นายปากร้ายกับยายใจแข็ง

-

เขียนโดย นาราชา

วันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 15.59 น.

  11 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.53K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 21.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ตอนที่ 3 เขาปีนไปเป็นเดือนบนฟ้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ผมได้พักผ่อนอยู่แค่วันเดียว  รุ่นพี่คณะผมก็ไลน์มาเตือนว่าวันอังคารเป็นต้นไปต้องเข้ากิจกรรมรับน้อง  ซ้อมเชียร์  ประกวดดาวเดือนตัวแทนคณะ  ผมอยากให้วันจันทร์มี  80  ชั่วโมงจริงๆ   แต่ก็ยังดีหน่อยที่พี่เขานัด  โมงเช้าให้มาพร้อมกันที่ห้องประชุมใหญ่ของคณะกันที่  ความตั้งใจที่จะออกสำรวจมหาวิทยาลัยก็เป็นอันพับเก็บเข้ากระเป๋า  ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กิจกรรมมหาโหดพวกนี้มันจะจบลงสักที  ผมอยากมีชีวิตปกติสุข  ได้เรียนได้เล่นได้ทำในสิ่งที่ชอบ  อดทนๆๆๆๆ  ผมท่องมันจะรอบที่ล้าน

            8  โมงครึ่งแก๊งสามซ่าของพวกเราก็มาถึงหน้าอาคารหอประชุมครับ  ผมเห็นมีเพื่อนๆ  มานั่งรออยู่ที่ม้าหินอ่อนที่จัดเป็นแถวไว้ใต้ต้นไม้หลายกลุ่มแล้ว  แต่มีไอ้แว่นเด็กเนิร์ดมันนั่งอยู่คนเดียว  ผมเจอมันบ่อยครับตอนเข้ารับน้องมหาวิทยาลัย  ดูเหมือนจะไม่มีเพื่อน  ผมมองหน้าไอ้ทิวกับไอ้กอล์ฟ  มันสองคนพยักหน้าอย่างเข้าใจ  เราเลยเดินตรงไปหาไอ้แว่น

            “เห้ย  แว่น  พวกกูนั่งด้วยสิ”

            ผมขอไปอย่างนั้นเองแหละครับ  ไม่ได้รอให้มันอนุญาตหรอก  ก็นั่งไปแล้วทำไง  ไอ้แว่นมันดูตกใจที่โดนพวกเราจู่โจมครับ  มันดูเลิ่กลั่ก  หันซ้ายหันขวาเหมือนจะลุกเปลี่ยนที่นั่ง  ไอ้ทิวจับบ่ามันกดให้มันอยู่นิ่งๆ  ใครไม่รู้มองมาไกลๆ  อาจคิดว่าเป็นแก๊งมาเฟียกำลังรีดไถค่าคุ้มครองอยู่แน่ๆ

            “ไม่มีไรแว่น  ตั้งแต่เข้ารับน้องก็เห็นมึงอยู่คนเดียวตลอด  เอางี้เรามาเป็นเพื่อนกัน  ว่าแต่มึงชื่ออะไร”

            “เรียกผมว่าแว่นก็ได้”

            โอ้โหนี่ผมเดาชื่อมันถูกเหรอเนี่ย

            “ใครๆ ก็ เรียกผมแบบนั้นมันก็ง่ายดี”

            “เอ้า  ไอ้นี่  เอาชื่อจริงๆ ดิไม่ใช่ฉายา”

            ทิวใจเย็นๆ ดิ  มันกลัวจนจะน้ำตาไหลแล้ว

            “ผมชื่อลุง”

            “555555555”  คนบ้าอะไรชื่อลุง  พวกผมหัวเราะประสานเสียงกัน

            “ผมบอกแล้วให้เรียกว่าแว่น”

            ระหว่างที่เรากำลังทักทายทำความรู้จักกันอยู่  ผมรู้สึกว่าสายตาหลายคู่มองมาทางเราพอผมหันไปเจอ  ก็พากันหลบไปพูดซุบซิบอะไรกันสักอย่าง  เอ๊ะ  หรือว่าเราเสียงดังเกินไป

            จนใกล้เวลาที่นัดหมายพี่เทคเรียกเราไปรายงานตัวรับป้ายเปล่าๆ มาเขียนชื่อเอง  พี่บอกว่าเอาตัวโตๆ  จะได้เห็นไกลๆ  จัดไปครับ

เขา

            โมงเช้าในหอประชุม

            หลังจากพี่เทคจัดระเบียบแถวให้เรานั่งตามลำดับความสูง  ผมกับไอ้เกลอได้อยู่แถวบนสุดครับ  และทำไมผมต้องเป็นคนสุดท้ายด้วยเนี่ย  โธ่ถ้าเรียงลำดับความหล่อผมมั่นใจว่าผมจะอยู่แถวหน้าคนที่หนึ่งแน่นอน

            หลังจากความโกลาหลของการจัดที่นั่งผ่านไป  ก็มีรุ่นพี่ผู้ชายกลุ่มใหญ่เดินเรียงแถวกันออกมา  บางคนเดินขึ้นไปบนเวที  ที่เหลือกระจายกันยืนตามจุดรอบๆ  ที่นั่งของรุ่นน้อง

            “สวัสดีนักศึกษาใหม่  ผมดีใจด้วยที่พวกคุณผ่านการรับน้องของมหาวิทยาลัยมาได้  และได้ชื่อว่าเป็นรุ่นน้องร่วมสถานบัน  แต่ที่นี่คณะวิศวกรรมพวกคุณต้องเริ่มต้นจาก  ศูนย์  พวกคุณต้องแสดงให้พวกผมเห็นว่า  พวกคุณเหมาะสมที่จะเป็นนักศึกษาของคณะนี้  เหมาะสมที่จะให้พวกผมเรียกว่าน้อง  พวกคุณทำได้ไหม๊” 

            พี่ว๊ากเริ่มปฏิบัติการแล้วครับ 

            “ได้ค่ะ/ครับ”

            ตอบเสียงอู้อี้

            “ทำได้ไหมครับ”

            “ได้ค่ะ/ครับ”

            รอบนี้ดังจนขี้หูผมจะเต้นระบำ

            หลังจากพี่เค้ามาวอร์มเสียงเสร็จแล้ว  ก็เดินขบวนกันออกไป  เอ่อ  คนอื่นๆ  นี่ไม้ประดับเหรอครับ  ออกมายืนนิ่งๆ  แล้วก็กลับไป 

            บรรยากาศดีขึ้นมาหน่อย  จากนั้นพวกผมก็ได้สมุดเชียร์ที่บรรจุเนื้อเพลงของคณะเกือบๆ สิบเพลงได้  ละก็ท้ายเล่มเป็นกระดาษเปล่า  พี่ๆ เขาสอนเราร้องเพลงครับ  ผมว่าเพลงมหาฯ ลัยยากแล้วนะ  เจอเพลงคณะเข้าไปผมนี่แทบหงาย  บางเพลงก็ยาวจัด  บางเพลงก็ดูเหมือนพูดเอาไม่ใช่เพลง  บางเพลงยิ่งแล้วใหญ่ผมว่าทำนองมันเหมือนคนละเพลงกัน  เมื่อมันมีความขัดแย้งกันมันก็ยิ่งจำยาก  ผมไม่เถียงเรื่องความหมายนะครับ  ความหมายดีจริงๆ  แต่ผมก็ยังขอยืนยันว่ามันร้องยากจริงๆ ครับ  นอกจากนั้นบางเพลงก็ต้องโยก  ท่าโยกนี่ก็ต่างกับเพลงมหาฯ ลัย  ผมว่าเมมโมรี่ในหัวของผมพ้นที่มันใกล้ๆ จะเต็มเพราะการร้องเพลงเชียร์นี่แหละครับ

            เราพักเที่ยงหนึ่งชั่วโมง  ได้รับข้าวกล่องกันคนละกล่องกับน้ำหนึ่งขวดเล็ก  ใครดื่มไม่พอต้องเก็บขวดไปกรอกน้ำที่โรงอาหารเอง  ไม่มีขวดสองครับ  ผมกินข้าวเสร็จเก็บกล่องทิ้งถังขยะแล้วก็กลับมานอนอยู่ข้างๆ ทางเข้าหอประชุมครับ  ผมและเดอะแก๊งนอนกองกันอยู่ตรงนั้น  ผมหลับตาสักพัก  กำลังเคลิ้มแหละครับ  บ่ายโมง  โอ้ยเวลาพักมันช่างแสนสั้น  พวกเราต้องไปนั่งนิ่งๆ  หลังตึงหน้ามองตรงกันอีกแล้วครับ

            บ่ายสี่โมงพี่ว๊ากเข้ามาอีกรอบ  เน้นย้ำให้พวกเราเข้าร่วมกิจกรรมกันทุกคน  และช่วยตามเพื่อนที่ไม่ได้เข้ากิจกรรมด้วย  พอหลังของพี่ว๊ากคนสุดท้ายผมดีใจจนน้ำตาจะไหล  จะได้กลับหอแล้ว  แต่ๆๆๆๆๆ

            “น้องๆ ค่ะ  ก่อนจากกันวันนี้นะคะ  พี่อยากให้น้องๆ ช่วยกันเสนอดาวเดือน เพื่อที่จะเข้าแข่งขันหาผู้ชนะเป็นตัวแทนดาวเดือนของคณะเราไปประกวดดาวเดือนมหาวิทยาลัยต่อไป  เอาเป็นน้องผู้หญิง  คน  น้องผู้ชาย  คนแล้วเราจะใช้เวลา  วันต่อจากนี้  ในการให้คะแนนทั้งยอดไลน์ในเพจกิจกรรมนักศึกษาของคณะ  คะแนนความสามารถ  และการตอบคำถามที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่จะถึงนี้นะคะ  เอ้า  พี่ให้

เวลาปรึกษากัน  10  นาทีค่ะลูก”

            เสียงดังเกิดจากการผลักไสไล่ส่งกดดันให้เพื่อนเป็นตัวแทนจึงเกิดขึ้นต่อจากนั้น  จนเวลาผ่านไปครบ  10  นาที  ผมไม่รุ้ว่ามือใครตีนใครบ้างที่ทั้งผลักทั้งดันผม  จนผมออกมายืนอยู่หน้าแถวอย่างที่เป็นในตอนนี้  ขอกันดีๆ ก็ได้ครับ  ผมรู้ตัวดีว่าผมหล่อ

            “เอาหล่ะค่ะ  ดีมาก  น้องๆ ทั้ง  10  นะคะ  ตามเจ้เชอรี่ไปห้องกิจการนักศึกษา  ส่วนคนอื่นๆ แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้  อ่ออย่าลืมพรุ่งนี้เก้าโมงเช้าเหมือนเดิมนะจ๊ะเด็กๆ”

            พี่เชอรี่คือหนุ่มร่างใหญ่หัวใจหน่อมแน๊มครับ  แกเข้ามาชาร์ตแขนซ้ายผมและลากแขนขวาของไอ้โต๊ดเดินนำขบวนสู่ห้องกิจการนักศึกษา

            --  มึงใช้รถกูเลยนะ เอากุญแจมาไหม๊—

            ข้อความจากไอ้ทิวครับ  โหเจ้เชอรรี่เล่นลากผมออกมายังไม่ได้นัดแนะกับเพื่อนเลย  ผมเริ่มรู้สึกอยากได้รถส่วนตัวขึ้นมาแล้วสิ

            -- เออ  ขอบใจมากเพื่อน—

            หลังจากนั้นพวกผม  10  คนก็ได้รับการนัดหมายให้ถ่ายรูปตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าของวันพรุ่งนี้เพื่อโปรโมตในเพจคณะ  รวมถึงการซักซ้อมความสามารถพิเศษครับ  ผมหล่ะกลุ้มใจ  ถึงผมจะหล่อแต่ความสามารถพิเศษคืออะไร  ชู๊ตบาส แต้มเหรอ  และใครจะยกแป้นบาสมาให้ผม  โอ้ย  คนหล่อกลุ้ม  คงต้องกลับไประดมความคิดกับไอ้พวกนั้นแหละ  สมองผมมันไม่เดินครับ  มันไหลไปไหนหมดตั้งแต่ฝึกร้องเพลงคณะแล้วครับ

            โรงอาหาร 1 มหาวิทยา.........................ในเวลาค่ำๆ แบบนี้คึกคักดี  มีตลาดเย็นข้างโรงอาหารด้วย  ผมว่าตลาดในมหาฯ ลัยนี่มีความน่าสนใจกว่าตลาดทั่วไป  ตรงที่มีนักศึกษาเอาของมาขายด้วย  มันมีความชิค  มันเหมือนพี่น้องนักศึกษามาโชว์สินค้ากัน  พูดคุยเรื่องที่เราสนใจตรงกัน  ของกินแปลกๆ ก็เยอะ  แปลกนี่คือแปลกในทางที่ดีนะครับ  ช่างสรรหากันจริงๆ  ผมคิดว่าน้ำหนักผมจะขึ้นแน่นอน

            ผมนัดไอ้ทิวไอ้กอล์ฟที่นี่ครับ  พวกมันต้องมาช่วยผมออกความคิดว่า  ผมจะแสดงความสามารถพิเศษอะไร  บรรยากาศแบบนี้น่าจะทำให้ความคิดของเราโลดแล่นมากกว่าห้องนอนแคบๆ ที่หอของเรา

            “เห้ย  ทางนี้  ทางนี้โว้ย”

            ผมเห็นสองเพื่อนยากของผมเดินเกาะคอกันมาทางที่ผมหันหน้าไปพอดี  ผมยกไม้ยกมือเรียกพวกมัน

            “ไอ้เขา  มึงคิดว่าพวกกูจะไม่เห็นมึงไง  แม่งโครตเด่น  มึงมองไปรอบๆ ตัวมึงเด๊ะ”

            ไอ้ทิวมึงจะก้มมากระซิบกูทำไม  ผมมองไปรอบๆ  เห้ย  สายตาหลายสิบคู่มองมาทางโต๊ะผมครับ  ผู้หญิงทั้งนั้นเลยครับผมมาอยู่ในวงล้อมสาวๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย

            “นี่มึงป๊อบตั้งแต่ยังไม่มีการประกวดเลยอ่ะ  กูว่ามึงมองข้ามช็อตไปถึงการประกวดเดือนมหาฯ ลัยไปเลยเถอะ”

            โธ่ไอ้กอล์ฟ  ไอ้คนเห่อเพื่อน   มหาฯ ลัยมันกว้างใหญ่นะโว้ย  มีคณะอีก 18  พวกมึงคิดว่ามันจะไม่มีคนที่หล่อกว่ากูไงหว่ะ  เป็นไปไม่ได้

            “กูยอมรับนะเว้ยเรื่องกูหน้าตาดีโครตๆ  แต่กูจะตกหมาตายก็ตอนความสามารถพิเศษเนี่ย  กูจะทำอะไรดี  ที่เรียกพวกมึงออกมาก้เรื่องนี้แหละ”

            ผมมองหน้าพวกมันสลับกันเพื่อขอความคิดเห็น  เงียบไปเป็นชาติในความรู้สึกผม  โอ้ยผมอยากกลับไปเป็นเด็กจะไม่ปฏิเสธเลยเวลาแม่จะพาไปสมัครเรียนพิเศษ 

            “ชู๊ตบาสไหมมึง”

            บาสเกตบอลนี่คงเป็นความสามารถเดียวของผมจริงๆ

            “กูคิดแล้ว  เขาคงไม่ย้ายการประกวดไปสนามบาสให้กูหรอก”

            “เออ  ก็จริงของมึง  ดนตรีมึงก็เล่นไม่ได้  เสียงมึงก็ห่วยแตก  เต้นมึงก็คล่อมจังหว่ะ  โอ้ย  โครตยากอ่ะมึง”

            ผมโบกกะโหลกไอ้ทิวไปทีนึง  โทษฐานที่มันรู้จักผมดีเกินไป

            “นอกจากมึงจะไม่ช่วยกูแล้ว  มึงยังพูดซะกูอยากถอนตัวจากการประกวดเลยนะ  เออๆ  ช่างแม่งป่ะเดินเที่ยวกัน  กินอะไรเข้าไปบ้างสมองก็อาจจะกลับมา  เห้อ”

            ผมยังถอนใจอย่างหดหู่  ลุกนำพวกมันออกไปจากโรงอาหารมุ่งหน้าสู่ตลาดภายนอก

            เดินสักพักของกินก็เต็มมือแล้วครับ  พวกนั้นบอกเดินไม่ไหวแล้ว  แต่ผมยังเดินไม่ครบทุกซอยเลย  พวกมันก็เลยขอแยกกลับไปหอพักก่อน  ผมเดินต่อไปสักพัก  ผมเห็นนักเรียนหญิงโรงเรียนสาธิต คนกำลังมุงดูอะไรหน้าร้านแปกะดินผมเดินเกือบจะผ่านไปแล้วครับ  แต่ชะงักกะเสียงแม่ค้า

            “ถ้าน้องๆ เอาคนละเล่มพี่จะลดราคาให้อีกนะคะ”

            ใช่แล้วครับพี่ฟ้า  ผมเลยหยุดยืนมอง  พี่ฟ้านั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อผ้าใบ  ยังคงคอนเซ็ปแต่งตัวสบายๆ  แต่วันนี้ปล่อยผมยาวสลวยลงถึงเอว  พี่เขาขายสมุดโน้ตสีนวลๆ แบบถนอมสายตา  มีหลายขนาดครับหุ้มผ้าที่มีลวดลายต่างๆ แถมปักลายน่ารักๆ  น่าจะถูกใจผู้หญิงแหละครับ  ผมทำทีเป็นหยุดดูของร้านข้างๆ  จนน้องๆ นักเรียนกลุ่มนั้นเลือกสมุดโน๊ตได้คนละเล่มแล้วเดินออกจากร้านพี่ฟ้าไป  เป็นโอกาสของผมแล้วครับ

            “เล่มละเท่าไหร่อ่ะ”

            ผมหยิบๆ สมุดโน้ตขึ้นมาดู  ปลดล็อกกระดุมแล้วคลี่ดูภายในสมุดโน้ตในมือ

            “เล็ก  60  กลาง 100  ใหญ่  150  ค่ะ”

            อธิบายละเอียด รักในงานขายสมกับที่เป็นแม่ค้าเลยครับ

            “แพง”

            ผมไม่ได้คิดตามที่พูดครับ  มันเป็นงานแฮนด์เมดครับและละเอียดสวยงามใช้ได้  แต่ละเล่นไม่เหมือนกัน  มีเอกลักษณ์และน่าใช้สุดๆ  ผมแค่อยากคุยกับพี่ฟ้านานๆ 

            “ไม่แพงหรอกค่ะ  กว่าจะได้แต่ละเล่ม  ทำยากนะคะ”

            เธอยังอธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ

            “ก็แค่ไปรับมาขายนี่”

            ผมคิดตามที่พูดครับ  นักศึกษาคงจะไม่มีเวลามานั่งเย็บปักถักร้อยประดิดประดอยของพวกนี้หรอก  ผมไม่ได้ดูถูกเธอนะครับ  แต่มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นนี่นะ

            “ทำเองค่ะ  เนี่ยที่ยังปักไม่เสร็จอยู่ในถุงข้างหลังนี่เองค่ะ”

            เธอยกถุงกระดาษขนาดใหญ่ออกมาโชว์ผลงาน  น้ำเสียงติดหงุดหงิดแล้วครับผมชะโงกหน้าเข้าไปดู  ตะลึงครับ  เธอทำเองจริงๆ จากที่จะแกล้ง  ทำไมผมรู้สึกผิด แต่คนจะกวน  มันก็ต้องกวนให้ถึงที่สุด

            “มิน่า  ดูมันรุ่ยๆ นะ  ไม่ค่อยแน่น”

            เธอเงียบไปเลยครับ  ไม่ได้พูดอะไรอีก  ผมโครตเกลียดตัวเอง  ผมต้องรีบพาตัวเองออกไปจากที่นี่  ก่อนที่เธอจะเกลียดผม  (หรือโดนเกลียดไปแล้วว่ะ)

            “งั้นเอาอันนี้ใส่ถุงให้ด้วย ”

            ผมยื่นสมุดโน้ตเล่มขนาดกลางให้พี่ฟ้า  ผมเลือกสมุดปกผ้าลายตารางขาวดำ  ปักใบเมเปิ้ลสีแดงสองใบที่มุมล่างทางขวามือ  ส่วนบนปักอักษร  LOVE  MEMORYเธอรับไปใส่ถุงยื่นให้รับเงินที่ผมยื่นให้

            “ขอบคุณค่ะ”

            หน้านิ่งๆ นั้นฝืนยิ้มให้ผมทีนึง  ผมลุกขึ้นรีบสาวเท้าไปทิศทางที่รถไอ้ทิวจอดอยู่  กอดถุงสมุดโน้ตกระชับที่อก  ผมรู้สึกหลายอย่างปะปนกันไป  มันอุ่นใจ  มันสุขใจ  มันรู้สึกผิด  รู้สึกกลัว  แต่ยังไงก็เถอะ  ผมมีของแทนตัวเธอแล้วถึงแม้เป็นที่ผมซื้อหามาเอง  ผมต้องขอบคุณตัวเองที่มาเดินตลาดนี่ในวันนี้  ขอบคุณพี่ฟ้าสำหรับสินค้าที่น่ารักของเธอ  ถ้าคุณผู้อ่านยังจำได้  ผมบอกว่าผมอยากเขียนบันทึกถึงเธอ  “นางฟ้าของผม”  ผมจะเขียนถึงเธอด้วยสมุดโน้ตของเธอ  บันทึกรักของผม

 

 

Part  พี่ฟ้า

            วันนี้ฟ้าเจอนายเกาหลีด้วย  หน้าตาก็ดีทำไมเป็นคนแบบนี้  ฟ้าไปขายสมุดโน๊ตที่ตลาดนัดนักศึกษา  วันนี้ขายดีซะด้วย  ขณะที่อารมณ์ฟ้ากำลังแจ่มใสถึงขีดสุด  ขายของก็ดี  แถมมีคนหล่ออยู่หน้าร้านด้วย 

            “แพง”

            เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ  สำหรับสมุดโน้ต  100  บาท  อาจแพงเกินไป  แต่นี่มันคืองานแฮนด์เมด  ฟ้าได้กำไรจริงค่ะ  ถ้าไม่คิดค่าแรง  ถ้าไม่ใช่เพราะใจรักฟ้าไม่นั่งหลังขดหลังแข็งปักมันขึ้นมา  ปกหุ้มแต่ละเล่มฟ้าออกแบบเอง  มันไม่เหมือนกัน  มันเกิดจากความทรงจำ  ประสบการณ์ที่สวยงามฟ้าจึงถ่ายทอดมันออกมา  ฟ้ารักมัน  ฟ้าไม่เคยถูกต่อว่าว่าขายของแพง  มีแต่เพียงขอลดราคาเล็กน้อยที่เป็นธรรมดาของการซื้อขาย  ซึ่งฟ้าก็เต็มใจลดให้   บอกเลยว่าฟ้าหน้าชา  ฟ้าช้อนตาขึ้นมองหน้าคนพูด  เขาก้มมองสมุดอยู่อย่างหน้าตาเฉย  ไม่รู้สึกว่าได้ทำลายความรู้สึกใครไปเลยสินะ  ฟ้าต้องอดทนค่ะ  ฟ้าไล่เขาออกไปจากหน้าร้านไม่ได้  มันไม่ใช่นิสัยของฟ้า  หวังว่าสถานการณ์อึดอัดนี้มันจะผ่านไปเร็วๆ

            สุดท้ายเขาก็เลือกเมเปิ้ลคู่ของฟ้าไป  เค้าเลือกได้ดีค่ะ  ถ้าไม่เปรียบเทียบงานหวานแหววแบบสาวๆ  นั่นคืองานแนวผู้ชายที่ดูดีลงตัวที่สุด  แม้จะติโน่นนี่แต่ก็ไม่ได้ต่อราคา  การซื้อขายจบลงแล้ว  ฟ้าส่งยิ้มให้ลูกค้าตามมารยาท 

            เขาเป็นคนที่หล่อมากๆ นะคะ  สาวๆ คงพร้อมใจให้อภัยเขา  แต่ฟ้าขออยู่ห่างๆ คนแบบนี้ดีกว่า

            ผมนั่งคิดหนักอยู่บนเตียงนอนในห้องพัก  ใครพอจะช่วยผมได้ในสถานการณ์แบบนี้  โทรหาแม่ดีกว่า  ถึงแม่จะช่วยไม่ได้  แต่คุยกับแม่ทีไรผมก็สบายใจขึ้นเยอะเลย

            --ว่าไงครับ  เจ้าลูกชาย  วันนี้เป็นไงมั่ง—

            ผมโทรรายงานแทบทุกวันที่ยังมีแรงพอ 

            --แม่ครับ  เขาต้องแย่แน่ๆ เลย—

            ผมเป็นคนที่เริ่มต้นไม่ค่อยเป็นครับ  ผมมักจะพูดตอนจบขึ้นมาก่อน  ใครๆ ก็บอกอย่างนั้นนะ

           --ห๊า  ว่าไงนะ  เป็นอะไรลูก—

            แม่ถามเสียงดัง  เห็นไหม๊แม่ตกอกตกใจแล้วเนี่ย  สงสัยผมต้องไปลงเรียนเรื่องการพูสนทนาเพิ่มเติมครับ

            --แม่ใจเย็นๆ  เขายังไม่เป็นอะไรครับ  คือเพื่อนๆ มันเสนอเขาให้เข้าประกวดดาวเดือนอะไรเนี่ย  แล้วมันต้องมีแสดงความสามารถพิเศษไง  เขาคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรดี—

            ทำไมผมไม่พูดแบบนี้ตั้งแต่ตอนแรกนะ

            --โธ่เอ้ยนึกว่าเรื่องอะไร  แม่ก็เคยคิดแหละว่าลูกชายแม่หล่อ  แม่ก็พยายามเข็นเขาให้เรียนโน่นนี่  เราก็ไม่เอาสักอย่าง—

            คุณนายแม่ครับ  พอเถอะครับ  ผมสำนึกไม่ทัน

            --แม่ช่วยเขาคิดหน่อยสิครับ  เขาทำอะไรไม่เก่งสักอย่าง  เขาตายแน่ๆ ครับ—

            ถ้ามีคะแนนขี้อ้อนผมได้ที่หนึ่งแน่นอนครับ  ใครจะคิดว่าคนตัวโตๆ  แบบผมจะมีมุมนี้  แต่ก็เพราะผมเป็นลูกคนเดียว  พ่อเป็นเจ้าของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิก  ช่วงบุกเบิกธุรกิจพ่อทำงานยุ่งอยู่ตลอด  หน้าที่ในการดูแลผมจึงตกอยู่ที่แม่  ผมได้นิสัยนิสัยน่ารักมาจากแม่ผมเลยนะเนี่ย  แต่ขณะเดียวกันผมก็ต้องเข้มแข็ง  แข็งแรงพอที่จะดูแลแม่ในวันที่พ่อไม่อยู่  แต่ตอนนี้ธุรกิจเริ่มเข้าที่เข้าทาง  พ่อมีทีมบริหารและลูกน้องที่ดี  ท่านจึงมีเวลาอยู่กับแม่มากขึ้น  แทบจะอยู่โยงเฝ้าบ้าน  ไม่งั้นผมคงไม่ได้มาเรียนอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจแบบนี้ 

            “ทำอาหารได้ไหมลูก  เขาเป็นลูกมือแม่บ่อยๆ  ท่าทางก็คล่องแคล่วดี  แม่ว่าผู้ชายทำอาหารน่ารักนะ  น่าจะได้คะแนนดี”

            หลังจากแม่บ่น  อืมๆๆๆ  สงสัยใช้ความคิดครับ  ก็เสนอไอเดีย  ที่ทำเอาผมพบทางสว่าง  ไม่รู้แหละ  คงไม่มีเดือนคณะไหนแสดงความสามารถด้วยการทำอาหาร  แต่นี่แหละสิ่งที่ผมเก่งที่สุด

            --ขอบคุณครับแม่แม่น่ารักที่สุดเลย  เดี๋ยวเขาจะคิดเมนู  แค่นี้นะครับเขารักแม่นะ—

            --จ้า  สู้ๆ นะลูก  แม่เชื่อว่าเขาจะชนะนะลูก—

            ผมวางสายแม่แล้วใช้โทรศัพท์คู่ใจค้นหาเมนูอาหารง่ายๆ  ที่พอจะใช้ทำบนเวทีแล้วออกมาเป็นที่ประทับใจ  รอสักครู่นพครับ  ผมขอถามอากู๋ก่อน 

            ผมสนใจหลายเมนูเลยครับ  แต่เงื่อนไขของผมคือ  ทำง่ายไม่ใช้ไฟฟ้า  ใช้วัตถุดิบไม่มาก  สุดท้ายผมก็เลือกแซนวิชทูน่าครับ  ผมต้องเตรียมแค่ปลาทูน่าในน้ำแร่  หอมหัวใหญ่  มายองเนส  ก้านผักชี  ขนมปัง  แล้วก็ผักกาดแก้วอันนี้ความชอบส่วนตัวครับ  มันกรอบๆ  เวลากัดไปโดนนี่รู้สึกสดชื่นสุดๆ  เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปซื้อของมาลองทำดูจะอร่อยเหมือนทำกับแม่หรือเปล่า  คืนนี้ผมต้องนอนหลับฝันดีแน่ๆ  ความสามรถพิเศษก็ตัดสินใจได้แล้ว  สมุดโน้ตของเธอก็วางอยู่ข้างตัวผมนี่  ผมยังไม่ได้เริ่มเขียนอะไรหรอกครับ  ผมติดไว้ก่อนวันนี้เตียงดูดผมซะแล้ว

 

            “เอาหล่ะค่ะน้องๆ  ตัวแทนผู้เข้าประกวดดาวเดือนแยกออกมาทางนี้เลยค่ะลูก” 

            เจ้เชอรี่คนสวย  (พี่แกบอกให้เรียกแบบนี้อ่ะครับ)  มาเรียกพวกผมแล้วครับ  พวกเรา  10  คนเดินตามไป  เจ้เชอรี่พาพวกผมไปแนะนำให้รู้จักกับพี่ช่างภาพครับเป็นนักศึกษามหาฯ ลัยเรานี่แหละครับ  จากชุมนุมถ่ายภาพ 

            “วันนี้เราจะถ่ายภาพรวมและแยกถ่ายเจาะเป็นคนนะครับ  โลเคชั่นในมหาวิทยาลัยเรานี่แหละครับ  เชิญน้องๆ ขึ้นรถตู้คันนั้นเลยนะครับ  ทีมงานของพี่รออยู่ตามจุดที่บุ๊คกันเอาไว้แล้ว  เดี๋ยวพี่ขับรถตามหลังไปครับ”

            รถตู้พาพวกเราไปตามจุดต่างๆ  มีแต่ที่สวยๆ ทั้งนั้น  ผมต้องยอมรับว่ามาอยู่ที่นี่อาทิตย์กว่าๆ  ผมยังไม่ได้ไปไหนไกลจากหอพัก  คณะ  โรงอาหาร  สนามกีฬา  เลยครับ  ผมหมดแรงทุกวันขนาดยังไม่มีการเรียนการสอน  สงสัยผมต้องรีบออกไปสำรวจซะแล้ว  และสุดท้ายมาถ่ายกับป้ายคณะครับ  รวมถึงอัดคลิปแนะนำตัวที่หน้าตึกด้วย  พี่ๆ เขาทำงานกันแบบมืออาชีพมากครับ  นี่แค่คัดดาวเดือนคณะ  พี่เขาทำยังกับพวกเราเป็นดาราครับ  แต่ละคนก็สวยหล่อและเก่งๆ กันทั้งนั้นเลยครับ

            พวกเราผู้ประกวดดาวเดือนได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องเข้ารับน้องครับ  พวกเราต้องซ้อมการแสดงกลุ่ม  ซ้อมเดิน  รวมถึงการแสดงความสามารถพิเศษครับ  ผมขอไม่ซ้อมความสามารถพิเศษครับ  บอกแค่ว่าผมจะทำของกิน โต๊ะพับ   และก็ขอไมค์แบบหนีบปกเสื้อหรือแบบครอบบนหัวด้วย  ซึ่งพี่เขาก็รับปากว่าจะหามาให้  ผมเลยขออนุญาตไปซื้อของมาทำแซนวิชครับ

            ผมเลือกใช้บริการรถสองแถวเข้าเมืองครับ  เผื่อของเยอะมอร์ไซไอ้ทิวคงจะไม่ไหว  บนรถสองแถวมีคนไม่มากครับ  ผมเลือกนั่งท้ายๆ  เตรียมยืนนะครับ  จนรถสองแถวขับมาถึงจุดจอดรับคนโดยสารหน้าโซนหอพักหญิง  มีคนเดินขึ้นรถครับ  ผมไม่ได้มองเห็นแค่รองเท้า  กำลังก้มเล่นโทรศัพท์ครับ  จนรถเคลื่อนออกตัวไป  ผมจึงเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์  ผมเล่นมันตอนที่รถวิ่งไม่ได้ครับ  เวียนหัวแน่ๆ  ผมได้โอกาสหันไปมองคนที่เพิ่งขึ้นใหม่  โอ้ย  ตกใจ ดีใจ  ตื่นเต้น !!!!!!!  มาได้ไงเนี่ย  พี่ฟ้าครับ  นั่งชิดในสุดเลย  ผมไม่ปล่อยโอกาสดีๆ แบบนี้ไปหรอกนะครับ  ผู้อ่านอาจจำไม่ได้แต่ผมเคยสัญญากับตัวเองที่ภูกระดึงแล้วว่าถ้าผมเห็นเธอที่จุดกางเต้นท์ผมจะไม่ปล่อยเธอไป

            “สวัสดีครับ  จำผมได้ไหม”

            ผมพยายามพูดดีๆ กับเธอครับ   เธอเงยหน้าขึ้นมามองผม  ตาโตๆ นั้นเบิกกว้าง  อย่าตกใจสิครับผมไม่ใช่ผีสักหน่อย

            “อ่อ  คนที่ซื้อสมุดโน้ตวันนั้น  ปีหนึ่งไม่ใช่เหรอเรา  โดดรับน้องคณะมารึไง”

            พี่ฟ้าคนสวยครับ  ผมอยากให้จำยาวๆ ไปถึงที่ภูกระดึงเลยได้ไหมครับ

            “ผมหล่ออ่ะ  เขาเลยอนุโลม”

            นั่นไงดีได้ประโยคเดียวจริงๆ ไปกวนตีนเค้าอีกแล้ว  เธอทำตามองบนครับ  ทำยังไงก็ทำไปเถอะครับ น่ารักขนาดนี้ผมให้อภัย

            “ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็............นะ”

            เธอพูดพร้อมอาการยักไหล่   แล้วหมุนตัวทำมองออกไปนอกรถ  เหมือนเป็นการบอกผมด้วยท่าทางว่า  ไม่อยากคุยกับผม  ผมก็เลยได้แต่นั่งมองหน้าด้านข้างของเธอไปเงียบๆ  ถึงผมจะปากร้ายแต่ผมก็มีมารยาทนะครับ  หลังจากนั้นก็มีคนทยอยขึ้นมาบนรถจนเต็ม  ผมก็เลยไปยืนเกาะเป็นลิงหลังรถ  กลัวล้อหน้าจะยกจริงๆ ห้อยกันอยู่หลายตัวเลย  ผมลงรถที่ บขส. แล้วต่อรถสายอีกคันไปห้างสรรพสินค้าที่หมายตาไว้  ส่วนเธอยังคงนั่งคันเดิมต่อไป  เห้อปากดีนัก  ยังไม่ได้ถามเลยว่าเธอจะไปไหน  ผมอยากร้องไห้

            ผมเลือกซื้อวัตถุดิบ  และอุปกรณ์ที่ใช้อย่างพวกเขียง  มีด  ไม้พาย  และชามพลาสติกใสสีต่างๆ  กันมาแพ็คนึง  (มี 6 ใบครับ)  อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ผ้ากันเปื้อนแบบผู้ชายคูลๆ  แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

 

            วันเสาร์แห่งการประกวดดาวเดือนคณะมาถึงแล้วครับ  เรามาเตรียมตัวกันตั้งแต่บ่ายโมง  แต่งหน้าเตรียมชุด  เตรียมอุปกรณ์  ซักซ้อม  จนเวลาหกโมงเย็นกิจกรรมต่างๆ ก็เริ่มขึ้น  ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เราฝึกซ้อมกันมา  จนมาถึงการจับฉลากว่าใครจะได้แสดงความสามารถเป็นคนที่เท่าไหร่  ผมจับได้หมายเลข  ครับ  โอ้ย!!!!  ผมตื่นเต้นสุดๆ  หัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะเลยครับ  มันตีกันมั่วไปหมด  ไอ้กอล์ฟกับไอ้ทิวมาให้กำลังใจผมหลังเวทีครับ

            “ไอ้เขามึงหล่อมาก  แล้วอีกอย่างยอดไลค์มึงนำห่างแบบไม่เห็นฝุ่นเลยเว้ย”

            ใช่สิ  ผมมัวแต่ยุ่งๆ ไม่ได้เข้าไปดูเพจกิจการนักศึกษาคณะเลย  ตอนนี้ผมไม่ได้กลัวเกี่ยวกับว่าจะได้เป็นตัวแทนอะไรหรอกครับ  แค่ไม่ทำอะไรขายหน้าบนเวทีนี่ก็ดีที่สุดแล้ว

            “กูตื่นเต้นหว่ะ  แม่งคนจะเยอะไปไหน  มันคนละแบบกันกับเวลาเค้ามาเชียร์เราแข่งบาสเลยนะเว้ย  กูจะรอดไหมหว่ะ”

            “มึงทำใจดีๆ ไว้  มึงแค่ทำให้ดีที่สุด  ถ้าพลาดตรงไหนมึงก็ทำให้มันตลกเหมือนที่มึงทำเวลาอยู่กับพวกกู  พวกกูจะรอเชียร์หน้าเวทีนะ  ใกล้ถึงคิวมึงแล้ว”

            พวกมันตบไหล่ผมคนละทีแล้วออกจากห้องเตรียมตัวหลังเวทีไป  ผมนั่งหลับตานิ่งๆ จนได้ยินเสียงประกาศ

            “ครับลำดับต่อไปขอเชิญพบกับหนุ่มหล่อที่เขาบอกว่า  จะมาพิชิตใจกรรมการและสาวๆ ด้วยอาหาร  ไปพบกับเค้ากันเลยค่ะ”

            สิ้นเสียงสต๊าฟผู้ชายก็ยกโต๊ะพับที่ผมเตรียมวัสดุอุปกรณ์ทุกอย่างไว้ไปวางกลางเวทีครับ  ผมใส่ไมโครโฟนแล้วกดปุ่มเปิด  ก่อนเดินขึ้นเวทีครับ

            “สวัสดีครับ  ผมเขา  นายขุนเขา  ทรัพย์อุดม  ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ทั้งผลักทั้งดันผมมาเป็นตัวแทนประกวด  ไม่อย่างนั้นผมคงนึกไม่ออกว่าผมมีความสามารถอะไรกับเค้าหรือเปล่า  เพื่อเป็นการขอบคุณผมจะทำแซนวิชทูน่าเพื่อสุขภาพให้ลองชิมกันนะครับ”

            มีเสียงกรีดร้องขึ้นมาเป็นช่วงๆ  มันทำให้สติผมวูบได้เหมือนกันนะเนี่ย  เอาหล่ะต่อๆ  ผมหยิบผ้ากันเปื้อนมาสลัดเบาๆ ให้มันคลี่ออก  แล้วสวมมันมัดให้เรียบร้อย

            “ถ้ามีคนมาช่วยผูกผ้ากันเปื้อนคงจะดีนะครับ” 

            สาวๆ ก็กรีดกันตามระเบียบครับ

            “เอาหล่ะครับอย่างแรกเราต้องเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพสด  สะอาด  อย่างขนมปังนี้ผมใช้ขนมปังโฮลวีตแผ่นบาง  เราจะตัดขอบขนมปังออกก่อนนะครับ  จากนั้นเราเตรียมสับหอมหัวใหญ่  ก้านผักชีสับ  ทูน่า  มายองเนส  แล้วนำมาผสมเข้าด้วยกัน  แล้วทาลงไปบนขนมปังที่ตัดขอบไว้  ปิดท้ายด้วยผักกาดแก้ว  แล้วประกบด้วยขนมปังอีกแผ่นที่ทาเนยไว้  จากนั้นเราจะตัดให้เป็นสามเหลี่ยม  จัดจานสวยแล้วก็เสริฟให้คนรู้ใจ  แซนวิสนี้ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอะไรครับ  แค่อยากทำให้คนพิเศษเท่านั้นเอง”

            ผมพูดแล้วก็ทำตามขั้นตอนครับ  จริงๆ ของที่จะใช้ผมเตรียมไว้หมดแล้วก็แค่หั่นๆๆ  ผักไปพอให้เห็นทักษะการทำอาหารครับ  การแสดงของผมได้รับเสียงกรีดเสียงปรบมืออย่างล้นหลาม  และจานแซนวิชถูกยกไปที่โต๊ะกรรมการ  เวทีกลับสู่สภาพเดิม  เพื่อให้เพื่อนคนอื่นๆ ขึ้นไปแสดงความสามารถจนครบทุกคน

            จนเวลาประกาศผล  เราทั้ง  10  คนขึ้นไปยืนบนเวที  เริ่มจากตำแหน่งป๊อบปูล่าโหวต  ผู้ที่ได้ยอดกดไลค์สูงสุดเพียงคนเดียวจะได้รับรางวัลนี้ไปครับ  พิธีกรประกาศชื่อผมครับ  ผู้ชมหน้าเวทีตะโกนชื่อผมพร้อมๆ กัน  “ขุนเขาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”  ผมก้าวเดินมาข้างหน้ารับมอบสายสะพายและเงินรางวัล  2,000 บาทครับ  (ได้ค่าของทำอาหารคืนแล้ว  ถือว่าคุ้มครับ) 

            “ค่ะ  ต้องขอแสดงความยินดีกับน้องเขาด้วยนะคะ  น้องทำยอดไลค์ไปได้ถึง  8,216 ไลค์ค่ะ  ไม่ต้องตกใจนะคะ  ยอดไลค์มากกว่าจำนวนนักศึกษาในคณะเราซะอีก เพราะว่ามีการถล่มแชร์รูปโปรโมตของน้องไปถึง  1,014 ครั้ง  ดังนั้นยอดไลค์จึงถล่มทลายอย่างที่เห็นนะคะ  หลังจากการทำอาหารของน้องเมื่อสักครู่ถูกไลฟ์สดออกไป  ก็มีการกดถูกใจกว่า  3,000  ครั้งในเวลาเพียง  นาที  ถือเป็นสถิติใหม่ของการประกวดดาวเดือนคณะเลยที่เดียวค่ะ”

            ผมเดินกลับไปประจำที่ในแถวเหมือนเดิมครับ  ตอนนี้ถึงไม่ติดหนึ่งในสามผมก็คิดว่าผมบินได้แล้วครับ  เออหรือว่าตอนนี้ผมลอยอยู่  ตัวผมเบาๆ ในสมองขาวโพลน 

            “และอันดับที่ เดือนคณะวิศวกรรมประจำปี...............ได้แก่  นายขุนเขา  ทรัพย์อุดม”

             เพื่อนๆ ดาวเดือนเดินมาจับไม้จับมือตบไหล่ผม  ผมก้าวขาไม่ออกเลยครับ  อาศัยเพื่อนๆ ดันหลังออกมา  พี่เดือนคณะปีที่แล้วเดินมามอบสายสะพายให้ผมครับ  ผมได้เงินรางวัลอีก  3,000 บาท 

            หลังเวทีผมเก็บอุปกรณ์ต่างๆ โดยมีไอ้ทิวกับไอ้กอล์ฟมาช่วย  มีเพื่อนๆ และพี่ๆ เข้ามาขอถ่ายรูปกับผมอยู่ตลอด  ไอ้ทิวมันเลยไล่ให้ผมไปถ่ายรูปกับแฟนคลับของผม  จนมันเก็บของเสร็จก็มาตามผมให้กลับหอ   ผมขอตัวกลับอย่างยากเย็น

            “มา  มึงซ้อนกูนี่  กูว่ามึงอาการไม่ปกติเดี๋ยวทำรถกูพัง”

            ใช่ครับอาการผมยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ  ผมตกใจมากทีเดียวผมคิดว่ามันก็แค่เวทีเล็กๆ  แต่ที่ไหนได้มันกำลังจะเปลี่ยนชีวิตผมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

           

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา