ศพที่สอง
เขียนโดย Nixts
วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 16.53 น.
แก้ไขเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 22.36 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ที่เหลืออยุ่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความนอกจากความมืดแล้ว ก็มีเพียงเสียงหยดน้ำ ที่หยดลงมาจากกันสาดแล้วตกกระทบกับพื้นซีเมนต์ด้านล่างอย่างเป็นจังหวะ ถัดจากนั้น ก็เป็นเสียงของล้อเล็กๆ ที่เลือนไปมาบนพื้นกระเบื้อง มันฟังดูเหมือนกับเป็นเสียงของรถเข็น หรืออุปกรณ์อะไรบางอย่าง
จากนั้นอึกใจหนึ่ง ก็เป็นเสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินไปมา ชั่วครู่หนึ่งที่ดูเหมือนกับจะอยู่ไกล้กับตัวเธอ แต่ที่ในที่สุดเสียงนั้นก็ค่อยๆจางหายไป
ความเงียบกลับมาในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่จะมีเสียงพึมพำอย่างแผ่วเบา มันฟังดูราวกับห่างไกลออกไป คล้ายกับเสียงที่ถูกกั้นด้วยกำแพงหรือผนังทึบ ได้ยินเป็นเพียงแค่เสียงอื้ออึงเบาๆ แล้วก็จางหายไปอีกเช่นกัน
แต่ทั้งหมดไม่ได้มีความหมายอะไร เมื่อเทียบกับความสงบสุขในห้วงเวลานั้น มันเป็นความสงบสุขที่ทำให้เธอไม่ต้องการจะรับรู้เรื่องราวอะไรอีกต่อไป เธอกำลังนอนอยู่บนเตียงเล็กๆ ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ห้องหนึ่ง ที่นอนของเธอถึงแม้ค่อนข้างแข็ง แต่ก็นอนสบาย อัยลดาพลิกตัวแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมากอดไว้ เธอไม่อยากลืมตาขึ้นเลย หลังจากเหตุการณ์ที่น่ากลัวนั้น.. เหตุการณ์นั้น..
ด้วยความตกใจ อัยลดาลุกขึ้นนั่งอย่าฉับพลันทันใด ความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับคืนมา รถยนต์ของพวกเธอเสียหลักแล้วพลิกตกจากขอบถนน! เธอมองไปโดยรอบเพื่อดูว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แคบๆ อยู่ที่ชั้นสูงของอาคารคอนกรีตแห่งหนึ่ง มีหน้าต่างสองบานทางด้านขวาของเตียง ด้านนอกหน้าต่าง ฝนที่เคยตกหนักก่อนหน้านี้หยุดลงไปแล้ว แต่กระนั้น ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเวลากลางคืนอยู่ ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ แต่แสงสว่างจากหลอดไฟ ของอาคารภายนอกก็ส่องลอดเข้ามาพอให้เห็นสภาพภายในห้องได้รางๆ ความทรงจำของเธอเริ่มย้อนคืนกลับมา ป้ายของโรงพยาบาลที่เป็นหลอดนีออนสีเขียวกระพริบ เห็นได้จากทางหน้าต่าง เธอจำสถานที่แห่งนี้ได้ มันคือโรงพยาบาลที่พวกเธอขับรถผ่านมาก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ แล้วอริศ พ่อ แม่ อาพิทักษ์ น้องพล ความตื่นตระหนกเข้ามาครอบงำเธออย่างฉับพลันทันใด เธอพยายามลุกขึ้น แต่สายตาก็เริ่มพร่ามัวในทันที ทุกอย่างรอบตัวหมุนไปมาราวกับเธอกำลังนั่งอยู่บนม้าหมุน อัยลดาทรุดตัวกลับลงบนเตียง ลมหายใจถี่กระชั้นด้วยความหวาดกลัว
“พ่อค่ะ! แม่ค่ะ! ”
“อริศ! ”
“มีใครอยู่บ้าง”
เธอพยายามที่จะลุกขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่ในคราวนี้กลับยิ่งเลวร้ายมากกว่าครั้งก่อน ทุกอย่างรอบตัวเธอหมุนคว้างจนกระทั่งกลายเป็นเพียงภาพเบลอ อัยลดาทรุดตัวลงกับเตียง เธอนอนลงพยายามตั้งสติและรวบรวมกำลังใจเพื่อที่จะลุกขึ้น หลับตาเพื่อหวังให้โลกที่กำลังหมุนรอบตัวเธอจะหยุด แต่กลับแทนที่ด้วยอาการคลื่นไส้ที่ก่อตัวขึ้นอย่างฉับพลันทันใด เธอกลั้นสำลัก พยายามไม่ให้อาเจียนออกมาจนร่างกายของเธอสั่นสะท้าน แม้ว่าอากาศในขณะนี้จะเย็นยะเยือก แต่เธอก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่อาบร่างจนชื้น เสียงต่างๆ เงียบไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเสียงหอบหายใจของเธอที่ดังถี่กระชั้น เธอพยายามที่จะความคุมตัวเองให้ผ่อนคลายลงให้มากที่สุด อาการคลื่นไส้เริ่มหายไปและโลกที่หมุนคว้างอยู่เมื่อครู่ค่อยกลับมาหยุดนิ่งอีกครั้ง เธอนอนนิ่งอยู่อีกหลายอึกใจ ก่อนที่จะพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้น
อัยลดาค่อยๆ ปัดผ้าห่มออกจากตัว เธอลุกขึ้นจากเตียง สายตาของเธอเคยปรกติดีแต่ตอนนี้ทุกอย่างพร่ามัวราวกับว่ากำลังมองผ่านแว่นสายตา เธอลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ แล้วค่อยๆเดินไปที่ประตูห้อง
“พ่อ! แม่! ”
เธอตะโกนแต่เสียงที่ออกมาฟังราวกับเป็นเพียงเสียงกระซิบอันแหบพร่า
“อริศ”
อัยลดาเดินไปจนถึงประตู เธอหมุนลูกบิดแล้วเปิดประตูออก แต่แล้วทุกอย่างรอบตัวเธอก็หมุนคว้างขึ้นใหม่ สิ่งต่างๆ กลายเป็นเพียงภาพอันเลือนลาง อากาศดูเบาบาง เธอรู้สึกว่าตนเองกำลังจะหายใจไม่ออก อัยลดาทรุดตัวลงกับพื้น ในที่สุดเธอก็หมดสติไป
***
“เราทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้วครับ ตอนนี้คงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจไว้ก่อน”
เธอกะพริบตาแล้วพยายามที่จะลืมตาขึ้น ประตูห้องเปิดค้างเอาไว้ และดูเหมือนกับว่ามีคนกำลังคุยกันอยู่ที่หน้าประตู ในตอนนี้เปลือกตาของเธอหนักมากราวกับว่ามีใครมาดึงมันเอาไว้
“เราไม่สามารถสามารถเคลื่อนย้ายคนไข้ แล้วก็คงต้องรอให้คนไข้พื้นขึ้นมาเอง ถึงแม้ว่าจะมีการกระทบกระเทือนรุนแรงที่ศีรษะ แต่ก็พอจะมีโอกาสที่คนไข้จะพื้นกลับมาได้”
การรับรู้ของเธอขาดหายไปเป็นช่วงๆ ราวกับเธอเป็นโทรทัศน์ที่รับคลื่นสัญญาณไม่ได้ อัยลดาพยายามที่จะยกตัวขึ้นมาดูว่าใครที่ยืนคุยกันอยู่หน้าห้อง แต่เธอไม่สามารถขยับร่างกาย หรือแม้แต่ลืมตาขึ้นมามอง เธอพยายามฟังเสียง แต่เสียงที่เธอได้ยินก็กระทอนกระแทนและสะท้อนก้องราวกับเป็นเสียงที่ดังมาจากท่อระบายน้ำหรือลำโพงวิทยุ AM สมัยเก่า
“คงต้องขอให้ทำใจเผื่อไว้บ้างนะครับ ถึงแม้ว่าจะมีโอกาส แต่ถ้าภายในสองสามวันคนไข้ยังไม่ฟื้น คนไข้ก็อาจจะไม่พื้นอีกเลย”
... เขาเป็นหมอ?
หมอกำลังพูดถึงใคร? อัยลดาภาวนาว่าไม่ใช้ พ่อ แม่ น้องสาว หรืออาและน้องชายของเธอ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงความหวังริบหรี่ โรงพยาบาลแห่งนี้คงไม่ได้มีคนไข้ฉุกเฉินมากนักในคืนเดียวกัน
แต่ยังไงก็ตาม ตอนนี้เธอรู้สึกเหนือยเหลือเกิน อัยลดาถอดใจจากความพยายามที่จะลุกขึ้น เธอยอมรับความเงียบสงบที่อยู่รอบตัว แล้วปล่อยให้ตนเองเข้าสู่การพักผ่อน ก่อนที่จะหลับไป
***
เธอรู้สึกตัวอีกครั้งในยามเช้าที่ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้น แสงสว่างสลัวเริ่มปรากฏที่ขอบฟ้าและสาดลอดเข้ามาจากหน้าต่างห้องพอให้เธอได้เห็นสิ่งต่างๆ ได้รำไร เธอทรงตัวลุกขึ้นจากเตียง มีใครบางคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ เตียงเธอ เขาเอื้อมมือมาจับแขนและช่วยพยุงให้เธอลุกขึ้นนั่ง
“รู้สึกเป็นยังไงบ้างอัย”
“อาพิทักษ์” น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวที่สั่งสมอยู่บีบคั้นเธอมาตลอดตั้งแต่เมื่อคืน และในตอนนี้ เมื่อมีอาพิทักษ์มาอยู่ข้างๆ ทุกอย่างดูกลับมามีความหวังอีกครั้ง
พิทักษ์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงของอัยลดา เขาไม่ได้แต่งตัวในชุดเดิมเหมือนกับตอนที่เดินทางมา แต่อยู่ในชุดของคนไข้โรงพยาบาลคล้ายกันกับเธอ อาพิทักษ์เป็นคนที่จัดว่าหน้าตาดีมากคนหนึ่ง และถึงแม้ว่าเขาจะอายุจวนขึ้นเลขสี่แล้ว แต่ผิวพรรณที่ดีและโครงหน้าที่คมสันทำให้ปกติเขาดูราวกับจะมีอายุน้อยกว่าวัยที่แท้จริง แต่ในตอนนี้อัยลดาพบว่าอาของเธอไม่ได้ดูหนุ่มกว่าวัยเหมือนปรกติอีกต่อไป ถึงแม้ว่าเขาจะกำลังยิ้มให้เธอ แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาที่แดงก่ำและขอบตาที่ดำคล้ำเหมือนกับคนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
“อัยไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ … อาพิทักษ์.. พ่อ กับ แม่ อยู่ไหนคะ แล้วอริศกับพล ทุกคนเป็นยังไงบ้าง” เธอพูดขณะที่พยายามจะลุกขึ้นแต่อาพิทักษ์ก็รั้งตัวเธอเอาไว้ให้กลับลงนอน
“นอนพักก่อนเถอะอัย เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง”
“ไม่นะคะ อาพิทักษ์ อัยไม่เป็นอะไรแล้ว” เธอฝืนตัวลุกขึ้น ถึงแม้ว่าสายตาของเธอจะดูพร่ามัว แต่เธอก็ไม่มีอาการคลื่นไส้หรือเวียนหัวเหมือนเมื่อคืน
“อัยอยากไปหาพ่อกับแม่ พ่อกับแม่อยู่ไหนคะ แล้วอริศอยู่ไหน”
เธอหันไปมองอาพิทักษ์ แต่เขาก็นิ่งเงียบไป ความเงียบนั้นเหมือนเป็นคำตอบของบางอย่างที่เธอไม่ต้องการจะรับฟัง
“พี่อาณัติตอนนี้ยังนอนพักรักษาตัวอยู่ ยังไม่พื้น” พิทักษ์ตอบ
... พ่อ พ่อยังไม่ฟื้น พ่อเป็นอะไร?...
“แล้วพ่อเป็นยังไงบ้าง อาพิทักษ์ หมอบอกว่าเป็นยังไงบ้าง” อัยลดาถามขึ้นอย่างร้อนรน
“หมอบอกว่าอาการไม่ค่อยจะดี แต่ก็ต้องรอดูไปก่อน” อาพิทักษ์ตอบ
ริมฝีปากของเธอเริ่มสั่นระริก น้ำตาเริ่มไหลออกมาอีกครั้งอย่างไม่รู้ตัว
“แล้วแม่กับอริศละอาพิทักษ์” เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
พิทักษ์หันหน้าหลบแล้วเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ในตอนนี้แสงอาทิตย์ยามเช้าเริ่มที่จะส่องสว่างมากขึ้นทุกขณะ ห้องทั้งห้องอาบไปด้วยแสงสีทองแต่สำหรับอัยลดาแล้วมันดูไม่ใช้สีทองแต่เป็นสีเลือดอันแดงฉาน
“อาพิทักษ์... แม่กับอริศอยู่ไหน แล้วพลเป็นยังไงบ้าง” อัยเอื้อมมือไปเขย่าแขนของอาพิทักษ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอมองเขาด้วยสายตาที่อ้อนวอน พิทักษ์นั่งเงียบไปพักหนึ่งราวกับว่ากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดแล้วเขาก็ตอบเธอ
“พลตอนนี้ไม่เป็นอะไรมาก น้องนอนพักอยู่อีกห้องหนึ่ง แต่ทำใจให้ดีๆ นะอัย” อาพิทักษ์พูด
“อริศกับมาศ…”
พิทักษ์หยุดอึ้งกับคำพูดไปพักหนึ่งก่อนที่จะกล่าวต่อ
“แม่กับน้องสาวของหนู. ทั้งคู่เสียชีวิตแล้ว”
อัยลดาทำสีหน้าราวกับคำพูดนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ทั้งที่ร่างของเธอชาไปทั้งตัวจนไร้ซึ่งความรู้สึก สิ่งต่างๆรอบตัวเธอเริ่มหมุนคว้างขึ้นอีกครั้ง มือสั่นระริกของเธอที่จับแขนของอาพิทักษ์เมื่อครู่หล่นลงมาข้างตัว
"อาพิทักษ์พูดอะไร?" เธอเอยด้วยเสียงราบเรียบราวกับไร้ซึ่งวิญญาณ
ไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดซ้ำ พิทักษ์มองลึกเข้าไปในดวงตาของอัยลดาผู้เป็นหลานสาว
ดวงตาคู่นั้นบอกเขาว่าเธอเข้าใจทุกๆคำที่เขาพูด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ