ศพที่สอง
9.5
เขียนโดย Nixts
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.53 น.
8 บท
5 วิจารณ์
9,461 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 22.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) พ่อ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมีแต่เพียงความว่างเปล่าในจิตใจของเธอ น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกรับรู้อะไรอีกต่อไป นับตั้งแต่คำพูดของอาพิทักษ์ อัยลดายังคงนั่งอยู่เพียงลำพังบนเตียงของเธอในห้องพักผู้ป่วย ยามเช้าของวันใหม่มาถึงแล้ว แสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากบานหน้าต่างขับไล่ความมืดมิดไป หลงเหลืออยู่แต่เพียงเงาดำบางส่วนที่ยังคงซ่อนอยู่ตามซอกหลืบของอาคารที่แสงแดดส่องไม่ถึง แต่กระนั้น อัยลดากลับอยากได้ความมืดนั้นคืนกลับมา เธออยากจะนอนหลับ แล้วลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เธออยากเห็นใบหน้าของแม่และน้องสาวของเธออีกสักครั้ง
อาพิทักษ์กำชับให้อัยลดาทำใจให้สงบและนอนพักผ่อน เขาบอกว่าหมอยังไม่อนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาลจนกว่าจะแน่ใจว่าอาการของเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก่อนที่เขาจะกลับไป อาพิทักษ์สัญญากับเธอว่าจะมาเยี่ยมเธออีกครั้งในคืนนี้ เธอหันไปมองรอบห้อง เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้สังเกตดูถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว
ห้องพักของเธอเป็นเพียงห้องเล็กๆ ขนาดประมาณสามตารางเมตร มีห้องน้ำในตัว เธอรู้สึกเหมือนจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบ เตียงที่เธอนอนอยู่เป็นเตียงคนไข้ที่สามารถปรับเอียงได้ มีแอร์แบบตั้งพื้นอยู่ที่ปลายเตียง ชั้นวางแบบติดผนังตั้งอยู่ข้างๆ และโซฟาหนังสีน้ำเงินสำหรับญาติผู้ป่วย พื้นห้องปูด้วยไม้พื้นเฌอร่าสีอ่อน และเสาแขวนน้ำเกลือที่ไม่ได้ใช้งานตั้งอยู่ข้างเตียง
สำหรับโรงพยาบาลเล็กๆ ที่อยู่บนหุบเขา แม้ว่าจะไม่มีโทรทัศน์ หรือตู้เย็น ห้องคนไข้แบบนี้น่าจะเป็นห้องที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่แล้ว อัยลดาลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ แล้วเดินไปที่ห้องน้ำ นับตั้งแต่ที่เธอฟื้นมาเมื่อคืน เธอรู้สึกว่าดวงตาของเธอไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเหมือนเมื่อก่อน สายตาของเธออาจจะกระทบกระเทือนบางอย่าง แม้ว่าเธอไม่พบร่องรอยฟกช้ำอื่นใดบนร่างกายก็ตาม เธอเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้า มีหวีอันเล็กๆ ห่อด้วยพลาสติกตั้งอยู่ เธอหยิบมาแกะซองออกแล้วหวีผมของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ใบหน้าที่สะท้อนมาจากกระจกเงาดูไม่เหมือนเป็นในหน้าของเธออย่างที่เคยจำได้ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยประกายของความสดใส ตอนนี้กลับมีแต่ความหม่นหมอง ริมฝีปากที่เข้ารูปสวยงามและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอ ตอนนี้กลับเรียบเฉยและสะท้อนถึงความเศร้าที่อยู่ในใจ
...อริศ…
ใบหน้าของเธอเองที่สะท้อนในกระจกเงา ทำให้อัยลดานึกถึงน้องสาวฝาแฝด
เธอถอนหายใจแล้วหลบตาลง แกะยางมัดผมที่ใช้อยู่ออก เพื่อปล่อยผมที่ยาวเลยบ่าของเธอลงมา จากนั้นรวบมันขึ้นมาใหม่ ปิดเป็นเกลียวเพื่อที่จะมัดเป็นมวยผม หันกลับมาดูตัวเองในกระจกอีกครั้ง เธอพอใจในเงาสะท้อนของที่จ้องกลับมา อัยลดาเดินออกจากห้องน้ำ แล้วเปิดประตูห้องพักของเธอออกไป อาพิทักษ์บอกว่าพ่อของเธอพักรักษาตัวอยู่ อย่างน้อยตอนนี้ เธออยากที่จะไปหาเขา
ตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา ถึงแม้ว่าเธอจะเริ่มแข็งแรงขึ้นแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง เธอเริ่มสงสัยว่าเธออาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาจากการที่ดวงตาของเธอมองไม่ชัดเหมือนเดิมอีกต่อไป เธอรู้สึกมึนงงอยู่แทบจะตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้สมองของเธอไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน
อัยลดาเดินออกจากห้องของเธอ ภายนอกห้องเป็นทางเดินยาว มีห้องผู้ป่วยแบบเดียวกันอยู่เรียงต่อไปอีกสี่ห้องจึงจะไปสุดทางที่มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดไว้ ที่ข้างหน้าต่างมีเคาน์เตอร์ที่ไม่มีใครประจำอยู่ และถัดจากเคาน์เตอร์ตัวนั้นจึงเป็นบริเวณของห้องพยาบาล ทางเดินในโรงพยาบาลนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่กลับดูจะหนาวเย็นยิ่งกว่าภายในห้อง พื้นภายนอกในบริเวณทางเดินปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีขาว เธออยู่ที่ชั้นสองของอาคารที่เธอคาดว่าน่าจะมีประมาณสี่หรือห้าชั้น ห้องผู้ป่วยแต่ละห้องมีพรมวางอยู่หน้าห้อง และป้ายที่บอกชื่อของคนไข้และนายแพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้ติดอยู่ที่ประตู ดูเหมือนว่าทั้งสี่ห้องถัดไปจากห้องของเธอจะเป็นห้องว่างที่ไม่มีคนอยู่ เพราะว่าป้ายชื่อที่หน้าห้องเหล่านั้นมีเพียงกระดาษสีขาวที่สอดเอาไว้แทนชื่อคนไข้
อัยลดาเดินมาจนถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้า ไฟจากหลอดไฟนีออนที่ฝังอยู่บนเพดานตลอดทางเดินเปิดสว่างแม้ว่าจะเป็นในเวลากลางวัน เธอมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พบกับผู้ใด
“โรงพยาบาลนี้ทำไมเงียบจัง” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองในขณะที่ชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องพยาบาลที่อยู่ติดกับเคาน์เตอร์ ห้องพยาบาลประจำชั้นเป็นห้องกระจกที่ต่อจากขอบไม้จนสูงไปจนสุดเพดาน ภายในมีห้องที่ฝาเป็นผนังไม้ทึบอยู่อีกชั้นหนึ่งด้านใน เครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่องตั้งอยู่ที่โต้ะทำงานข้างกระจกบานเลื่อนที่เลื่อนเปิดอยู่ครึ่งทาง อัยลดาก้มหน้าลงไปที่ช่องของกระจกแล้วมองเข้าไป
“มีใครอยู่บ้างมั้ยคะ” เธอเอ่ยเรียก
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครตอบรับ เธอมองเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ดูห่างๆ ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นสมุดที่บันทึกชื่อผู้ป่วยกับหมายเลขห้องและแพทย์เจ้าของไข้ เธอหันดูรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นใคร อัยลดาตัดสินใจเดินไปลองเปิดประตูห้องพยาบาล เธอพบว่าประตูห้องไม่ได้ล็อก เธอน่าจะสามารถเข้าไปดูรายชื่อในสมุดเล่มนั้นได้เอง เพื่อที่จะหาว่าพ่อของเธอพักอยู่ที่ห้องไหน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเข้าไปข้างใน เธอก็เหลือบมองไปเห็นป้ายที่ติดอยู่หน้าห้องคนไข้ห้องถัดไปจากห้องพยาบาล บนอีกทางเดินหนึ่งที่เป็นฝั่งตรงข้ามห้องของเธอ ป้ายชื่อนั้นมีชื่อของพ่อของเธอติดอยู่
อัยลดาปิดประตูห้องพยาบาลกลับคืน แล้วเดินไปยังห้องผู้ป่วยห้องนั้น เธอเคาะประตูห้องแล้วยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นใครตอบรับหรือเปิดประตูออกมา เธอจึงเปิดประตูเข้าไป
ภายในห้อง แทบทุกอย่างถูกจัดวางตำแหน่งเหมือนกับห้องของเธอ มีโซฟาสีเดียวกันตั้งอยู่ข้างๆ เตียงผู้ป่วยที่สามารถปรับเอียงได้ อาณัติ พ่อของเธอนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง น่าประหลาดที่นอกจากสายน้ำเกลือและผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบศีรษะของเขา เหมือนกับว่าจะไม่มีร่องรอยอื่นใดที่เกิดจากการบาดเจ็บในอุบัติเหตุบนตัวของเขาอีกเลย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้การเข้ามาของอัยลดา
“พ่อ”
อัยลดาเดินเข้าไปข้างเตียง ใบหน้าของอาณัติ พ่อของเธอสงบนิ่ง เธอเอื้อมมือไปจับที่แขนของเขา “พ่อ” เธอเรียกอีกครั้งเบาๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบ อัยลดาเดินกลับไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ข้างๆ แล้วมองดูพ่อของเธอที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม
“พ่อจ๋า อาพิทักษ์บอกว่าแม่กับอริศจากเราไปแล้วนะ”
น้ำตาค่อยๆ ไหลอาบลงมาบนแก้ม มันเป็นเรื่องประหลาดที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยอยู่ในจิตใจของเธอ ไม่มีความเศร้า ไม่มีความโกรธ ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในตัวเธอ มีแต่ความว่างเปล่า และน้ำตาที่ดูเหมือนจะไหลออกมาเอง
“พ่อจ๋า พ่อตื่นมาหาอัยนะ”
เธอเลือนตัวไปเท้าขอบเตียงแล้วซบตัวลงไป มือของเธอจับมือของอาณัติเอาไว้ เธอแนบหน้าของเธอลงบนมือของเขาแล้วหลับตาลง ด้านนอกฝนเริ่มตกอีกครั้ง เสียงหยาดฝนเม็ดเล็กๆ กระทบกับบานหน้าต่าง ในห้องมีกลิ่นอ่อนๆ ของดอกกุหลาบเหมือนกับในห้องของเธอ บรรยากาศในห้องทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด อย่างไม่ทันรู้ตัว แสงสว่างยามสายของวันนั้นค่อยๆ หลีกทางให้กับความมืดที่กำลังกลับมาเยือน เมฆฝนก้อนใหญ่ก่อตัวขึ้นบดบังท้องฟ้า บรรยากาศภายนอกดูมืดสลัวราวกับเป็นช่วงเวลาเย็น ผ่านไปพักใหญ่ จนอัยลดาเกือบที่จะเคลิ้มหลับไป เธอก็ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ด้วยเสียงที่เหมือนกับคนกำลังคุยกัน ฟังดูราวกับว่าโรงพยาบาลแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่สามารถจับใจความของเสียงพึมพำเหล่านั้นได้ มันฟังราวกับว่ามาจากที่อันห่างไกล เธอลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นจากเตียง พ่อของเธอยังคงนอนหลับอยู่ที่เดิม ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกลับมา ห้องยังคงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่เปิดอยู่ แต่ด้านนอกของอาคาร บรรยากาศที่เคยสว่างไสว บัดนี้มืดครึ้มจากเมฆฝน ฝนที่เมื่อครู่พึ่งจะเริ่มตก ตอนนี้กลายเป็นพายุฝนที่ตกหนักอยู่ด้านนอก เธอได้ยินเสียงของรถยนต์วิ่งผ่านไปบนถนนหลักที่ด้านหน้าของโรงพยาบาล เสียงของล้อรถยนต์วิ่งไปด้วยความเร็ว สาดน้ำที่น่าจะเป็นแอ่งอยู่บนถนน
อัยลดาลุกแล้วเดินกลับออกไปจากห้อง เธอมั่นใจว่าเมื่อครู่เธอได้ยินเสียงเหมือนกับว่ามีคนคุยกัน แต่บัดนี้เมื่อเธอเปิดประตูเดินกลับออกมา เธอก็พบว่าบริเวณทางเดินภายนอกนั้น ก็ยังคงว่างเปล่าไม่มีผู้คนอยู่เหมือนเช่นเดิม ไฟจากหลอดนีออนบนเพดานตลอดเส้นทางเดินส่องสว่างขับไล่ความมืด เธอหันไปมองรอบตัวอีกครั้ง นอกเสียจากฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ภายนอก ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป อัยลดาเดินออกจากห้องของอาณัติ เธอปิดประตูห้องแล้วเดินกลับไปยังห้องพยาบาลที่ปลายสุดของทางเดิน
เหมือนเช่นเดิมที่ในห้องพยาบาลไม่มีใครอยู่ในนั้น
… มีอะไรบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับที่นี่ …
อัยลดาคิดขึ้นในใจ เธอนึกถึงอริศน้องสาวของเธอ ถ้าอริศอยู่ตรงนี้คงจะดี เธอมั่นใจว่าอริศน่าจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอได้ อัยลดาพยายามความคุมความคิดของเธอให้สงบลง อยู่ดีๆ เธอก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายของเธอรู้สึกราวกับว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้น อัยลดาพยายามตั้งสมาธิ สะกดจิตใจตัวเองไม่ให้เสียขวัญ แล้วค่อยๆ ประคองตัวกลับไปยังทางเดินอีกฟากหนึ่งที่เป็นทางไปยังห้องของเธอ
ภายนอกฝนที่ตกหนักไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะ จนในที่สุดเธอก็เดินมาจนถึงหน้าห้อง ในขณะเดียวกันกับที่อัยลดาเอื่อมมือเปิดประตูเพื่อที่จะเข้าไป ประตูห้องคนไข้ถัดไปสองห้องที่เธอพึ่งเดินผ่านมาก็เปิดออก ด้วยความตกใจ อัยลดารีบหันไปมองตามเสียงในทันที แต่เท่าที่เธอเห็น ก็เป็นเพียงหญิงชราคนหนึ่ง ที่กำลังค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง เมื่อความตกใจจางหายไป ใจหนึ่งเธออยากที่จะเดินกลับไปช่วยประคองหญิงชราผู้นั้น เพียงแต่ว่าตัวเธอในตอนนี้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากขึ้นทุกขณะ เธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเธอจะเบาราวกับเป็นอากาศ อาการปวดศีรษะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อัยลดาตัดสินใจหันกลับเข้าไปในห้องของตัวเองแทน
ในช่วงเวลานั้น ก่อนที่เธอจะดึงประตูห้องปิด อัยลดาเหลือบตากลับไปมองทางเดินนอกห้องอีกครั้ง แล้วเธอก็พบว่า หญิงชราคนนั้นหายตัวไปเสียแล้ว
อัยลดาเปิดประตูห้องของเธอออกไปใหม่ แล้วรีบเดินออกไปที่ทางเดินด้านนอกทันที จากจุดที่อัยลดาเพึ่งเห็นหญิงชราคนนั้นเปิดประตูออกมา เป็นระยะห่างไปจากหัวมุมทางเดิน ที่จะเลี้ยวไปยังห้องพยาบาลประมาณสิบเมตร ไม่มีทางที่เพียงแค่พริบตาเดียว หญิงชราคนนั้นจะเดินหายไปได้
เธอรู้สึกว่าหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ เธอปิดประตูแล้วกลับเข้าไปในห้อง เดินไปนั่งลงบนเตียง ...นี้สมองของเธอกระทบกระเทือนจนเห็นภาพหลอนหรืออย่างไร... นอกจากนั้นสายตาของเธอก็ยังคงไม่กลับมาเป็นปรกติ ภาพต่างๆ รอบตัวยังคงพร่าเบลอเหมือนกับว่ามองผ่านแว่นสายตา
อัยลดาเอนตัวลงนอนบนเตียง
...มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ปรกติ...
...หรืออาจจะเป็นตัวเธอเองที่ไม่ปรกติ? ...
นอนนิ่งอยู่พักหนึ่งเพื่อทำใจให้สงบขึ้น เธอสังเกตเห็นว่าในช่วงเวลาที่เธอออกไปจากห้อง มีใครบางคนเอาดอกกุหลาบมาใส่ไว้ในแจกันให้เธอ และถึงแม้ว่าดอกกุหลาบที่ใส่ไว้จะเป็นดอกกุหลาบที่เหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ด้วยความอ่อนเพลีย ไม่นานนัก เธอก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม เธออยากเห็นใบหน้าของแม่และน้องสาวของเธออีกสักครั้ง
อาพิทักษ์กำชับให้อัยลดาทำใจให้สงบและนอนพักผ่อน เขาบอกว่าหมอยังไม่อนุญาตให้เธอออกจากโรงพยาบาลจนกว่าจะแน่ใจว่าอาการของเธอไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก่อนที่เขาจะกลับไป อาพิทักษ์สัญญากับเธอว่าจะมาเยี่ยมเธออีกครั้งในคืนนี้ เธอหันไปมองรอบห้อง เป็นครั้งแรกที่เธอมีโอกาสได้สังเกตดูถึงสิ่งต่างๆ รอบตัว
ห้องพักของเธอเป็นเพียงห้องเล็กๆ ขนาดประมาณสามตารางเมตร มีห้องน้ำในตัว เธอรู้สึกเหมือนจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกกุหลาบ เตียงที่เธอนอนอยู่เป็นเตียงคนไข้ที่สามารถปรับเอียงได้ มีแอร์แบบตั้งพื้นอยู่ที่ปลายเตียง ชั้นวางแบบติดผนังตั้งอยู่ข้างๆ และโซฟาหนังสีน้ำเงินสำหรับญาติผู้ป่วย พื้นห้องปูด้วยไม้พื้นเฌอร่าสีอ่อน และเสาแขวนน้ำเกลือที่ไม่ได้ใช้งานตั้งอยู่ข้างเตียง
สำหรับโรงพยาบาลเล็กๆ ที่อยู่บนหุบเขา แม้ว่าจะไม่มีโทรทัศน์ หรือตู้เย็น ห้องคนไข้แบบนี้น่าจะเป็นห้องที่ดีที่สุดเท่าที่มีอยู่แล้ว อัยลดาลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ แล้วเดินไปที่ห้องน้ำ นับตั้งแต่ที่เธอฟื้นมาเมื่อคืน เธอรู้สึกว่าดวงตาของเธอไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเหมือนเมื่อก่อน สายตาของเธออาจจะกระทบกระเทือนบางอย่าง แม้ว่าเธอไม่พบร่องรอยฟกช้ำอื่นใดบนร่างกายก็ตาม เธอเปิดก๊อกน้ำเพื่อล้างหน้า มีหวีอันเล็กๆ ห่อด้วยพลาสติกตั้งอยู่ เธอหยิบมาแกะซองออกแล้วหวีผมของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ใบหน้าที่สะท้อนมาจากกระจกเงาดูไม่เหมือนเป็นในหน้าของเธออย่างที่เคยจำได้ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยประกายของความสดใส ตอนนี้กลับมีแต่ความหม่นหมอง ริมฝีปากที่เข้ารูปสวยงามและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอ ตอนนี้กลับเรียบเฉยและสะท้อนถึงความเศร้าที่อยู่ในใจ
...อริศ…
ใบหน้าของเธอเองที่สะท้อนในกระจกเงา ทำให้อัยลดานึกถึงน้องสาวฝาแฝด
เธอถอนหายใจแล้วหลบตาลง แกะยางมัดผมที่ใช้อยู่ออก เพื่อปล่อยผมที่ยาวเลยบ่าของเธอลงมา จากนั้นรวบมันขึ้นมาใหม่ ปิดเป็นเกลียวเพื่อที่จะมัดเป็นมวยผม หันกลับมาดูตัวเองในกระจกอีกครั้ง เธอพอใจในเงาสะท้อนของที่จ้องกลับมา อัยลดาเดินออกจากห้องน้ำ แล้วเปิดประตูห้องพักของเธอออกไป อาพิทักษ์บอกว่าพ่อของเธอพักรักษาตัวอยู่ อย่างน้อยตอนนี้ เธออยากที่จะไปหาเขา
ตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา ถึงแม้ว่าเธอจะเริ่มแข็งแรงขึ้นแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกอ่อนเพลียอยู่บ้าง เธอเริ่มสงสัยว่าเธออาจจะมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาจากการที่ดวงตาของเธอมองไม่ชัดเหมือนเดิมอีกต่อไป เธอรู้สึกมึนงงอยู่แทบจะตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้สมองของเธอไม่สามารถคิดอะไรได้อย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อก่อน
อัยลดาเดินออกจากห้องของเธอ ภายนอกห้องเป็นทางเดินยาว มีห้องผู้ป่วยแบบเดียวกันอยู่เรียงต่อไปอีกสี่ห้องจึงจะไปสุดทางที่มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดไว้ ที่ข้างหน้าต่างมีเคาน์เตอร์ที่ไม่มีใครประจำอยู่ และถัดจากเคาน์เตอร์ตัวนั้นจึงเป็นบริเวณของห้องพยาบาล ทางเดินในโรงพยาบาลนี้ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่กลับดูจะหนาวเย็นยิ่งกว่าภายในห้อง พื้นภายนอกในบริเวณทางเดินปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนสีขาว เธออยู่ที่ชั้นสองของอาคารที่เธอคาดว่าน่าจะมีประมาณสี่หรือห้าชั้น ห้องผู้ป่วยแต่ละห้องมีพรมวางอยู่หน้าห้อง และป้ายที่บอกชื่อของคนไข้และนายแพทย์ผู้เป็นเจ้าของไข้ติดอยู่ที่ประตู ดูเหมือนว่าทั้งสี่ห้องถัดไปจากห้องของเธอจะเป็นห้องว่างที่ไม่มีคนอยู่ เพราะว่าป้ายชื่อที่หน้าห้องเหล่านั้นมีเพียงกระดาษสีขาวที่สอดเอาไว้แทนชื่อคนไข้
อัยลดาเดินมาจนถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้า ไฟจากหลอดไฟนีออนที่ฝังอยู่บนเพดานตลอดทางเดินเปิดสว่างแม้ว่าจะเป็นในเวลากลางวัน เธอมองไปรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครอยู่บ้าง แต่ก็ไม่พบกับผู้ใด
“โรงพยาบาลนี้ทำไมเงียบจัง” เธอบ่นพึมพำกับตัวเองในขณะที่ชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องพยาบาลที่อยู่ติดกับเคาน์เตอร์ ห้องพยาบาลประจำชั้นเป็นห้องกระจกที่ต่อจากขอบไม้จนสูงไปจนสุดเพดาน ภายในมีห้องที่ฝาเป็นผนังไม้ทึบอยู่อีกชั้นหนึ่งด้านใน เครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่องตั้งอยู่ที่โต้ะทำงานข้างกระจกบานเลื่อนที่เลื่อนเปิดอยู่ครึ่งทาง อัยลดาก้มหน้าลงไปที่ช่องของกระจกแล้วมองเข้าไป
“มีใครอยู่บ้างมั้ยคะ” เธอเอ่ยเรียก
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครตอบรับ เธอมองเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ดูห่างๆ ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นสมุดที่บันทึกชื่อผู้ป่วยกับหมายเลขห้องและแพทย์เจ้าของไข้ เธอหันดูรอบตัวแต่ก็ไม่เห็นใคร อัยลดาตัดสินใจเดินไปลองเปิดประตูห้องพยาบาล เธอพบว่าประตูห้องไม่ได้ล็อก เธอน่าจะสามารถเข้าไปดูรายชื่อในสมุดเล่มนั้นได้เอง เพื่อที่จะหาว่าพ่อของเธอพักอยู่ที่ห้องไหน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเข้าไปข้างใน เธอก็เหลือบมองไปเห็นป้ายที่ติดอยู่หน้าห้องคนไข้ห้องถัดไปจากห้องพยาบาล บนอีกทางเดินหนึ่งที่เป็นฝั่งตรงข้ามห้องของเธอ ป้ายชื่อนั้นมีชื่อของพ่อของเธอติดอยู่
อัยลดาปิดประตูห้องพยาบาลกลับคืน แล้วเดินไปยังห้องผู้ป่วยห้องนั้น เธอเคาะประตูห้องแล้วยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อไม่เห็นใครตอบรับหรือเปิดประตูออกมา เธอจึงเปิดประตูเข้าไป
ภายในห้อง แทบทุกอย่างถูกจัดวางตำแหน่งเหมือนกับห้องของเธอ มีโซฟาสีเดียวกันตั้งอยู่ข้างๆ เตียงผู้ป่วยที่สามารถปรับเอียงได้ อาณัติ พ่อของเธอนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง น่าประหลาดที่นอกจากสายน้ำเกลือและผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบศีรษะของเขา เหมือนกับว่าจะไม่มีร่องรอยอื่นใดที่เกิดจากการบาดเจ็บในอุบัติเหตุบนตัวของเขาอีกเลย แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับรู้การเข้ามาของอัยลดา
“พ่อ”
อัยลดาเดินเข้าไปข้างเตียง ใบหน้าของอาณัติ พ่อของเธอสงบนิ่ง เธอเอื้อมมือไปจับที่แขนของเขา “พ่อ” เธอเรียกอีกครั้งเบาๆ แต่เขาก็ไม่ได้ตอบ อัยลดาเดินกลับไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ข้างๆ แล้วมองดูพ่อของเธอที่ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่เหมือนเดิม
“พ่อจ๋า อาพิทักษ์บอกว่าแม่กับอริศจากเราไปแล้วนะ”
น้ำตาค่อยๆ ไหลอาบลงมาบนแก้ม มันเป็นเรื่องประหลาดที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยอยู่ในจิตใจของเธอ ไม่มีความเศร้า ไม่มีความโกรธ ไม่มีอารมณ์ใดๆ ในตัวเธอ มีแต่ความว่างเปล่า และน้ำตาที่ดูเหมือนจะไหลออกมาเอง
“พ่อจ๋า พ่อตื่นมาหาอัยนะ”
เธอเลือนตัวไปเท้าขอบเตียงแล้วซบตัวลงไป มือของเธอจับมือของอาณัติเอาไว้ เธอแนบหน้าของเธอลงบนมือของเขาแล้วหลับตาลง ด้านนอกฝนเริ่มตกอีกครั้ง เสียงหยาดฝนเม็ดเล็กๆ กระทบกับบานหน้าต่าง ในห้องมีกลิ่นอ่อนๆ ของดอกกุหลาบเหมือนกับในห้องของเธอ บรรยากาศในห้องทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด อย่างไม่ทันรู้ตัว แสงสว่างยามสายของวันนั้นค่อยๆ หลีกทางให้กับความมืดที่กำลังกลับมาเยือน เมฆฝนก้อนใหญ่ก่อตัวขึ้นบดบังท้องฟ้า บรรยากาศภายนอกดูมืดสลัวราวกับเป็นช่วงเวลาเย็น ผ่านไปพักใหญ่ จนอัยลดาเกือบที่จะเคลิ้มหลับไป เธอก็ตื่นขึ้นมาจากภวังค์ด้วยเสียงที่เหมือนกับคนกำลังคุยกัน ฟังดูราวกับว่าโรงพยาบาลแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้งหนึ่ง เธอไม่สามารถจับใจความของเสียงพึมพำเหล่านั้นได้ มันฟังราวกับว่ามาจากที่อันห่างไกล เธอลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นจากเตียง พ่อของเธอยังคงนอนหลับอยู่ที่เดิม ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นกลับมา ห้องยังคงสว่างจากหลอดไฟนีออนที่เปิดอยู่ แต่ด้านนอกของอาคาร บรรยากาศที่เคยสว่างไสว บัดนี้มืดครึ้มจากเมฆฝน ฝนที่เมื่อครู่พึ่งจะเริ่มตก ตอนนี้กลายเป็นพายุฝนที่ตกหนักอยู่ด้านนอก เธอได้ยินเสียงของรถยนต์วิ่งผ่านไปบนถนนหลักที่ด้านหน้าของโรงพยาบาล เสียงของล้อรถยนต์วิ่งไปด้วยความเร็ว สาดน้ำที่น่าจะเป็นแอ่งอยู่บนถนน
อัยลดาลุกแล้วเดินกลับออกไปจากห้อง เธอมั่นใจว่าเมื่อครู่เธอได้ยินเสียงเหมือนกับว่ามีคนคุยกัน แต่บัดนี้เมื่อเธอเปิดประตูเดินกลับออกมา เธอก็พบว่าบริเวณทางเดินภายนอกนั้น ก็ยังคงว่างเปล่าไม่มีผู้คนอยู่เหมือนเช่นเดิม ไฟจากหลอดนีออนบนเพดานตลอดเส้นทางเดินส่องสว่างขับไล่ความมืด เธอหันไปมองรอบตัวอีกครั้ง นอกเสียจากฝนที่ตกกระหน่ำอยู่ภายนอก ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป อัยลดาเดินออกจากห้องของอาณัติ เธอปิดประตูห้องแล้วเดินกลับไปยังห้องพยาบาลที่ปลายสุดของทางเดิน
เหมือนเช่นเดิมที่ในห้องพยาบาลไม่มีใครอยู่ในนั้น
… มีอะไรบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับที่นี่ …
อัยลดาคิดขึ้นในใจ เธอนึกถึงอริศน้องสาวของเธอ ถ้าอริศอยู่ตรงนี้คงจะดี เธอมั่นใจว่าอริศน่าจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอได้ อัยลดาพยายามความคุมความคิดของเธอให้สงบลง อยู่ดีๆ เธอก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาอีกครั้ง ร่างกายของเธอรู้สึกราวกับว่าจะไม่มีเรี่ยวแรง หัวใจของเธอเต้นรัวขึ้น อัยลดาพยายามตั้งสมาธิ สะกดจิตใจตัวเองไม่ให้เสียขวัญ แล้วค่อยๆ ประคองตัวกลับไปยังทางเดินอีกฟากหนึ่งที่เป็นทางไปยังห้องของเธอ
ภายนอกฝนที่ตกหนักไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะ จนในที่สุดเธอก็เดินมาจนถึงหน้าห้อง ในขณะเดียวกันกับที่อัยลดาเอื่อมมือเปิดประตูเพื่อที่จะเข้าไป ประตูห้องคนไข้ถัดไปสองห้องที่เธอพึ่งเดินผ่านมาก็เปิดออก ด้วยความตกใจ อัยลดารีบหันไปมองตามเสียงในทันที แต่เท่าที่เธอเห็น ก็เป็นเพียงหญิงชราคนหนึ่ง ที่กำลังค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง เมื่อความตกใจจางหายไป ใจหนึ่งเธออยากที่จะเดินกลับไปช่วยประคองหญิงชราผู้นั้น เพียงแต่ว่าตัวเธอในตอนนี้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงมากขึ้นทุกขณะ เธอรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเธอจะเบาราวกับเป็นอากาศ อาการปวดศีรษะรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อัยลดาตัดสินใจหันกลับเข้าไปในห้องของตัวเองแทน
ในช่วงเวลานั้น ก่อนที่เธอจะดึงประตูห้องปิด อัยลดาเหลือบตากลับไปมองทางเดินนอกห้องอีกครั้ง แล้วเธอก็พบว่า หญิงชราคนนั้นหายตัวไปเสียแล้ว
อัยลดาเปิดประตูห้องของเธอออกไปใหม่ แล้วรีบเดินออกไปที่ทางเดินด้านนอกทันที จากจุดที่อัยลดาเพึ่งเห็นหญิงชราคนนั้นเปิดประตูออกมา เป็นระยะห่างไปจากหัวมุมทางเดิน ที่จะเลี้ยวไปยังห้องพยาบาลประมาณสิบเมตร ไม่มีทางที่เพียงแค่พริบตาเดียว หญิงชราคนนั้นจะเดินหายไปได้
เธอรู้สึกว่าหัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นอย่างไม่เป็นจังหวะ เธอปิดประตูแล้วกลับเข้าไปในห้อง เดินไปนั่งลงบนเตียง ...นี้สมองของเธอกระทบกระเทือนจนเห็นภาพหลอนหรืออย่างไร... นอกจากนั้นสายตาของเธอก็ยังคงไม่กลับมาเป็นปรกติ ภาพต่างๆ รอบตัวยังคงพร่าเบลอเหมือนกับว่ามองผ่านแว่นสายตา
อัยลดาเอนตัวลงนอนบนเตียง
...มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ปรกติ...
...หรืออาจจะเป็นตัวเธอเองที่ไม่ปรกติ? ...
นอนนิ่งอยู่พักหนึ่งเพื่อทำใจให้สงบขึ้น เธอสังเกตเห็นว่าในช่วงเวลาที่เธอออกไปจากห้อง มีใครบางคนเอาดอกกุหลาบมาใส่ไว้ในแจกันให้เธอ และถึงแม้ว่าดอกกุหลาบที่ใส่ไว้จะเป็นดอกกุหลาบที่เหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว แต่กลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
ด้วยความอ่อนเพลีย ไม่นานนัก เธอก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ