นายปากร้ายกับยายใจแข็ง

-

เขียนโดย นาราชา

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.59 น.

  11 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 21.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ตอนที่ 2 ฟ้าลืมเขา หรือแค่เรานอกสายตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ฟ้าครึ้มๆ  กับฝนที่เริ่มลงเม็ด  ดูจะไม่เป็นปัญหากับเหล่าพี่นักศึกษาเลยครับ  พวกเขามายืนเรียงแถวกันตั้งแต่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัย  ยาวไปไกลจนผมไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าจะสิ้นสุดลงที่ตรงไหน  พี่ๆ ใส่ชุดนักศึกษาเป็นระเบียบเรียบร้อยดี  แต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ได้ไลน์บอกผมว่าให้ทำทรงเรียบร้อย  ทรงผมของแต่ละคนจึงมีทั้งที่มัดจุก  ถักเปีย  เขาควาย  หยิกหยอย   แอฟเฟิล  สุดแท้แต่เจ้าของร่างจะสรรหามาสร้างสีสรรค์   มีเพียงผ้าคาดหน้าผาก  (ผม)  ที่เป็นสีประจำมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่แสดงว่าทุกคนอยู่ไลน์กลุ่มเดียวกันและนัดกันมา  ที่หน้าแถวผมเห็นมีการวางกลองเป็นจุดระยะห่างพอๆ  กัน   พี่นักศึกษาชายท่าทางแข็งขันทำหน้าที่ตีกลอง  ส่วนคนอื่นๆ  ก็ร้องเล่นเต้นรำกันน่าสนุกดีจัง  ผมนี่อยากไปแจมสักเพลงสองเพลง

            “พ่อครับขับช้าๆ หน่อยครับ  เขาอยากทักทายพี่ๆ เขา” 

            พี่เขาอุตสาห์ออกมาเต้น  มาร้องเพลงต้อนรับผม  (รวมถึงนักศึกษาใหม่คนอื่นๆที่ขนของมาเข้าหอในวันนี้)  ขนาดฝนลงเม็ดก็ไม่มีใครมีทีท่าว่าจะถอดใจ  ผมพยายามโผล่หัวออกไปจากรถยกมือไหว้ก้มหัวให้พี่ๆ เขา  เท่าที่ผมจะทำได้  พี่ๆ  หลายคนทักทายผม  โบกไม้โบกมือให้ผม 

            <<สวัสดีครับ  มหาวิทยาลัย.................................บ้านหลังใหญ่ของผม  ผมนายขุนเขา  ทรัพย์อุดม  มารายงานตัวแล้วครับ>>

            ครับ  ผมเอง  นายขุนเขาสุดหล่อนั่นแหละครับ  หลังจากกลับจากภูกระดึง  ผมก็กลับไปใช้ชีวิตนักเรียนมอหกอีกสามเดือน  สนุกสนานเฮฮาบ้ากิจกรรม  เพราะผมตั้งใจว่าจะไม่สอบรอบแอดมิชชั่นครับ  แม้หลายๆ คนจะยุให้ผมลองสอบแพทย์  พร้อมยกข้อดีสารพัด  ครูที่ปรึกษาจะบ่นทั้งก่นด่า  คุณยายครูจะยกคติธรรมแห่งการกตัญญูกตเวทีมากล่อมเกลาจิตใจผมอย่างไรผมก็ไม่หวั่นไหว  เพราะผมคือนายขุนเขา  จิตใจผมต้องหนักแน่นอย่างขุนเขาสิ  อันที่จริงแล้วผมรู้ตัวดีครับถึงผมจะติวหนัก  อ่านหนังสือเยอะเพื่อให้สอบแพทย์ได้  แต่เวลาในมหาวิทยาลัย  ปี  สมองผมต้องแตกแน่ๆ  ผมไม่ได้เก่งขนาดนั้นครับ  ผมไม่ได้มาสายอัจฉริยะ  ผมมาสายหน้าตาดีครับ  แต่ผมต้องขอบคุณพ่อกับแม่นะครับที่เข้าใจผม  เวลาผมเล่าให้แม่ฟังเรื่องที่ครูกดดันให้ไปสอบแพทย์  แม่ผมก็ได้แต่หัวเราะ  “อย่าเลยลูกแม่สงสารคนป่วย”  ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย  แต่ผมก็สบายใจขึ้น  และพร้อมที่จะเผชิญกับทุกแรงกดดันแล้ว

            จนในตอนนี้ผมมายืนอยู่ตรงหน้าหอพักชายหลังหนึ่ง  ที่ผมหลับตาแล้วปักปลายปากกาจิ้มเอา  ผมขอสารภาพครับว่ารอบแรกผมจิ้มโดนหอพักหญิง  ผมเลือกอยู่หอในครับ  เพราะได้ยินจากรุ่นพี่ว่าช่วงปี  กิจกรรมเยอะ  การเรียนก็ต้องปรับตัวเยอะมาก  อยู่หอในจะสะดวกมากกว่า  ไอ้ทิวกับไอ้กอล์ฟก็อยู่หอเดียวกันกับผมครับ  แต่พวกเราต้องอยู่คนละห้อง  เพื่อที่จะได้ปรับตัวเข้ากับเพื่อนๆ  พี่ประธานหอเขาว่ามาอย่างนั้นครับ  ผมแยกห้องนอนกับพ่อแม่ตั้งแต่เด็กๆ ครับ  ก็รู้สึกกังวลอยู่นิดๆ ละนะที่ต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น  แต่เอาเถอะแค่ซุกหัวนอนผมคิดอย่างนั้น

            ของผมมีไม่เยอะครับกะว่าจะมาซื้อเอาที่นี่   ผมคิดว่าจะขนคนเดียวสัก  รอบก็น่าจะเสร็จ  แต่พอดีมีกลุ่มพี่ๆ เดินออกมาจากห้องหนึ่ง 

            “สวัสดีครับ”

            ผมยกไหว้พี่ๆ

            “สวัสดีครับ  พี่มาช่วยขนของอ่ะ  อยู่ห้องไหนหล่ะเรา”

            พี่เขาไหว้ทักทายพ่อแม่ของผม  ก่อนหันมาบอกวัตถุประสงค์ของการมา  ผมตอบหมายเลขห้องผมกับพี่ๆ ไปแล้ว  ไม่ต้องทำตาละห้อยครับสาวๆ  ไว้เจอกันวันเปิดหอนะครับ  รอบเดียวเป็นอันเสร็จเรียบร้อย  ผมขอบคุณพี่ๆ  แล้วพี่เขาก็เคลื่อนขบวนลงไปข้างล่างเพื่อรอช่วยน้องที่โชคดีคนต่อไป  ผมก็หันมาจัดการกับข้าวของของผม  พ่อกับแม่ผมยืนกระจุกกันอยู่มุมหนึ่งของห้อง 

            “ไหวเหรอเขา  ห้องแคบนิดเดียวเองนะลูก  พ่ออึดอัดแทน”

            ผมวางมือจากการจัดเตียงนอน  แล้วหันมายิ้มให้พ่อกับแม่

            “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  คนอื่นๆ เขายังอยู่ได้  เขาต้องอยู่ได้สิ  เขาลูกพ่อนะครับ  อีกอย่าง  เขาเอาไว้แค่นอนแหละครับ  หลับแล้วก็ไม่อึดอัดแล้วครับ”   

            พ่อแม่ผมยังมองไปทั่วๆ ห้องที่มีเตียงสองตัววางชิดผนังคนละด้านส่วนตู้เสื้อผ้าวางชิดผนังด้านหัวนอน  คือถ้านอนลงไปเราก็จะมีความส่วนตัวประมาณนึงคือไม่เห็นหน้ารูมเมท  ส่วนทางปลายเท้าก็มีโต๊ะอ่านหนังสืออีกสองตัว  สรุปแล้วคือทั้งห้องมีพื้นที่ว่างคือตรงกลางที่แค่วางโต๊ะญี่ปุ่นแล้วนั่งกินข้าวได้สองคนแหละ  คิดๆ ไปมันก็น่าอึดอัดอยู่หรอก

            “ถ้าเขาไม่ไหว  เขาไปหาหอข้างนอกอยู่นะลูก”

            แม่ผมหน้าเศร้าลงไปถนัดตาเลยครับ  ผมก็เศร้านะ  ผมเคยอยู่บ้านทุกวันยกเว้นตอนเข้าค่ายลูกเสือ  รด.  ทัศนศึกษา  และไปเที่ยวภูกระดึงตอนนั้น  จริงๆ แล้วผมเป็นคนติดบ้านครับ  ถ้าคิดถึงเพื่อนผมก็จะพาพวกมันมาเล่นมานอนที่บ้านผม  แต่ตอนนี้ผมโตขึ้นแล้ว  ผมจะเศร้าให้แม่เป็นห่วงไม่ได้

            “ครับแม่  เขาจะไปเยี่ยมบ่อยๆ นะครับ  เขาจะโทรหาแม่ทุกวันเลยด้วย”

            “เอ่อ  เรื่องรถพ่อยังยืนยันอยากให้ลูกใช้รถยนต์นะลูก  พ่อไม่ชอบมอร์เตอไซเลย  น่ากลัวออก  เมื่อกี่เห็นไหม๊ตอนเราขับรถเข้ามาขับฉวัดเฉวียนกันน่าเสียวไส้  พ่อให้เวลาเขาตัดสินใจว่าจะเอารถตัวไหน  ระหว่างนี้ก็ซ้อนท้ายเจ้าทิวเจ้ากอล์ฟไปก่อน  แล้วพากันขับดีๆ  เข้าใจไหม๊”

            “ครับพ่อ”

            อันที่จริงถ้าคิดตามพ่อมันก็ดีนะครับถ้ากลุ่มเราจะมีรถยนต์สักคัน  ถ้าไปเรียนด่วนๆ  ก็แว๊นกันไป  ถ้าจะไปชิลก็ไปรถเก๋ง  แต่ผมค่อนข้างจะเกรงใจสายตาประชาชนคนหอในมาก  เท่าที่ผมสังเกตดูมันไม่มีรถยนต์สักคัน  เอ๊ะ  หรือเขาจอดกันข้างนอก  อันนี้ต้องลองไปสืบดูก่อน

            หลังจากล่ำลากัน  พ่อกับแม่ผมก็เดินทางกลับบ้าน  ผมอยู่ในห้องคนเดียวครับ  ผมจัดของต่อ  ผมเหงา  รู้สึกเหมือนห้องมันว่างเปล่า  ทั้งๆ ที่มันคับแคบจนผมแทบจะหายใจไม่ออก  ผมลองนอนลงไปบนเตียง  ซวยแล้วครับขาผมเลยเตียง  ผมไม่ได้เวอร์นะครับ ผมสูง  187  เซนติเมตร  มันก็ไม่ใช่สูงเกินไป  เด็กๆ รุ่นผมเขาก็สูงๆ กันทั้งนั้น ผมว่าเตียงของหอพักมันไม่ได้มาตรฐาน  สงสัยมหาวิทยาลัยต้องเปลี่ยนเตียงใหม่ยกชุดหรือไม่บางทีผมคงต้องลากที่นอนมานอนบนพื้นครับ

            ++ก๊อกๆ++

            ประตูผมไม่ได้ปิดหรอกครับ  มันยังแง้มๆ อยู่  เขาคงเคาะตามมารยาท  ผมหันกลับไปเจอผู้ชายคนหนึ่ง  ไม่บอกก็รู้รูมเมทของผมแน่ๆ  เราทักทายกัน  มันชื่อก้องครับ  คณะเกษตร  หน้ามันเข้มแบบไทยๆ  ตัวเล็กกว่าผมหน่อยๆ  จากการพูดคุยกัน  ผมคิดว่าคงปรับตัวเข้ากับมันไม่ยากนัก

            “ยู้ฮู้  ไอ้เขาเพื่อนรัก”

            มาแล้วครับ  สองตัวห้าบาท  มันเข้ามาห้องผมแบบไม่ขออนุญาต 

            “เอ้า  เฮ้ยเมทมึงมาแล้วเหรอ”

            พวกมันชะงักไปนิดนึง  แล้วหันไปทักทายรูมเมทของผม

            “เพื่อนเขาคร๊าบ  ไปช่วยเพื่อนจัดห้องหน่อยคร๊าบ  แถวนี้ไม่มีสาวๆ หลงมาให้ขอความช่วยเหลือเลย  เพื่อนเขานี่เนี๊ยบสุดแล้วคร๊าบ”

            ไอ้ทิวมันอ้อน...........อ้อนตีนผมแล้วครับ

            “พวกมึงจะจัดทำไมว่ะ  เดี๋ยวก็รื้อออกมารกอีก  วางๆ ไปพอมีที่นอนก็พอมั้ง”

            ผมบอก  แต่มือก็ยังง่วนกับการเอาเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนแล้วเก็บเข้าตู้  แล้วยัดกระเป๋าเดินทางล้อลากใบใหญ่ไว้ใต้เตียงนอน

            “เออ  ก็จริงของมัน  งั้นป่ะเราไปหาไรกินกัน”

            อันนี้น่าสนใจครับ  บ่ายโมงกว่าแล้ว  ผมเริ่มหิวขึ้นมาหน่อยๆ 

            “ก้อง  ไปกินข้าวกันมั้ย”

            ผมชวนเมทผม  สนิทกันไว้จะได้ไม่อึดอัด

            “ไม่หล่ะ  กูเพิ่งกินก่อนเข้าหอเอง  พวกมึงไปกินกันเถอะ”

            ไอ้ก้องมันมันจัดของครับมันนอนหลับตาอยู่บนเตียง  มันไปอดหลับอดนอนมาจากไหนว่ะ

            “เออ  งั้นพวกกูไปหาอะไรกินก่อน   มึงจะไปไหนก็ล็อกห้องเลยนะ  กูเอากุญแจไป  เออ  กูขอเบอร์มึงไว้หน่อย”

            ผมยื่นโทรศัพท์ที่ปลดล็อกหน้าจอแล้วให้มัน  มันลืมตายื่นมือมารับโทรศัพท์ผมไปกดหมายเลขแล้วส่งคืนผม  ผมเลยโทรเข้าเครื่องมันจนได้ยินเสียงสัญญาณจึงกดวาง

            “เซฟชื่อกูไว้ด้วย”

            “อือ”  มันครางในลำคอแล้วก็หลับตานิ่งไปอีก

            พวกผมก็ยกทีมออกไปยังโรงอาหารที่อยู่ไม่ไกลหอพัก  พวกผมเดินไปกันครับ  ดีที่วันนี้อากาศไม่ร้อน  โรงอาหารคนเยอะมากทั้งนักศึกษาทั้งผู้ปกครอง  พวกผมต้องไปขอนั่งกับนักศึกษาคนอื่นๆ  ก็คุยกันเฮฮาตามประสาผู้ชายฮะ  เราคุยกันง่าย  มีหลายเรื่องเลยที่ผมได้รู้จากเพื่อนร่วมโต๊ะ  เขาเป็นเด็กโรงเรียนสาธิตของมหาฯ ลัยนี้เลยครับ  ผมไม่ลืมขอเบอร์มันไว้ครับ  บางทีอาจต้องขอความช่วยเหลือจากมัน

            วันนี้ยังไม่มีกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย  ยังไม่มีการมอบตัวครับ  เพราะตอนนี้พวกเรามาเข้าหอก่อนเปิดเทอม 2 สัปดาห์  เพื่อร่วมกิจกรรมรับน้องของทางมหาวิทยาลัย   พรุ่งนี้พี่นัดที่สนามกีฬาฟุตบอลตอนตีห้าครับ  ตีห้าฟังไม่ผิดหรอกครับ  หลังจากมารายงานพวกผมก็ถูกดึงเข้ากลุ่มไลน์กิจกรรมน้องใหม่  โดยมีพี่ปีหนึ่งตอนนั้นติดต่อกันมาตลอด  เหมือนได้เป็นน้องตั้งแต่ก่อนเป็นนักศึกษา  แน่นอนว่าคำสั่งฟ้าผ่าตีห้ารวมพลก็มาทางกลุ่มไลน์นี่แหละครับ  พวกเราแก๊งสามซ่าจึงตกลงกันว่าจะกลับไปพักผ่อนเอาแรง  เพราะไม่รู้พรุ่งนี้จะต้องเจออะไรอีกบ้าง

           

 

            ตีสี่ครึ่ง  นาฬิกาปลุกผมดัง  ทำเอาคนที่นอนอยู่อีกเตียงแทบกระโดดขึ้นมายืน

            “ขอโทษว่ะก้อง  กูจะไปสนามกีฬา  มึงไปไหม๊ ”

            “ไปดิ  ไม่ไปก็ตาย  พี่คณะกูมีแต่เถื่อนๆ”

            มันก็คงโดนขู่มาเหมือนๆ กับผมแหละครับ  พวกเรารีบไปห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัว  ไม่เกิน  10  นาที  ก็พร้อมรบ  ไอ้ก้องมันมีมอร์ไซครับ  ผมนี่วิ่งไปห้องไอ้ทิว  ไอ้นี่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำ 

            “เห้ย  มึงเร็วๆ ดิ๊  กูจะไปรอข้างล่าง”

            “เออๆ แป๊บเดียว  มึงโทรตามไอ้กอล์ฟด้วย”

            มันว่าแล้ววิ่งเข้าห้องไป  ผมโทรตามไอ้กอล์ฟมันเรียบร้อยแล้วครับ   พวกเราไปถึงสนามกีฬา  วนหาที่จอดมอร์ไซ  รถเยอะมาก  คนเยอะกว่า  นั่งสลอนเต็มสนาม  วิ่งสิครับจะรออะไร

            พวกผมเข้ากิจกรรมรับน้องอาทิตย์นึงครับ  นักศึกษาปี แต่ละคนเหมือนวิญญาณออกจากร่าง  โทรมสุดๆ  หน้าผมไม่มีชิ้นดีเลยครับ  ถึงผมจะมั่นใจในความหล่อ  แต่ผมก็ต้องยอมรับครับ  ร่างผมจะพังจริงๆ  พวกพี่เอาแรงที่ไหนมาจัดกิจกรรมให้พวกเรา  พวกเราแค่คนเล่น  แต่พวกเขาทั้งเตรียมของเตรียมกิจกรรม  นอนดึกกว่าตื่นเช้ากว่า  ถึงเขาจะดุด่า  ไซโคบ้าง  แต่ผมโกรธพวกเขาไม่ลงหรอกครับ  ถึงแม้จะมีเพื่อนๆ  หายไปหลายคน  แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน  จนวันสุดท้าย  มันเป็นวันอาทิตย์ครับ  พวกพี่ปล่อยพวกผมไปพัก  แล้วนัดอีกทีตอน  โมงเย็น  ขึ้นแสตนด้วยชุดนักศึกษา  วันนี้พวกผมต้องผ่านกิจกรรมร้องเพลงมหาวิทยาลัยที่พี่ๆ  พร่ำสอนมา  ให้เสียงดังฟังชัดเป็นที่ถูกอกถูกใจ  ไม่งั้นพี่ๆ จะไม่ยอมรับรุ่นผมเป็นน้อง  ผมได้ยินหลายคนบอกพี่เขาก็พูดไปยังงั้น  สุดท้ายก็ต้องผ่านอยู่ดี  ผมก็รู้ครับว่ามันจะเป็นอย่างนั้น  แต่ก็ยังอยากทำมันให้ดีที่สุด

            นักศึกษาใหม่เต็มอัฒจันทร์  พี่ๆ  ตั้งแต่ปี เต็มอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามและยืนอยู่กลางสนาม  เห็นบรรยากาศแล้วผมขนลุก  พวกเราร้องเพลงตั้งแต่ 6 โมงเย็น  จนตอนนี้  ทุ่มแล้ว  พวกเรายังไม่ผ่านครับ  พี่สต๊าฟก็โดนพี่ว๊ากกดดัน  เพื่อนผู้หญิงบางคนร้องไห้  เพื่อนผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ ผมโงนเงนจะเป็นลมครับ  ผมพยุงเขาไว้แล้วยกมือขออนุญาตเรียกพยาบาลสนามครับ  พี่ผู้หญิงสองคนพุ่งมาทางผม  พุ่งมาอย่างเร็ว  แต่ในสายตาผมมันเป็นภาพสโลวครับ 

            ผมยาวที่ถูกม้วนจนกลายเป็นมวยใหญ่กลางหัว  ยิ่งทำให้ตาที่โตอยู่แล้วเด่นขึ้นไปอีก  เหงื่อเกาะพราวอยู่บนหน้าผากที่มีไรผมลู่เพราะเปียกเหงื่อ  เธอไม่ได้เหลือบตามองผมเลย  ได้ยินแค่เสียงถามเพื่อนผมว่า  “ไหวป่ะน้อง  ออกไปนั่งข้างหลังนะ”  แล้วหิ้วปีกเพื่อนผมออกไป  ใกล้ๆ เลยครับ  เธอรับเพื่อนผมฝั่งทางที่ผมพยุงอยู่  ผมต้องเริ่มเขียนบันทึกแล้วหล่ะ  บันทึกถึงนางฟ้า  หนึ่งในเหตุผลแห่งความอยากเข้ากิจกรรมรับน้อง  ผมไม่เคยเจอพี่ฟ้าในกิจกรรมรับน้องเลย  เพิ่งเจอวันนี้ที่เป็นวันสุดท้ายของกิจกรรมแล้วครับ  สรุปคือพวกผมผ่านกิจกรรมตอน  ทุ่ม  แต่รวมๆ แล้วได้กลับหอตอนเที่ยงคืน  เพราะกิจกรรมที่น่าประทับใจเกิดขึ้นหลังจากนั้น  ไฟสปอร์ตไลส์ในสนามถูกปิดลง  ผมเห็นแสงจากโทรศัพท์เริ่มสว่างขึ้นที่ละหย่อมจนเต็มอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามและในสนาม  แสงไฟแต่ละดวงคือการยอมรับจากพี่ๆ  แต่ละคน  แล้วพวกเราทุกคนก็ร่วมกันร้องเพลงมหาวิทยาลัย  ไม่มีไมโครโฟน  ไม่มีดนตรี  มีแต่เสียงของพวกเราที่ดังออกมาจากหัวใจ  บางเสียงสะอื้นไห้  ผมว่ามันเป็นการร้องไห้ที่มาจากความตื้นตัน  ไม่ใช่เสียใจ

            เช้าวันจันทร์ผมตื่นเกือบเที่ยง  ตื่นมาด้วยอาการที่เหมือนนอนไม่พอ  แต่ก็นอนต่อไม่ได้  เลยถีบตัวเองลุกออกจากเตียง ไปอาบน้ำแล้วไปหาอะไรกิน  ผมใช้กุญแจสำรองของรถไอ้ทิวพาตัวเองไปโรงอาหารอีกที่หนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปหน่อยแต่ใหญ่กว่า  ผมเคยไปกินข้าวที่นั่นตอนมาสอบสัมภาษณ์  วันนี้ก็แวะไปดูหน่อยแล้วกัน  ส่วนใหญ่ร้านอาหารอยู่ชั้นสองครับ  ผมสั่งอาหารแล้วเดินเล่นไปทั่วจนถึงชั้นสี่  ผมเห็นนักศึกษาบางตาครับ  เกาะกลุ่มกันทำงาน  เปิดคอมพิวเตอร์  ตอนนี้ยังไม่เปิดเทอมอย่างเป็นทางการก็จริง  แต่ได้ยินว่าบางคณะก็เปิดเรียนไปก่อนแล้ว  อย่างคณะแพทย์  ผมดีใจจังที่ไม่ได้เชื่อฟังครูที่ปรึกษา  นั่นๆๆๆๆๆๆๆ ที่โต๊ะติดกับเสาขนาดใหญ่ผมเห็นพี่ฟ้านั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้  ท่าทางยุ่งๆ  เปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คทำอะไรสักอย่าง  มัหนังสือกองใหญ่วางเยื้องไปทางขวามือ   เสื้อยืดสีขาว  กับกางเกงผ้าขาสั้นตัวใหญ่ๆ  โห  แต่งตัวธรรมดา  ยังสวยสะดุดตาขนาดนี้  ผมอยากเห็นเธอในชุดนักศึกษาจริงๆ  (หยุ๊ด   ผมไม่ได้คิดถึงเสื้อรัดติ้วแบบกระดุมแทบกระเด็นกับกระโปรงงบน้อยนะครับ  พี่เขาเรียนครูอย่าลืมสิ)  ผมทำสมาธิยุบหนอ  พองหนอ  ขาวหนอ  น่ารักหนอ  อยู่พักใหญ่ๆ  ก่อนทำทีไปนั่งโต๊ะตัวอื่นที่ประจันหน้าเธอเลย  ผมทำทีหยิบโทรศัพท์เล่น  แต่เชื่อเลยว่าสายตาผมไม่ได้อยู่ที่โทรศัพท์  เหมือนเธอจะมีญาณหยั่งรู้ครับ  เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพอดี  ผมตกใจช็อกไป  0.5  วินาที  (มึงละเอียดไปมั้ย)  ก่อนหลุบตาลงมองโทรศัพท์ในมือแล้วทำทีดูโน่นนี่ไปงั้นแหละ   ไม่ได้อ่านอะไรหรอก  เธอมองมาที่ผม  คิ้วขมวดน้อยๆ  แล้วนิ่งอยุ่ท่านั้นนานผิดสังเกต  (ผมสังเกตด้วยการทำมองผ่านโทรศัพท์ครับ)  ก่อนที่จะก้มหน้าลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ผมจะอยู่ทำซากอะไรล่ะครับ  ทำทีเป็นเพื่อนโทรมา

            “เออๆ รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวกูไปหา”  ผมจะได้รางวัลเมขลาสาขาคนตอแหลไหม๊

 

Part  พี่ฟ้า

            ตายแล้วเมื่อคืนนอนอย่างดึก  วันนี้มีสอนพิเศษสี่โมงเย็น  จ๊อบพิเศษแปลบทความภาษาอังกฤษก็ยังไม่เสร็จ  ฉันจะตายไหม๊เนี่ยฟ้าเอ้ย

            ขณะที่กำลังคิ้วขมวด  หน้ายุ่ง  หัวยุ่งอยู่บนชั้นสี่ของโรงอาหาร  อุตสาห์ปลีกวิเวก  มาขี้เหร่ลำพัง  ใครว่ะบังอาจมานั่งในรัศมีสายตา  ทั้งๆ ที่ชั้นนี้มันว่างสุดๆ ทำไมไม่กระจายกันไปห่ะ  คิดแล้วโมโหขอมองหน้ามันหน่อยเถอะ 

            เห้ย  หล่ออ่ะ  มันขึ้นเครื่องผิดที่สนามบินอินชอนแล้วเครื่องพามาลงที่สนามบินขอนแก่นเหรอว่ะ  สาวเทห์นิยมไทยอย่างเราถึงขั้นเสียจริต

            มันพูดไทยได้ไหม๊หว่ะ?

            จะไปทักทายแสดงมิตรไมตรีแบบนางงามมิตรภาพดีไหม๊?

            แต่เอ๊ะ  หน้าเราศพมาก  ก้มมองตัวเองอย่างไว  และตัดสินใจว่าชาตินี้จะไม่เงยหน้าขึ้นไปอีกเลย  ทำงานๆๆๆๆ อย่าฟุ้งซ่าน

            “เออๆ รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวกูไปหา” 

            เราได้ยินเสียงเขาพูดโทรศัพท์  เฮ้ย  คนไทยนี่หว่า

            สักพักหางตาเรามันเห็นผู้ชายคนนั้นเดินลงบันไดไป  โอ้ย ปวดคอ  นี่เราก้มจนหัวจะผลุบเข้าไปอยู่ในกระดองได้เหมือนเต่าเลยนะเนี่ย  ทีนี้หละมองตามจนคอยืด  เอาน่าอาหารตาก็มีไว้มองนี่เน๊อะ  ยังยืนยัน  ว่าเราชอบหล่อสไตล์ไทย  ไถนาได้จะรับพิจารณาเป็นพิเศษ

ผู้เขียน ได้วันละตอนนะคะ  คนอ่านน้อยจัง  มาให้กำลังใจฟ้ากับเขาหน่อยน๊า      ตอนหน้าขุนเขาจะเรียนวิชาปากร้ายแล้วนะ มาดูสกิลปากเขา  ว่าจะนุ่ม  เอ้ยว่าจะร้ายสักแค่ไหนกันเชี๊ยว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา