เป็นคนดีของสังคมเนี่ยยากกว่าที่คิดเนอะ?

8.3

เขียนโดย Noel

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 20.47 น.

  22 บท
  0 วิจารณ์
  22.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2561 09.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

18) ขอข้อความนี้ Be the One 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “อาจารย์มิทากะที่พูดมานั่นหมายความว่ายังไงคะ?”

     อาจารย์มิทากะเหลือบมองผมครู่หนึ่งผมจึงเข้าใจว่านั่นเป็นการถามว่าซาซาฮาระรู้เรื่องอีกฝากหนึ่งรึเปล่าคำตอบของผมจึงเป็นการส่ายหน้าให้

     “จากข้อมูลสถิติเรื่องการหายตัวไปในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาประชากรโลกมีอัตราการหายตัวไปมากขึ้น 1% ไม่จำกัดเพศหรืออายุ”

     “ประชากรโลก 1% กับครึ่งเดือนเป็นจำนวนที่เลวร้ายเลยนะคะ...แต่จะว่าไปข้อมูลสถิติที่ว่านั่นอ่านจากที่ไหนเหรอคะ?”

     “อ่านจากกระทู้ในเน็ตน่ะ”

     “จะบอกว่าประชากร 1% นัดกันหายตัวไปเหรอครับ?”

     “ไม่รู้เหมือนกันตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรหรอกถ้าเกิดเฉพาะกับบางที่บางกลุ่มล่ะนะแต่กลับมีตั้งแต่เด็กหัดเดินในที่ห่างไกลไปจนถึงคนฐานะดีพร้อมก็หายไปเหมือนกัน”

     เมื่อมาถึงจุดๆ นี้ความคิดของทุกคนก็แล่นมาถึงข้อความหนึ่งเข้าแต่มันกลับเป็นเรื่องเหลวไหลยิ่งกว่าสิ่งใดจึงไม่มีใครพูดความเงียบจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนเลือกตอบออกมา ใช่ความคิดที่ว่ามีคนลงมือทำ

     ใช่เพราะมันเหลวไหลสิ้นดีไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วทั้งสถานที่ ทั้งเวลา ทั้งจำนวนหากการที่คุณมิทากะมาบอกด้วยท่าทีไม่รู้แบบนี้จึงหมายความว่าไม่มีศาสตร์เวทใดที่สอดคล้องกับเรื่องนี้ด้วย

     ใช่มีเพียงสิ่งเดียว พันธสัญญาข้อ 3 แต่ว่า แต่ว่า แต่ว่านั่นนะ ผมระบุเอาไว้ชัดเจนแจ่มแจ้งไปแล้วนะเรื่องทั้งหมดผมไม่ได้ทำนะ เลิกโยนความผิดมาได้แล้วขอร้องล่ะ

     “จะบอกว่าฟุตาบะ ยูบาริก็เป็นหนึ่งในบุคคลสูญหายจากคดีดังนั่นใช่ไหมคะ?”

     “มีความเป็นไปได้รึเปล่าล่ะ?”

     ซาซาฮาระเงยหน้ามองเพดานอย่างเหมอลอยก่อนจะเบือนสีหน้านั้นไปทางหน้าต่างที่ห่างออกไปคล้ายผู้สูงอายุที่ปรงกับชีวิตสังขารวัยชรา

     “...มากเกินพอค่ะ”

     ผมจึงเดินไปทางประตูที่อาจารย์มิทากะเฝ้าอยู่

     “สงสัยผมเหรอครับถึงได้ตามมา?”

     “อือ พูดได้เต็มปากเต็มคำด้วยซ้ำว่าเธอคือผู้ต้องสงสัย”

     “…นั่นสินะครับ”

     ผมจึงเดินออกจากห้องไปเพื่อเตรียมตัวก่อนกลับห้องเรียนอีกครั้งคุณมิทากะจึงหันมาพูดกับผมอีกครั้งหนึ่ง

     “เรื่องครั้งนั้นกับครั้งนี้มันคนละเรื่องกันถึงฉันจะไม่ได้เป็นตำรวจหรือสายสืบแต่ก็ยังเป็นพลเมืองดีคนหนึ่งเหมือนกัน”

     เวทมนตร์บางล่ะ มีคนหายตัวไปบ้างล่ะ พักนี้โลกชักจะหละหลวมยังไงชอบกล ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังคิดตอนนี้เหมือนกันแต่มันมีความรู้สึกว่าหากเอาคำว่า ‘หละหลวม’ มาใช้มันจะสามารถระบายความทุกข์ในจิตใจผมไปได้สักเล็กน้อย

     “หละหลวม? ไม่หรอกคิดว่าต้องเป็นเอาแต่ใจมากกว่า”

     ขณะที่ผมกำลังระบายความในใจกับตัวเองก็ได้ยินเสียงของฮัทสึฮารุจึงหันไปทางต้นเสียงซึ่งอยู่บนม้านั่งด้านขวามือผมนี้เอง

     “โลกไม่มีความเท่าเทียมใดๆ ทั้งนั้น”

     “เธออยากพูดอะไรกันแน่”

     ฮัทสึฮารุทำมือข้างหนึ่งเป็นครึ่งวงกลมข้างหนึ่งแล้วนำมาวางครอบตาขณะพูด

     “พันธสัญญาข้อ 3 ‘หากมีการตายเกิดขึ้นที่โลกนี้อยากจะขอให้มีการคัดเลือกหรือสุ่มส่งไปยังต่างโลกตามเห็นควร...จะได้ไหมนะ?’  ถ้าเป็นรินต้องเข้าใจแน่”

     เอาจริงๆ ผมก็จำได้บ้างไม่ได้บ้างเหมือนกันกับทุกวลีคำที่ตัวเองใช้เขียนแต่ก็จำได้แม่นเหมือนกันว่าตัวเองสื่ออะไรลงไป

     “…คดีหายตัว?”

     ฮัทสึฮารุไม่มีแม้แต่พยักหน้ารับ

     “เป็นฉันอีกแล้วเหรอถึงงั้นก็เหอะก็เขียนไว้ว่าหากมีการตายแล้วนี่นาทำไมถึงมีข่าวว่ามีคนเป็นหายไปด้วยได้กันหรือจะบอกว่าพวกเขาเหล่านั้นตายกันหมดแล้ว? งั้นทำไมถึงไปอยู่ในลิสต์คนหายไม่ใช่ผู้เสียชีวิตกันพวกที่แจ้งความล้อเล่นรึไง อีกอย่างนะเร็วๆ นี้คนที่หายตัวไปก็กลับมาได้แล้วตั้งคนหนึ่งนะแถมยังไม่ตายด้วยไม่ใช่เหรอ? เรื่องนี้น่ะไม่เกี่ยวกับพันธสัญญาข้อ 3 หรอกที่”

     ถึงอย่างนั้นภาพของเหล่าน้องๆ ของอาริมะก็แล่นแผ่นเข้ามาในหัวผมราวกับเป็นหลักฐานมัดตัวคนร้ายที่ดิ้นไม่หลุด

     ฮัทสึฮารุเมื่อได้ฟังดังนั้นจึงลุกขึ้นยืน

     “ด้วยประโยคสุดท้าย ‘จะได้ไหมนะ?’ ทำให้เนื้อหาของพันธสัญญาถูกแบ่งออกเป็นสองความหมายคือรูปแบบเดิมของข้อความส่วนแบบที่สองคือลักษณะในทางตรงกันข้าม ใช่แล้วล่ะคือการส่งคนเป็นด้วย”

     หากมีการตายเท่ากับคนตายและตรงข้ามคือคนเป็นที่ยังมีชีวิตพันธสัญญากำลังทำงานสองระบบ

     เธอว่าอย่างงั้น

     “ระ เรื่องบ้าๆ แบบนั้นก็ได้เหรองั้นทั้งหมดมันเป็นความผิดของพวกเรางั้นเหรอ? ที่ผ่านมาความไม่ลงรอยนั่นมันเป็นแบบนี้เองเหรอ? ทำไมถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า!”

     “เพราะมันไม่มีความหมาย จะหายไปด้วยวิธีไหนเมื่อไหร่หรือสักกี่คนเรื่องนั้นน่ะฉันไม่สนใจ”

     ฮัทสึฮารุพูดคำพูดเหล่านั้นออกมาด้วยสีหน้าราวกับโลกนี้เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายไร้ก้นบึ้ง

     “ก็เพราะแบบนั้นไงล่ะความคิดของคุณมันถึงได้บิดเบือนถึงขนาดนี้น่ะ”

     ไม่ทันที่ตัวผมจะได้ตอบโต้ฮัทสึฮารุกลับเสียงหนึ่งก็เข้ามาปะทะก่อนแล้ว

     “เป็นฆาตกรแท้ๆ แต่กลับไม่ดูตัวเองเลยนะ”

     “พูดแบบนั้นก็เกินไปนา รู้จักกันมานานทั้งที”

     คำพูดดังขึ้นมาเรื่อยๆ ผมจึงหันไปยังทิศเดียวกับที่ฮัทสึฮารุมองอยู่หรือก็คือด้านหลังผม

     คุณกลินดา

     ผมสีขาวสนิทราวกับว่ารากผมไม่สามารถสร้างเม็ดสีได้โบกสะบัดราวกกับกำลังเริงระบำจนคนรอบๆ ต่างพากันเทสายตาให้กำลังเดินเลื่อนหน้าจอสมาร์ทโฟนมาทางนี้พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ตามสูตร

     ทำไมถึงมาที่นี่? มาได้ยังไง?

     “นี่ก็สุดๆ แล้วนะจากนี้จะเอายังไงล่ะ”

     “…..”

     “ฉันเองก็ต้องรักษาสมดุลจากเรื่องเหนือธรรมชาติที่ถูกก่อขึ้นเหมือนกันนะคนที่อยู่ในรายชื่อคนแรกแต่ต้องปล่อยมาจนเป็นคนสุดท้ายแบบนี้เนี่ยคุณฮัทสึฮารุช่วยเข้าใจหน่อยเถอะ”

     จังหวะนั้นเองฮัทสึฮารุก็หยิบเอาปากกาสารพัดนึกของตัวเองออกมาและกอดอกไม่พูดอะไร

     “คุณฮัทสึฮารุถึงฉันจะไม่ทำแต่สักวันก็คงเกิดอุบัติเหตุหรือถูกเพ่งเล็งอยู่ดีนั่นแหละ”

     “ฆ่าตัวตายซะ”

     คำพูดที่แสนเบาบางแต่เฉียบคมราวกับจะได้ยินเสียงฉึบของฮัทสึฮารุนั้นทำให้ผมหันกลับไปมองเธอทันทีทันใด

     “จะฆ่าฉันจริงๆ สินะโหดร้ายจังเลยนะแต่ฉันเป็นจุดเหนือกฎเกณฑ์นะ”

     คุณกลินดาทำสีหน้าลำบากใจ

     “เธอทำแน่”

     ขณะที่คุณกลินดากำลังแง้มกระเป๋าเพื่อจะนำสมาร์ทโฟนในมือเก็บจู่ๆ นักเรียนแต่ละคนรอบๆ สวนแห่งนี้ที่มองมาทางพวกเราด้วยความสงสัยก็ลุกขึ้นยืนจากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างเข้าไปจับที่คอตัวเองเมื่อเห็นดังนั้นทั้งคุณกลินดาทั้งผมต่างก็หน้าซีดและเข้าใจได้ทันที

     “คนอย่างคุณนี่มัน...โหดเหี้ยมที่สุด!”

     ฮัทสึฮารุสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยยังคงสีหน้าเบื่อหน่ายได้ราวกับสวมหน้ากากละครเอาไว้

     ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจโว้ย ต่อให้เอาติวเตอร์ค่าเทอมเป็นล้านมาติวก็ไม่เข้าใจเรื่องที่พวกนี้กำลังพูดกำลังทำอยู่สักนิดแต่ที่เข้าใจเป็นอันดับหนึ่งเลยตอนนี้คือต้องหยุดฮัทสึฮารุก่อนเท่านั้นเรื่องอื่นมันจะเป็นยังไงก็ช่างแล้ว

     ผมค่อยดันร่างกายที่ถูกความกลัวจากเพชรฆาตถาโถมยื่นมือไปทางฮัทสึฮารุแต่ก็พลาดสะดุดขาตัวเองล้มลงกับพื้นในเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิต

     ทันใดนั้นเสียงสัญญาณหมดคาบบ่ายที่ลืมไปแล้วจึงดังขึ้น

     พอเงยหน้าขึ้นมา ไม่มี ไม่มีแม้แต่ฮัทสึฮารุคุณกลินดาหรือแม้แต่ร่างของนักเรียนคนอื่นๆ ทั้งนั้นใบหน้าของผมกลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อแห่งความสับสน เรี่ยวแรงจะยกร่างตัวเองมันจึงหายไปด้วยเช่นกัน นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น ขาดความปะติดปะต่อกันเกินไปแล้วความเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ไม่ควรเรียกว่าปรากฏการณ์ธรรมชาติแล้ว

     “มัวทำอะไรอยู่”

     สิ่งที่หยุดความคิดของผมก่อนจะดำดิ่งเข้าสู่ความคิดด้านลบคือเสียงของอาจารย์คานิเอะ

     “รีบไปเรียนได้แล้วไป๊”

 

     ถ้าแค่คิดไปเองหรือสมองมีปัญหาคิดว่าถ้าได้พักผ่อนเดี๋ยวอาการหลอนประสาทก็คงจะหายไปเองผมคิดอย่างนั้นจึงคิดที่จะตรงดิ่งกลับบ้านไปเลย แต่ก็ถูกเพื่อนร่วมห้องรังไว้จนทำเวรเสร็จ ผมจึงเร่งฝีเท้าในระดับที่ถ้าฝึกอีกหน่อยคงได้บรรจุเป็นตัวสำรองนักกีฬาเดินเร็วไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอมทางที่ดีรีบกลับบ้านไปนอนสักงีบจะเป็นการดีกับตัวผมเองซะมากกว่า

     ผมตรงดิ่งไปยังห้องตัวเองและทิ้งร่างอันหนักอึ้งลงไปบนเตียงจนทำให้ต้องมารู้สึกผิดต่อมารดาว่าจะทำเตียงพังก็เป็นเรื่องหลังจากนั้นแต่ในตอนนี้ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าจะเป็นยังไงก็ช่าง ทั้งที่เจอเรื่องเหลือเชื่อมาหลายอย่างแต่พอมาเจอกับเรื่องสุดธรรมดา...ไม่สิเรื่องที่สมองมีปัญหาขั้นนี้คนทั่วไปเขาไม่เป็นกันหรอก กลับทำให้ตัวเองดูมีคุณค่าน้อยลงกว่าเดิม

     อะไรกัน ชมรมพัฒนาตนเองบ้างล่ะ ฮัทสึฮารุสังหารหมู่บ้างล่ะ ผมไม่มีทางคิดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาได้ทั้งที่ตื่นอยู่แน่ๆ

     ผมพยายามข่มตาให้จิตใจเข้าสู่ห้วงความฝันแต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้เพราะครูฝึกจอมโหดเอาแต่สั่งให้หลับอยู่ทุกขณะในหัวจึงกลายเป็นว่ามีความตั้งใจมากเกินไปแทน ตอนนั้นเองที่เสียงออดประตูบ้านดังขึ้นมาผมที่ทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้แต่ลังเลว่าควรจะทำยังไงดี ตำแหน่งที่ผมอยู่คือชั้นสองจึงรู้สึกขี้เกียจจะไปรับแขกฮัทสึฮารุยังไม่กลับมา คิโยไปเล่นบ้านเพื่อน แม่ก็ยังทำงานไม่กลับมาทำให้บ้านหลังนี้ถูกผมถือวิสาสะมอบสถานะไร้ผู้อยู่อาศัยให้มันในเวลานี้ไปโดยปริยาย เสียงกริ่งที่ดังออกมาเมื่อครู่ครั้งสองครั้งก่อนจึงได้หยุดลงทำให้ผมรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกได้ไปเปราะหนึ่ง

     แต่ด้วยความรู้สึกผิดต่อสังคมหรือกระไรทำให้ผมไม่สามารถนอนติดเตียงต่อได้อย่างเป็นสุขแต่ก็ปาไปเกือบๆ ชั่วโมงเห็นจะได้จึงลงมาเดินวนไปมาอยู่หน้าประตูหลายนาทีจนบานประตูถูกเปิดออก

     ที่ตรงนั้นมีฮัทสึฮารุที่ถือถุงจากร้านสะดวกซื้อสองถุงใหญ่อยู่ในมือทำให้ภาพลักษณ์ที่ผมเห็นเธอเมื่อตอนกลางวันปลิวหายไปตามตัวอักษร

     ช่างเป็นใบหน้าไร้อารมณ์ที่พรางให้คิดว่ากำลังอารมณ์เสียได้อยู่เลยกับที่ไม่ได้ไปช่วยเรื่องซื้อของทว่าผมมีข้ออ้างอยู่นะแต่ฮัทสึฮารุก็คงจะรู้อยู่แล้วว่าผมอยากจะอ้างเรื่องไหนจึงไม่มีประโยชน์ที่จะลบล้างความผิดจึงเริ่มการชวนคุยกลบเกลื่อนแทน

     “ซื้ออะไรมา”

     “พวกเครื่องเคียงเล็กๆ น้อย”

     “เครื่องเคียง? เธอจะทำอาหารเหรอ?”

     “บราวนี่”

     “นั่นมันของหวาน”

     “ข้าวต้ม”

     “ข้าวต้มเนี่ยนะทำไมถึงเป็นข้าวต้ม ...หะ เมื่อกี้เล่นมุก?”

     ก็ไม่ได้ว่าไม่ชอบหรืออะไรหรอก

     “ข้าวต้มอบอุ่นสามารถละลายน้ำแข็งในจิตใจได้เหมาะกับริน”

     ฮัทสึฮารุหยิบกระเทียมขึ้นมาให้ผมดูประกอบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนทั้งที่เพิ่งพูดเรื่องน่าอายแม้แต่คนฟังยังอยากมุดดินหนีขึ้นมา ผมไม่ได้ลำพองตัวเองขนาดที่ว่าจะเข้าไปช่วยทำข้าวเย็นได้หรอกแต่ฮัทสึฮารุตอนรวบมัดผมตอนเตรียมส่วนผสมก็ดูดีใช่เล่นเหมือนกัน จะว่าไปก็นึกขึ้นมาได้ถ้าฮัทสึฮารุเป็นกลุ่มก้อนพลังงานจะถ่ายรูปติดหรือมีเงารึเปล่านะผ่านมาได้จะเดือนหนึ่งแล้วยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับยัยนี่เท่าไหร่เลยจริงๆ

     “ถึงจะเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังงานแต่แสงก็สามาถกระทบได้ถ้าแค่เงากับรูปล่ะก็เห็นได้อยู่แล้วแต่คงให้ถ่ายรูปฉันไว้ไม่ได้หรอกขอโทษนะ”

     อะ อืม โทษทีนะ

     ธรรมดา อืม ธรรมดาจะว่าอร่อยก็อร่อยอยู่หรอก ไม่ได้แย่แต่กินแล้วมันรู้สึกธรรมดา

     “ความธรรมดานี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดไม่มากไม่น้อยเกินไป” เธอตอบกลับมาอย่างงั้นล่ะฮะ

     ขณะกำลังเพลิดเพลินความเบื่อหน่ายจากข้าวต้มเสียงเปิดประตูบ้านก็ดังขึ้นมาแต่กลับไม่มีเสียงขานรับใดๆ อาจเป็นได้ทั้งแม่ที่เหนื่อยอ่อนไม่ก็น้องสาวที่ลังเลกับระบบสังคมทว่ากลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง คำตอบของผมไม่มีข้อถูกเพราะคำตอบไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากได้และก็จะไม่คิดด้วย

     “ยกมือขึ้น!”

     ผมหันหลังไปมองที่มาของเสียงด้านหลังก็พบกับชาวต่างชาติสี่คนในเครื่องแบบคล้ายหน่วยรบในหนังถือปืนจ่อเข้าหาผมด้วยใบหน้าจริงจังและเมื่อชายคนที่อยู่หน้าสุดตะหวาดอีกครั้งผมก็มีแต่จะต้องทำตาม

     ชายอีกคนหนึ่งที่มาด้วยกันเข้ามาค้นตัวผมเพื่อจะหาอะไรบางอย่างแต่ไม่พบอะไรจึงรายงานชายคนที่กำลังเอาปืนจ่อผมและเป็นคนสั่งจึงมีคำสั่งใหม่ออกมาอีกคำสั่งหนึ่งออกมา

     “เอาตัวไป”

     มันเกิดขึ้นเร็วมากในหัวผมไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกแล้วทั้งนั้น

     “เธอด้วยยกมือขึ้นซะ!”

     ผมหันคอกลับไปด้านหน้าโต๊ะหาฮัทสึฮารุตรงตำแหน่งเมื่อครู่แต่ไม่พบจึงมองตามสายตาของชายคนนั้นไปและเห็นฮัทสึฮารุกำลังเอียงคอมองพวกผมจากโซฟาด้วยทรงผมแบบปล่อยยาวแตกต่างจากก่อนหน้านี้ด้วยหางตา

     “มาได้เท่านี้สินะ”

     สายตาที่มองมาของฮัทสึฮารุยังคงเป็นสายตาเฉยเมยไม่สนใจสิ่งใดมองมาราวกับว่าทุกอย่างมันได้จบลงแล้วตามคำที่เธอพูด ฮัทสึฮารุยืนขึ้นและเดินเข้ามาโดยไม่สนใจคำเตือนของชายคนนั้น

     “นั่นสินะจะทำลายเซ็นทรัลหรืออะไรก็ไม่ต่างกันแล้ว”

     ฮัทสึฮารุเดินเข้าไปทางหัวหน้าของกลุ่มนั้นโดยไม่แม้แต่จะยกมือขึ้นหรือมีท่าทียอมเชื่อฟัง ไกล์ปืนจึงถูกลั่นออกไปและช่วงเสียววินาทีที่เกิดเสียงปืนขึ้นฮัทสึฮารุที่ไว้ผมทรงหางม้าก็กลับมานั่งอีกฝั่งของโต๊ะอีกครั้ง

     กลับมาแล้วเหรอ?

     ผมถามกับตัวเอง

     เสียงประตูถูกเปิดดังขึ้นในจังหวะต่อมาเช่นเดียวกับเมื่อครู่ก่อนที่จะทันได้คิดอะไรทำให้ผมรีบไปหลบมุมชะเง้อมองประตูบ้านพร้อมกับเสียงสูบฉีดเลือดของหัวใจที่ถี่รัวราวกับจะทะลักออกมาเหงื่อที่เริ่มไหลรินลงมาจากศีรษะก็ตอกย้ำได้เป็นอย่างดี

     “กลับมาแล้ว หืม พี่คิริโนะกำลังคิดจะทำอะไรอีกล่ะแถมยัง...หน้าซีดเชียวถูกใครแกล้งมาอีกแล้วเหรอ?”

     น้องสาวที่โผล่ออกมาแทนชาวต่างชาติสี่คนเดินตรงมาหาผมที่เริ่มเอามือกุมขมับ

     “นี่ พี่คิริโนะไปนอนพักสักหน่อยเถอะนะสีหน้าดูไม่ดีเลย”

     ก่อนที่ผมจะเอื้อนเอ่ยวลีเด็ดกลับน้องสาวไปสติกลับค่อยๆ มืดบอดสายตาล้าลงและเกิดเวียนหัวอย่างรุนแรงอย่างกับคนเมาจึงทำให้ขาไม่สามารถรับน้ำหนักร่างตัวเองได้จนทำให้ล้มตัวลงกับพื้น ก่อนที่สติจะดับไปผมเห็นเพียงปลายเท้าของฮัทสึฮารุที่เดินมาอยู่ในวิสัยทัศน์และค่อยนั่งยองก้มลงมองผมคนเดียว

     “นอนพักสักหน่อยนะ ริน”

 

     ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยสติที่มึนงงในสภาพที่กำลังฟุบโต๊ะแข็งๆ ก่อนที่ผมจะได้เข้าใจสถานการณ์เบื้องหน้าของผมซึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า ผมจึงส่ายหัวแล้วขยี้ตาสองสามทีเพื่อปรับโฟกัสภาพ

     “คุณกลินดา”

     “เจอกันบ่อยนะ”

     เมื่อสติเริ่มเข้าที่เข้าทางผมจึงกวาดสายตามองไปรอบๆ จึงพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในร้านของมิสตีโดยมีฮัทสึฮารุนั่งอยู่หน้าเคาเตอร์บาร์กำลังดื่มอะไรบางอย่างพร้อมกับที่มาสเตอร์ชวนเธอคุยไปพราง ภายในร้านจึงมีเพียงพวกเราสี่คนเท่านั้นไม่มีใครอื่นอีกแล้ว

     คราวนี้เองก็คงเป็นภาพหลอนเหมือนกัน ผมจึงคิดจะปล่อยผ่านโดยไม่พูดไม่ทำอะไรถึงอย่างงั้นก็เถอะครั้งที่แล้วทั้งสองคนยังจะฆ่าแกงกันอยู่เลยแท้ๆ มันก็ดูเป็นหนังคนละม้วนกันเกินไป

     “อยากกินอะไรรึเปล่า?”

     คุณกรินดาหยิบเมนูขึ้นมาวางตรงหน้าผมทั้งเล่มอาหารกับเล่มของหวาน ผมจึงลังเลครู่หนึ่งแต่ก็ยื่นมือไปชี้รูปชาเขียวแบบร้อนในภาชนะดินเผาที่อยู่บนปกเล่มของหวานเพื่อเป็นมารยาทโดยไร้คำพูดใดๆ และเพื่อขยับให้น้อยที่สุดด้วยไปในตัว

     “เธอคงกำลังสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงมาอย่าที่นี่สินะ แต่ก็คงไม่เท่ากับอาการในหัวตัวเอง”

     คำพูดนั้นทำให้ม่านตาของผมเบิกโพรงขึ้นเต็มดวง

     “คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไง! เรื่องบ้าๆ นั่นมันฝีมือคุณเหรอ!”

     รู้สึกตัวอีกทีผมก็อยู่ในสภาพที่ทุบโต๊ะพร้อมกับขึ้นเสียงใส่คุณกลินดาไปแล้วให้ตายสิเกิดจากความเครียดจริงๆ

     “ใจเย็นก่อน ฉันมาพบเธอก็เพราะเรื่องนั้นที่จริงก็พยามไปหาครั้งหนึ่งแล้วเหมือนกันแต่ไม่มีคนอยู่บ้าน”

     เวลานั้นเองตุ๊กตาที่ถูกยูบาริปลุกเสกให้ลอยได้ในร้านนี้ก็นำชาเขียวร้อนมาเสิร์ฟวางบนโต๊ะให้ผมทั้งที่ยังไม่ได้เรียกขอเป็นเวลาเดียวกันที่คุณกลินดานำเอากุญแจสีทองขึ้นมายื่นให้ผม

     “นี่คือ?”

     “ฉันจะบอกรายละเอียดเธอได้ก็ต่อเมื่อสามารถนำกุญแจแบบเดียวกันนี้ที่เธอมีมาให้ฉันจะสามารถทำให้สมองของเธอกลับเป็นปกติได้”

     “ที่ว่าเป็นปกตินี่คืออาการที่เห็นโลกในแบบแปลกไปจากที่ควรเป็นนั่นไม่ได้เกิดจากอาการทางจิตอะไรสักอย่างหรอกเหรอ?”

     “จะทำรึเปล่า?”

     คุณกรินดาไม่ตอบคำถามผมและยังเร่งเร้าข้อตกลงของเธอ มันอะไรกันเนี่ย

     “เรื่องนั้นมันก็ได้อยู่หรอกครับเดิมทีก็ไม่ใช่ของๆ ผมด้วยแถมยังได้ยินมาว่าเดิมทีก็เป็นของคุณอยู่แล้ว”

     ผมหยิบชาขึ้นมาจิบพรางมองไปทางฮัทสึฮารุที่เริ่มเล่นการ์ดแบทเทิลกับมาสเตอร์ สองคนนั้นมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่นะสงสัยจัง

     “มันก็ไม่เชิงแบบนั้นสักทีเดียวหรอก อันที่จริงเพราะตอนนี้มันไม่ใช่ของฉันอีกต่อไปแล้วจำได้รึเปล่าว่าร่างจิตของเธอเคยออกมาโลดแล่นในโลกจริงน่ะ”

 

     ไม่ใช่

 

     “เพราะฉะนั้นมันจึงถูกฉันเพิ่มสูตรเวทเข้าไป จากที่ฟังมาจากคุณฮัทสึฮารุเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยพลังของเธอปนกับของฉันทำให้มันไม่เสถียรตัว…”

     ผมวางถ้วยชาที่หมดแก้วลงและยื่นกุญแจสีทองคืนเธอไป

 

     นี่ก็ไม่ใช่

 

     “ก็อยากจะคืนให้เดี๋ยวนี้เลยอยู่เหมือนกันครับแต่ที่จริงแล้วตอนนี้มันอยู่ที่น้องสาวผมถ้าจะไปเอาคงต้องไปขอมาตอนเช้า”

     ผมคลำตัวหาสมาร์ทโฟนเพื่อหวังจะนำมาเช็คเวลาแต่ก็หาไม่พบ

     “อย่างงี้นี่เองอยู่ที่น้องสาวสินะ”

     คุณกรินดาเอามือจับคางครุ่นคิดอะไรบางอย่างผมจึงก้มลงมองถ้วยชาที่ว่างเปล่ารอ

     “ใกล้ได้เวลาปิดร้านแล้วกลับกันเถอะแก้วนั้นเป็นบริการจากร้านไม่ต้องใส่ใจ”

     ฮัทสึฮารุที่เดินมาโต๊ะนี้พร้อมกับที่เจ้าไนติงเกลหรือตุ๊กตาผี เอาน่าไหนๆ ก็มีชื่อแล้วทั้งทีเรียกเขาหน่อยจะเป็นอะไรไปก็เข้ามายกแก้วชาของผมไป จะมองกี่ทีก็หลอนจริงๆ

     ผมเออออกับคำพูดของฮัทสึฮารุจึงมองกลับไปทางคุณกลินดาอีกครั้งเพื่อก้มหัวทักทายเป็นมารยาทและจึงตามฮัทสึฮารุที่เดินไปยังประตูร้านที่เปิดออก และผมก็ได้ลืมตาขึ้น

     ใช่ลืมตาขึ้น

     ทำให้ผมต้องกุมขมับอีกครั้งเมื่อตรงหน้ามีน้องสาวที่ปั้นสีหน้าแปลกใจมองผมโดยห่างเพียงช่วงแขนเดียวหน้าประตูห้องผมเอง พอๆ มาคิดดูแล้วเรื่องที่ตัวเองเริ่มชินชากับการถูกเปลี่ยนสถานที่เป็นว่าเล่นช่างเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ

     “รอยยับเสื้อขนาดนั้นคงไม่ใช่ว่าเมื่อวานหลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกนะ”

     “คิโย”

     ผมยื่นมือทั้งสองข้างเข้าไปจับไหล่ทั้งสองข้างของเธอตรงนั้นเลย

     “บอกมาหน่อยสิว่าพักนี้มีเรื่องอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับเธอบ้าง”

     “ในเมื่อมีพี่ที่แปลกหดหู่มืดมนอยู่ทั้งคนจะให้พูดเรื่องแปลกรอบตัวน้องสาวคนๆ นั้นคงพูดได้ยากแล้วล่ะว่าเรื่องไหนแปลกน่ะ”

     “ขอโทษครับ แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งจิกกัดตอนนี้เธอมีกุญแจสีขาวที่ฉันเคยให้ไปอยู่กี่ดอก?”

เธอพยักหน้ารับปนๆ กับสีหน้างงงวย นั่นทำให้ผมรู้สึกเปี่ยมด้วยความหวังขึ้นมา

 

     นายคิดเป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ?

 

     “แต่ที่จริงแล้วน่ะนะคือหนูให้มิยูกิไปแล้วเพราะ เอ่อ จริงๆ แล้วเมื่อวานหนูไปทำจานบ้านเธอแตก ก็ขอโทษและจะชดใช้ให้ด้วยอยู่แล้วนะแต่เธอไม่อยากให้ทำแบบนั้นหนูเลยทำได้แค่ให้พวงกุญแจเธอไป”

     ไม่เคยง่าย ใช่สิ ไม่เคยง่ายเลยจริงๆ แต่ว่าแค่เหตุการณ์เรื่องบังเอิญบ้านๆ แค่นั้นหยุดอิสละภาพของผมไม่ได้หรอก

     ผมจึงเมินน้องสาวและออกไปหยุดอยู่หน้าห้องของฮัทสึฮารุและเริ่มเคาะประตูห้องหลายที แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปแต่มีแค่พวกกองกระดาษกองเอาไว้จึงรีบวิ่งลงไปชั้นล่างยังห้องนั่งเล่นจนเกือบสะดุดบันไดและผมก็ได้พบเธออยู่ตรงนั้นตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะกินข้าว

     “ฮัทสึฮารุเธอเรียกคนอื่นให้มาที่นี่ได้รึเปล่า?”

 

     หลายนาทีต่อมาผมที่เริ่มใจเย็นลงหลังไปอาบน้ำมาแล้วก็ได้แต่นั่งซอยเท้าบนโซฟาพลางหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดูเวลาเป็นพักๆ ลองคิดในแง่สามัญสำนึกดูเล่นๆ นะเด็กมัธยมปลายที่กำลังรอให้เด็กที่เพิ่งจะขึ้นมอต้นมาได้ครึ่งปีมาหาที่บ้านแต่เช้าก่อนไปโรงเรียนแค่คิดก็เห็นคุกอยู่รำไรแล้ว

     ด้วยเหตุผลเพื่อความสะดวกของอีกฝ่ายด้วยฮัทสึฮารุจึงเรียกให้เธอมาตอนที่กำลังจะออกไปโรงเรียนทำให้ผมต้องรออยู่บ้านพร้อมกับฮัทสึฮารุแทน ส่วนคิโยที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยจึงร่วงหน้าไปโรงเรียนของเธอก่อนแล้วจริงๆ ฮัทสึฮารุตอนแรกก็จะทำเหมือนกันแต่ถูกผมรั้งเอาไว้ก่อน

     เสียงกริ่งประตูที่รอคอยในที่สุดก็ดังขึ้นจึงรีบรุดเด้งตัวจากโซฟาไปรับแขกที่มาเยือนทันที

     “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณพี่ชายของคิโย”

     เป็นมิยูกิที่ผมรอคอยอยู่จริงๆ เบื้องหลังเธอตรงด้านนอกรั้วบ้านมีรถสีขาวที่คุณมิทากะจอดรออยู่

     “อะ อืม มาหาใครครับ?”

     ผมพยามทำตัวให้เป็นธรรมชาติที่สุดแต่ก็รู้สึกลังเลที่จะพูดเรื่องกุญแจไปเหตุผลที่เธอมีมันก็เพราะเรื่องที่คุณน้องสาวไปทำจานเขาแตกเนี่ยสิจะขอคืนมันก็จะทำให้น้องตัวเองเสียหน้าเปล่าๆ

     “เปล่าค่ะที่มาวันนี้ฉันแค่จะเอาพวงกุญแจมาคืนให้น่ะค่ะ เห็นบอกว่าคุณพี่ชายเป็นคนให้มาด้วย”

     เธอยื่นกุญแจสีขาวแบบที่ผมกำลังต้องการมาให้ โคตรรักเลยสบายขึ้นเยอะ

     “แต่ว่าตอนนี้เธอไปโรงเรียนแล้วนะ ค่อยเอาไปให้ที่นั่นก็ได้นี่นาไม่เห็นจำเป็นต้องมาให้ถึงนี่เลย”

     ฮัทสึฮารุที่เดินออกมาจากข้างในบ้านพูดแบบนั้นออกมา

     “ไม่ค่ะหนูคิดว่าถ้าให้คนอื่นที่ไม่ใช่เธอเก็บไว้จะดีกว่าก็ไหนๆ แล้วก็มีแค่สองดอกในโลกด้วยนี่นะ”

     ผมก้มมองสิ่งที่อยู่ในมือ

     “ถ้างั้นฉันต้องไปโรงเรียนแล้วค่ะ ขอโทษที่มารบกวนแต่เช้านะคะ”

     ตอนนั้นผมจึงเอามันเก็บเข้ากระเป๋าพรางมองแผ่นหลังของเด็กสาวขึ้นรถไป

     “นี่ใช่อันที่เป็นต้นเหตุรึเปล่า?”

     ผมเอ่ยขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าฮัททสึฮารุจะรู้เรื่องกับผมรึเปล่าเพราะตั้งแต่ที่ขอให้เรียกมิยูกิมาก็ไม่ได้อธิบายอะไรไป

     “เฮ้อ ฉันจะจัดการต่อเองรินไปโรงเรียนเถอะ”

     ฮัทสึฮารุแบมือมาเหมือนเด็กซนผิวคล้ำถูกแดดเผาขอเงินไปซื้อขนมกิน เมื่อผมแน่ใจแล้วว่ารถสีขาวหายไปแล้วผมจึงหยิบออกมาให้เธอตามที่ขอ

     เมื่อฮัทสึฮารุได้กุญแจไปเธอก็จ้องมองมันเหมือนกับจะประเมินราคาและนำเก็บเอาเข้ากระเป๋าตัวเองแทน

     “ไม่ใช่ว่าจะทำลายหรอกเหรอ?”

     “ถ้าฉันใช้เวทตัวเองทำลายเดี๋ยวมันจะให้ผลลัพธ์เดิม วันนี้ฝากลาหยุดเรียนหนึ่งวันหรือถ้ายุ่งยากจะปล่อยขาดเรียนเลยก็ได้”

     ว่าเสร็จฮัทสึฮารุก็เดินไปอีกทิศหนึ่งของโรงเรียนโดยไม่หันกลับมามองผมที่เกาหลังศีรษะตัวเอง ทั้งที่เป็นเรื่องของตัวผมเองแท้ๆ แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้ยัยนั่นเองก็ช่วยผมมาหลายครั้งแล้วด้วยสิ

     ตั้งแต่ฮัทสึฮารุแยกไปก็ผ่านมาแล้วได้ครึ่งวันอาการของผมก็ยังไม่แสดงอาการขึ้นเลยสักครั้งแต่ก็ยังประมาทไม่ได้เพราะขนาดเมื่อวานตอนที่เรียนภาคเช้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดด้วย เพราะฉะนั้นการจะพิสูจน์ได้ว่าผมปลอดภัยจากอาการทางจิตแล้วนั้นคือพักเที่ยงกลางวันนี่แหละ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยรวมทั้งการติดต่ออะไรด้วย

     แต่มันก็ซวยตอนเย็นล่ะนะเมื่อขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูบ้านเข้าไปตอนนั้นเองก็เกิดเสียงเหมือนกับอะไรบางอย่างตกกระทบอย่างแรงวินาทีต่อมาจึงเกิดเสียงอีกเสียงตามมา

     “พี่อากิจู่ๆ เป็นอะไรไปน่ะ! นี่!”

     เสียงร้องของน้องสาวที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ผมต้องรีบเข้าไปยังห้องรับแขกโดยที่ยังไม่ทันจะได้ปิดประตูบ้านด้วยซ้ำทำให้ผมได้เห็นฮัทสึฮารุที่ค่อยๆ ถูกคิโยประคองขึ้นมาจากพื้น ข้างๆ กันนั้นกระเป๋านักเรียนของฮัทสึฮารุที่ตกพื้นไปพร้อมกับเธอได้มีสมุดหนังสือไหลออกมามากมายแต่สิ่งที่ผมสนใจที่สุดคือกุญแจสีขาวสองดอกถ้วนที่ออกมาพร้อมกับหนังสือเหล่านั้นมากกว่า

     แต่ตอนนี้เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน คงต้องให้คิโยแบกไหล่ด้านขวาส่วนผมก็ไปแบกไหล่อีกข้างและต้องพาตัวไปนอนบนโซฟาถึงจะไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยสุ่มสี่สุ่มห้าก็ตามแต่การที่เธอไม่ใช่มนุษย์จึงไม่มีทางกระดูกหักได้แน่

     “อย่า... อย่าเข้ามา”

     ขณะที่กำลังจะพาตัวเธอไปผมได้ยินเสียงจากริมฝีปากที่แง้มขึ้นมาด้วยเสียงสั่นราวกับเสียงลมพัดวินาทีต่อมาเธอก็ผละตัวดันผมออกไปทำให้คิโยที่ยังแบกไหล่ฮัทสึฮารุอยู่ทำสีหน้าประหลาดออกมาบางทีผมเองก็คงทำหน้าแบบเดียวกันอยู่เหมือนกัน

     จากนั้นร่างของเธอก็ทรุดลงกับพื้นด้วยอาการตัวสั่นเทาเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง

     คงไม่ใช่ว่ายัยนี่โดนผลของกุญแจแทนผมอยู่หรอกนะ แบบนั้นผมยิ่งปล่อยไว้ไม่ได้ใหญ่เลย ด้วยสัญชาติญาณทำให้ผมมองไปทางกุญแจสีขาวทั้งสองดอกบนพื้นแต่พอเท่านั้นแหละ เรี่ยวแรงของผมกลับอ่อนเพลียลงจนไม่สามารถประคองร่างกายอันหนักอึ้งนี้เอาไว้ได้ แต่ไม่ใช่แค่ผมเท่านั้นเพราะแม้แต่น้องสาวผมเองก็ล้มลงเหมือนกัน ภาพเบื้องหน้าผมเริ่มมืดบอดลงแม้แต่ม่านตาเองก็แทบจะลืมไม่ขึ้นผมจึงจำตำแหน่งของกุญแจเอาไว้โชคยังดีที่แขนยังสามารถพาลากตัวผมไปได้ถึงแม้ว่าภาพเบื้องหน้าของผมจะมืดบอดลงแล้วแต่ก็ยังพยายามคลำหากุญแจบนพื้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

     หัวใจของผมเริ่มเต้นช้าลงผมรู้สึกแบบนั้นจังหวะหัวใจเริ่มที่จะไม่คงที่เต้นช้าลงไปทุกขณะเป็นอันตรายหากปล่อยไว้แบบนี้ผมต้องตายแน่อย่างน้อยก็ต้องคว้ากุญแจมาให้ได้

     ในที่สุดผมก็คลำหาเจอแต่วินาทีต่อมากลับได้ยินเพียงเสียงกาต้มน้ำที่ดังเท่านั้นและก่อนที่สติผมจะดับไปผมได้ยินอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้วยประโยคสั้นๆ เหมือนเป็นของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

     “นั่นไง สุดท้ายก็ล้มเหลวจริงๆ ด้วยสิ”

 

 

     “ก็บอกไปแล้วนี่นาว่ามันเป็นไปไม่ได้น่ะ ที่ผมให้พลังคุณเพราะความปรารถนาที่แรงกล้านั้นจึงให้มาใช้เวลาอันมีค่าร่วมกันแท้ๆ น้า”

     ฉันมองไปหาต้นเสียงเบื้องหน้าที่ตุ๊กตาหน้าตาน่ากลัวส่งเสียงแบบนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงของเด็กหนุ่มทั้งที่ภายนอกเป็นลักษณะตุ๊กตาผู้หญิงแท้ๆ

     “ไม่รอดกันเลยน้าทั้งสองคนด้วยทีนี้จะทำยังไงต่อล่ะ?”

     ฉันยังคงนั่งหมดเรี่ยวแรงมองร่างของพวกเขาไม่ขยับไปไหน

     “อีกเดี๋ยวคุณน้าจะกลับมาแล้วนะเห็นว่างานเสร็จเร็วกว่าทุกทีเอายังไงล่ะ?”

     หลังจากฟังคำพูดของตุ๊กตาตัวนั้นแล้วฉันจึงสั่งตัวเองให้เลิกสั่นแล้วจึงค่อยพยุงร่างตัวเองขึ้นมาอีกครั้งและตรงเข้าไปหยิบกุญแจดอกหนึ่งบนพื้นขึ้นมา

     “เป็นอะไรไปล่ะ เห็นแบบนี้มากี่รอบแล้วยังกลัวอยู่อีกเหรอ?”

     ฉันทำได้เพียงแค่จ้องมองเจ้านั่นกลับไปเท่านั้นแต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งฉันก็...

     “เฮ้อ”

     ฉันถอนหายใจออกมาทีหนึ่งและเอื้อมมือเข้าไปหยิบกุญแจที่รินกุมเอาไว้อีกดอกหนึ่ง เพราะอะไรกันนะฉันถึงไม่สามารถมองเขาที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ ไม่สิฉันแค่ไม่มีความกล้าที่จะมองต่างหาก

     จากนั้นฉันจึงเดินไปยังกาน้ำที่ส่งเสียงไม่ยอมหยุดออกมาและนำมันใส่เข้าไปทั้งสองดอก

     ในตอนนั้นเองเสียงของคุณน้าจึงดังขึ้นมาพอดีทำให้ฉันไม่มีทางเลือกต้องหยิบปากกาของตัวเองขึ้นมาจากกระเป๋ากระโปง

     “ทำไมถึงเปิดประตูบ้านทิ้งเอาไว้แบบนั้นเดี๋ยวแมลงก็...”

     ก่อนที่คุณน้าจะทันได้เห็นสภาพลูกๆ ที่เป็นแบบนั้นฉันมีแต่จะต้องฆ่าเธอเท่านั้นที่ฉันทำได้ตอนนี้ไม่เหลืออีกแล้ว

     “ถ้างั้นจะไปต่อเลยรึเปล่า?”

     ฉันยืนมองสภาพที่เกิดเหตุฆาตกรรมยกครัวที่เกิดจากตัวเองโดยเมินคำพูดของเจ้านั่นและเข้าไปพยุงร่างของทั้งสามไว้บนโซฟาโดยมีสายตาของตุ๊กตาตัวนั้นจ้องมองทุกการกระทำ

     จากนั้นเจ้านั่นก็บินมาอยู่บนหัวฉันตามอำเภอใจทั้งที่ตัวเองก็ลอยได้แท้ๆ

     “ถึงจะพูดอะไรไปเธอก็ไม่สนใจอยู่แล้วสินะเพราะงั้นไปกันเหอะ”

     “อา”

     ทันใดนั้นกาต้มน้ำจึงระเบิดขึ้นด้วยแรงระเบิดที่รุนแรงจนทัศนียภาพสว่างจ้าฉันจึงหันหลังให้ภาพเหล่านั้นทำให้บริเวณโดยรอบตัวเกิดแปรปรวนราวกับมิติกำลังบิดเบี้ยวพังทลาย จึงกลับมายังสถานที่ที่จิตใจพังทลาย อุโมงค์อันยุ่งเหยิง ปลายสุดของท้องฟ้าที่มีผืนดินอีกผืนหนึ่งคว่ำกลับหัว ดินแดนของผู้โง่เขลาวัตถุต่างๆ ยึดติดกันยุ่งเหยิงไร้หลักการฟิสิกส์และเหตุผลเหมือนกับตัวฉันอีกครั้ง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา