9&9 Hers
-
เขียนโดย สกิลพิมพ์เต่าคลาน
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 22.49 น.
14 ตอน
2 วิจารณ์
14.40K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ตอนที่ 13 : สัปดาห์ที่มีกันและกันและการบอกลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเก้าบอกกับฉันว่าตลอดสัปดาห์นี้ เราจะไปขี่จักรยานทุกเย็น เพื่อให้ฉันได้เก็บภาพให้มากที่สุด ดังนั้น ทุกเย็นฉันจะไปยืนรอเขาที่หน้าทางเข้าหอและรอให้เขาปั่นจักรยานมารับ ตอนนี้เมืองที่ฉันรู้จักมีรายละเอียดมากขึ้นเยอะ ฉันแทบไม่ต้องมองโลกผ่านกล้องอีกต่อไป แต่ทุกครั้งที่ขี่จักรยานเขาก็ยังส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน ช่วงหลังๆ ฉันจึงถ่าย ‘รูปเรา’ มากกว่าที่จะถ่ายรูปทิวทัศน์
วันนี้ฉันรู้สึกอยากให้ให้เขาได้พัก ฉันจึงขออาสาปั่นเอง เขามองฉันอย่างไม่ไว้วางใจ แต่พอฉันอ้างว่าจะแผลงฤทธิ์ เขาจึงยอมโดยบังคับให้ฉันเลือกเส้นทางก่อน ฉันยิ้มเพราะรู้ว่าเขายังเป็นห่วง ฉันจึงเลือกเส้นทางง่ายๆ ก็คือเส้นเลียบบึง เขาจึงส่งรถจักรยานมาให้ ฉันขึ้นนั่งตำแหน่งพลขับและบอกให้เขามาซ้อนท้าย
การปั่นจักรยานโดยที่มีเขาซ้อนท้ายเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าง่าย ฉันแทบไม่ต้องทรงตัวอะไรเลย แค่เขากางขายันพื้นไว้ รถก็ไม่โคลง ไม่เอียง ฉันแทบจะลืมเรื่องล้มไปเลย แต่ปั่นมาได้แค่สิบนาที ฉันก็รู้สึกปวดหัว ฉันกลัวว่าคลื่นสมองของฉันจะรวนและทำให้ร่างไม่เสถียร ฉันจึงหาเรื่องเลิกขี่
“เมื่อยแล้วอะ ตัวหนักเกิ๊น” ฉันทำทีว่ากำลังบ่นเขาและใช้สายตาตำหนิ เขาคงรู้ว่าฉันหาเรื่องเขาอีกแล้ว เขาจึงหัวเราะแต่ก็ไม่ยอมขยับลงจากเบาะท้าย
“ยังจะนั่งยิ้มอยู่อีก ลงเลยๆ” เขาคงขี้เกียจฟังฉันบ่น เขาจึงยอมกระโดดลง ฉันส่งรถจักรยานไปให้เขาจูง เขาจึงส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจึงเปิดดูรูปเผื่อเขาจะถ่ายติดอะไรที่ฉันไม่เคยเห็นมาบ้าง รูปส่วนใหญ่ที่เขาถ่ายก็เป็นรูปทิวทัศน์ธรรมดา แต่จะมีหลังของฉันติดอยู่ด้วยทุกรูป บางรูปก็เป็นหลังของฉันเต็มจอ ฉันเดินดูรูปสลับกับมองหน้าเขา เขาก็ทำหน้าเอ๋อใส่ฉัน ‘สรุปแล้วรูปพวกนี้ เขาถ่ายเพื่ออะไร’ เราเดินมาถึงม้านั่ง ฉันจึงนั่งลงทันที เขารีบจูงจักรยานตามมาติดๆ และเอ่ยถาม
“ปวดขาไหม?” เขาถามฉันเบาๆ ฉันไม่ตอบ แต่นั่งกระดิกเท้าเล่นอย่างสบายใจ “เอ้า! ไอ้เราก็นึกว่าขาเดี้ยงไปแล้วซะอีก” เขาพูดดังๆ และนั่งลงข้างฉัน ฉันยิ้มพร้อมกับแกว่งโทรศัพท์เล่น
“โทรศัพท์นี่ดีนะ ใช้แทนกล้องได้ด้วย” ฉันพูดให้เขาฟัง เขาก็พยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
วันนี้ฉันมีเรื่องที่จะต้องบอกเขา ฉันหวังว่าเขาจะยอมรับมันด้วยความสงบ ฉันกลัวถ้าหากเขาจะขอให้ฉันเปลี่ยนใจและกลัวมากถ้าหากเขาดึงดันที่จะรั้งฉันไว้ ฉันจะต้องบอกให้กระชั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันแอบมองนาฬิกาในจอโทรศัพท์ ยังเหลือเวลาอีกซักพัก ถ้าบอกตอนนี้เขาจะมีเวลาตั้งตัวและทำให้แผนของฉันพัง
“มีเรื่องเล่าให้ฟัง อยากฟังมั้ย?” ฉันเอ่ยถาม เขาพยักหน้าตอบอย่างดีใจ ‘ฉันชอบรอยยิ้มนี้จัง’
“นางเอกแอบหลงรักพระเอก แต่เนื่องจากทำงานอยู่คนละแผนกจึงไม่สนิทกัน ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไร” ฉันเริ่มเรื่องราวของฉัน มันจะต้องไม่ยืดเยื้อหรือสั้นเกินไป ฉันเห็นเขาเอามือเท้าคางและจ้องหน้าฉัน ฉันไม่ค่อยชินกับการถูกเขามองหน้าเท่าไร จึงค่อนข้างอาย ฉันก็เลยเอาโทรศัพท์เคาะที่หน้าผากเขาหนึ่งครั้งและเล่าต่อ
“พอใกล้จะถึงงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี หัวหน้าฝ่ายแนะนำให้จัดการแสดงขึ้น นางเอกจึงถูกขอร้องให้แต่งนิยายขึ้นมาเรื่องนึงเพราะเธอเคยแต่งนิยายอยู่บ่อยๆ เธอจึงแต่งนิยายสั้นๆ ขึ้นมาหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับวิธีสารภาพรักโดยที่ไม่ได้บอกด้วยตัวเองแต่ผ่านทางเสียงโทรศัพท์ โดยมีรหัสง่ายๆว่า
-ถ้า ‘รัก ให้โทรมาสองกริ๊ง’
-แต่ถ้า ‘ไม่รัก ให้โทรมากริ๊งเดียวและวางหูเลย’
นางเอกเอาพล็อตเรื่องไปให้เพื่อนๆ ในแผนกอ่าน โดยกำหนดตัวละครที่จะแสดงแนบไปด้วย ชายหนุ่มที่นางเอกแอบชอบได้รับบทพระเอกของเรื่อง ทำให้หลายๆ คนตั้งคำถามกันขึ้นมาถึงเหตุผลที่เขาได้รับบทพระเอก มีการวิจารณ์และแซวกันในที่ประชุมนั้นและเรื่องชักควบคุมไม่อยู่ นางเอกจึงหลุดปากออกไป ‘ฉันรักเขา เหตุผลแค่นี้ใช้ได้มั้ย?’
ในคืนนั้น ขณะที่นางเอกนอนอยู่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
‘กริ๊ง!’
‘กริ๊ง!’
เธอไม่ทันได้รับ สายก็ตัดไปซะก่อน แล้วเรื่องก็จบ เป็นไง? สนุกไหม? ขอคอมเมนท์หน่อย” ฉันแอบมองเวลาในโทรศัพท์ ฉันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงแกล้งทำเป็นเล่นโทรศัพท์ของเขาในขณะที่รอความคิดเห็น
“น่ารักที่สุด” เขาพูดขึ้นมา ฉันอึ้งไปเสี้ยววินาที มือกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ
“คอมเมนท์อะไรเนี่ย? งี่เง่าอะ” ฉันหัวเราะ เขาก็เลยหัวเราะตาม “เอาจริงๆ เป็นไงบ้าง?” ฉันถามเขาอีกครั้งในขณะที่ฉันกำลังมองหา ‘ไอคอนสมุดโทรศัพท์’
“น่าสนใจดี สรุปว่าพระเอกโทรมาเหรอ?” เขาถาม ฉันจึงชำเลืองมองเขา
“อะไร? ฟังตั้งนาน สรุปเองไม่ได้เหรอ? นางเอกพูดว่ารักใครในห้องประชุมล่ะ?” ฉันแกล้งทำเป็นไม่พอใจ
“พระเอกจะรู้ได้ไงว่าเขาโทรไปสองกริ๊งจริงๆ ถ้านางเอกตั้งริงโทนเป็นเพลง มันก็ไม่ดังเป็นกริ๊งนะ” เขาตั้งข้อสงสัย ฉันมองหน้าเขา อืม! มีความเป็นไปได้เหมือนกันแฮะ ถ้านางเอกไม่ได้ตั้งเสียงเรียกเข้าแบบปกติ วิธีนี้จะใช้ไม่ได้ทันที เท่ากับว่าการสารภาพรักของพระเอกล้มเหลว
เก้าคิดแบบจริงจังเกินไปนะ ถ้ามองผ่านซะ เรื่องนี้ก็แฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วแท้ๆ แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่เขาสงสัย
“หึย! ไม่โรแมนติกเลย” ฉันไม่ยอมแพ้ฉันจึงตอบแบบเอาสีข้างเข้าถู “พระเอกโทรเข้าเบอร์ของห้องพัก โอเคมะ?”
“อ้ะ! ยอมๆ” เขายกมือขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกับประกาศยอมแพ้ ฉันจึงยิ้ม ตอนนี้นิ้วของฉันวางอยู่เหนือปุ่ม สมุดโทรศัพท์ แต่ฉันเปลี่ยนใจและเลื่อนหน้าจอไปหาไอคอนสีเขียวขาวที่มีคำว่า ‘Line’ และแตะลงไปเบาๆ
เรานั่งเงียบกันอยู่ซักพัก ข้างหน้าเป็นบึงกว้าง ฉันมองเห็นระลอกคลื่นเล็กๆ บนผิวน้ำที่เกิดจากสายลมเอื่อยๆ ยามเย็น
“เก้า” ฉันตัดสินใจเรียกเขาหลังจากที่ดูเวลาแล้วว่ามันจวนเจียนมากๆ
“ฉันจะไม่ได้มาแล้วนะ วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้คุยกันแบบนี้” ฉันสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะพูดไปเรื่อยๆ จะไม่แสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น ฉันจะไม่ร้องไห้ เสียงจะต้องมั่นคง แต่พอพูดจบประโยคฉันกลับรู้สึกโหวงๆ ในใจ ฉันจึงยอมให้ตัวเองยื่นมือไปวางบนมือของเขา ซึ่งเขาก็หงายมือขึ้นมาเพื่อกุมมือของฉันไว้ เขาบีบมือฉันแน่นและมั่นคง ฉันรู้สึกขอบคุณเขา คำว่า ’ขอบคุณ’ มักจะทำให้คนพูดน้ำตาไหล ถ้าคนพูดรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ฉันต้องพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“ขอบคุณสำหรับความทรงจำ ฉันจะไม่ลืมแน่นอน ฉันสัญญา” ฉันพูดจบโดยที่น้ำตาไม่ไหลแล้วยื่นโทรศัพท์คืนไปให้เขา เขามีอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขารู้ดีว่าทุกครั้งที่ฉันคืนโทรศัพท์ให้เขา มันหมายความว่าฉันกำลังจะจากไป ร่างของฉันเริ่มเลือนลาง ฉันจึงต้องปล่อยโทรศัพท์ให้หลุดจากมือ และก่อนที่ฉันจะถูกดึงไปยังอีกฝั่งของโลก ฉันก็ได้ยินเสียงของเขาเอ่ยคำพูดที่น่าฟังที่สุดขึ้นมา
“ผมรักคุณ...”
---------------------------------------------------------
วันนี้ฉันรู้สึกอยากให้ให้เขาได้พัก ฉันจึงขออาสาปั่นเอง เขามองฉันอย่างไม่ไว้วางใจ แต่พอฉันอ้างว่าจะแผลงฤทธิ์ เขาจึงยอมโดยบังคับให้ฉันเลือกเส้นทางก่อน ฉันยิ้มเพราะรู้ว่าเขายังเป็นห่วง ฉันจึงเลือกเส้นทางง่ายๆ ก็คือเส้นเลียบบึง เขาจึงส่งรถจักรยานมาให้ ฉันขึ้นนั่งตำแหน่งพลขับและบอกให้เขามาซ้อนท้าย
การปั่นจักรยานโดยที่มีเขาซ้อนท้ายเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าง่าย ฉันแทบไม่ต้องทรงตัวอะไรเลย แค่เขากางขายันพื้นไว้ รถก็ไม่โคลง ไม่เอียง ฉันแทบจะลืมเรื่องล้มไปเลย แต่ปั่นมาได้แค่สิบนาที ฉันก็รู้สึกปวดหัว ฉันกลัวว่าคลื่นสมองของฉันจะรวนและทำให้ร่างไม่เสถียร ฉันจึงหาเรื่องเลิกขี่
“เมื่อยแล้วอะ ตัวหนักเกิ๊น” ฉันทำทีว่ากำลังบ่นเขาและใช้สายตาตำหนิ เขาคงรู้ว่าฉันหาเรื่องเขาอีกแล้ว เขาจึงหัวเราะแต่ก็ไม่ยอมขยับลงจากเบาะท้าย
“ยังจะนั่งยิ้มอยู่อีก ลงเลยๆ” เขาคงขี้เกียจฟังฉันบ่น เขาจึงยอมกระโดดลง ฉันส่งรถจักรยานไปให้เขาจูง เขาจึงส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจึงเปิดดูรูปเผื่อเขาจะถ่ายติดอะไรที่ฉันไม่เคยเห็นมาบ้าง รูปส่วนใหญ่ที่เขาถ่ายก็เป็นรูปทิวทัศน์ธรรมดา แต่จะมีหลังของฉันติดอยู่ด้วยทุกรูป บางรูปก็เป็นหลังของฉันเต็มจอ ฉันเดินดูรูปสลับกับมองหน้าเขา เขาก็ทำหน้าเอ๋อใส่ฉัน ‘สรุปแล้วรูปพวกนี้ เขาถ่ายเพื่ออะไร’ เราเดินมาถึงม้านั่ง ฉันจึงนั่งลงทันที เขารีบจูงจักรยานตามมาติดๆ และเอ่ยถาม
“ปวดขาไหม?” เขาถามฉันเบาๆ ฉันไม่ตอบ แต่นั่งกระดิกเท้าเล่นอย่างสบายใจ “เอ้า! ไอ้เราก็นึกว่าขาเดี้ยงไปแล้วซะอีก” เขาพูดดังๆ และนั่งลงข้างฉัน ฉันยิ้มพร้อมกับแกว่งโทรศัพท์เล่น
“โทรศัพท์นี่ดีนะ ใช้แทนกล้องได้ด้วย” ฉันพูดให้เขาฟัง เขาก็พยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
วันนี้ฉันมีเรื่องที่จะต้องบอกเขา ฉันหวังว่าเขาจะยอมรับมันด้วยความสงบ ฉันกลัวถ้าหากเขาจะขอให้ฉันเปลี่ยนใจและกลัวมากถ้าหากเขาดึงดันที่จะรั้งฉันไว้ ฉันจะต้องบอกให้กระชั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันแอบมองนาฬิกาในจอโทรศัพท์ ยังเหลือเวลาอีกซักพัก ถ้าบอกตอนนี้เขาจะมีเวลาตั้งตัวและทำให้แผนของฉันพัง
“มีเรื่องเล่าให้ฟัง อยากฟังมั้ย?” ฉันเอ่ยถาม เขาพยักหน้าตอบอย่างดีใจ ‘ฉันชอบรอยยิ้มนี้จัง’
“นางเอกแอบหลงรักพระเอก แต่เนื่องจากทำงานอยู่คนละแผนกจึงไม่สนิทกัน ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไร” ฉันเริ่มเรื่องราวของฉัน มันจะต้องไม่ยืดเยื้อหรือสั้นเกินไป ฉันเห็นเขาเอามือเท้าคางและจ้องหน้าฉัน ฉันไม่ค่อยชินกับการถูกเขามองหน้าเท่าไร จึงค่อนข้างอาย ฉันก็เลยเอาโทรศัพท์เคาะที่หน้าผากเขาหนึ่งครั้งและเล่าต่อ
“พอใกล้จะถึงงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี หัวหน้าฝ่ายแนะนำให้จัดการแสดงขึ้น นางเอกจึงถูกขอร้องให้แต่งนิยายขึ้นมาเรื่องนึงเพราะเธอเคยแต่งนิยายอยู่บ่อยๆ เธอจึงแต่งนิยายสั้นๆ ขึ้นมาหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับวิธีสารภาพรักโดยที่ไม่ได้บอกด้วยตัวเองแต่ผ่านทางเสียงโทรศัพท์ โดยมีรหัสง่ายๆว่า
-ถ้า ‘รัก ให้โทรมาสองกริ๊ง’
-แต่ถ้า ‘ไม่รัก ให้โทรมากริ๊งเดียวและวางหูเลย’
นางเอกเอาพล็อตเรื่องไปให้เพื่อนๆ ในแผนกอ่าน โดยกำหนดตัวละครที่จะแสดงแนบไปด้วย ชายหนุ่มที่นางเอกแอบชอบได้รับบทพระเอกของเรื่อง ทำให้หลายๆ คนตั้งคำถามกันขึ้นมาถึงเหตุผลที่เขาได้รับบทพระเอก มีการวิจารณ์และแซวกันในที่ประชุมนั้นและเรื่องชักควบคุมไม่อยู่ นางเอกจึงหลุดปากออกไป ‘ฉันรักเขา เหตุผลแค่นี้ใช้ได้มั้ย?’
ในคืนนั้น ขณะที่นางเอกนอนอยู่ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
‘กริ๊ง!’
‘กริ๊ง!’
เธอไม่ทันได้รับ สายก็ตัดไปซะก่อน แล้วเรื่องก็จบ เป็นไง? สนุกไหม? ขอคอมเมนท์หน่อย” ฉันแอบมองเวลาในโทรศัพท์ ฉันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงแกล้งทำเป็นเล่นโทรศัพท์ของเขาในขณะที่รอความคิดเห็น
“น่ารักที่สุด” เขาพูดขึ้นมา ฉันอึ้งไปเสี้ยววินาที มือกำลังเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ
“คอมเมนท์อะไรเนี่ย? งี่เง่าอะ” ฉันหัวเราะ เขาก็เลยหัวเราะตาม “เอาจริงๆ เป็นไงบ้าง?” ฉันถามเขาอีกครั้งในขณะที่ฉันกำลังมองหา ‘ไอคอนสมุดโทรศัพท์’
“น่าสนใจดี สรุปว่าพระเอกโทรมาเหรอ?” เขาถาม ฉันจึงชำเลืองมองเขา
“อะไร? ฟังตั้งนาน สรุปเองไม่ได้เหรอ? นางเอกพูดว่ารักใครในห้องประชุมล่ะ?” ฉันแกล้งทำเป็นไม่พอใจ
“พระเอกจะรู้ได้ไงว่าเขาโทรไปสองกริ๊งจริงๆ ถ้านางเอกตั้งริงโทนเป็นเพลง มันก็ไม่ดังเป็นกริ๊งนะ” เขาตั้งข้อสงสัย ฉันมองหน้าเขา อืม! มีความเป็นไปได้เหมือนกันแฮะ ถ้านางเอกไม่ได้ตั้งเสียงเรียกเข้าแบบปกติ วิธีนี้จะใช้ไม่ได้ทันที เท่ากับว่าการสารภาพรักของพระเอกล้มเหลว
เก้าคิดแบบจริงจังเกินไปนะ ถ้ามองผ่านซะ เรื่องนี้ก็แฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วแท้ๆ แต่ฉันก็รู้สึกขอบคุณที่เขาสงสัย
“หึย! ไม่โรแมนติกเลย” ฉันไม่ยอมแพ้ฉันจึงตอบแบบเอาสีข้างเข้าถู “พระเอกโทรเข้าเบอร์ของห้องพัก โอเคมะ?”
“อ้ะ! ยอมๆ” เขายกมือขึ้นทั้งสองข้างพร้อมกับประกาศยอมแพ้ ฉันจึงยิ้ม ตอนนี้นิ้วของฉันวางอยู่เหนือปุ่ม สมุดโทรศัพท์ แต่ฉันเปลี่ยนใจและเลื่อนหน้าจอไปหาไอคอนสีเขียวขาวที่มีคำว่า ‘Line’ และแตะลงไปเบาๆ
เรานั่งเงียบกันอยู่ซักพัก ข้างหน้าเป็นบึงกว้าง ฉันมองเห็นระลอกคลื่นเล็กๆ บนผิวน้ำที่เกิดจากสายลมเอื่อยๆ ยามเย็น
“เก้า” ฉันตัดสินใจเรียกเขาหลังจากที่ดูเวลาแล้วว่ามันจวนเจียนมากๆ
“ฉันจะไม่ได้มาแล้วนะ วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้คุยกันแบบนี้” ฉันสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะพูดไปเรื่อยๆ จะไม่แสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น ฉันจะไม่ร้องไห้ เสียงจะต้องมั่นคง แต่พอพูดจบประโยคฉันกลับรู้สึกโหวงๆ ในใจ ฉันจึงยอมให้ตัวเองยื่นมือไปวางบนมือของเขา ซึ่งเขาก็หงายมือขึ้นมาเพื่อกุมมือของฉันไว้ เขาบีบมือฉันแน่นและมั่นคง ฉันรู้สึกขอบคุณเขา คำว่า ’ขอบคุณ’ มักจะทำให้คนพูดน้ำตาไหล ถ้าคนพูดรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ฉันต้องพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
“ขอบคุณสำหรับความทรงจำ ฉันจะไม่ลืมแน่นอน ฉันสัญญา” ฉันพูดจบโดยที่น้ำตาไม่ไหลแล้วยื่นโทรศัพท์คืนไปให้เขา เขามีอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขารู้ดีว่าทุกครั้งที่ฉันคืนโทรศัพท์ให้เขา มันหมายความว่าฉันกำลังจะจากไป ร่างของฉันเริ่มเลือนลาง ฉันจึงต้องปล่อยโทรศัพท์ให้หลุดจากมือ และก่อนที่ฉันจะถูกดึงไปยังอีกฝั่งของโลก ฉันก็ได้ยินเสียงของเขาเอ่ยคำพูดที่น่าฟังที่สุดขึ้นมา
“ผมรักคุณ...”
---------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ