซือเหวินเมี่ยวถอนหายใจอีกครา "ข้านามเค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยว" นางกล่าวจบก็เดินออกจากชั้นวางตำราไปหมายจะออกจากร้าน ทิ้งให้ผู้ถามยืนนิ่งเงียบอยู่ผู้เดียว
"โห..."ชุ่นฮวายังคงยืนนิ่งตามความมิทัน เเต่เมื่อได้สติเเล้วก็รีบวิ่งออกจากร้านตำราตามซือเหวินเมี่ยวไปด้วยความรวดเร็ว "รอข้าด้วย!"
ซือเหวินเมี่ยวหันหลังไปมองร่างเล็กที่ขาสั้นกว่านางเเต่เดินวิ่งย่างกรายได้ไวก่อนเอ่ยชม "ขาสั้นเเต่วิ่งไวดีนะ"
"ขอบคุณที่ชม"ชุ่นฮวาโน้มตัวเเขนยันเข่าหอบเเฮกอยู่สักพักเเล้วจึงยืนหลังตรงดังเดิม "นามสกุลเจ้าเค่อเอ้อร์ซื่อ...เจ้าเป็นชาวเเมนจูหรือ" นางไปยืนเสมอกับสหายใหม่เเลก้าวขาเดินต่อ "ข้าตามเจ้าทันเเล้ว เดินต่อๆ"
"อืม เข้าใจเเล้ว"ซือเหวินเมี่ยวก้าวเดินต่ออย่างว่านอนสอนง่าย "มารดาเป็นฮั่น บรรพบุรุษสี่ชั่วรุ่นขึ้นไปของบิดาเป็นมองโกลสองคน ลงมาที่เหลือทุกคนเป็นฮั่นทั้งหมด เรียกเเมนจูหรือไม่เล่า"
"อ๋อมองโกล เช่นนั้นก็เรียกเป็นญาติห๊างห่างของเเมนจูเเล้วกัน"อู๋ชุ่นฮวาขบคิดพร้อมพยักหน้า "ว่าเเต่ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนที่ใดหรือ"
"ซินเจียง"
"เดินทางมาไกลนะเนี่ย"
ชุ่นฮวาเงียบไปสักพักก่อนเอ่ยขึ้นในความเงียบระหว่างการเดิน "ซือเหวินเมี่ยว...ขอบคุณนะที่เจ้ายอมเป็นเพื่อนกับข้า"
"คะยั้นคะยอเสนอตัวตีเนียนเสียขนาดนี้ เป็นผู้ใดจิตใจเเข็งก็ยากจะปฏิเสธ"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวเสียงเรียบ "เเล้วมากล่าวขอบคุณเช่นนี้ เจ้ามิมีเพื่อนหรืออย่างไร"
"อื้อ"อู๋ชุ่นฮวาพยักหน้า "เเล้วเจ้าล่ะ"
"อย่างข้าน่ะหรือจะมิมีเพื่อน"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน เเต่จะกลบเกลื่อนอย่างไรเเต่ในความเป็นจริงนางก็ยังคงเป็นผู้ที่ทราบดีที่สุด
"ข้ามิเคยมีเพื่อนหรอก ท่านเเม่ข้าเป็นอนุภรรยาที่สิบเก้าของท่านพ่อซึ่งเป็นขุนนางในราชสำนัก โบราณเขากล่าวไว้..ลูกเมียน้อยคนที่เก้าหายากมิตรอยากคบ เเต่ข้าสิเป็นบุตรีอนุคนที่สิบเก้ามิมีผู้ใดอยากคบเป็นมิตร เเม้เเต่ลูกบ่าวลูกไพร่ก็ยังส่ายหน้าหนีมิอยากยุ่งกับข้าเลย"
"เเต่มารดาเจ้าก็ถึงภรรยาขุนนาง เเม้จะเป็นอนุภรรยาก็ตามเถอะ อย่างไรเสียก็น่าจะมีคนอยากคบค้าสมาคมบ้าง"
"คำกล่าวของเจ้าน่าจะใช้กับผู้อื่นได้นะ"อู๋ชุ่นฮวาหัวเราะเบาๆ "เเต่มิใช่สำหรับท่านเเม่กับข้าหรอก...ท่านเเม่เมื่อวัยปักปิ่น...จะถูกท่านตาท่านยายบังคับหรือสมัครใจก็ตามเเต่...ท่านถูกอวยยศเป็นท่านหญิงฐานะสนมลับของฝ่าบาทมาเกือบสิบปี เเต่ก็ถูกปลดออกพร้อมกับถูกส่งมาที่จวนสกุลอู๋ตามคำขอของท่านพ่อ สตรีที่บริสุทธิ์มิมีอดีตอันขมขื่นต่อให้เป็นอนุคนที่สามสิบหรือสี่สิบก็มีเเต่คนอยากเข้าใกล้ เจ้านายในจวนนอกจากท่านพ่อก็มิมีมีผู้ใดมาเหยียบเรือนท่านเเม่เลย...พวกนั้นเเสดงออกว่ามิอยากเข้าใกล้ท่านเเม่ได้ชัดเจนมาก"
"เเล้วเจ้าเคยเกลียดเคยเบื่อกับการที่เจ้าเกิดมาเเล้วต้องมาโดนร่างเเหพาลโดนรังเกียจเช่นนี้หรือไม่"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวด้วยความอยากรู้ยากเห็น
อู๋ชุ่นฮวาหัวเราะยกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้าทันควัน "มิเคยหรอก ถึงมิได้เป็นบุตรีฮูหยิน เป็นได้เพียงบุตรีอนุที่ซ้ำถูกรังเกียจด้วยก็มิเคยเกลียดอยากจบชีวิตอันเเสนรันทดนี้เเม้เเต่น้อย หากข้าตายไปก็เท่ากับว่าต้องทิ้งท่านเเม่ให้ทนทุกข์ทรมานอยู่เพียงผู้เดียว...มิเอาด้วยหรอกเจ้า บาปขึ้นตกนรกหมกไหม้เเน่เเท้" นางกล่าวติดตลก "ชีวิตข้าข้าเลือกเกิดมิได้ เเต่ข้าเลือกสิ่งที่เป็นไปได้ ข้าเป็นเจ้าของชีวิตข้าเอง เหตุใดต้องเอาคำดูถูกเหยียดหยามที่พวกเขาสมเพชเวทนามากดตนเองให้ต่ำลงจนทุกข์ใจด้วยเล่า เห็นข้าดูไร้สติเช่นนี้เเต่ข้าว่าข้าเเข็งเเกร่งดั่งสตรีเหล็กเชียวหนา สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาข้าอยู่กับคำว่าลูกอนุอยากมีชีวิตรอดต้องมิมีพิษสะเทือนถึงฮูหยินใหญ่มาทั้งชีวิต ทำตัวตลกไร้เดียงสาปัญญาอ่อนมาตั้งสิบเจ็ดปี เหนื่อยมากเลยนะซือเหวินเมี่ยวมิใช่มิเหนื่อย ดังนั้นข้าก็ต้องหาทางทำคืนทุนอยู่เเล้ว เพราะคนเรามิได้เกิดมาเพื่อถูกเหยียดหยามเสียหน่อย"
"อ้อ เจ้าจะบอกว่าที่เจ้าดูคล้ายคนวิปลาสนี่คือเจ้าเเกล้งบ้าเพื่อเอาชีวิตรอดหรือ"
"เอาที่เจ้าสบายใจ"ชุ่นฮวายักไหล่ของนางเบาๆ "เเต่จะเรียกเช่นนั้นก็มิผิด"
"ประชดข้าหรือ"ซือเหวินเมี่ยวเอียงศรีษะท่าทีหาเรื่อง นางหันไปมองอาคารข้างโรงเตี๋ยมสีเเดงบ้านใหม่ของนางที่นำของไปจัดเก็บเรียบร้อยเเล้วจึงเอ่ยลา "ช่างเถอะ ถึงบ้านข้าเเล้ว...เจ้าเองก็กลับจวนเจ้าเสียเถอะ"
"อือ"ชุ่นฮวาพยักหน้า "ถือว่าข้ามาส่งต้อนรับมิตรภาพใหม่ของเราเเล้วกันนะ" นางโบกมือให้ซือเหวินเมี่ยวก่อนเดินหันหลังกลับไป
"โชคดี"เค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวตกใจกับการกระทำของอู๋ชุ่นฮวาเบาๆก่อนโบกมือให้ไล่หลังไป "คำว่าคนรัก...เพื่อนสนิท...มันได้ตายไปพร้อมกันมานานเหลือเกิน ข้าตัดขาดความสัมพันธ์มิมีเพื่อนสนิทใดๆมานานมากเเล้ว"
กิจการร้านติ่มซำของครอบครัวเค่อเอ้อร์ซื่อดำเนินไปอย่างสวยงามราบรื่นมิฝืดเคือง ซือเหวินเมี่ยวที่เข้าครัวเเล้วครัวระเบิดทุกคราจนต้องถูกอันเชิญไปคอยเฝ้าหน้าร้านเเทน ด้วยความที่สหายใหม่อย่างอู๋ชุ่นฮวาเองก็เบื่อจวนที่เต็มไปด้วยการชิงเด่นในหมู่ฮูหยินเเละอี๋เหนียงรวมยี่สิบนางเต็มทน จึงมาขอที่อยู่อาศัยสิงสถิตในการการหนีร้อนพึ่งเย็น ดังนั้นบุตรีเจ้าของร้านจึงขอค่าที่พักอาศัยชั่วคราวเป็นการมาช่วยเฝ้าหน้าร้านรับลูกค้าด้วยกัน
เเต่การที่จะมาให้สตรีอย่างเค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวนั่งเฝ้าหน้าร้านอย่างเดียว ใบหน้าของนางก็คงจะเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายจะนิ่วขมวดม้วนไปจนลูกค้ามิกล้าเข้าหนีหายไปเสียหมด นางจึงเลือกที่จะใช้กลยุทธ์เรียกลูกค้าบำบัดความเบื่อหน่ายที่เเม้จะมีสหายมาอยู่สนทนาด้วยก็ตาม ซึ่งวิธีนั้นที่นางเลือกก็คือการดีดกู่เจิง มิว่าจะเพลงสั้นเพลงยาว ต่อให้เป็นเพียงเพลงท่วงทำนองสำหรับใช้กู่เจิงดีด ซือเหวินเมี่ยวก็จะสามารถเพลิดเพลินจนลืมเวลาเบื่อไปได้
กลยุทธ์อันชาญฉลาดของคุณหนูใหญ่เป็นผลให้ความเงียบเหงาในร้านเเลละเเวกข้างเคียงถูกลบล้างไปด้วยท่วงทำนองงดงามที่ลื่นไหลดั่งสายน้ำของเสียงกู่เจิง เเละยังทำให้มีลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นบุรุษน้อยใหญ่ซึ่งหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของความงามของรูปกายเเละเสียงดนตรี
ในวันนี้ก็เช่นกัน มิมีอันใดเเปลกต่างไป ซือเหวินเมี่ยวยังคงดีดกู่เจิง ชุ่นฮวายังคงคอยช่วยนั่งเฝ้าดั่งทุกๆวัน เเต่สิ่งที่เเตกต่างออกไป..
ก็คือการที่จิ่นเจียอิง บุตรีเจ้าของโรงเตี๋ยมมารับติ่มซำด้วยตัวนางเอง เเละสิ่งที่เเปลกไปกว่านั้นคือนางยกโขยงเหล่าสหายของนางมาดั่งจะไปท้าตบเเย่งบุรุษกันที่ท้ายปลายป่า "มาบรรเลงกู่เจิงเเสดงความสามารถอยู่หน้าร้านเช่นนี้ มั่นใจคิดว่าเก่งมากหรืออย่างไร" นางมองจิกกัดเเขวะสตรีเจ้าของร้านที่นั่งดีดกู่เจิงมิรู้ร้อนใดๆอยู่
"มิมีบัณฑิตใดที่มิมั่นใจความรู้จริงเเต่เสนอหน้าไปสอบจอหงวน"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวเสียงเรียบโดยที่มือยังบรรเลงอยู่ "หากข้าบรรเลงได้ห่วยเเตกคงมิกล้ามาบรรเลงให้ขายหน้าครอบครัวเช่นนี้หรอก ความคิดข้ามีสติก็ดี หากคิดมิได้ข้าก็ควรไปพบเเพทย์นะ...จริงหรือไม่"
"เจ้า!"
"ข้านามซือเหวินเมี่ยว เรียกให้ถูกมีมารยาทสักหน่อยนะ"ซือเหวินเมี่ยวลุกขึ้นยืนประจันหน้าตรงๆกับผู้มาเยือน "ส่วนเรื่องติ่มซำ คุณหนูจิ่นมิต้องลำบากเดินมารับเองหรอกนะ เชิญคุณหนูกลับไปก่อน อีกสองเค่อจะให้หยุนเยว่นำไปส่งให้" นางผายมือเชิญเชิงให้ความว่ามาทางไหนโปรดกลับไปทางนั้น
_______
ก็หายไปถือว่านานพอสมควรนะคะ เเต่ช่างมันเถอะค่ะ บางสิ่งผ่านเข้ามาให้อยากได้เเต่มันไม่ใช่ของเราก็คือไม่ใช่ของเรา เอาเป็นว่าไรท์จะมาเริ่มต้นใหม่ทุ่มเทกับนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอให้รีดทุกๆคนมาเติบโตไปพร้อมกับไรท์เเละนิยาย"司文妙 ยอดหญิงเเห่งเเผ่นดิน"นะคะ
"เจ้าคะคุณหนู"หยุนเยว่ที่นั่งอยู่ปากประตูรีบคลานไปหาคุณหนูใหญ่
"ข้าขอโทษนะหยุนเยว่...ชีวิตของเมิ่งเหยาที่เงียบดับลงไปเป็นเพราะข้า"คุณหนูใหญ่กล่าวเสียงสั่นระรัวพร้อมหยาดน้ำตาใสล้นดวงตา
"มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะคุณหนู...เราทำบุญให้เขา...เขาก็ดีใจเเล้วที่ยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องเจ้านายที่เห็นคุณค่าในการจากไปของเขา"หยุนเยว่ยิ้มทั้งดวงตาที่เเดงก่ำร่ำไห้น้ำตาล่วงมาตลอดการเดินทางหลังจากที่สูญเสียเมิ่งเหยาไป มิเคยคิดว่าชะตาเราจะสั้นขาดกันง่ายดายเพียงนี้ ทะนงใจเกินไปว่าจะกล่าวความรู้สึกยามไหนก็ได้ เเต่สุดท้ายเเล้วชะตาฟ้าลิขิตก็พรากโอกาสไปเสียเเล้ว "ถึงจะดับเงียบสูญสิ้นจากพื้นพิภพไปเเล้ว เเต่เสียงของเขายังจะเป็นเสียงเเห่งความเงียบที่ดังก้องที่สุดในหัวใจของหยุนเยว่"
ล้อเกวียนรถม้าหยุดลงตรงที่หน้าตึกอาคารว่างข้างโรงเตี๋ยม
กั๋วเว่ยลงจากอาชามาเปิดผ้าม่านหลังเกวียน "เมี่ยวเอ๋อ เถียนเอ๋อ ถึงเสียนหยางเเล้วลูก"
ซือเหวินเมี่ยวค่อยๆก้าวลงจากเกวียนพร้อมใบหน้าเศร้าสร้อย นางมองสภาพเเวดล้อมในตัวเมืองรอบทิศของเสียนหยาง ดูคึกคักขวักไขว่ดีมิเงียบเหงาเหมือนตะเข็บชายเเดนซินเจียงที่ผู้คนเอาเเต่ก้มหน้าก้มตาซื้อของเเล้วรีบกลับจวนมิค่อยสุงสิงกับผู้ใดมากนัก
"โชคดีที่เพื่อนพ่อเป็นเจ้าของตึกใหญ่สองตึกติดกัน ตึกหนึ่งเปิดโรงเตี๋ยม เเต่อีกตึกหนึ่งว่างพอดี เขาขายให้เราตามที่เราพอจ่าย"กั๋วเว่ยกล่าวอย่างดีอกดีใจ "มีสหายดีก็ดีเช่นนี้เอง" เมื่อกล่าวจบเขาเดินก็เข้าไปข้างในโรงเตี๋ยมก่อนจะหันหลังไปหาครอบครัวที่ยังยืนเก้ๆกังๆอยู่ "นั่งคอยสักครู่ เเล้วจะมีคนมาช่วยขนของเข้าไปเก็บที่บ้านใหม่ของพวกเราให้"
เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๋ยมเห็นว่ามีคนเข้ามาพลันนึกไปว่าเป็นลูกค้าเดินเข้ามาเป็นครอบครัว จึงรีบเดินไปต้อนรับ "ยินดีต้อนรับนายท่านเข้าสู่โรงเตี๋ยมจิ่นเต๋อเจ้าคะ จะรับสำรับหรือเข้าพักดีเจ้าคะ"
"ข้าเป็นสหายของจิ่นหวัง จะมาเข้าพบสนทนากับเขา"
"เจ้าค่ะ ขออนุญาตนำทางเจ้าค่ะ"เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า
"สักครู่"กั๋วเว่ยยกมือปราม "ช่วยรับรองครอบครัวข้าที ข้าจะเข้าไปสนทนาครู่ใหญ่ เกรงพวกนางจะอึดอัด" เขาหันออกไปมองข้างนอกมองไปที่ครอบครัว
"เจ้าค่ะ"เสี่ยวเอ้อร์ย่อกายรับคำก่อนเดินไปเเจ้งให้เสี่ยวเอ้อร์นางอื่นมารับรองครอบครัวที่รออยู่เเล้วจึงนำทางสหายเจ้านายนางขึ้นพบชั้นบน
ซือเหยียนเม่ยนั่งบนเก้าอี้เเล้วเอื้อมมือไปจับมือของบุตรีคนโตที่ยังหน้าซีดเหม่อลอยอยู่ "มิเป็นไรนะลูก"
"เจ้าค่ะ"ซือเหวินเมี่ยวพยักหน้า
"นายหญิงจะรับอันใดหรือไม่เจ้าคะ"เสี่ยวเอ้อร์อีกนางเดินออกมาจากโรงเตี๋ยมมารับคำสั่งสำรับ
"ข้าวต้มสี่ถ้วยกับเนื้อตุ๋นจานนึงเเล้วกัน"เหยียนเม่ยกล่าว
"เจ้าค่ะ"เสี่ยวเอ้อร์ย่อกายรับเเล้วเดินเข้าไปในครัว
ระหว่างทางเดินไปในครัวของเสี่ยวเอ้อร์ได้ถูกขัดดักโดยคุณหนูจิ่นเจียอิงบุตรีคนเดียวของนายท่านจิ่นหวังเสียก่อน
"ครอบครัวนี้ดูเเปลกๆ เห็นบุรุษครอบครัวนี้ขึ้นไปที่ห้องท่านพ่อ พวกนี้เป็นผู้ใดกัน"จิ่นเจียอิงกล่าวพร้อมมองไปข้างนอกที่หัวข้อสนทนาอย่างมิละสายตา
"เห็นว่านายท่านผู้นำสกุลเป็นสหายของนายท่านเจ้าค่ะคุณหนู"
"สตรีที่ประดับปิ่นบุปผาสีเเดงมิถูกโฉลกข้าตั้งเเต่เเรกพบจริงๆ"เจียอิงกล่าวด้วยเสียงรังเกียจ "จะไปทำอันใดก็ไป"
"เจ้าค่ะคุณหนู"เสี่ยวเอ้อร์ย่อกายอีกคราเเล้วเดินเข้าไปในครัว
เเต่ทว่าจิ่นเจียอิงยังคงยืนมองเค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวด้วยท่าทีเกลียดชังของศัตรูอยู่มิเลิก
ซือเหวินเมี่ยวที่ทราบถึงรังสีอัมหิตที่จ้องมองนางอยู่ นางจึงหลีกเลี่ยงด้วยข้ออ้างสารพัดพันเเปดของนางลุกเดินไปสำรวจตัวเมืองเสียนหยางรอบๆนี้ กระทั้งไปตกหลุมร้านตำรา ติดตรึงตามอ่านตำรากวีซึ่งนักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงได้ประพันธ์ไว้นับสิบเล่มตามชั้นวางไปเรื่อยๆมิมีรู้เบื่อเเม้เเต่น้อย
"โห!"อู๋ชุ่นฮวาที่เห็นสตรีวัยไล่เลี่ยกันยืนอ่านตำราบทกวีภาษาคมคายเกินกว่าสตรีทั่วๆไปจะเข้าใจกัน เเต่นางกลับอ่านพินิจใคร่ครวญอย่างสนใจ จึงกล่าวขึ้นเชิงอุทาน "เจ้าอ่านหนังสือออกด้วยหรือ"
เค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวขมวดคิ้วละสายตาจากตำราไปมองสตรีที่ยืนอยู่ข้างๆ "หากอ่านหนังสือมิออกเเล้วจะมาอยู่ในร้านตำราเพื่อเหตุใด เจ้านี่ถามอันใดเเปลกๆ"
ชุ่นฮวารีบส่ายหัวเเละกล่าวคำถามใหม่ "มิใช่สิ...ข้าจะกล่าวว่าเจ้าอ่านตำราเล่มนั้นเข้าใจด้วยหรือ"
"ก็ยืนอ่านอยู่นี่เรียกอ่านมิเข้าใจหรือ" ซือเหวินเมี่ยวขมวดคิ้วเอียงศรีษะมิเข้าใจ เเม้ท่าทีนางจะดูเหมือนเเม่เล้าคุมซ่องนางโลมไปเสียหน่อย เเต่มิได้มีเจตนายั่วเบื้องล่างผู้ใดลงหน้านาง
"ฝีปากกล่าวคมคายเสียด้วย...ให้อารมณ์เจ๊คุมซ่องนางโลมมากเลยเจ้า!"ชุ่นฮวาปรบมือท่าทีชอบอกชอบใจ
ซือเหวินเมี่ยวขมวดคิ้วตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอันอยู่ครงหน้า "ที่เสียนหยางหากมิรู้จักกันมากล่าวเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ"
"นี่เจ้ามิใช่คนเสียนหยางหรือ"สตรีตัวเล็กส่วนสูงต่ำกว่าเขย่งขึ้นให้เทียมกับคู่สนทนาเพื่ออรรถรส "เเล้วเจ้ามาจากที่ใดเล่า"
"ข้าว่าเรามิได้รู้จักกันถึงขนาดมาซักไซร้ถามความกันลึกเช่นนี้"บุตรีตะกูลเค่อเอ้อร์ซื่อส่ายหน้าก่อนปิดหน้าตำราหมายจะเดินออกจากร้าน
"รอข้าก่อนสิ!"บุตรีตะกูลอู๋รีบเเทรกเเซงตัวไปดักข้างหน้า "เช่นนั้นเราก็ทำความรู้จักกันเสียสิ"
"กล่าวอันใดของเจ้ากัน กล่าวง่ายไปหรือไม่"ซือเหวินเมี่ยวถอนหายใจเบาๆ "เคยไปพบเเพทย์หรือไม่...หน้าตาเจ้าก็งามดีนะ มิน่าเลย"
"นี่! ข้ามิได้วิปลาสนะเจ้า!"ชุ่นฮวาส่ายหน้าปฏิเสธระรัว "เเล้วเหตุใดการที่คนสองคนจะผูกมิตรกันต้องทำให้เป็นเรื่องยากด้วยเล่า ผูกมิตรนะมิใช่ผูกศัตรูที่ต้องเตรียมการนานกว่าจะเกลียดกัน"
"เจ้าเข้าใจผิดเเล้ว...การผูกศัตรูมิต้องใช้เวลาอันใดให้ยืดยาว บางทีเพียงมองหน้าเเล้วรู้สึกเกลียดพาลเป็นศัตรูไปก็มีมิน้อย"
"เเต่ข้าว่าบางทีที่คนเราเป็นศัตรูกันก็เพราะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำเวรทำกรรมไว้ให้ฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บเเค้น เขาเลยตามมาชาตินี้เพื่อเอาคืนมากกว่า"อู๋ชุ่นฮวากล่าวด้วยสีหน้าที่เป็นผู้ใหญ่ก่อนกลับมาเป็นสีหน้าปัญญานิ่มเด็กน้อยตามเดิม "นี่ๆ! เจ้ากล่าวต่อตีเนียนสนทนากับข้าเองเช่นนี้ข้าก็เขินเเย่เลยสิ"
"ข้าว่าเจ้าควรไปพบเเพทย์---"
"ข้าก็บอกอยู่ว่ามิได้วิปลาส เเต่ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นห่วงสุขภาพข้าเเล้วกัน"ชุ่นฮวากล่าวเเทรกทวงคืนเเก้ต่างความจริงให้ตนเอง
"ข้าเป็นห่วงสุขภาพจิตเจ้ามากกว่านะเเม่นาง"เค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวหัวเราะเเห้งๆ
"ปากเจ้านี่เราะร้ายจริงๆ"อู๋ชุ่นฮวาเบ้ปากมิปลื้ม "ข้านามอู๋ชุ่นฮวา เเล้วเจ้าเล่า"
ซือเหวินเมี่ยวถอนหายใจอีกครา "ข้านามเค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยว" นางกล่าวจบก็เดินออกจากชั้นวางตำราไปหมายจะออกจากร้าน ทิ้งให้ผู้ถามยืนนิ่งเงียบอยู่ผู้เดียว
"โห..."ชุ่นฮวายังคงยืนนิ่งตามความมิทัน เเต่เมื่อได้สติเเล้วก็รีบวิ่งออกจากร้านตำราตามซือเหวินเมี่ยวไปด้วยความรวดเร็ว "รอข้าด้วย!"
ซือเหวินเมี่ยวหันหลังไปมองร่างเล็กที่ขาสั้นกว่านางเเต่เดินวิ่งย่างกรายได้ไวก่อนเอ่ยชม "ขาสั้นเเต่วิ่งไวดีนะ"
"ขอบคุณที่ชม"ชุ่นฮวาโน้มตัวเเขนยันเข่าหอบเเฮกอยู่สักพักเเล้วจึงยืนหลังตรงดังเดิม "นามสกุลเจ้าเค่อเอ้อร์ซื่อ...เจ้าเป็นชาวเเมนจูหรือ" นางไปยืนเสมอกับสหายใหม่เเลก้าวขาเดินต่อ "ข้าตามเจ้าทันเเล้ว เดินต่อๆ"
"อืม เข้าใจเเล้ว"ซือเหวินเมี่ยวก้าวเดินต่ออย่างว่านอนสอนง่าย "มารดาเป็นฮั่น บรรพบุรุษสี่ชั่วรุ่นขึ้นไปของบิดาเป็นมองโกลสองคน ลงมาที่เหลือทุกคนเป็นฮั่นทั้งหมด เรียกเเมนจูหรือไม่เล่า"
"อ๋อมองโกล เช่นนั้นก็เรียกเป็นญาติห๊างห่างของเเมนจูเเล้วกัน"อู๋ชุ่นฮวาขบคิดพร้อมพยักหน้า "ว่าเเต่ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนที่ใดหรือ"
"ซินเจียง"
"เดินทางมาไกลนะเนี่ย"
ชุ่นฮวาเงียบไปสักพักก่อนเอ่ยขึ้นในความเงียบระหว่างการเดิน "ซือเหวินเมี่ยว...ขอบคุณนะที่เจ้ายอมเป็นเพื่อนกับข้า"
"คะยั้นคะยอเสนอตัวตีเนียนเสียขนาดนี้ เป็นผู้ใดจิตใจเเข็งก็ยากจะปฏิเสธ"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวเสียงเรียบ "เเล้วมากล่าวขอบคุณเช่นนี้ เจ้ามิมีเพื่อนหรืออย่างไร"
"อื้อ"อู๋ชุ่นฮวาพยักหน้า "เเล้วเจ้าล่ะ"
"อย่างข้าน่ะหรือจะมิมีเพื่อน"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวพร้อมหัวเราะกลบเกลื่อน เเต่จะกลบเกลื่อนอย่างไรเเต่ในความเป็นจริงนางก็ยังคงเป็นผู้ที่ทราบดีที่สุด
"ข้ามิเคยมีเพื่อนหรอก ท่านเเม่ข้าเป็นอนุภรรยาที่สิบเก้าของท่านพ่อซึ่งเป็นขุนนางในราชสำนัก โบราณเขากล่าวไว้..ลูกเมียน้อยคนที่เก้าหายากมิตรอยากคบ เเต่ข้าสิเป็นบุตรีอนุคนที่สิบเก้ามิมีผู้ใดอยากคบเป็นมิตร เเม้เเต่ลูกบ่าวลูกไพร่ก็ยังส่ายหน้าหนีมิอยากยุ่งกับข้าเลย"
"เเต่มารดาเจ้าก็ถึงภรรยาขุนนาง เเม้จะเป็นอนุภรรยาก็ตามเถอะ อย่างไรเสียก็น่าจะมีคนอยากคบค้าสมาคมบ้าง"
"คำกล่าวของเจ้าน่าจะใช้กับผู้อื่นได้นะ"อู๋ชุ่นฮวาหัวเราะเบาๆ "เเต่มิใช่สำหรับท่านเเม่กับข้าหรอก...ท่านเเม่เมื่อวัยปักปิ่น...จะถูกท่านตาท่านยายบังคับหรือสมัครใจก็ตามเเต่...ท่านถูกอวยยศเป็นท่านหญิงฐานะสนมลับของฝ่าบาทมาเกือบสิบปี เเต่ก็ถูกปลดออกพร้อมกับถูกส่งมาที่จวนสกุลอู๋ตามคำขอของท่านพ่อ สตรีที่บริสุทธิ์มิมีอดีตอันขมขื่นต่อให้เป็นอนุคนที่สามสิบหรือสี่สิบก็มีเเต่คนอยากเข้าใกล้ เจ้านายในจวนนอกจากท่านพ่อก็มิมีมีผู้ใดมาเหยียบเรือนท่านเเม่เลย...พวกนั้นเเสดงออกว่ามิอยากเข้าใกล้ท่านเเม่ได้ชัดเจนมาก"
"เเล้วเจ้าเคยเกลียดเคยเบื่อกับการที่เจ้าเกิดมาเเล้วต้องมาโดนร่างเเหพาลโดนรังเกียจเช่นนี้หรือไม่"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวด้วยความอยากรู้ยากเห็น
อู๋ชุ่นฮวาหัวเราะยกใหญ่พร้อมกับส่ายหน้าทันควัน "มิเคยหรอก ถึงมิได้เป็นบุตรีฮูหยิน เป็นได้เพียงบุตรีอนุที่ซ้ำถูกรังเกียจด้วยก็มิเคยเกลียดอยากจบชีวิตอันเเสนรันทดนี้เเม้เเต่น้อย หากข้าตายไปก็เท่ากับว่าต้องทิ้งท่านเเม่ให้ทนทุกข์ทรมานอยู่เพียงผู้เดียว...มิเอาด้วยหรอกเจ้า บาปขึ้นตกนรกหมกไหม้เเน่เเท้" นางกล่าวติดตลก "ชีวิตข้าข้าเลือกเกิดมิได้ เเต่ข้าเลือกสิ่งที่เป็นไปได้ ข้าเป็นเจ้าของชีวิตข้าเอง เหตุใดต้องเอาคำดูถูกเหยียดหยามที่พวกเขาสมเพชเวทนามากดตนเองให้ต่ำลงจนทุกข์ใจด้วยเล่า เห็นข้าดูไร้สติเช่นนี้เเต่ข้าว่าข้าเเข็งเเกร่งดั่งสตรีเหล็กเชียวหนา สิบเจ็ดปีที่ผ่านมาข้าอยู่กับคำว่าลูกอนุอยากมีชีวิตรอดต้องมิมีพิษสะเทือนถึงฮูหยินใหญ่มาทั้งชีวิต ทำตัวตลกไร้เดียงสาปัญญาอ่อนมาตั้งสิบเจ็ดปี เหนื่อยมากเลยนะซือเหวินเมี่ยวมิใช่มิเหนื่อย ดังนั้นข้าก็ต้องหาทางทำคืนทุนอยู่เเล้ว เพราะคนเรามิได้เกิดมาเพื่อถูกเหยียดหยามเสียหน่อย"
"อ้อ เจ้าจะบอกว่าที่เจ้าดูคล้ายคนวิปลาสนี่คือเจ้าเเกล้งบ้าเพื่อเอาชีวิตรอดหรือ"
"เอาที่เจ้าสบายใจ"ชุ่นฮวายักไหล่ของนางเบาๆ "เเต่จะเรียกเช่นนั้นก็มิผิด"
"ประชดข้าหรือ"ซือเหวินเมี่ยวเอียงศรีษะท่าทีหาเรื่อง นางหันไปมองอาคารข้างโรงเตี๋ยมสีเเดงบ้านใหม่ของนางที่นำของไปจัดเก็บเรียบร้อยเเล้วจึงเอ่ยลา "ช่างเถอะ ถึงบ้านข้าเเล้ว...เจ้าเองก็กลับจวนเจ้าเสียเถอะ"
"อือ"ชุ่นฮวาพยักหน้า "ถือว่าข้ามาส่งต้อนรับมิตรภาพใหม่ของเราเเล้วกันนะ" นางโบกมือให้ซือเหวินเมี่ยวก่อนเดินหันหลังกลับไป
"โชคดี"เค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวตกใจกับการกระทำของอู๋ชุ่นฮวาเบาๆก่อนโบกมือให้ไล่หลังไป "คำว่าคนรัก...เพื่อนสนิท...มันได้ตายไปพร้อมกันมานานเหลือเกิน ข้าตัดขาดความสัมพันธ์มิมีเพื่อนสนิทใดๆมานานมากเเล้ว"
กิจการร้านติ่มซำของครอบครัวเค่อเอ้อร์ซื่อดำเนินไปอย่างสวยงามราบรื่นมิฝืดเคือง ซือเหวินเมี่ยวที่เข้าครัวเเล้วครัวระเบิดทุกคราจนต้องถูกอันเชิญไปคอยเฝ้าหน้าร้านเเทน ด้วยความที่สหายใหม่อย่างอู๋ชุ่นฮวาเองก็เบื่อจวนที่เต็มไปด้วยการชิงเด่นในหมู่ฮูหยินเเละอี๋เหนียงรวมยี่สิบนางเต็มทน จึงมาขอที่อยู่อาศัยสิงสถิตในการการหนีร้อนพึ่งเย็น ดังนั้นบุตรีเจ้าของร้านจึงขอค่าที่พักอาศัยชั่วคราวเป็นการมาช่วยเฝ้าหน้าร้านรับลูกค้าด้วยกัน
เเต่การที่จะมาให้สตรีอย่างเค่อเอ้อร์ซื่อซือเหวินเมี่ยวนั่งเฝ้าหน้าร้านอย่างเดียว ใบหน้าของนางก็คงจะเต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายจะนิ่วขมวดม้วนไปจนลูกค้ามิกล้าเข้าหนีหายไปเสียหมด นางจึงเลือกที่จะใช้กลยุทธ์เรียกลูกค้าบำบัดความเบื่อหน่ายที่เเม้จะมีสหายมาอยู่สนทนาด้วยก็ตาม ซึ่งวิธีนั้นที่นางเลือกก็คือการดีดกู่เจิง มิว่าจะเพลงสั้นเพลงยาว ต่อให้เป็นเพียงเพลงท่วงทำนองสำหรับใช้กู่เจิงดีด ซือเหวินเมี่ยวก็จะสามารถเพลิดเพลินจนลืมเวลาเบื่อไปได้
กลยุทธ์อันชาญฉลาดของคุณหนูใหญ่เป็นผลให้ความเงียบเหงาในร้านเเลละเเวกข้างเคียงถูกลบล้างไปด้วยท่วงทำนองงดงามที่ลื่นไหลดั่งสายน้ำของเสียงกู่เจิง เเละยังทำให้มีลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นบุรุษน้อยใหญ่ซึ่งหลงใหลในมนต์เสน่ห์ของความงามของรูปกายเเละเสียงดนตรี
ในวันนี้ก็เช่นกัน มิมีอันใดเเปลกต่างไป ซือเหวินเมี่ยวยังคงดีดกู่เจิง ชุ่นฮวายังคงคอยช่วยนั่งเฝ้าดั่งทุกๆวัน เเต่สิ่งที่เเตกต่างออกไป..
ก็คือการที่จิ่นเจียอิง บุตรีเจ้าของโรงเตี๋ยมมารับติ่มซำด้วยตัวนางเอง เเละสิ่งที่เเปลกไปกว่านั้นคือนางยกโขยงเหล่าสหายของนางมาดั่งจะไปท้าตบเเย่งบุรุษกันที่ท้ายปลายป่า "มาบรรเลงกู่เจิงเเสดงความสามารถอยู่หน้าร้านเช่นนี้ มั่นใจคิดว่าเก่งมากหรืออย่างไร" นางมองจิกกัดเเขวะสตรีเจ้าของร้านที่นั่งดีดกู่เจิงมิรู้ร้อนใดๆอยู่
"มิมีบัณฑิตใดที่มิมั่นใจความรู้จริงเเต่เสนอหน้าไปสอบจอหงวน"ซือเหวินเมี่ยวกล่าวเสียงเรียบโดยที่มือยังบรรเลงอยู่ "หากข้าบรรเลงได้ห่วยเเตกคงมิกล้ามาบรรเลงให้ขายหน้าครอบครัวเช่นนี้หรอก ความคิดข้ามีสติก็ดี หากคิดมิได้ข้าก็ควรไปพบเเพทย์นะ...จริงหรือไม่"
"เจ้า!"
"ข้านามซือเหวินเมี่ยว เรียกให้ถูกมีมารยาทสักหน่อยนะ"ซือเหวินเมี่ยวลุกขึ้นยืนประจันหน้าตรงๆกับผู้มาเยือน "ส่วนเรื่องติ่มซำ คุณหนูจิ่นมิต้องลำบากเดินมารับเองหรอกนะ เชิญคุณหนูกลับไปก่อน อีกสองเค่อจะให้หยุนเยว่นำไปส่งให้" นางผายมือเชิญเชิงให้ความว่ามาทางไหนโปรดกลับไปทางนั้น
_______
ก็หายไปถือว่านานพอสมควรนะคะ เเต่ช่างมันเถอะค่ะ บางสิ่งผ่านเข้ามาให้อยากได้เเต่มันไม่ใช่ของเราก็คือไม่ใช่ของเรา เอาเป็นว่าไรท์จะมาเริ่มต้นใหม่ทุ่มเทกับนิยายเรื่องนี้นะคะ ขอให้รีดทุกๆคนมาเติบโตไปพร้อมกับไรท์เเละนิยาย"司文妙 ยอดหญิงเเห่งเเผ่นดิน"นะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ