เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?
8.3
เขียนโดย Noel
วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.
22 บท
0 วิจารณ์
22.61K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
17) ขอข้อความนี้ Be the One 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมปล่อยตัวให้ถูกคำเชื้อเชิญอันเกินคาดเดาของคุณกลินดาจนมาจบที่ร้านไอศกรีมแห่งหนึ่งหน้าสวนสาธารณะที่เคยหลงทางไปและเป็นเวลาหลังจากที่พนักงานเสริฟช็อคโกแลตพาเฟ่ต์เสร็จเรียบร้อย
“ขอโทษด้วยน้าที่หลังเกิดเรื่องที่สวนสาธารณะนั่นแล้วไม่มาปรากฏตัวให้เห็นเลยน่ะ”
คุณกลินดามองไปนอกบานกระจกของร้านไปยังสวนสาธารณะที่เกิดเรื่องขึ้น
“ฉันไม่ค่อยถูกกับตำรวจสักเท่าไหร่น่ะโผล่ออกไปมีหวังโดนตามสะกดรอยเหมือนเธอแน่”
ผมถูกตำรวจสะกดรอยเหรอ? เรื่องแบบนั้นไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย มาสงสัยนักเรียนมัธยมปลายที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้เนี่ยนะ? อ้าวก็ถูกแล้วนี่
“ก็นะ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็ต้องถูกสะกดรอยอยู่แล้วยิ่งเป็นปลายเปิดคดีหายตัวต่อเนื่องทั่วโลกแล้วด้วยล่ะก็”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“ไม่ได้อ่านข่าวในเน็ตเหรอ? พักนี้น่ะมักจะมีการหายตัวแปลกๆ เกิดขึ้น คนที่เห็นเหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็พูดเหมือนกันหมดเลยนะว่าถูกดูดเข้าไปน่ะ แล้วที่ๆ มีการแจ้งความลักษณะนี้ที่แรกก็เป็นเคสที่สวนสาธารณะกับเด็กสามคนเมื่อวันนั้น”
…เฮ้อ อย่างน้อยก็ขอให้ฉันได้กลับไปพักสมองหลังสอบมาก่อนไม่ได้เหรอ เห็นชีวิตฉันเป็นยอดมนุษย์เทพทุกสถาบันที่นั่งหลังห้องมีชะตาต้องไปกอบกู้โลกรึไง จะบอกให้นะมนุษย์ธรรมดาน่ะต้องการพักผ่อนนะเออ
ผมจ้องมองช้อนตักไอศกรีมบนทิชชู่ที่ถูกจัดเรียงเอาไว้ด้วยอาการเหมอลอย เกาหัวทีหนึ่งเพื่อเรียกสติกลับมาแล้วค่อยหยิบช้อนขึ้นมาตักไอศกรีมกินเหมือนกับคุณกลินดาเงียบๆ โดยปล่อยให้เรื่องไม่ดีไม่งามปวดเศียรเวียนเกล้ามลายหายไปด้วยความหอมหวานของช็อคโกแลตพาเฟ่ต์
“ไม่มาเลยนะ”
คุณกลินดาลดหนังสือที่หยิบออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ที่ชอบพกไปมาลง ผมจึงเงยหน้าขึ้นมาจากสมาร์ทโฟนตอบกลับไปแบบเนิบๆ
“…นั่นสิครับ”
คุณกลินดามองออกไปนอกบานกระจกครั้งหนึ่งด้วยสายตาเหมอลอยก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง
“ถ้าฮัทสึฮารุไม่มาฉันก็ขอคุยแค่เธอก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ที่บอกไว้ใช่ไหมว่าไม่อยากปรากฏตัวออกมาน่ะ วันนี้ที่ฉันมาได้เพราะตอนนี้ลอสแองเจอลิสสามารถค้นหาคนศูนย์หายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้แล้วคนหนึ่งกลางดึกของเมื่อวานน่ะ นั่นสินะถ้าอิงตามประเทศนี้ก็คงเป็นประมาณตอนเช้าๆ ทำให้ตำรวจที่ตามสะกดรอยคนที่เกี่ยวข้องถอนตัวไปขณะหนึ่ง”
“เป็นไปได้สินะครับว่าถูกส่งไปแล้วยังสามารถกลับมาได้น่ะ”
คุณกลินดาเอื้อมมือไปหยิบกระดาษกับปากกาที่แนบไว้บนมาสคอตของร้านมุมโต๊ะ
“ก็อาจจะ และหมายถึงว่าอีกฝ่ายสามารถมาที่นี่ได้เหมือนกัน”
และวาดรูปเลข 8 แนวนอนพร้อมกับที่มีเส้นตรงขีดขั้นตรงกลางระหว่างหัวทั้งสองด้าน
“ถ้าแค่สองโลกนี้ก็ยังไม่เท่าไหร่แต่ถ้าหากทำแบบนี้ล่ะ”
คุณกลินดานำกระดาษนั้นลงไปเขียนอีกครั้งด้วยปากกาอีกด้ามสีแดงและพร้อมกับแสดงให้ผมดู
มันเหมือนกับรูปก่อนหน้าแต่มีวงกลมล้อมรอบเอาไว้หลายวงเบียดเสียดทับกันมากมายคล้ายกับวงแหวนที่คล้องเรียงต่อกันจนอาจมองไม่ออกด้วยซ้ำหากใช้ปากกาสีเดียวกันหมด
“…ทุกโลกจะทับซ้อนกัน จนไม่สามารถประคองตัวเองเอาไว้ได้”
“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่เคยเห็นว่าตอนนี้มีใครโผล่ออกมาจากโลกอื่นหลังจุดพลิกผันแล้วบ้างด้วยซ้ำถ้าไม่นับคนที่หายตัวถูกส่งไปอ่ะนะ เพราะฉะนั้นรับรองได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล”
จากโลกอื่นหลังจุดพลิกผัน? ไม่หรอกมั้ง
“คุณกลินดาที่ว่าโผล่ออกมาหลังจุดพลิกผันเนี่ยแสดงว่าเคยมีคนมาก่อนที่จะเกิดจุดพลิกผันด้วยใช่ไหมครับ?”
คุณกลินดาเกาหัวที่ขาวโพลนของตัวเองทีหนึ่งด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ ที่จริงฉันจะมาคุยกับฮัทสึฮารุเรื่องนี้แหละ”
.....
“ผมควรรู้รึเปล่าครับ?”
“ขึ้นอยู่กับเธอ”
“มาขนาดนี้แล้วยังมีตัวเลือกอีกเหรอครับ?”
“เธอน่ะ ยังไม่เคยตัดสินใจเลยไม่ใช่เหรอว่าจะยอมรับเรื่องพวกนี้น่ะที่ผ่านๆ มาก็แค่ถูกลากไปมาเองนี่นาทั้งที่แต่ก่อนเป็นคนห่วงตัวเองที่สุดแท้ๆ นะคติประจำใจมันหายไปไหนแล้วล่ะ”
ผมนั่งกุมมือใต้โต๊ะแน่นขนัดกับการตัดสินใจที่จะรับข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่คนเหล่านี้คิดจะทำแต่กลับกลัวกลัวที่จะรับรู้ความจริง บางครั้งการหนีอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าด้วยซ้ำ ทว่านั่นก็เป็นแค่สิ่งที่ตัวผมที่อ่อนประสบการณ์ต้องการ ตัวผมในตอนนี้มีเลเวลที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วกับการที่จะรับรู้ความโม้ของคนเหล่านั้นถ้าไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาที่เข้ามานั่งฟังแล้วใครจะมานั่งฟังแก้เหงาพวกนั้นกันเล่า
“เชิญครับ”
คุณกลินดาถอนหายใจตอบรับการตัดสินใจผมด้วยใบหน้าเหนื่อยจิตหน่ายใจ
“ฮัทสึฮารุน่ะฆ่าฟุตาบะ ยูบาริไปแล้ว”
ครับ?
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อฉันไม่สนหรอก เดี๋ยวเธอค่อยไปถามเจ้าตัวเอาก็ได้”
คุณกลินดาจ้องมาผมไม่กระพลิบ
“อย่าล้อ...”
แต่พอมาคิดถึงเหตุผลที่จะโกหกแล้วมันก็ไม่มีและเมื่อไม่มีมันก็ไม่สามารถพูดออกไปได้จึงฝืนกลืนลงคอไปทำได้เพียงนั่งคอตก มันเรื่องอะไรกันล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย ตอนนี้ผมล่ะอยากจะอ่านสีหน้าคนให้เก่งกว่านี้จริง
“เข้าใจว่าเธอคงไม่เชื่อเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกหกหรอกรู้สึกจะถูกลิ่มน้ำแข็งเสียบหัวตัวเองทะลุ”
“…ตัวเอง? หมายความว่าไง”
ผมเงยหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับคุณกลินดาเธอจึงยกกำปั้นขึ้นมาทั้งสองข้างพรางพูดต่อ
“มีอยู่สองสิ่งบนโลกนี้ที่จะอยู่นอกพันธสัญญาที่เธอเขียนได้คือธรรมชาติและตัวเองก็คงเดาได้นะต่อจากนั้นน่ะ จะเท่ากับว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎทั้งสองนี้คือตัวฮัทสึฮารุ”
และนำกำปั้นทั้งสองประกบกัน
“ระ เรื่องนั้นไม่สิทำไมถึงจะต้องทำแบบนั้นด้วย?”
ผมเหลือบไปมองถ้วยไอศกรีมของตัวเองข้างๆ
“ไม่ว่าจะด้วยเรื่องไหนแต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดจริงยังไงมันก็ไม่สมควรจะทำแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”
ไม่รู้ล่ะสัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ของผมมันต้องแย้งเท่านั้น
“อืม ไม่เข้าใจเลยไม่เข้าใจเลยสักนิดความปรารถนาแบบนั้นน่ะ ถึงมือฉันจะบอกว่าสะอาดไม่ได้แต่ก็ไม่อยากเข้าใจเหตุผลของคนๆ นั้นเลย…”
ผมยกมือห้ามคุณกลินดาให้หยุดแค่นั้นเพราะสมองมันเริ่มจะปวดนิดๆ แล้ว
“ผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ”
“…อืม เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองเธอกลับไปได้แล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ไม่เชื่อหรอกคนทั้งคนแถมยังเป็นคนรู้จักอีกจะให้มายอมรับง่ายๆ โดยมีแค่คำพูดได้ยังไงกัน
“อา ก็อย่างที่จุดเหนือกดเกณฑ์พูดนั่นแหละ”
ผมที่เพิ่งจะออกมาจากร้านได้หมาดๆ ในสภาพโกรธนิดๆ ก็ได้พบกับฮัทสึฮารุที่กำลังยืนรออยู่นอกร้านและพูดขึ้นราวกับรอจังหวะ
“ฮะ ฮัทสึฮารุไม่ใช่ว่าเธอจะกลับไปแล้วหรอกเหรอ ...ฟุตาบะ ยูบาริอย่างน้อยก็เป็นคนรู้จักไม่ใช่เหรอแล้วทำไมล่ะ!?”
“เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องแลกมา”
“ปลอดภัย? จากอะไรกันไม่เห็นรอบๆ รึไงไม่มีใครเขาคิดจะทำอะไรหรอกพวกอีกฝั่งเรอะ”
ก็รู้ตัวว่าไม่ค่อยจะมีใครเห็นหัวสนใจก็จริงแต่ไม่นึกว่าจะทำเรื่องร้ายแรงโดยไม่ได้บอกอะไรแบบนี้
“ถ้าเกิดบอกไปจะทำอะไรได้ล่ะ? สุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนๆ เดิม ฉันไม่ขอให้เชื่อใจหรอกแต่อยากให้รอดูต่อไปเงียบๆ จนกว่าเวลาจะมาถึงเพราะฉะนั้นตอนนี้ก็กลับบ้านกันเถอะ”
หลังคำพูดนั้นเธอก็กลับหลังหันแล้วก้าวเดินฝ่าฝูงชนโดยปล่อยผมให้ถูกสายตามากมายจับจ้องก่อนจะก้าวเท้าตามเงียบๆ
อย่ามาล้อเล่นนะ
ในวันหยุดถัดมาผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกเสียจากคอยหวาดระแหวงกับฮัทสึฮารุที่ไม่ยอมบอกที่อยู่ยูบาริให้กับผมจึงได้ล่วงเลยไป
นี่จึงเป็นหัวข้อสุดท้ายก่อนที่ตัวผมหรือความคิดของผมจะถูกทำลายจากความแตกต่างของสิ่งที่ได้ทำเอาไว้ถ้าให้พูดชัดๆ ไปเลยมันก็คือการลงโทษจากบทสรุปที่ผมได้ลงมือไปและมันเองก็เกิดซ้อนทับกันจนแทบจะทำลายกันเองก็ได้เริ่มขึ้นถ้าถามว่าใครผิดก็คงโบ้ยความผิดให้ได้แต่ตัวเองนี่แหละ
ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่มาด้วยการเขี่ยผ้าห่มลงจากเตียงเนื่องด้วยสภาพอากาศที่กำลังทำให้หมีขั้วโลกลดจำนวนลงประตูที่จู่ๆ ก็ถูกเปิดพรวดออกมาเผยให้เห็นร่างของน้องสาวที่เป็นเหมือนนาฬิกาส่วนตัวมาคอยปลุกทุกเช้าตามอาชีพในสมัยก่อน
ทุกอย่างยามเช้ายังคงดำเนินไปตามปกติของมันผมมองออกไปด้านนอกผ่านบานเลื่อนอย่างเลื่อนลอยไร้ความหมาย
มันช่างสงบสุขดีจริงๆ เมื่อไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องอะไรปล่อยให้เวลาและชีวิตค่อยๆ กัดกินไปจนกว่าจะจบการศึกษาเลยก็ได้ไม่ว่ากัน ใช่ถ้าไม่ติดเรื่องที่ฮัทสึฮารุทำลงไปซึ่งยังไม่มีมูลความจริงใดๆ ก่อร่างเป็นตัวมาเลย ผมยังไม่ยอมรับเรื่องนี้หรอกถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ายัยนั่นหลังจากเรื่องตอนห้องพยาบาลเลยก็ตาม
“จริงสิพี่คิริโนะวันนี้หนูน่าจะค่อนข้างกลับช้าหน่อยนะเพื่อนหนูชวนไปเล่นที่บ้านน่ะ”
“…เธอเองก็ไปเล่นบ้านคนอื่นเขาเหมือนกันสินะบ้านใครล่ะ”
“ที่บ้านของมิยูกิน่ะเธออยู่กับพี่ชายสองคนแต่ส่วนใหญ่ก็กลับช้าน่ะ”
“หืม มิยูกิเหรอโทวมะก็คงไปด้วยสินะ”
ผมยกซุปดื่มโดยไม่ใส่ใจและพอเลื่อนสายตาลงมาก็พบกับใบหน้าแปลกใจของน้องตัวเอง
“เอ๊ะ พี่คิริโนะรู้จักมิยูกิด้วยเหรอเคยเจอกันที่ไหนล่ะนั่นนะ?”
“พูดแบบนี้กระผมรู้สึกเหมือนถูกเมินเลยนะครับ”
“ขอโทษนะแต่ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่คิริโนะไปรู้จักตอนไหนน่ะก็ตอนนั้นพี่อากิเขาไปกับพวกเรานี่นาส่วนพี่คิริโนะก็อยู่แต่บ้านนี่”
“นะ นั่นสิน้าเอาเป็นว่าฉันเก่งก็แล้วกัน”
สงสัยระดับความจืดจางจะถูกอัพเกรดไปขั้นต่อไปแล้วสิขนาดเคยมาเล่นที่บ้านผมบ่อยแท้ๆ ขณะเดียวกันฮัทสึฮารุที่นั่งข้างๆ ผมก็เอาแต่จ้องผมตาไม่กระพริบราวกับเป็นหุ่นยนตร์ที่ลอกเลียนแบบมนุษย์มาพอถามกลับไปเธอจึงส่ายหน้าไปมาและกลับไปกินข้าวเช้าต่อดังเดิมและพอผมหันกลับไปด้านหน้าสีหน้าตั้งคำถามของน้องสาวยังคงแสดงออกมาไม่จางหาย
“เอ่อ นั่นแหละเพราะฉะนั้นเรื่องข้าวเย็น”
“ตอนเย็นค่อยไปซื้อกินก็ได้”
ฮัทสึฮารุพูดขึ้น
“เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องใส่ใจ”
‘ถูกลืม’ หนึ่งในสกิลร้อยแปดอย่างของผมได้บังเอิญแผลงฤทธิ์ออกมาโดยไม่ตั้งใจสินะ ขนาดพวกพิลึกพวกนั้นยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำบางทีอยากจะลองชื่นชมตัวเองดูสักหน่อยจริงๆ ที่เอาชนะได้แล้วอย่างน้อยเรื่องหนึ่งเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเองก่อนจะรับฟังคำสอนคาบแรกของสัปดาห์หลังสอบให้คลายความกังวล
ชั่วโมงเรียนดำเนินไปตามปกติจนเข้าคาบพักเที่ยง ผมยังคงเป็นโซโล่คิริโนะคุงไม่เปลี่ยนแปลงแต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่กลุ่มของฮิเมกิกับอาริมะและผองเพื่อนรวมก๊กคุยกันอย่างสนุกสนานกันไปแล้วจึงทำให้จุดยืนสายโดดเดี่ยวเริ่มรู้สึกสั่นคลอนอยู่ยากขึ้นแต่เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกันเพราะก็ตั้งใจจะออกไปกินตรงที่นั่งประจำอยู่แล้วหากไม่ถูกตัดหน้าไปก่อน
ทว่าหลังจากที่ผมเดินออกจากห้องมาหมาดๆ ชนิดที่ว่าเดินยังไม่ถึงสามก้าวก็พบกับอาริมะซึ่งกำลังยืนคุยกับอาจารย์วิชาก่อนหน้าอยู่ห่างจากผมไปหลายเมตรทำให้ฝีเท้าของผมต้องหยุดชะงักลงและหันหลังกลับไปมองในห้องอีกครั้งแต่สิ่งที่พบเจอมีเพียงกลุ่มของฮิเมกิที่กำลังหันโต๊ะเข้าหากันสามตัวกินมื้อเที่ยงราวกับว่าภาพที่เห็นก่อนหน้าเป็นเพียงมโนทัศน์
ผมเผลอขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยและจังหวะเดียวกันฮัทสึฮารุก็เดินออกมาจากห้องพอดี
“ไปหาหมอจะดีกว่านะ”
เธอพูดขึ้นมาขณะเดินสวนผมออกไปโดยไม่ยอมหันกลับมาอธิบายใดๆ ตามฟอร์ม
หมายความว่าไง? เธอเองก็เห็นเหมือนฉันใช่ไหมไปหาหมอเนี่ยจะบอกว่าสมองกระผมไปหมดแล้วสินะครับ อาจจะเกิดจากการคิดไปเองเคมีในหัวทำปฏิกิริยารึไง?
แน่นอนว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นได้ก็จะสบายใจกว่าแต่สิ่งนี้กลับยิ่งทวีความต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ไม่สิมันเป็นกิ่งก้านที่มาบรรจบกันซะมากกว่าทำให้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ฮัทสึฮารุพูดหมายถึงอะไรก็เป็นเรื่องหลังจากนี้
ผมยังคงเหม่อมองเข้าไปในสวนอย่างว่างเปล่าจากม้านั่งคู่ใจขณะกินมื้อเที่ยงเพิ่มเติมคืออากาศที่เริ่มจะชวนให้เข้าไปตากแอร์ในห้องสมุดหรือห้องพักครูนั้นเอง
“คิริโนะคุงมานี่หน่อยสิ!”
หญิงสาวที่เป็นตัวแทนต่างเผ่าพันธุ์และต่างโลกก็ตะโกนเรียกจากชั้นสามของตึกชมรมโดยไม่เห็นใจสงสารคนที่ถูกเรียกอย่างผม ห๋า? ฟุตาบะ ยูบาริกำลังโบกมือตะโกนเรียกผมจากหน้าต่างอาคารห้องหนึ่งด้วงรอยยิ้มนี่มันหมายความว่ายังไงกันสรุปผมแค่ถูกสองคนนั้นรวมหัวกันเล่นสนุกงั้นเหรอ
ผมรีบวิ่งขึ้นไปหยุดอยู่หน้าห้องที่น่าจะเป็นห้องของตัวการนั้นและเปิดประตูออกโดยไม่สนใจเรื่องมารยาทจึงพบกับฟุตาบะ ยูบาริที่ยืนพิงหน้าต่างใกล้ๆ พร้อมกับคุณซาซาฮาระที่กำลังนั่งทำแบบฝึกหัดบนโต๊ะยาวตัวหนึ่ง
“เฮ้อ ยูบาริอย่าเรียกคนอื่นมาด้วยวิธีนี้สิถึงเธอจะไม่ได้รู้สึกอะไรแต่คนอื่นเขาเป็นนะ”
คุณซาซาฮาระพูดขึ้นพร้อมกับทำสีหน้ากลัดกลุ้มมองไปยังยูบาริที่มัวแต่ยืนพิงหน้าต่างเต๊ะท่า
ผมยืนมองภาพนั้นไปพร้อมกับหายใจหอบเป็นจังหวะ
“วันนี้ตอนเย็นฉันไม่ว่างน่ะเพราะฉะนั้นคงไม่ได้อยู่ชมรม”
“ชมรม? ชมรมอะไรของเธอฉันเกี่ยวอะไรแล้วมาแอบตั้งชมรมตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทำให้สีหน้าแปลกใจเปิดเผยออกมาบนหน้าของเธออย่างชัดเจน
“พูดอะไรกันคะพวกเราสามคนถูกยัดมารวมเป็นชมรมพัฒนาตนเองนี่ค้า”
ผมหันไปมองคุณซาซาฮาระที่กำลังก้มหน้าทำงานแต่เพราะถูกผมจ้องเธอเลยเงยหน้าขึ้นมาและพยักหน้าให้แม้แต่คุณเองก็เล่นไปตามยัยนี่ด้วยเหรอ? ทำไมคนรอบตัวมันชอบแกล้งผมขนาดนี้กันสนุกมากนักรึไง นี่เกิดผมไม่ชินกับสถานการณ์ประมาณนี้มีหวังได้ไล่พาลไปทั่วแล้วแน่ ถึงอย่างนั้นแล้วทำไมสีหน้าและการพูดของยัยพวกนี้มันไม่ได้บอกว่าเป็นแบบนั้นเลยล่ะ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครเป็นที่ปรึกษาแล้วตั้งชมรมได้ไงทั้งที่สมาชิกมีแค่สามคน”
ผมลองแหย่ดูแต่กลับให้ผลตรงข้ามคราวนี้ทั้งยูบาริทั้งซาซาฮาระก็หันหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองกันก่อนจะเบนมาทางผม
ซาซาฮาระพูดขึ้นมาก่อน
“คราวนี้เล่นอะไรอีกล่ะตั้งแต่ก่อนโกลเดนวีคย์ล่ะมั้ง ส่วนที่ปรึกษาก็อาจารย์คานิเอะที่สอนสังคมเพราะว่าเป็นชมรมที่อาจารย์เป็นคนจับยัดรวมกันจึงมีสามคนก็เป็นชมรมได้แบบนี้น่ะ สงสัยสมองนายท่าทางจะวิกฤตแล้วสินะอย่าแพร่เชื้อคิริโนะซะล่ะ ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อด้วย”
ไหงคำพูดคำจาท่อนหลังมันโหดร้ายจัง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนมันเป็นไปไม่ได้เลยก็เพราะห้องนี้น่ะเมื่ออาทิตย์ก่อนมันยังเป็นห้องเก็บของอยู่เลยฉันที่เคยถูกใช้มาเก็บกวาดยืนยันได้แถมซาซาฮาระก็อยู่ชมรมถ่ายภาพไม่ใช่เหรอหรือว่าจะออกมาแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันฮัทสึฮารุเธอเล่นอะไรอีกแล้วเหรอ
“อื้มๆ เพราะฉะนั้นคิริโนะคุงขอฝากกุญแจห้องด้วยนะ เนโกะจังเป็นเวรทำความสะอาดจึงอาจมาช้าหน่อย”
ยูบาริยื่นกุญแจมา ผมจึงไม่มีทางเลือกขยับฝีเท้าเพื่อลดระยะห่างและยื่นมือรับอย่างงงงวย ก้มมองกุญแจในมือกระทั่งเกิดเสียงเหมือนฟันเฟืองตัวหนึ่งเดินดังขึ้นจากด้านหลังพอผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่พบกับยูบาริสัมผัสของกุญแจในมือก็อันตรธานหายไปจึงหันกลับไปด้านหลังตรงโต๊ะโชคยังดีที่ซาซาฮาระยังนั่งอยู่ตรงนั้นซึ่งกำลังจ้องมองผมไปพรางกินขนมปังไปพรางอยู่
“อ้าวจบซะแล้วเหรอน่าเสียดายจังนะ”
ซาซาฮาระหยิบกล้องดิจิตอลขึ้นมาจากกระเป๋านักเรียนที่วางเอาไว้ใกล้มือเธอบนโต๊ะที่ไม่มีร่องลอยของสมุดหนังสือใดๆ เหมือนเมื่อครู่
“ขอสักรูปนะ”
“มันเรื่องอะไรกัน?”
ซาซาฮาระเอียงคอเล็กน้อยและลดกล้องลง
“โทษทีนะฉันมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
ผมเซตัวไปแนบหลังกับหน้าต่างและไถลตัวลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไม่รู้สิฉันนั่งอยู่เฉยๆ กำลังตรวจเช็คสภาพกล้องตัวที่เพิ่งจะได้คืนจู่ๆ นายก็โผล่เข้ามาและเล่นติต่างคนเดียว อื้มๆ ก็ดีนะ”
เอาเข้าไป
“เป็นอะไรไปซะแล้วล่ะจู่ๆ ก็เกิดอายขึ้นมาเหรอ?”
“ถ้าฉันสนใจสายตารอบข้างขนาดนั้นก็คงกลายเป็นคนดีของสังคมไปนานแล้ว”
ผมนั่งทำใจให้สงบอยู่ในท่านั้นสักพักเพื่อทำให้จิตใจกลับมาสงบจึงเริ่มท่องโลกความคิดว่าใครพอจะทำแบบนี้ได้บ้างเท่านั้นแหละใบหน้าของฮัทสึฮารุจึงไหลเข้ามาในหัวทันทีเป็นคนแรก
‘ขอบอกไว้ก่อนฉันไม่ได้ทำ’
จู่ๆ เสียงของฮัทสึฮารุก็ถูกส่งเข้ามาในหัวเป็นการตอบรับราวกับว่ารู้ใจ สื่อสารทางโทรจิต
‘มันเกิดอะไรขึ้นกันอธิบายมาเลยถ้าเธอไม่ได้ทำน่ะอย่างน้อยอย่าเมินเรื่องนี้ได้รึเปล่า?’
‘คิดว่าเกิดจากการที่ระบบการรับรู้ของสมองทำงานผิดพลาดเพราะฉันเองก็ไม่สามารถตรวจให้แน่ใจได้ถ้าไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์แต่ยืนยันว่าสาเหตุมาจากสมองตัวบุคคล’
‘ไม่ใช่ว่าเธอรับรู้ทุกอย่างได้จากแก่นแท้อะไรแบบนั้นหรอกเหรอ?’
‘...ไม่พบความผิดปกติใดๆ อยากลองให้ไปหาหมอเผื่อว่าจะเป็นเรื่องของจิตใจตัวบุคคล หากไปอาจทำให้รู้สึกดีขึ้น’
กำลังพูดถึงเรื่องยาที่ดีที่สุดคือจิตใจของคนไข้สินะ และก็จะหมายความอีกด้วยว่าผมเครียดเกินไป
เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงเกิดถอนหายใจขึ้นมาเฮือกหนึ่งแล้วจึงชันร่างลุกขึ้นยืนจากพื้นอันเย็นชืด
“จะกลับแล้วเหรอโชคดี”
“…ขอถามคำถามตามหลักการหน่อยนะทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กัน?”
ซาซาฮาระที่กำลังก้มทำอะไรบางอย่างกับกล้องหลังถ่ายภาพสีหน้าของผมอยู่จึงเงยหน้าหันมามองครู่หนึ่งเหมือนกำลังประเมิน
“เช็คสภาพกล้องในที่ๆ จะไม่มีใครมารบกวน”
ซึ่งผมสามารถแปลคำพูดนั้นได้อีกแบบว่าอย่ามารบกวนรีบๆ ไสหัวออกไปซะจึงทำได้แค่เกาหลังหัวไปทีหนึ่งซาซาฮาระเองก็กลับไปก้มมองกล้องของตัวเองต่อ
“ขอตัวนะครับ”
“…ก็เพราะว่ามีส่วนสูงแบบนี้ล่ะนะไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ถูกเพ่งเด่นไปซะหมด ส่วนสูงไม่ต่างจากเด็กประถมบ้างล่ะ โครโมโซมผิดปกติบ้างล่ะแปลกใช่ไหมล่ะประโยคนี้ทั้งที่โครโมโซมจะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไม่เกี่ยวกับน้ำหนักหรือความสูงเลยแท้ๆ พ่อแม่ฉันจึงพลางถูกลูกหลงไปด้วย”
ซาซาฮาระที่กำลังก้มมองกล้องตัวเองพูดขึ้นมาแบบนั้นทำให้ก้าวเท้าของผมเกิดหยุดชะงัก
“…..แล้วมาบอกฉันทำไม?”
“นั่นสินะเพราะนายไม่เหมือนกับฉัน แค่เห็นแววตาของนายเรื่องกลุ่มใจของคนแบบนั้นน่ะส่วนมากก็มักจะเป็นเรื่องไร้สาระล่ะนะ”
คนแบบนั้นมันแบบไหนกันเล่ายัยนี่โทษทีละกัน
“แต่แค่ได้ฟังเรื่องซุบซิบนินทาหรือไร้สาระอื่นเข้าไปแล้วความคิดต่อเรื่องเดิมก็จะลดน้อยลงไปด้วย”
“จะบอกว่าฉันสมาธิสั้นสินะ”
“แหม ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะยอมรับความอ่อนแอของตัวเองง่ายดายแบบนี้ฉันเองก็เริ่มกลุ่มใจกับนายแล้วสิ”
“เอาเถอะคนปากร้ายแบบเธอเองก็รู้จักปลอบคนอื่นเป็นด้วยแฮะ ถ้าจะว่าแบบนั้นแล้วเธอล่ะ...”
“ช่างเหอะ พักนี้ได้ข่าวเกี่ยวกับยูบาริบ้างรึเปล่า?”
อย่าเพิ่งขัดสิเจ๊
“ตั้งแต่ก่อนวันสอบกลางภาคแล้วเธอดูเหมือนจะไม่มาโรงเรียนเลย แถมติดต่อก็ไม่ได้ด้วยทางที่พักเองก็ไม่พบซ้ำเจ้าตัวยังไม่มีญาติพี่น้องด้วยเพราะฉะนั้นแล้วนายพอจะรู้เรื่องอะไรบ้างรึเปล่า?”
คราวนี้คุณซาซาฮาระก็ยกกล้องขึ้นมาทางผมอีกครั้งโดยไม่ถามความสมัครใจ
จะบอกว่ารู้ก็รู้อยู่หรอกแต่บอกว่าไม่รู้น่าจะสมเหตุสมผลกว่าด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวฉันจะลองโทรหาดูแล้วกัน”
“น่าแปลกจังนะที่นายมีเบอร์คนอื่นแบบนี้ นึกว่าจะเป็นพวกขี้กลัว-ขี้เกรงใจไม่กล้าหรี่สาวซะอีก”
ผมเมินคำพูดเหน็บแนมของซาซาฮาระและเลื่อนหาเบอร์ที่ไม่ได้เม็มชื่อเอาไว้ในหน้าประวัติการโทรซึ่งมีแค่เบอร์เดียวถึงเมื่อวานจะลองพยายามติดต่อดูหลายทีแล้วแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับคว้าน้ำเหลวจึงหวังว่าตอนนี้จะได้ผลจนกระทั่งเสียงโอเปอเรเตอร์ดังขึ้นมาความคิดนั้นก็ได้เลือนหายไปเหมือนเมื่อวาน
“ฉันเองก็ลองมาหลายครั้งแล้วทั้งที่ตอนปกติเจ้าหล่อนก็มักจะหยิบมือถือมาเล่นเกมตลอดแท้ๆ”
ซาซาฮาระลดกล้องลงมองผมด้วยเลนส์แก้วตาทั้งสองข้างแทนที่เลนส์ของตัวกล้องโดยเริ่มเผยสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา
“นี่มันไม่ปกติแล้วนะ คิริโนะฉันควรแจ้งตำรวจจริงๆ รึเปล่า?”
เรื่องนั้นผมเองก็พูดไม่ได้เหมือนกัน คนที่พูดได้กลับเป็นคนลงมือและไม่ยอมบอกอะไรเลยแม้แต่แรงจูงใจศพก็อาจจะถูกทำลายไปแล้วด้วยซ้ำ ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
นี่มันเรื่องจริงเหรอ คงมีแต่ต้องเชื่อเท่านั้นแล้วว่ามันเกิดขึ้นจริง ตัวเลือกอื่นไม่เหลือแล้ว
“แบบนี้นี่เองทางนี้ก็หายตัวไปแล้วสินะ”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาทำให้ผมต้องหันกลับไปทางประตูจึงมองเห็นใบหน้าของอาจารย์มิทากะ มิกิซึ่งกำลังทำหน้าครุ่นคิด
“ขอโทษด้วยน้าที่หลังเกิดเรื่องที่สวนสาธารณะนั่นแล้วไม่มาปรากฏตัวให้เห็นเลยน่ะ”
คุณกลินดามองไปนอกบานกระจกของร้านไปยังสวนสาธารณะที่เกิดเรื่องขึ้น
“ฉันไม่ค่อยถูกกับตำรวจสักเท่าไหร่น่ะโผล่ออกไปมีหวังโดนตามสะกดรอยเหมือนเธอแน่”
ผมถูกตำรวจสะกดรอยเหรอ? เรื่องแบบนั้นไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย มาสงสัยนักเรียนมัธยมปลายที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้เนี่ยนะ? อ้าวก็ถูกแล้วนี่
“ก็นะ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็ต้องถูกสะกดรอยอยู่แล้วยิ่งเป็นปลายเปิดคดีหายตัวต่อเนื่องทั่วโลกแล้วด้วยล่ะก็”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“ไม่ได้อ่านข่าวในเน็ตเหรอ? พักนี้น่ะมักจะมีการหายตัวแปลกๆ เกิดขึ้น คนที่เห็นเหตุการณ์ส่วนใหญ่ก็พูดเหมือนกันหมดเลยนะว่าถูกดูดเข้าไปน่ะ แล้วที่ๆ มีการแจ้งความลักษณะนี้ที่แรกก็เป็นเคสที่สวนสาธารณะกับเด็กสามคนเมื่อวันนั้น”
…เฮ้อ อย่างน้อยก็ขอให้ฉันได้กลับไปพักสมองหลังสอบมาก่อนไม่ได้เหรอ เห็นชีวิตฉันเป็นยอดมนุษย์เทพทุกสถาบันที่นั่งหลังห้องมีชะตาต้องไปกอบกู้โลกรึไง จะบอกให้นะมนุษย์ธรรมดาน่ะต้องการพักผ่อนนะเออ
ผมจ้องมองช้อนตักไอศกรีมบนทิชชู่ที่ถูกจัดเรียงเอาไว้ด้วยอาการเหมอลอย เกาหัวทีหนึ่งเพื่อเรียกสติกลับมาแล้วค่อยหยิบช้อนขึ้นมาตักไอศกรีมกินเหมือนกับคุณกลินดาเงียบๆ โดยปล่อยให้เรื่องไม่ดีไม่งามปวดเศียรเวียนเกล้ามลายหายไปด้วยความหอมหวานของช็อคโกแลตพาเฟ่ต์
“ไม่มาเลยนะ”
คุณกลินดาลดหนังสือที่หยิบออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่ที่ชอบพกไปมาลง ผมจึงเงยหน้าขึ้นมาจากสมาร์ทโฟนตอบกลับไปแบบเนิบๆ
“…นั่นสิครับ”
คุณกลินดามองออกไปนอกบานกระจกครั้งหนึ่งด้วยสายตาเหมอลอยก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง
“ถ้าฮัทสึฮารุไม่มาฉันก็ขอคุยแค่เธอก็แล้วกัน ก่อนหน้านี้ที่บอกไว้ใช่ไหมว่าไม่อยากปรากฏตัวออกมาน่ะ วันนี้ที่ฉันมาได้เพราะตอนนี้ลอสแองเจอลิสสามารถค้นหาคนศูนย์หายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้แล้วคนหนึ่งกลางดึกของเมื่อวานน่ะ นั่นสินะถ้าอิงตามประเทศนี้ก็คงเป็นประมาณตอนเช้าๆ ทำให้ตำรวจที่ตามสะกดรอยคนที่เกี่ยวข้องถอนตัวไปขณะหนึ่ง”
“เป็นไปได้สินะครับว่าถูกส่งไปแล้วยังสามารถกลับมาได้น่ะ”
คุณกลินดาเอื้อมมือไปหยิบกระดาษกับปากกาที่แนบไว้บนมาสคอตของร้านมุมโต๊ะ
“ก็อาจจะ และหมายถึงว่าอีกฝ่ายสามารถมาที่นี่ได้เหมือนกัน”
และวาดรูปเลข 8 แนวนอนพร้อมกับที่มีเส้นตรงขีดขั้นตรงกลางระหว่างหัวทั้งสองด้าน
“ถ้าแค่สองโลกนี้ก็ยังไม่เท่าไหร่แต่ถ้าหากทำแบบนี้ล่ะ”
คุณกลินดานำกระดาษนั้นลงไปเขียนอีกครั้งด้วยปากกาอีกด้ามสีแดงและพร้อมกับแสดงให้ผมดู
มันเหมือนกับรูปก่อนหน้าแต่มีวงกลมล้อมรอบเอาไว้หลายวงเบียดเสียดทับกันมากมายคล้ายกับวงแหวนที่คล้องเรียงต่อกันจนอาจมองไม่ออกด้วยซ้ำหากใช้ปากกาสีเดียวกันหมด
“…ทุกโลกจะทับซ้อนกัน จนไม่สามารถประคองตัวเองเอาไว้ได้”
“ไม่รู้สิ ฉันยังไม่เคยเห็นว่าตอนนี้มีใครโผล่ออกมาจากโลกอื่นหลังจุดพลิกผันแล้วบ้างด้วยซ้ำถ้าไม่นับคนที่หายตัวถูกส่งไปอ่ะนะ เพราะฉะนั้นรับรองได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล”
จากโลกอื่นหลังจุดพลิกผัน? ไม่หรอกมั้ง
“คุณกลินดาที่ว่าโผล่ออกมาหลังจุดพลิกผันเนี่ยแสดงว่าเคยมีคนมาก่อนที่จะเกิดจุดพลิกผันด้วยใช่ไหมครับ?”
คุณกลินดาเกาหัวที่ขาวโพลนของตัวเองทีหนึ่งด้วยสีหน้าลำบากใจ
“ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ ที่จริงฉันจะมาคุยกับฮัทสึฮารุเรื่องนี้แหละ”
.....
“ผมควรรู้รึเปล่าครับ?”
“ขึ้นอยู่กับเธอ”
“มาขนาดนี้แล้วยังมีตัวเลือกอีกเหรอครับ?”
“เธอน่ะ ยังไม่เคยตัดสินใจเลยไม่ใช่เหรอว่าจะยอมรับเรื่องพวกนี้น่ะที่ผ่านๆ มาก็แค่ถูกลากไปมาเองนี่นาทั้งที่แต่ก่อนเป็นคนห่วงตัวเองที่สุดแท้ๆ นะคติประจำใจมันหายไปไหนแล้วล่ะ”
ผมนั่งกุมมือใต้โต๊ะแน่นขนัดกับการตัดสินใจที่จะรับข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงสิ่งที่คนเหล่านี้คิดจะทำแต่กลับกลัวกลัวที่จะรับรู้ความจริง บางครั้งการหนีอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าด้วยซ้ำ ทว่านั่นก็เป็นแค่สิ่งที่ตัวผมที่อ่อนประสบการณ์ต้องการ ตัวผมในตอนนี้มีเลเวลที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนแล้วกับการที่จะรับรู้ความโม้ของคนเหล่านั้นถ้าไม่ใช่ปุถุชนธรรมดาที่เข้ามานั่งฟังแล้วใครจะมานั่งฟังแก้เหงาพวกนั้นกันเล่า
“เชิญครับ”
คุณกลินดาถอนหายใจตอบรับการตัดสินใจผมด้วยใบหน้าเหนื่อยจิตหน่ายใจ
“ฮัทสึฮารุน่ะฆ่าฟุตาบะ ยูบาริไปแล้ว”
ครับ?
“จะเชื่อหรือไม่เชื่อฉันไม่สนหรอก เดี๋ยวเธอค่อยไปถามเจ้าตัวเอาก็ได้”
คุณกลินดาจ้องมาผมไม่กระพลิบ
“อย่าล้อ...”
แต่พอมาคิดถึงเหตุผลที่จะโกหกแล้วมันก็ไม่มีและเมื่อไม่มีมันก็ไม่สามารถพูดออกไปได้จึงฝืนกลืนลงคอไปทำได้เพียงนั่งคอตก มันเรื่องอะไรกันล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย ตอนนี้ผมล่ะอยากจะอ่านสีหน้าคนให้เก่งกว่านี้จริง
“เข้าใจว่าเธอคงไม่เชื่อเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกหกหรอกรู้สึกจะถูกลิ่มน้ำแข็งเสียบหัวตัวเองทะลุ”
“…ตัวเอง? หมายความว่าไง”
ผมเงยหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับคุณกลินดาเธอจึงยกกำปั้นขึ้นมาทั้งสองข้างพรางพูดต่อ
“มีอยู่สองสิ่งบนโลกนี้ที่จะอยู่นอกพันธสัญญาที่เธอเขียนได้คือธรรมชาติและตัวเองก็คงเดาได้นะต่อจากนั้นน่ะ จะเท่ากับว่าสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฎทั้งสองนี้คือตัวฮัทสึฮารุ”
และนำกำปั้นทั้งสองประกบกัน
“ระ เรื่องนั้นไม่สิทำไมถึงจะต้องทำแบบนั้นด้วย?”
ผมเหลือบไปมองถ้วยไอศกรีมของตัวเองข้างๆ
“ไม่ว่าจะด้วยเรื่องไหนแต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดจริงยังไงมันก็ไม่สมควรจะทำแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”
ไม่รู้ล่ะสัญชาติญาณความเป็นมนุษย์ของผมมันต้องแย้งเท่านั้น
“อืม ไม่เข้าใจเลยไม่เข้าใจเลยสักนิดความปรารถนาแบบนั้นน่ะ ถึงมือฉันจะบอกว่าสะอาดไม่ได้แต่ก็ไม่อยากเข้าใจเหตุผลของคนๆ นั้นเลย…”
ผมยกมือห้ามคุณกลินดาให้หยุดแค่นั้นเพราะสมองมันเริ่มจะปวดนิดๆ แล้ว
“ผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ”
“…อืม เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองเธอกลับไปได้แล้วล่ะ”
“ขอบคุณครับ”
ไม่เชื่อหรอกคนทั้งคนแถมยังเป็นคนรู้จักอีกจะให้มายอมรับง่ายๆ โดยมีแค่คำพูดได้ยังไงกัน
“อา ก็อย่างที่จุดเหนือกดเกณฑ์พูดนั่นแหละ”
ผมที่เพิ่งจะออกมาจากร้านได้หมาดๆ ในสภาพโกรธนิดๆ ก็ได้พบกับฮัทสึฮารุที่กำลังยืนรออยู่นอกร้านและพูดขึ้นราวกับรอจังหวะ
“ฮะ ฮัทสึฮารุไม่ใช่ว่าเธอจะกลับไปแล้วหรอกเหรอ ...ฟุตาบะ ยูบาริอย่างน้อยก็เป็นคนรู้จักไม่ใช่เหรอแล้วทำไมล่ะ!?”
“เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ต้องแลกมา”
“ปลอดภัย? จากอะไรกันไม่เห็นรอบๆ รึไงไม่มีใครเขาคิดจะทำอะไรหรอกพวกอีกฝั่งเรอะ”
ก็รู้ตัวว่าไม่ค่อยจะมีใครเห็นหัวสนใจก็จริงแต่ไม่นึกว่าจะทำเรื่องร้ายแรงโดยไม่ได้บอกอะไรแบบนี้
“ถ้าเกิดบอกไปจะทำอะไรได้ล่ะ? สุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนๆ เดิม ฉันไม่ขอให้เชื่อใจหรอกแต่อยากให้รอดูต่อไปเงียบๆ จนกว่าเวลาจะมาถึงเพราะฉะนั้นตอนนี้ก็กลับบ้านกันเถอะ”
หลังคำพูดนั้นเธอก็กลับหลังหันแล้วก้าวเดินฝ่าฝูงชนโดยปล่อยผมให้ถูกสายตามากมายจับจ้องก่อนจะก้าวเท้าตามเงียบๆ
อย่ามาล้อเล่นนะ
ในวันหยุดถัดมาผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกเสียจากคอยหวาดระแหวงกับฮัทสึฮารุที่ไม่ยอมบอกที่อยู่ยูบาริให้กับผมจึงได้ล่วงเลยไป
นี่จึงเป็นหัวข้อสุดท้ายก่อนที่ตัวผมหรือความคิดของผมจะถูกทำลายจากความแตกต่างของสิ่งที่ได้ทำเอาไว้ถ้าให้พูดชัดๆ ไปเลยมันก็คือการลงโทษจากบทสรุปที่ผมได้ลงมือไปและมันเองก็เกิดซ้อนทับกันจนแทบจะทำลายกันเองก็ได้เริ่มขึ้นถ้าถามว่าใครผิดก็คงโบ้ยความผิดให้ได้แต่ตัวเองนี่แหละ
ผมเริ่มต้นเช้าวันใหม่มาด้วยการเขี่ยผ้าห่มลงจากเตียงเนื่องด้วยสภาพอากาศที่กำลังทำให้หมีขั้วโลกลดจำนวนลงประตูที่จู่ๆ ก็ถูกเปิดพรวดออกมาเผยให้เห็นร่างของน้องสาวที่เป็นเหมือนนาฬิกาส่วนตัวมาคอยปลุกทุกเช้าตามอาชีพในสมัยก่อน
ทุกอย่างยามเช้ายังคงดำเนินไปตามปกติของมันผมมองออกไปด้านนอกผ่านบานเลื่อนอย่างเลื่อนลอยไร้ความหมาย
มันช่างสงบสุขดีจริงๆ เมื่อไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องอะไรปล่อยให้เวลาและชีวิตค่อยๆ กัดกินไปจนกว่าจะจบการศึกษาเลยก็ได้ไม่ว่ากัน ใช่ถ้าไม่ติดเรื่องที่ฮัทสึฮารุทำลงไปซึ่งยังไม่มีมูลความจริงใดๆ ก่อร่างเป็นตัวมาเลย ผมยังไม่ยอมรับเรื่องนี้หรอกถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้ายัยนั่นหลังจากเรื่องตอนห้องพยาบาลเลยก็ตาม
“จริงสิพี่คิริโนะวันนี้หนูน่าจะค่อนข้างกลับช้าหน่อยนะเพื่อนหนูชวนไปเล่นที่บ้านน่ะ”
“…เธอเองก็ไปเล่นบ้านคนอื่นเขาเหมือนกันสินะบ้านใครล่ะ”
“ที่บ้านของมิยูกิน่ะเธออยู่กับพี่ชายสองคนแต่ส่วนใหญ่ก็กลับช้าน่ะ”
“หืม มิยูกิเหรอโทวมะก็คงไปด้วยสินะ”
ผมยกซุปดื่มโดยไม่ใส่ใจและพอเลื่อนสายตาลงมาก็พบกับใบหน้าแปลกใจของน้องตัวเอง
“เอ๊ะ พี่คิริโนะรู้จักมิยูกิด้วยเหรอเคยเจอกันที่ไหนล่ะนั่นนะ?”
“พูดแบบนี้กระผมรู้สึกเหมือนถูกเมินเลยนะครับ”
“ขอโทษนะแต่ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่คิริโนะไปรู้จักตอนไหนน่ะก็ตอนนั้นพี่อากิเขาไปกับพวกเรานี่นาส่วนพี่คิริโนะก็อยู่แต่บ้านนี่”
“นะ นั่นสิน้าเอาเป็นว่าฉันเก่งก็แล้วกัน”
สงสัยระดับความจืดจางจะถูกอัพเกรดไปขั้นต่อไปแล้วสิขนาดเคยมาเล่นที่บ้านผมบ่อยแท้ๆ ขณะเดียวกันฮัทสึฮารุที่นั่งข้างๆ ผมก็เอาแต่จ้องผมตาไม่กระพริบราวกับเป็นหุ่นยนตร์ที่ลอกเลียนแบบมนุษย์มาพอถามกลับไปเธอจึงส่ายหน้าไปมาและกลับไปกินข้าวเช้าต่อดังเดิมและพอผมหันกลับไปด้านหน้าสีหน้าตั้งคำถามของน้องสาวยังคงแสดงออกมาไม่จางหาย
“เอ่อ นั่นแหละเพราะฉะนั้นเรื่องข้าวเย็น”
“ตอนเย็นค่อยไปซื้อกินก็ได้”
ฮัทสึฮารุพูดขึ้น
“เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องใส่ใจ”
‘ถูกลืม’ หนึ่งในสกิลร้อยแปดอย่างของผมได้บังเอิญแผลงฤทธิ์ออกมาโดยไม่ตั้งใจสินะ ขนาดพวกพิลึกพวกนั้นยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำบางทีอยากจะลองชื่นชมตัวเองดูสักหน่อยจริงๆ ที่เอาชนะได้แล้วอย่างน้อยเรื่องหนึ่งเพื่อเป็นการปลอบใจตัวเองก่อนจะรับฟังคำสอนคาบแรกของสัปดาห์หลังสอบให้คลายความกังวล
ชั่วโมงเรียนดำเนินไปตามปกติจนเข้าคาบพักเที่ยง ผมยังคงเป็นโซโล่คิริโนะคุงไม่เปลี่ยนแปลงแต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่กลุ่มของฮิเมกิกับอาริมะและผองเพื่อนรวมก๊กคุยกันอย่างสนุกสนานกันไปแล้วจึงทำให้จุดยืนสายโดดเดี่ยวเริ่มรู้สึกสั่นคลอนอยู่ยากขึ้นแต่เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกันเพราะก็ตั้งใจจะออกไปกินตรงที่นั่งประจำอยู่แล้วหากไม่ถูกตัดหน้าไปก่อน
ทว่าหลังจากที่ผมเดินออกจากห้องมาหมาดๆ ชนิดที่ว่าเดินยังไม่ถึงสามก้าวก็พบกับอาริมะซึ่งกำลังยืนคุยกับอาจารย์วิชาก่อนหน้าอยู่ห่างจากผมไปหลายเมตรทำให้ฝีเท้าของผมต้องหยุดชะงักลงและหันหลังกลับไปมองในห้องอีกครั้งแต่สิ่งที่พบเจอมีเพียงกลุ่มของฮิเมกิที่กำลังหันโต๊ะเข้าหากันสามตัวกินมื้อเที่ยงราวกับว่าภาพที่เห็นก่อนหน้าเป็นเพียงมโนทัศน์
ผมเผลอขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ยและจังหวะเดียวกันฮัทสึฮารุก็เดินออกมาจากห้องพอดี
“ไปหาหมอจะดีกว่านะ”
เธอพูดขึ้นมาขณะเดินสวนผมออกไปโดยไม่ยอมหันกลับมาอธิบายใดๆ ตามฟอร์ม
หมายความว่าไง? เธอเองก็เห็นเหมือนฉันใช่ไหมไปหาหมอเนี่ยจะบอกว่าสมองกระผมไปหมดแล้วสินะครับ อาจจะเกิดจากการคิดไปเองเคมีในหัวทำปฏิกิริยารึไง?
แน่นอนว่าถ้ามันเป็นแบบนั้นได้ก็จะสบายใจกว่าแต่สิ่งนี้กลับยิ่งทวีความต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ไม่สิมันเป็นกิ่งก้านที่มาบรรจบกันซะมากกว่าทำให้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ฮัทสึฮารุพูดหมายถึงอะไรก็เป็นเรื่องหลังจากนี้
ผมยังคงเหม่อมองเข้าไปในสวนอย่างว่างเปล่าจากม้านั่งคู่ใจขณะกินมื้อเที่ยงเพิ่มเติมคืออากาศที่เริ่มจะชวนให้เข้าไปตากแอร์ในห้องสมุดหรือห้องพักครูนั้นเอง
“คิริโนะคุงมานี่หน่อยสิ!”
หญิงสาวที่เป็นตัวแทนต่างเผ่าพันธุ์และต่างโลกก็ตะโกนเรียกจากชั้นสามของตึกชมรมโดยไม่เห็นใจสงสารคนที่ถูกเรียกอย่างผม ห๋า? ฟุตาบะ ยูบาริกำลังโบกมือตะโกนเรียกผมจากหน้าต่างอาคารห้องหนึ่งด้วงรอยยิ้มนี่มันหมายความว่ายังไงกันสรุปผมแค่ถูกสองคนนั้นรวมหัวกันเล่นสนุกงั้นเหรอ
ผมรีบวิ่งขึ้นไปหยุดอยู่หน้าห้องที่น่าจะเป็นห้องของตัวการนั้นและเปิดประตูออกโดยไม่สนใจเรื่องมารยาทจึงพบกับฟุตาบะ ยูบาริที่ยืนพิงหน้าต่างใกล้ๆ พร้อมกับคุณซาซาฮาระที่กำลังนั่งทำแบบฝึกหัดบนโต๊ะยาวตัวหนึ่ง
“เฮ้อ ยูบาริอย่าเรียกคนอื่นมาด้วยวิธีนี้สิถึงเธอจะไม่ได้รู้สึกอะไรแต่คนอื่นเขาเป็นนะ”
คุณซาซาฮาระพูดขึ้นพร้อมกับทำสีหน้ากลัดกลุ้มมองไปยังยูบาริที่มัวแต่ยืนพิงหน้าต่างเต๊ะท่า
ผมยืนมองภาพนั้นไปพร้อมกับหายใจหอบเป็นจังหวะ
“วันนี้ตอนเย็นฉันไม่ว่างน่ะเพราะฉะนั้นคงไม่ได้อยู่ชมรม”
“ชมรม? ชมรมอะไรของเธอฉันเกี่ยวอะไรแล้วมาแอบตั้งชมรมตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ทำให้สีหน้าแปลกใจเปิดเผยออกมาบนหน้าของเธออย่างชัดเจน
“พูดอะไรกันคะพวกเราสามคนถูกยัดมารวมเป็นชมรมพัฒนาตนเองนี่ค้า”
ผมหันไปมองคุณซาซาฮาระที่กำลังก้มหน้าทำงานแต่เพราะถูกผมจ้องเธอเลยเงยหน้าขึ้นมาและพยักหน้าให้แม้แต่คุณเองก็เล่นไปตามยัยนี่ด้วยเหรอ? ทำไมคนรอบตัวมันชอบแกล้งผมขนาดนี้กันสนุกมากนักรึไง นี่เกิดผมไม่ชินกับสถานการณ์ประมาณนี้มีหวังได้ไล่พาลไปทั่วแล้วแน่ ถึงอย่างนั้นแล้วทำไมสีหน้าและการพูดของยัยพวกนี้มันไม่ได้บอกว่าเป็นแบบนั้นเลยล่ะ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วใครเป็นที่ปรึกษาแล้วตั้งชมรมได้ไงทั้งที่สมาชิกมีแค่สามคน”
ผมลองแหย่ดูแต่กลับให้ผลตรงข้ามคราวนี้ทั้งยูบาริทั้งซาซาฮาระก็หันหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองกันก่อนจะเบนมาทางผม
ซาซาฮาระพูดขึ้นมาก่อน
“คราวนี้เล่นอะไรอีกล่ะตั้งแต่ก่อนโกลเดนวีคย์ล่ะมั้ง ส่วนที่ปรึกษาก็อาจารย์คานิเอะที่สอนสังคมเพราะว่าเป็นชมรมที่อาจารย์เป็นคนจับยัดรวมกันจึงมีสามคนก็เป็นชมรมได้แบบนี้น่ะ สงสัยสมองนายท่าทางจะวิกฤตแล้วสินะอย่าแพร่เชื้อคิริโนะซะล่ะ ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อด้วย”
ไหงคำพูดคำจาท่อนหลังมันโหดร้ายจัง แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนมันเป็นไปไม่ได้เลยก็เพราะห้องนี้น่ะเมื่ออาทิตย์ก่อนมันยังเป็นห้องเก็บของอยู่เลยฉันที่เคยถูกใช้มาเก็บกวาดยืนยันได้แถมซาซาฮาระก็อยู่ชมรมถ่ายภาพไม่ใช่เหรอหรือว่าจะออกมาแล้ว นี่มันเรื่องอะไรกันฮัทสึฮารุเธอเล่นอะไรอีกแล้วเหรอ
“อื้มๆ เพราะฉะนั้นคิริโนะคุงขอฝากกุญแจห้องด้วยนะ เนโกะจังเป็นเวรทำความสะอาดจึงอาจมาช้าหน่อย”
ยูบาริยื่นกุญแจมา ผมจึงไม่มีทางเลือกขยับฝีเท้าเพื่อลดระยะห่างและยื่นมือรับอย่างงงงวย ก้มมองกุญแจในมือกระทั่งเกิดเสียงเหมือนฟันเฟืองตัวหนึ่งเดินดังขึ้นจากด้านหลังพอผมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่พบกับยูบาริสัมผัสของกุญแจในมือก็อันตรธานหายไปจึงหันกลับไปด้านหลังตรงโต๊ะโชคยังดีที่ซาซาฮาระยังนั่งอยู่ตรงนั้นซึ่งกำลังจ้องมองผมไปพรางกินขนมปังไปพรางอยู่
“อ้าวจบซะแล้วเหรอน่าเสียดายจังนะ”
ซาซาฮาระหยิบกล้องดิจิตอลขึ้นมาจากกระเป๋านักเรียนที่วางเอาไว้ใกล้มือเธอบนโต๊ะที่ไม่มีร่องลอยของสมุดหนังสือใดๆ เหมือนเมื่อครู่
“ขอสักรูปนะ”
“มันเรื่องอะไรกัน?”
ซาซาฮาระเอียงคอเล็กน้อยและลดกล้องลง
“โทษทีนะฉันมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
ผมเซตัวไปแนบหลังกับหน้าต่างและไถลตัวลงกับพื้นอย่างเหนื่อยอ่อน
“ไม่รู้สิฉันนั่งอยู่เฉยๆ กำลังตรวจเช็คสภาพกล้องตัวที่เพิ่งจะได้คืนจู่ๆ นายก็โผล่เข้ามาและเล่นติต่างคนเดียว อื้มๆ ก็ดีนะ”
เอาเข้าไป
“เป็นอะไรไปซะแล้วล่ะจู่ๆ ก็เกิดอายขึ้นมาเหรอ?”
“ถ้าฉันสนใจสายตารอบข้างขนาดนั้นก็คงกลายเป็นคนดีของสังคมไปนานแล้ว”
ผมนั่งทำใจให้สงบอยู่ในท่านั้นสักพักเพื่อทำให้จิตใจกลับมาสงบจึงเริ่มท่องโลกความคิดว่าใครพอจะทำแบบนี้ได้บ้างเท่านั้นแหละใบหน้าของฮัทสึฮารุจึงไหลเข้ามาในหัวทันทีเป็นคนแรก
‘ขอบอกไว้ก่อนฉันไม่ได้ทำ’
จู่ๆ เสียงของฮัทสึฮารุก็ถูกส่งเข้ามาในหัวเป็นการตอบรับราวกับว่ารู้ใจ สื่อสารทางโทรจิต
‘มันเกิดอะไรขึ้นกันอธิบายมาเลยถ้าเธอไม่ได้ทำน่ะอย่างน้อยอย่าเมินเรื่องนี้ได้รึเปล่า?’
‘คิดว่าเกิดจากการที่ระบบการรับรู้ของสมองทำงานผิดพลาดเพราะฉันเองก็ไม่สามารถตรวจให้แน่ใจได้ถ้าไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์แต่ยืนยันว่าสาเหตุมาจากสมองตัวบุคคล’
‘ไม่ใช่ว่าเธอรับรู้ทุกอย่างได้จากแก่นแท้อะไรแบบนั้นหรอกเหรอ?’
‘...ไม่พบความผิดปกติใดๆ อยากลองให้ไปหาหมอเผื่อว่าจะเป็นเรื่องของจิตใจตัวบุคคล หากไปอาจทำให้รู้สึกดีขึ้น’
กำลังพูดถึงเรื่องยาที่ดีที่สุดคือจิตใจของคนไข้สินะ และก็จะหมายความอีกด้วยว่าผมเครียดเกินไป
เมื่อได้ยินดังนั้นผมจึงเกิดถอนหายใจขึ้นมาเฮือกหนึ่งแล้วจึงชันร่างลุกขึ้นยืนจากพื้นอันเย็นชืด
“จะกลับแล้วเหรอโชคดี”
“…ขอถามคำถามตามหลักการหน่อยนะทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่กัน?”
ซาซาฮาระที่กำลังก้มทำอะไรบางอย่างกับกล้องหลังถ่ายภาพสีหน้าของผมอยู่จึงเงยหน้าหันมามองครู่หนึ่งเหมือนกำลังประเมิน
“เช็คสภาพกล้องในที่ๆ จะไม่มีใครมารบกวน”
ซึ่งผมสามารถแปลคำพูดนั้นได้อีกแบบว่าอย่ามารบกวนรีบๆ ไสหัวออกไปซะจึงทำได้แค่เกาหลังหัวไปทีหนึ่งซาซาฮาระเองก็กลับไปก้มมองกล้องของตัวเองต่อ
“ขอตัวนะครับ”
“…ก็เพราะว่ามีส่วนสูงแบบนี้ล่ะนะไม่ว่าจะทำอะไรมันก็ถูกเพ่งเด่นไปซะหมด ส่วนสูงไม่ต่างจากเด็กประถมบ้างล่ะ โครโมโซมผิดปกติบ้างล่ะแปลกใช่ไหมล่ะประโยคนี้ทั้งที่โครโมโซมจะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไม่เกี่ยวกับน้ำหนักหรือความสูงเลยแท้ๆ พ่อแม่ฉันจึงพลางถูกลูกหลงไปด้วย”
ซาซาฮาระที่กำลังก้มมองกล้องตัวเองพูดขึ้นมาแบบนั้นทำให้ก้าวเท้าของผมเกิดหยุดชะงัก
“…..แล้วมาบอกฉันทำไม?”
“นั่นสินะเพราะนายไม่เหมือนกับฉัน แค่เห็นแววตาของนายเรื่องกลุ่มใจของคนแบบนั้นน่ะส่วนมากก็มักจะเป็นเรื่องไร้สาระล่ะนะ”
คนแบบนั้นมันแบบไหนกันเล่ายัยนี่โทษทีละกัน
“แต่แค่ได้ฟังเรื่องซุบซิบนินทาหรือไร้สาระอื่นเข้าไปแล้วความคิดต่อเรื่องเดิมก็จะลดน้อยลงไปด้วย”
“จะบอกว่าฉันสมาธิสั้นสินะ”
“แหม ฉันยังไม่ได้พูดเลยนะยอมรับความอ่อนแอของตัวเองง่ายดายแบบนี้ฉันเองก็เริ่มกลุ่มใจกับนายแล้วสิ”
“เอาเถอะคนปากร้ายแบบเธอเองก็รู้จักปลอบคนอื่นเป็นด้วยแฮะ ถ้าจะว่าแบบนั้นแล้วเธอล่ะ...”
“ช่างเหอะ พักนี้ได้ข่าวเกี่ยวกับยูบาริบ้างรึเปล่า?”
อย่าเพิ่งขัดสิเจ๊
“ตั้งแต่ก่อนวันสอบกลางภาคแล้วเธอดูเหมือนจะไม่มาโรงเรียนเลย แถมติดต่อก็ไม่ได้ด้วยทางที่พักเองก็ไม่พบซ้ำเจ้าตัวยังไม่มีญาติพี่น้องด้วยเพราะฉะนั้นแล้วนายพอจะรู้เรื่องอะไรบ้างรึเปล่า?”
คราวนี้คุณซาซาฮาระก็ยกกล้องขึ้นมาทางผมอีกครั้งโดยไม่ถามความสมัครใจ
จะบอกว่ารู้ก็รู้อยู่หรอกแต่บอกว่าไม่รู้น่าจะสมเหตุสมผลกว่าด้วยซ้ำ
“เดี๋ยวฉันจะลองโทรหาดูแล้วกัน”
“น่าแปลกจังนะที่นายมีเบอร์คนอื่นแบบนี้ นึกว่าจะเป็นพวกขี้กลัว-ขี้เกรงใจไม่กล้าหรี่สาวซะอีก”
ผมเมินคำพูดเหน็บแนมของซาซาฮาระและเลื่อนหาเบอร์ที่ไม่ได้เม็มชื่อเอาไว้ในหน้าประวัติการโทรซึ่งมีแค่เบอร์เดียวถึงเมื่อวานจะลองพยายามติดต่อดูหลายทีแล้วแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับคว้าน้ำเหลวจึงหวังว่าตอนนี้จะได้ผลจนกระทั่งเสียงโอเปอเรเตอร์ดังขึ้นมาความคิดนั้นก็ได้เลือนหายไปเหมือนเมื่อวาน
“ฉันเองก็ลองมาหลายครั้งแล้วทั้งที่ตอนปกติเจ้าหล่อนก็มักจะหยิบมือถือมาเล่นเกมตลอดแท้ๆ”
ซาซาฮาระลดกล้องลงมองผมด้วยเลนส์แก้วตาทั้งสองข้างแทนที่เลนส์ของตัวกล้องโดยเริ่มเผยสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา
“นี่มันไม่ปกติแล้วนะ คิริโนะฉันควรแจ้งตำรวจจริงๆ รึเปล่า?”
เรื่องนั้นผมเองก็พูดไม่ได้เหมือนกัน คนที่พูดได้กลับเป็นคนลงมือและไม่ยอมบอกอะไรเลยแม้แต่แรงจูงใจศพก็อาจจะถูกทำลายไปแล้วด้วยซ้ำ ทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
นี่มันเรื่องจริงเหรอ คงมีแต่ต้องเชื่อเท่านั้นแล้วว่ามันเกิดขึ้นจริง ตัวเลือกอื่นไม่เหลือแล้ว
“แบบนี้นี่เองทางนี้ก็หายตัวไปแล้วสินะ”
เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมาทำให้ผมต้องหันกลับไปทางประตูจึงมองเห็นใบหน้าของอาจารย์มิทากะ มิกิซึ่งกำลังทำหน้าครุ่นคิด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ