เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  22.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) ขอข้อความนี้ Be the One 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     วิธีรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลผมเชื่อว่าต่างคนก็มีวิธีสังเกตที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนแต่โดยส่วนใหญ่แล้วฤดูแห่งกาลสอบครั้งแรกของนักเรียนมอปลายทุกคนสามารถรับรู้ได้ง่ายๆ เพียงแค่มองไปยังหนังสือเรียนที่ยังไม่ได้อ่านในกระเป๋าก็จะรับรู้ได้ทันที ขณะที่ช่วงเวลาดังกล่าวเริ่มขยับมาใกล้ทุกฝีก้าวราวกับกระต่ายวิ่งในนิทานหนุ่มมอปลายนายหนึ่งซึ่งกำลังนั่งเก้าอี้ของแขกในห้องพยาบาลซึ่งดูไม่ค่อยเข้ากับช่วงฤดูแห่งการสอบอยู่

     “พวกเราสรุปกันมาว่ามันก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกันที่จะได้มีข้อบังคับที่ไม่ต้องก่อให้เกิดความเสียหายจากอุบัติเหตุหรือเหตุก่อการร้ายใดๆ ขึ้น กว่าจะปรับเปลี่ยนพวกกฎหมายกันเสร็จก็นานเหมือนกันแต่โดยส่วนใหญ่ก็เสร็จแล้วล่ะนะที่เหลือก็มีแต่เรื่องการเมือง”

     “ขอโทษนะครับแต่ผมไม่อยากฟังเรื่องปัญหาเศรษฐกิจการเมืองของที่นั่นหรอก”

     “นั่นสิฉันเองก็ได้เลื่อนตำแหน่งแปลกๆ ในองค์กรอีกด้วย พวกเราก็เป็นประชาธิปไตยกันด้วย อย่างในกรณีที่เธอเข้ามาหาฉันจะได้ช่วยกันตัดสินใจไม่ใช่ใครคนหนึ่งตัดสิน”

     “เหนื่อยหน่อยนะครับแต่ว่าคุณมิทากะยังไม่ได้ตอบผมเลยนะครับเรื่องถอนคดีและจะไม่มีการตามหาตัวอีกแล้วรึเปล่าน่ะ?”

     “ถอนแล้วๆ แค่บอกว่าได้ข้อมูลมาจากคนของเราว่าสืบจนรู้ว่ามีตัวตนบางอย่างที่ไม่คิดจะเป็นมิตรหรือศัตรูโดยสื่อสารผ่านทางเด็กสาวไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บวกกับการที่ต้องพูดโน้มน้าวหลายๆ อย่างก็ใช้เวลานานเหมือนกัน”

     รอยยิ้มอันชื่นบานของยูบาริโผล่เข้ามาในหัวเพื่อใช้ประกอบร่วมกับคำว่าไม่รู้อิโหน่อิเหน่แต่กลับทำให้ความหมายดูลดลงแทน

     “แล้วทางน้องสาวฉันเป็นยังไงบ้าง?”

     “ครับคิดว่าอาจจะมีบางเรื่องที่ความทรงจำของคนรอบๆ ตัวคุณน้องสาวอาจจะคาดเคลื่อนไปบ้างแต่ไม่กระทบกับชีวิตประจำวันรวมทั้งคุณมิทากะแน่นอนครับ”

     “ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่จริงๆ นั่นแหละช่วงนี้ไม่ได้ยินเรื่องจำพวกการเปรียบเทียบแล้วด้วยแต่ก็เป็นทางเดียวที่ฉันจะช่วยเธอได้เหมือนกันไหนๆ แล้ววันนี้จะโดดเรียนภาคเช้าอีกรึเปล่าแอบออกไปกินแซนด์วิชกันสักหน่อยไหม?”

     คนๆ นี้พูดอะไรของเขาน่ะอย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นอาจารย์ห้องพยาบาลไม่ใช่เหรอ

     “ล้อเล่นน่าแต่แซนด์วิชพูดจริง”

     คุณมิทากะหยิบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากกระดาษแข็งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะและหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งยื่นให้ผม

     “เอ่อ ขอรับไว้นะครับ”

     “มีเรื่องอยากถามอยู่เหมือนกันเนื้อหาที่ว่าผู้มาจากต่างโลกมันคืออะไรกันมีด้วยเหรอแล้วยิ่งข้อสองยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีกเรื่องนี้ฉันก็อธิบายให้พวกผู้ใหญ่ลำบากเหมือนกันนะแต่ก็เพราะเรื่องนี้แหละถึงได้ผ่านการอนุมัติมา”

     “เรื่องนั้นถือซะว่าเป็นของที่ไม่ต่างกับผีก็แล้วกันนะครับเป็นความคิดของเด็กเพ้อฝันไม่ต้องคิดมากหรอกครับ”

     สำหรับพวกเขาแล้วก็คงจะไม่น่าต่างกันกับผีเท่าไหร่ในเมื่อถามผมมาแบบนี้ก็หมายความว่าที่เมืองนั้นไม่มีของอะไรที่แฟนตาซีอยู่เลยมีเพียงแค่เวทมนตร์ที่เป็นของชูโรงและเป็นเมืองที่ทั่วโลกสามารถไปกลับได้ด้วยวิธีบางอย่างแค่ลองคิดจากตรงจุดนี้แล้วเศรษฐกิจคงจะได้เปรียบกว่าที่ฝั่งนี้น่าดู บางทีถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นอย่างสบายใจคงหาซื้อของอะไรแปลกๆ ได้เหมือนกัน

     “โอ้คิริโนะมีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะ”

     “ห๊ะ”

     ตัวผมที่กำลังเดินกลับไปห้องเรียนก็ถูกอาจารย์คานิเอะเรียกและคนที่ถูกลากเดินตามหลังมาด้วยคือฮัทสึฮารุสัญญาณที่บ่งบอกว่าการกลับไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ของผมมันยังเร็วไปจึงได้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า ลองมีอาจารย์ประจำชั้นขอให้นักเรียนไปตามหานักเรียนอีกคนหนึ่งเฉพาะเจาะจงแล้วมันต้องไม่ใช่เรียกไปรับประกาศนียบัตรคุณงามความดีหรือแค่งานจิปาถะแน่นอน

     “ฮัทสึฮารุขอบใจมากนะที่ช่วยตามหา”

     “กลับได้แล้วสินะคานิเอะ”

     หลังจากที่ฮัทสึฮารุเรียกพัศดีมาพบผมเธอก็หันหลังเตรียมหนีทันทีแต่ก็ประเมินอาจารย์คนนี้ต่ำเกินไป

     “ฮัทสึฮารุไหนๆ แล้วก็มาด้วยกันเลยสิ”

     “จะให้ไปเก็บกวาดห้องเก็บของให้ชมรมที่สนใจคิดว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนกัน”

     อะไรนะ

     “สายตาเบื่อโลกของเธอไม่ธรรมดาเลยนะ ก็ตามนั้นแหละพวกผู้บริหารกำลังประหยัดงบประมาณจึงสั่งให้แอบเนียนใช้งานนักเรียนที่ชั่วโมงเรียนขาดบ้างอะไรบ้างกับพวกที่มีจิตอาสาน่ะ”

     เฮ้ยๆ หลุดเรื่องดำมืดที่ไม่สมควรออกมาแล้วนะอาจารย์

     “แต่เดี๋ยวสิครับชั่วโมงเรียนของผมมันแน่นเอียดไม่เคยขาดถ้าเกินได้เกินไปแล้วนะครับเรียกได้ว่าเป็นคนดีที่สังคมต้องการอะไรแบบนั้นแต่ทำไมถึงยังถูกตามตัวไปใช้งานอีกล่ะถ้าเป็นฮัทสึฮารุยังพอว่าที่ขาดเรียนไปหนึ่งอาทิตย์ดื้อๆ นั่นน่ะ ยังมีอาริมะหรือเด็กอีกห้องหนึ่งอย่างฟุตาบะ ยูบาริอีกนี่ครับ”

     “อาริมะน่ะเพราะสภาพจิตใจคงโทษไม่ได้หรอกส่วนอีกรายนั้นไม่ได้มาโรงเรียนเป็นอาทิตย์แล้วส่วนของนายฉันมาใช้เองคงไม่มีปัญหาสินะ”

     มะ ไม่มีครับ และผมกับฮัทสึฮารุจึงถูกลากไปห้องเก็บของที่ว่าในอาคารชมรมจึงนึกเสียใจนิดๆ ว่าที่อุตส่าห์รีบมาโรงเรียนแต่เช้าเพื่อฟังผลลัพธ์จากคุณมิทากะจะเป็นเรื่องดี แต่การที่ต้องไปเก็บกวาดห้องไม่ใช้แล้วตั้งแต่เช้ามันไม่ได้อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ

     สภาพภายนอกห้องมีการขนย้ายพวกของหนักอย่างรูปปั้นหัวที่แตกกับพวกเครื่องดนตรีฝุ่นจับถูกวางเอาไว้ตามซี่บันไดบ้างตามพื้นระเบียงหน้าห้องงบ้าง ทำให้พอมองแล้วก็อดรู้สึกเสียดายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

     “อยากทราบว่าจะต้องขนไปถึงเมื่อไหร่เหรอครับจนกว่ากริ่งเรียนภาคเช้าจะดังหรือว่ายังไงครับ? อาสาสมัครคนอื่นก็ไม่มีนอกจากพวกเรานี่ครับ อีกอย่างอาสาสมัครคือสิ่งที่ยื่นมือเข้ามาช่วยโดยที่เต็มใจแต่อย่างพวกผมเนี่ย...”

     “อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องนั้นเลยน่าตอนนี้ก็มาเก็บกวาดพวกของเล็กๆ น้อยๆ ไปก่อนส่วนพวกของหนักๆ ไว้จะใช้งานพวกชมรมสายกีฬาช่วยกันขนเอา ตอนนี้ไม่ต้องห่วงหรอก เอ้า มีของแบบนี้ด้วยนะ”

     อาจารย์ยื่นโทเทมสามท่อนติดปีกยื่นมาให้ผม

     "ไอ้ของแบบนี้มันเอาไว้ทำอะไรกัน?”

     “น่าจะของใช้ประกอบฉากการแสดงไม่ก็ของประดับงานวัฒนธรรมมั้ง อย่ามัวแต่อู้สิขยับมือหน่อยฮัทสึฮารุเริ่มงานไปแล้วนายก็ไปขนออกมาบ้าง”

     ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องยกกล่องกระดาษออกมาจากห้องและนำมาวางไว้ด้านนอกใบแล้วใบเล่าใบแล้วใบเล่าก่อนคาบเรียนเช้าจะเริ่มจนมาถึงกล่องใบหนึ่งขณะที่กำลังยกออกไปจากห้องใต้กล่องมีรูที่เกิดจากอะไรก็ตามแต่ช่างหัวมันทำให้ตอนที่ผมขนออกไปไอ้รูดันฉีกกว้างขึ้นและทำให้กองหนังสือหลายเล่มตกลงมา

     “ลืมบอกไปว่ามันเก่าแล้วอาจจะมีรอยผุผังอะไรก็ขนระวังๆ ด้วยล่ะ”

     อาจารย์คานิเอะยื่นคำแนะนำที่มีประโยชน์ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้แต่กลับไร้ความหมายกับปัจจุบันขึ้นมา ผมเริ่มแปลกใจเมื่อพวกหนังสือที่ผมทำเกลื่อนเต็มพื้นมีทั้งประมวนกฎหมายฉบับเก่าทั้งหนังสือคอร์ตเพลงทั้งหนังสือเกี่ยวกับการทำสวน มีแม้กระทั่งหนังสือการ์ตูนที่ทำขึ้นมาเอง

     “คานิเอะมีคนอู้งานตรงนี้”

     ฮัทสึฮารุที่เอากล่องมาวางพูดขึ้นจากด้านหลังผมที่กำลังเปิดอ่านอย่างเพลิดเพลิน

     “คิริโนะนายทำบ้าอะไรอยู่น่ะมาช่วยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ”

     “อะ เอ่อคือว่านี่ก็ใกล้จะเข้าเรียนแล้วทำไมเราไม่หยุดพักกันก่อนแค่นี้ล่ะครับพรุ่งนี้เองก็มีสอบกลางภาคแล้วด้วย”

     อาจารย์หยิบมือถือขึ้นมาดูเวลาตามคำพูดผม

     “มันก็จริงถ้างั้นก็ขอบใจมากนะทั้งสองคนที่เหลือคงปล่อยให้กลุ่มอื่นมาทำบ้าง”

     สุดท้ายแล้วก็รอดพ้นมาจนได้

     หลังเลิกเรียนวันนั้นเองทั้งผมและฮัทสึฮารุก็ต่างพากันลากฝีเท้าไปห้องเก็บของเมื่อตอนเช้าโดยอาจจะเป็นเพราะรักในหน้าที่หรืออะไรก็ตามแต่อีกครั้งจึงได้เห็นพวกชมรมกีฬายกรูปปั้นหัวพังๆ กับพวกลังกระดาษลงบันไดอาคารไปด้วยสีหน้าฮึกเฮิมจนอยากปากพล่อยเบิกว่าถูกผู้อำนวยการหลอกใช้ ทุกฝีก้าวที่เดินของผมนั้นจึงสั้นกว่าปกติอยู่หน่อยหนึ่งแต่สุดท้ายก็มาถึงในที่สุด จึงพบกับอาจารย์คานิเอะกับอีกสองท่านที่มาควบคุมดูแล

     “คิริโนะมาด้วยเหรอนึกว่าจะหนีกลับไปแล้วซะอีก”

     “ถ้าพูดแบบนั้นผมจะกลับก็ได้ครับ”

     ฮัทสึฮารุพยักหน้าเห็นด้วยกับผมเต็มที่ ผมมองเข้าไปในห้องที่ถูกเก็บกวาดจนภายในห้องดูกว้างขึ้นมาทันตาเห็นคงเพราะอยู่ตรงสุดทางเดินด้วยล่ะมั้งถึงเป็นห้องใหญ่กว่าปกติ

     “เดี๋ยวๆ ก่อนจะกลับช่วยเอาไอ้นี่ไปให้ชมรมศิลปะตรงสุดทางเดินตรงนั้นอีกฝากของตึกหน่อยสิ เสร็จแล้วก็กลับบ้านกันได้ทั้งคู่”

     อาจารย์ยื่นไม่สิแบกหนังสือเล่มยักษ์มาให้ขนาดที่ว่าต้องถือด้วยสองมือ ผมตัดสินใจจะไม่ถามกลับไปและลากฝีเท้าตรงไปยังสุดทางเดินอีกฝั่งหนึ่งตามคำสั่ง เสียงฝีเท้าของฮัทสึฮารุก็ตามผมมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสายถึงจะเบามากก็ตามโดยไม่พูดไม่จาถ้าชินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร

     ผมเคาะประตูห้องและรอจนมีคนมาเปิดออก

     “อ้าวคิริโนะคุงไม่ใช่เหรอคุณฮัทสึฮารุด้วยมีธุระอะไรเหรอ?”

     “ฮิเมกิเหรอ อาจารย์คานิเอะฝากนี่มาให้ชมรมศิลปะ”

     ฮิเมกิจ้องมองปกที่ไม่มีแม้กระทั่งตัวอักษรพยัญชนะตัวเดียวบนหนังสือนั้นและเปิดออกดูจึงพบกับภาพถ่ายจำนวนมากของคนกลุ่มหนึ่ง

     “ขอโทษนะแต่มันคืออะไรเหรอ?”

     “ภาพถ่ายของสมาชิกชมรมศิลปะเมื่อสี่ปีก่อน”

     ฮัทสึฮารุเอ่ยขึ้นมาทำให้ฮิเมกิดูสนใจกับสมุดภาพในมือมากขึ้นกว่าเดิม

     “ฮิเมกิมีอะไรเหรอ?”

     เสียงเรียกจากในห้องดังขึ้นมาคงจะเป็นสมาชิกคนอื่น

     “อ่ะ ค่ะดูนี่สิคะประธานดูเหมือนจะเป็นรูปชมรมเมื่อสี่ปีก่อนน่ะค่ะ”

     เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องอยู่อีกจึงค่อยๆ เลื่อนปิดประตูห้องให้อย่างสงบและเดินออกมา

     “ชมรมศิลปะเมื่อสี่ปีก่อนสินะ เธอเนี่ยพูดออกมาได้คล่องจังเลยนะ”

     “คงเล่าหรือให้เห็นภาพไม่ได้เป็นข้อมูลส่วนตัวอยู่เยอะ”

     คร้าบๆ องค์กรคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้ยินคงปลื้มใจแน่นอนครับแต่ช่างเถอะนี่ก็ใกล้จะสอบกลางภาคแล้วคงไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นหรอก ตอนนี้คงต้องขอตัวไปอ่านหนังสือเตรียมสอบพรุ่งนี้ก่อนล่ะนะถ้ายังไม่อยากโดนส่งไปเรียนเสริมล่ะก็

 

     “ฮิเมกิกังวลไปนะก็แค่การสอบเองอย่าไปคิดมากสิ”

     กลุ่มของฮิเมกิคุยกันจากด้านหลังผมขณะที่พวกเราทุกคนในห้องกำลังทยอยเดินลงบันไดอย่างคับคั่นกลับจากสนามสอบวันสุดท้ายด้วยท่าทีอ่อนเพลียไม่ต่างกันมากเท่าไหร่

     “อืม มีเรื่องคาใจจนจดจ่อกับบทเรียนแทบไม่ได้เลยสอบครั้งนี้ฉันไม่อยากเห็นคะแนนเลยเอามาให้แก้กันเลยได้ไหมนะ?”

     “เห เรื่องคาใจเหรอ? พอจะบอกได้ไหมว่าเป็นเรื่องอะไรน่ะ?”

     “อื้อๆ”

     พวกคุณท่านอย่ามาคุยกันบนหัวฉันได้ไหมตอนนี้อยากกลับบ้านไปพักสมองเต็มแก้แล้วนะ อา แค่คิดถึงเตียงนุ่มๆ โน๊ตบุ๊คสุดรัก ไม่ได้ๆ บอกกับตัวเองไปแล้วว่าจะยังขี้เกียจไม่ได้ต้องรอผลสอบออกก่อนเพราะฉะนั้นค่อยไปปลอบประโลมใจกันทีหลังเถอะนะ

     “เรื่องของชมรมศิลปะเมื่อสี่ปีก่อนน่ะเมื่อไม่กี่วันก่อนฉันได้ดูพวกรูปภาพที่พวกรุ่นพี่ถ่ายเก็บเอาไว้ จะอธิบายยังไงดีล่ะฉันเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเหมือนกันแต่ดูมันเหมือนมีอะไรที่ไม่เข้ากันอยู่น่ะ”

     “ชมรมศิลปะสินะอาริมะพอจะรู้เรื่องพวกนี้รึเปล่า?”

     “…หืม อะออโทษทีนะ ไม่ได้ฟังน่ะ”

     อาริมะที่ตามอยู่ท้ายแถวจู่ๆ ตอนนั้นเองก็หยิมสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูทีหนึ่งและแสยะยิ้มออกมาและเดินเร็วแยกออกไปอีกทางหนึ่ง

     “พักนี้อาริมะเนี่ยแปลกไปเนอะ”

     “ก็ช่วยไม่ได้หรอกน้องตัวเองหายตัวไป 3 คนพร้อมกันแบบนั้นนี่นา พักนี้ก็รู้สึกจะจิ้นกับนักเรียนใหม่นิดหน่อยด้วยสิ หรือว่าที่แยกออกไปนั่นจะเป็น”

     “อา ไปแอบดูกันเถอะมิโอริ ฮิเมกิ จะได้ลืมเรื่องสอบไปด้วย”

     “มันคาใจจริงๆ นั่นแหละต้องกลับไปดูหนังสือภาพอีกสักครั้ง”

     ขณะที่เพื่อนสาวอีกสองคนของฮิเมกิเริ่มมีสีหน้าแปลกๆ ออกมาเจ้าตัวฮิเมกิกลับโพร่งความรู้สึกในใจออกมาและเดินแยกออกไปอีกคนหนึ่ง

     ก็นั่นแหละฮะ ทุกคนต่างก็มีวิธีใช้ชีวิตในรูปแบบของแต่ละคนการจะรับรู้ถึงความคิดว่าควรทำยังไงกับการแปลเปลี่ยนหมดฤดูแห่งกาลสอบไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องของใครแต่เป็นของตัวเองอย่างผมก็อยากกลับไปนอนรอมื้อเย็นฝีมือน้องสาวเหมือนกัน ทว่าชีวิตมักจะถูกกลั่นแกล้งอย่างไอเทมในเกมเวลาที่เหลืออีกแค่ชิ้นเดียวต่อให้ลงเป็นสิบรอบกลับไม่ได้เลยก็มีเหมือนกันหรืออย่างประกันสินค้าที่เพิ่งหมดไปได้ไม่ถึงเดือนของกลับพังเสียดื้อๆ ก็มี ใช่แล้วบุคคลที่มายืนดักรอหน้าประตูโรงเรียนนี้เองก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีเหมือนกัน

     “ถ้าฮัทสึฮารุล่ะก็เห็นแยกไปไหนไม่รู้ตั้งแต่หมดเวลาสอบแล้วล่ะครับ”

     คุณกลินดาแหงนหน้าขึ้นมองไปยังเมฆก้อนหนึ่งบนนั้นด้วยท่าทางชิวๆ

     “เหรอ…เดี๋ยวก็ตามมาเองแหละมั้ง พวกเราไปหาอะไรกินกันหน่อยไหมล่ะ เธอก็อยากรู้ไม่ใช่เหรอ? เรื่องของพวกเราน่ะ”

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา