ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!
-
เขียนโดย GCodename
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.
16 บท
5 วิจารณ์
17.38K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่4 ตาแสง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบท4 ตาแสง
ชินกรไม่อาจจะปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับนางภาได้เมื่อแม่ของเขาสอบถามเรื่องที่หายไปวันนี้ทั้งวัน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังเรื่องที่เกินขึ้นทั้งหมด นางภามีสีหน้าโกรธไอ้ชมกับลูกสมุนทั้งสองคนมาก
“มันบังอาจคิดทำร้ายลูกของแม่เชียวหรือ? พวกมันวอนหาเรื่องเสียแล้ว”
“พวกมันยังไม่ทันได้ทำร้ายผมครับแม่ ถ้ามันทำผมจะเอาเรื่องมันตามกฎหมายให้ถึงที่สุด”
“พวกมันจะไม่โอกาสนั้นหรอกลูกกรของแม่”
“แม่หมายความว่ายังไงครับ?”
ชินกรถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเพราะแววตาของแม่เขาตอนนี้ช่างน่ากลัวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“แม่จะไปบอกกับลุงคำว่ามันคิดจะทำอะไรกร ให้ลุงคำกำราบพวกมันก่อนที่มันจะทำร้ายลูกแม่”
ชินกรรู้สึกเบาใจที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้ เมื่อแม่ของเขาเอ่ยชื่อลุงคำจู่ๆชินกรก็นึกเรื่องของสรขึ้นมาได้
“ลุงคำกลับมาแล้วเจ้าสรล่ะแม่มันเป็นยังไงบ้าง? ตำรวจคุมขังเจ้าสรไหม?”
“ไม่ได้โดนขังอะไรหรอก ตำรวจแค่เอาไปสอบปากคำและตรวจดูรอยแผลของรถกระบะเจ้าสรมันแล้วพบว่าเป็นคนละคันกับที่ชนมอเตอร์ไซค์คนที่ตาย ตอนนี้ตำรวจเขาก็ปล่อยมันมาละ ก่อนที่กรจะกลับมาเจ้าสรมันยังมาหาเราอยู่เลยแถมพอรู้ว่าเรายังไม่กลับก็เห็นทำหน้าตาห่วงเราอยู่ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงๆ”
นางภาบ่นด้วยความเป็นห่วงลูกชายเธอเข้ามาสวมกอดพร้อมกับลูบศีรษะอย่างทะนุถนอม
“ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมแม่ถึงไม่อยากให้เราออกไปไกลจากบ้าน”
“ผมรู้ครับว่าแม่ห่วงผม แต่ผมก็ยังดูแลตัวเองดีอยู่ ผมโตแล้วนะครับแม่”
นางภาสวมกอดลูกชายด้วยความรักและห่วงใย ชินกรรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำให้มารดาต้องห่วงเขาถึงขนาดนี้พร้อมกับไม่เข้าใจตนเองจริงๆว่าเหตุใดเมื่อหลายปีก่อนเขาจึงได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปทั้งๆที่เขาก็มีแม่ที่รักและห่วงใยเขาขนาดนี้ ยังไม่รวมกับเรื่องคาใจกับสาวปริศนาที่ช่วยเขาไว้ได้พูดทิ้งให้คิดไม่ตกอีก
“เธอทำเรื่องที่เลวร้ายกว่านั้นมาก!”
เรื่องเลวร้ายนอกจากทิ้งหวานที่กำลังท้องจนต้องฆ่าตัวตายยังมีเรื่องอะไรอีก? ระหว่างที่ชินกรพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาไม่ได้สังเกตถึงแววตาสีแดงเลือดของมารดาที่เรืองขึ้นมาในเงามืดราวกับเสือที่กำลังหมายปองเหยื่อ!
คืนนี้อากาศหนาวที่บ้านของไอ้เขียวนอนหลับอยู่ด้านข้างมีขวดเหล้าและซากไก่ที่แทะเหลือแต่กระดูก ข้างๆกันนั้นไอ้ดำก็กำลังกระดกเหล้าเข้าปากพร้อมด้วยอาการมึนเมา ทั้งสองคนดวดเหล้ากับลูกพี่คือไอ้ชมมาตั้งแต่หัวค่ำหลังจากได้รู้ว่าชินกรกลับไปถึงบ้านโดยรอดสายตาของพวกมันได้ ไอ้ชมจึงมากินเหล้าย้อมใจด้วยหวังโอกาสครั้งใหม่ที่จะคิดบัญชีแค้นกับชินกรให้ได้ หลังจากดวดเหล้าไปพักใหญ่ไอ้ชมก็อาสาขับรถกระบะของตนไปซื้อเหล้ามาเพิ่มเพราะเห็นสภาพลูกสมุนตัวเองแล้วคงไม่มีปัญญาขับรถไปแน่ปล่อยให้ไอ้เขียวกับไอ้ดำนั่งนอนรอลูกพี่มันอย่างหมดสภาพ ไอ้ดำที่ถึงจะเมาแต่ยังมีสติอยู่บ้างได้ยินเสียงเปิดประตูรั้วบ้านที่ทำมาจากไผ่มันจึงหันไปมองเห็นเป็นเงาดำของใครบางคนเดินเข้ามา มันหรี่ตามองเพื่อจะมองให้ชัดๆพร้อมป้องปากถามออกไป
“ใครวะ? พี่ชมหรือเปล่าพี่? ทำไมกลับมาเร็วจัง?”
ไม่มีเสียงตอบจากอาคันตุกะยามวิกาลเงาดำร่างนั้นยังคงก้าวเดินมา อากาศรอบตัวของมันรับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกแบบไม่ธรรมดาที่หนาวเย็นขึ้นจนขนหัวตั้ง ไอ้ดำเริ่มรู้ตัวถึงความไม่ปกติของเงาดำผู้มาเยือนนั้นมันค่อยๆถอยหลังขณะที่บัดนี้เงาดำนั้นขึ้นบันไดมาบนชานบ้านที่มันสองคนนั่งดวดเหล้าแล้ว!
ไอ้ดำเห็นลักษณะของเงาดำนั้นเป็นลักษณะผู้หญิงร่างสูงชะรูดผมมีลักษณะกระเซอะกระเซิงราวกับคนบ้า แขนขายาวเรียวเกินกว่าจะเป็นมนุษย์และที่ทำให้อันธพาลอย่างไอ้ดำต้องถึงกับฉี่ราดในเวลานี้คือดวงตาที่แดงเลือด สีเลือดยิ่งกว่าตาเรืองแสงของไอ้ดำเสียอีกมันดูราวหลุดมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น!
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ไอ้ดำได้ยินเสียงเลียลิ้นอย่างตะกละตะกลามออกมาจากเงาดำชวนสยองนั่น มันรีบถอยรูดไปจนชนประตูบ้านโดยปล่อยให้ไอ้เขียวเพื่อนสนิทนอนขวางทางเดินเงาดำตนนั้น ไอ้ดำเห็นสายตาที่แดงของมันเหลือบมองไปที่ไอ้เขียวไม่ถึงอึดใจก่อนจะทันได้คิดอะไร มือที่เรียวยาวของเงาดำก็จับไปที่ศีรษะของไอ้เขียวพร้องกับกระชากขึ้น ก่อนที่มืออีกข้างจะกะซวกทะลุท้องของไอ้เขียว
สวบ!
เสียงดังที่สั้นแต่กระตุกขวัญของไอ้ดำที่เห็นภาพตรงหน้าจนแหลกไม่มีชิ้นดีเพราะมันเห็นเงาดำที่บัดนี้เสมือนมัจจุราชกำลังดึงตับไตไส้พุงของไอ้เขียวออกมากองอยู่ตรงหน้ามัน กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วชานบ้านเลือดไหลนองไปบนไม้กระดาน ทันใดนั้นเองไอ้ชมขับรถกระบะกลับมาพอดีพร้อมกับเลี้ยวเข้ามาในบ้าน แสงไฟหน้ารถก็สาดไปเจอกับภาพชวนสยองนั้นด้วย
“พี่ชม! พี่ชมช่วยฉันด้วย!”
ไอ้เขียวแหกปากพร้อมกับใช้แรงฮึดของมันจะวิ่งฝ่าเงาดำตนนั้น แต่อนิจจาเงาดำใช้แขนที่ยาวตวัดรัดมันก่อนจะถึงบันได
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ไอ้เขียวได้ยินเสียงสยองในระยะที่ใกล้ความตายอย่างกระชั้นชิด เงาดำเอี้ยวศีรษะแล้วอ้าปากที่กว้างฟันแหลมเป็นซี่กัดเข้าไปที่ลำคอของไอ้ดำจนตัวมันไม่สามารถแหกปากได้อีก ไอ้ชมที่อยู่บนรถกระบะเห็นภาพชวนสยองตรงหน้ามันทำได้เพียงนั่งมองน้ำตาไหลโดยในมือของมันกำหมัดแน่นที่ไม่สามารถช่วยอะไรลูกน้องตนเองได้ แววตาที่เรืองแสงเป็นสีเลือดของไอ้เขียวค่อยๆหรี่ลงตามพลังงานชีวิตของมันและดับลงทันทีที่เงาดำกระชากศีรษะของมันออกจากคอไอ้เขียวจนเลือดที่คอของมันพุ่งกระฉูดเต็มบันไดบ้าน!
เอี๊ยดดดด บรื้นนนนน
ไอ้ชมรีบถอยรถกระบะสีดำของมันพร้อมกับเหยียบคันเร่งออกไปจากบ้านทันที มันไม่อยู่รอที่เงาดำมัจจุราชนั่นมาพรากเอาชีวิตมันไปอีกคน แต่ในคราวนี้มันไม่ลืมแน่กับความแค้นที่สองสมุนของมันต้องตายเพราะมันรู้ว่าเป็นฝีมือใคร?!
ชินกรตื่นขึ้นมากลางดึกถ้าเขาไม่รู้สึกไปเองเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้ชายมาจากที่ไหนของหมู่บ้านสักแห่ง ขณะกำลังจะลุกขึ้นเขาเห็นแววตาเรืองแสงสีเลือดของแม่ในความมืดที่รู้สึกตัวตื่นด้วยเช่นกัน
“มีอะไรเหรอกร? ตื่นขึ้นมาจะเข้าห้องน้ำหรือไง?”
“ผมว่าผมได้ยินเสียงคนกรีดร้อง ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย”
นางภาลุกขึ้นมาเงี่ยหูฟังอยู่สักครู่ แล้วส่ายหน้า
“แม่ไม่ได้ยินอะไรเลยนะ กรหูฝาดแล้วล่ะ”
ชินกรเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงตามที่แม่ของเขาบอกเช่นกัน ชายหนุ่มจึงนอนลงโดยมีนางภาสวมกอดลูกชาย
“แม่ว่ากรคงจะเหนื่อยมากกว่ากับเรื่องที่เจอวันนี้ กรนอนเถอะตราบใดที่แม่ยังอยู่ไม่มีใครทำอะไรลูกแม่ได้”
ชินกรรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ฟังประโยคนี้จากแม่ของตน พร้อมกับจับมือแม่ที่สวมกอดเขาแล้วหลับไปอีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้นหมู่บ้านบ้านวังสาก็กลับมาเงียบสงบดั่งเดิม ไม่มีวี่แววความรุนแรงและนองเลือดเมื่อคืน ไม่มีแม้แต่ศพของไอ้เขียวและไอ้ดำ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำเพราะไม่มีแม้แต่รอยเลือด! บ้านของไอ้ชมกับลูกสมุนเหลือเพียงความว่างเปล่าเมื่อลุงคำไปถึง จะมีเพียงเรื่องผิดปกติเรื่องเดียวคือประตูรั้วของบ้านไอ้ชมไม่ปิดราวกับรีบหนีบางสิ่งอย่างไรอย่างนั้น
เช้าวันนี้ชินกรตั้งใจจะใส่บาตรทำบุญแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนางภาได้บอกกับเขาว่า “ที่หมู่บ้านไม่มีพระมาบิณทบาตรนานแล้ว”
แต่ชินกรยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจเขาสอบถามมารดาว่ามีวัดไหนที่อยู่ใกล้ๆบ้างไหม? ซึ่งคำตอบที่ได้คืออยู่ห่างจากปากทางเข้าหมู่บ้านไปร่วมสิบกิโลเมตร เมื่อเป็นเช่นนั้นชินกรจึงต้องยอมแพ้เพราะเขาไม่มีรถที่จะสะดวกเดินทางเพื่อไปทำบุญ ชายหนุ่มหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จก็เตร็ดเตร่ไปหาสรเพื่อจะไปพูดคุยกับเรื่องราวเมื่อวานที่ถูกตำรวจคุมตัวไปเมื่อวาน ชายหนุ่มเดินไปมาตรงหน้าบ้านของสรเขาเห็นประตูรั้วปิดสนิทแถมในบ้านไม้ก็เงียบเชียบ แถมรถกระบะของเจ้าตัวก็ไม่อยู่ชินกรจึงหันหลังจะเดินกลับบ้าน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่างเปิดออกพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วซึ่งเขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของป้าวันแม่ของสร
“สรไม่อยู่จ๊ะกร มีอะไรจะฝากป้าไว้ไหม?”
ป้าวันพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่ในสายตาทนายอย่างชินกรเขารู้ดีว่าเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้ง ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กๆเขาเริ่มจะชินกับเบื่อหน่ายกับอากัปกิริยาของคนที่นี่ต่อเขาแล้ว
“ไม่มีหรอกครับป้า ผมแค่เดินมาพูดคุยเฉยๆ ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมกลับบ้านก่อนแล้วกัน”
ชินกรยกมือไหว้ป้าวันแล้วเดินจากมาทันที เขาเริ่มจะเซ็งกับการที่ไม่มีอะไรทำนอกจากเดินไปมาเพื่อพูดคุยได้แค่กับแม่และสรเท่านั้น ระหว่างทางที่เดินกลับมาที่บ้านชินกรสังเกตเห็นทางเล็กระหว่างรั้วบ้านที่มองไปจะเห็นคันนาทอดยาวที่นั่นเขาเห็นชายแก่คนหนึ่งรูปร่างเล็กแต่ดูแข็งแรงกำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงคันนานั้น ด้วยความเซ็งที่ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้วชินกรเดินเข้าไปตามทางเล็กนั่นก่อนจะทะลุไปตรงคันนาทีที่ทอดคั่นกลางนาข้าวเขียวชอุ่มหลายสิบไร่แล้วมาหยุดตรงที่ชายแก่
“คุณตากำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
ชายแก่เงยหน้ามองดูชินกรที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร ชายแก่ยิ้มให้ตาม
“กำลังเก็บเบ็ดที่ปักอยู่ลูกเอ๊ย”
ชินกรมองดูที่มือของชายแก่เห็นคันเบ็ดที่ทำมาจากไม้ไผ่โดยเหลาเป็นเรียวเล็กขนาดพอประมาณ ปลายไม้มีเส้นเอ็นยาวผูกไว้กับเบ็ดที่ใส่เหยื่อโดยชายหนุ่มเห็นมีปลาช่อนติดเบ็ดปักดิ้นรนอยู่ในมือ ชายแก่ใช้ความชำนาญจัคการปลดเบ็ดที่เกี่ยวปากปลาช่อนก่อนจะเอาใส่ข้องใส่ปลาที่สะพายอยู่ที่ไหล่ ชินกรมองดูภาพตรงหน้าอย่างสนใจในขณะที่ชายแก่ก็หันมาพูดกับเขา
“ลูกชายของแม่ภาใช่ไหม? ไม่ได้เห็นหน้าตั้งหลายปี”
“ใช่ครับ ผมชินกรลูกแม่ภา ผมเอ่อ ประสบอุบัติเหตุมาจนเสียความทรงจำเลยกลับมารักษาตัวที่บ้าน”
ชายแก่พยักหน้ารับฟังพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร ถ้าไม่นับสร,ลุงคำก็มีชายแก่คนนี้แหละที่ชินกรดูแล้วรู้สึกได้ว่าเป็นอีกคนที่ดูเป็นมิตรแล้วไม่เสแสร้ง
“คุณตาจะไปไหนต่อครับ?”
“ตาก็จะไปเก็บเบ็ดที่ปักไว้ตามที่ต่างๆนั่นแหละ ถามทำไมล่ะเรา? อยากไปด้วยเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้นครับ ถ้าคุณตาไม่รังเกียจเพราะว่าวันนี้ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่พอดี ไปช่วยคุณตาเก็บเบ็ดน่าจะมีประโยชน์กว่านั่งๆนอนๆที่บ้าน”
ชายแก่หัวเราะชอบใจพร้อมกับเดินมาตบไหล่ชินกร
“เอาๆถ้าเบื่อก็มาช่วยตาแล้วกัน เดี๋ยวตาทำของเด็ดให้กิน”
วันนั้นทั้งวันชินกรเดินตามชายแก่ไปเก็บเบ็ดปักตามคันนา เมื่อคุยไปได้สักพักชินกรถึงรู้ว่าชายแก่ที่เขาคุยอยู่นั้นคือตาแสง ชื่อที่เขาจำได้ว่าเป็นคนที่ป้าวันมาเอายาต้มที่แม่ของเขาในคืนก่อนชายหนุ่มจึงได้ถามเรื่องสุขภาพกับตาแสง
“ตาเจ็บออดๆแอดๆมาเรื่อยๆแหละ ก็ได้ยาจากแม่เอ็งตาถึงยังมีชีวิตอยู่รอดจนถึงตอนนี้”
“ยาต้มของแม่ผมดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ผมไม่เคยรู้เลย”
“ดีสิ เอ็งรู้ไหมไอ้หนุ่ม? ว่าหลายปีที่แล้วสุขภาพตาเรียกได้ว่าขี้โรค เพราะตอนหนุ่มกินเหล้าสูบยาเส้นค่อนข้างหนัก เรียกว่าตายได้ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะแม่เอ็งที่ทำให้ตาดีขึ้น กินของบำรุงได้เยอะขึ้น”
ตาแสงเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีขณะที่เก็บปลาดุกตัวใหญ่จากเบ็ดปักได้
“เอาล่ะ เก็บครบหมดทุกตัวแล้ว กระท่อมตาอยู่ตรงใกล้ๆเดี๋ยวตาย่างปลาให้กิน”
ตาแสงพาชินกรเดินไปที่กระท่อมปลายนาของตนที่อยู่ไม่ไกลโดยลักษณะกระท่อมของตาแสงที่ชินกรเห็น คือกระท่อมไม้ไผ่ยกสูงต้องเดินขึ้นบันไดไม้ไผ่ขึ้นไป มีชานบ้านและก็หนึ่งห้องไว้สำหรับอยู่เท่านั้นโดยมีที่นอนและมุ้งเก่าสีซีดอยู่ด้านใน หลังคาก็มุงด้วยฟางแบบง่ายๆส่วนห้องน้ำตาแสงก็สร้างแยกไว้ด้านล่างไม่ไกลจากกระท่อมของแก ตาแสงเมื่อกลับมาถึงก็จัดแจงก่อกองไฟจากไม้ฝืนและก็ฟาง แล้วจัคการขอดเกล็ดปลาช่อนก่อนจะทาด้วยเกลือเสียบไม้ย่างข้างกองไฟ โดยชินกรนั่งอยู่บนขอนไม้ใหญ่ใกล้กองไฟที่เปรียบเสมือนเฟอร์นิเจอร์สำหรับรับแขกของกระท่อมตาแสง เวลาเริ่มเข้าบ่ายคล้อยปลาเผาของตาแสงเริ่มสุกกำลังดีส่งกลิ่นหอมไปทั่วจึงส่งมาให้กับชินกร
“ขอบคุณมากครับตา”
ชินกรรับมาพร้อมกับใช้มือฉีกหนังที่หมักเกลือไว้ออกจนเห็นเนื้อสีขาวฟูน่ารับประทาน ชายหนุ่มชิมเนื้อปลาช่อนย่างเกลือไปหนึ่งคำ
“โห ตาแสงอร่อยมากครับ นี่ผมไม่ได้พูดเวอร์นะ แต่เอาเท่าทีผมยังจำได้ผมไม่เคยกินปลาช่อนเผาที่อร่อยขนาดนี้เลย”
ตาแสงหัวเราะอย่างชอบใจ ขณะที่ชินกรหยิบเนื้อปลาช่อนเผามาทานอย่างต่อเนื่องอย่างเอร็ดอร่อยแล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ชินกรเงยหน้ามองตาแสงที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ตาแสงครับ ถ้าไม่รบกวนเกินไปผมขอถามอะไรตาได้ไหม?”
ตาแสงทำสีหน้าฉงนเมื่อได้ยินคำขอของชายหนุ่มรุ่นหลาน แกไม่ว่าอะไรได้แค่ยิ้มแล้วพยักหน้า
“ตาพอจะจำได้บ้างไหม? ว่าตอนที่ผมอาศัยอยู่กับแม่เมื่อก่อนนี้ผมเป็นคนยังไง?”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ สายลมแห่งทุ่งพัดผ่านคนทั้งสองชินกรมองดูตาแสงด้วยแววตาแห่งความหวังเพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ซึ่งผ่านมาแล้วหลายวัน ชินกรยังไม่รู้จักตัวตนของเขาเมื่อครั้งยังอาศัยอยู่กับแม่เมื่อหลายปีก่อนเลย มีเพียงสรที่หลุดปากแค่เรื่องหวานเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นทั้งสายตาของชาวบ้านที่มองเขาอย่างไม่เป็นมิตรไม่เว้นแม้แต่ป้าวันแม่ของเจ้าสรเพื่อนสนิท เรื่องของไอ้ชมที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำทั้งหมดคือสิ่งที่คาใจชินกรในขณะนี้ ตาแสงเหม่อมองไปที่นาที่เขียวขจีแล้วจึงเอ่ยปากถามเขากลับ
“แม่ภาเอ็งบอกว่าเอ็งเป็นคนยังไงล่ะ?”
“แม่ไม่ได้บอกอะไรครับ บอกเพียงแค่เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้วเพียงแค่นั้น”
“ในสายตาของคนเป็นแม่ เอ็งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวไม่ว่าเอ็งจะทำอะไร แม่ก็รักอยู่วันยังค่ำแต่ในสายตาของคนอื่น เอ็งในสมัยก่อนก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้าย เอ็งเป็นคนที่ฉลาดกว่าเด็กรุ่นเดียวกันจนเป็นที่รักของใครหลายคน”
“แต่สายตาที่ชาวบ้านมองผมมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ ผมมองออกว่าชาวบ้านหลายคนไม่ชอบผม หลายคนแสดงให้เห็นเลยว่าเกลียดผมด้วยซ้ำไป อย่างที่ผมบอกกับตาแสงว่าผมสูญเสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไปจนเกือบหมดสิ้น ผมถึงอยากจะกลับมารักษาตัวและก็จำให้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นยังไงกันแน่?”
ตาแสงมองไปที่ชินกรด้วยสายตาที่แน่นิ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆในลำคอ
“ถ้าเป็นเอ็งสมัยก่อน เอ็งรู้ไหม? ว่าเอ็งไม่มีทางจะมานั่งกินปลาเผาหรือคุยกับตาแบบนี้แน่”
“ทำไมครับ?”
“เพราะเอ็งเกลียดที่นี่ไง เอ็งเกลียดท้องนา เกลียดความเป็นบ้านนอก เอ็งเป็นคนฉลาดวันๆเอ็งเอาแต่อ่านหนังสือเรียนให้ได้เกรดดีๆ เอ็งพูดอยู่เสมอว่าเอ็งจะเรียนให้สูงเพื่อไปจากที่นี่ ฉะนั้นลืมเรื่องแบบที่เอ็งทำตอนนี้ได้เลย”
“ผมพูดแบบนั้นออกมาเลยเหรอครับ?”
“พูดสิ พูดกับแม่เอ็งเกือบทุกวัน พูดกับไอ้สรเพื่อนรักเอ็ง พูดกับไอ้ชม กับคนอื่นๆจนเป็นเรื่องปกติ”
เหมือนโดนตบหน้าจนชาชินกรนิ่งเงียบไป ตอนนี้เขาพยายามนึกตามคำพูดของตาแสงซึ่งก็รู้สึกคุ้นและจำได้รางๆไม่ชัดเจน
“ยังอยากจะฟังอยู่ต่อไหม? บางเรื่องถ้ารู้ไปแล้วเป็นทุกข์ตาว่าเอ็งจะหยุดก็ไม่ผิดนะ”
“ไม่ครับผมยังอยากฟัง” ชินกรยืนยันแววตามุ่งมั่น “ก่อนหน้านี้เจ้าสรเคยพาผมไปที่โรงเรียนเก่าสมัยประถมที่ร้างไปแล้ว ที่นั่นทำให้ผมพอจะจำตัวเองในวัยเด็กได้แต่ในช่วงเวลาย่างเข้าสู่มัธยมขึ้นไปโดยเฉพาะช่วงเวลาวัยรุ่นที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ผมจำไม่ได้เลย ผมอยากจะรู้จริงๆครับ”
“โฮ่ ไอ้สรพาเอ็งไปที่โรงเรียงร้างเชียวหรือ? นอกจากมันพาไปมันได้บอกอะไรเอ็งอีกไหมล่ะ?”
ชินกรลังเลที่จะบอกตาแสงเรื่องที่สรหลุดปากเรื่องหวานให้เขาฟัง
“ไม่ครับ ไม่ได้บอกอะไรทั้งนั้น”
ชินกรเลือกที่จะรักษาสัญญาที่จะไม่บอกใครว่าเขารู้เรื่องของหวานมาจากสร ตาแสงขยับฟืนที่ลุกไหม้ก่อนจะส่งปลากดุกย่างเกลือให้กับชินกรไปอีกตัว
“ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวเหรออย่างนั้นเชียวหรือครับ?”
ชายหนุ่มดึงตาแสงกลับมาคุยข้อสนทนาเดิมอีกครั้ง ตามนิสัยทนายที่ดีคือเมื่อเห็นหนทางหรือข้อเท็จจริงที่ต้องการย่อมจะกัดไม่ปล่อย
“เห็นแก่ตัวเรื่องอะไรล่ะ?”
“ก็เรื่องที่ผมเที่ยวบอกใครต่อใครเรื่องที่วันหนึ่งจะย้ายออกไปจากที่นี่”
“ตาว่ามันเป็นสิทธิ์ของเอ็งนะที่จะไม่อยากอยู่ที่นี่ สำหรับตาเรื่องนั้นเอ็งไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวเลย”
“แล้วเรื่องอะไรล่ะครับที่ทำให้ชาวบ้านดูไม่ชอบผมเลย?”
ตาแสงมองมาที่ชินกรซึ่งเขาสังเกตว่าบัดนี้รอยยิ้มที่เป็นมิตรของตาแสงได้หายไปแล้ว เหลือแต่แววตาที่จ้องมองเขายากที่จะหยั่งถึงว่าตาแสงคิดอะไรอยู่
“รู้อะไรไหม? ตาเคยติดบุญคุณแม่ภาของเอ็งที่ทำให้ตายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตาเลยไม่เคยเกลียดเอ็งแบบที่คนอื่นเป็น แต่สำหรับคนอื่นสิ่งที่เอ็งทำมันทำให้เขาตกนรกทั้งเป็น”
“ผมทำอะไรไปครับตาแสง?”
ชินกรถามด้วยความร้อนรนเพราะคำพูดของตาแสงนั้นกระตุ้นความอยากรู้ของเขาถึงที่สุด แต่ก่อนตาแสงจะได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อเสียงทักทายมาแต่ไกลก็ดังขึ้น เมื่อชายหนุ่มหันไปมองปรากฏว่าเป็นลุงคำผู้ใหญ่บ้านนั้นเองที่ถือปืนลูกกรดสะพายบ่าพร้อมกับคาบยาเส้นเดินตรงมาที่ทั้งสองคน
“เฮ้อ ตาคงไม่ได้บอกเอ็งเสียแล้วล่ะลูกเอ๊ย มีคนมาขัดจังหวะเสียแล้ว”
ตาแสงบ่นอิดออดสายตาเหนื่อยหน่ายใจฉายให้เห็นอย่างเด่นชัด
“เอาเป็นว่าถ้าเอ็งอยากจะรู้จดจำคำพูดที่ตาบอกให้ฟังต่อไปนี้ให้ดี .......”
ชินกรจดจำคำพูดของตาแสงที่บอกเขามา ขณะที่ลุงคำเดินเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงทั้งสองคน
“เอ็งจำไว้ว่าอย่าจดสิ่งที่ตาบอกในกระดาษเด็ดขาด ให้ท่องจำไว้อย่างเดียวเท่านั้นเพราะมีบางคนไม่อยากให้เอ็งจำอะไรได้ จำไว้ให้ดี”
ตาแสงกำชับมั่นขณะที่ลุงคำก็เดินเข้ามาถึงที่ที่ทั้งสองคนนั่งอยู่พอดี ชินกรจับจ้องไปที่ลุงคำเห็นแกมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วก็เหลือบมองตาแสงอย่างคนจับผิดสังเกต
“คุยอะไรกันล่ะกรดูน่าสนุกเชียว?”
ปากถามเขาแต่สายตายังเหลือบมองตาแสงที่บัดนี้แกล้งเอาไม้เขี่ยถ่านที่อยู่ในกองไฟ
“คือผมเบื่อๆครับ แล้วเห็นตาแสงเก็บเบ็ดปักพอดีก็เลยอาสาช่วย ตาเขาก็เลยย่างปลาให้กิน”
ลุงคำมองไปที่กองไฟที่มีปลาช่อนกับปลาดุกย่างทิ้งไว้แล้วกวาดตาไปมองซากปลาที่ชินกรกิน มีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
“อ้อ อย่างนั้นเองหรือ? ถ้าเบื่อๆบอกลุงก็ได้ลุงจะได้พาเอ็งไปล่าสัตว์ จะได้ไม่จับเจ่าอยู่ที่บ้าน”
ชินกรพยักหน้ารับคำ “ว่าแต่ลุงคำเดินมาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ? แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”
“เออใช่!” ลุงคำทำท่าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก “ลุงมาตามเอ็งเพราะว่ามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเอ็งเกี่ยวกับพวกไอ้ชม ส่วนเรื่องที่รู้ว่าเอ็งอยู่ที่นี่ก็เพราะมีคนเห็นเอ็งคุยอยู่กับตาแสงลุงก็เลยเดินมาตามไง”
“เรื่องของไอ้ชม มีอะไรหรือครับ?”
“เรื่องใหญ่เลยล่ะ เดี๋ยวลุงพาเอ็งเดินกลับบ้านแล้วก็เล่าไปด้วยละกัน”
ลุงคำพาชินกรเดินจากไปแล้วโดยตาแสงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เหม่อมองหลังของทั้งสองคนเดินห่างจากกระท่อมปลายนาแกไปเรื่อยๆ กองไฟที่ก่อไว้ลุกพรึบพรับเมื่อหันไปมองตาแสงเห็นปลาที่ย่างไว้ให้ชายหนุ่มติดไหม้ไฟก่อนที่แกจะใช้มือเปล่าๆหยิบปลาช่อนกับปลาดุกที่เสียบไม้โยนเข้าไปในกองไฟให้มอดไหม้ ส่วนตาแสงเอี้ยวตัวไปที่ด้านข้างหยิบข้องใส่ปลาเอามือล้วงหยิบปลาดุกนาที่ยังดิ้นอยู่ในมือ แล้วใช้ปากกัดเนื้อปลาดุกดิบกินอย่างตะกละตะกลาม!
ระหว่างที่ชินกรเดินกลับบ้านไปกับลุงคำเขาได้รับรู้ข้อมูลที่ลุงคำได้นำมาบอกนั่นคือ ตำรวจรู้ตัวคนที่ฆาตกรรมชายผู้โชคร้ายเมื่อวานนี้ซึ่งก็คือไอ้ชมนั่นเอง เพราะตำรวจพบรถกระบะสีดำของไอ้ชมจอดทิ้งไว้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านบ้านวังสาโดยไม่พบตัวเจ้าของรถ แต่ตำรวจพบหลักฐานนั่นคือแผลรอยชนจากหน้ารถกระบะสีดำที่ตรงกับสีรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ตาย ตอนนี้ตำรวจจึงตั้งข้อหากับไอ้ชมและพรรคพวกพร้อมกับจัดทีมตามล่าตัวอยู่ในขณะนี้
“ลุงรู้จากแม่ภาว่าพวกมันก็ปองร้ายกรอยู่ ลุงก็เลยเป็นห่วงเลยไปตามเราดู”
“ขอบคุณลุงคำมากครับที่เป็นห่วงผม ผมจะระวังตัวให้ดี”
“อย่าดูถูกไอ้ชมมัน ไอ้นี่มันสันดานอันธพาลเหมือนพ่อมัน ทางที่ดีกรไปไหนควรอยู่ใกล้ๆเจ้าสรไว้ตลอดดีกว่า”
ลุงคำพาชินกรมาส่งตรงใกล้บ้านนางภาพร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาชายหนุ่มไปล่าสัตว์แก้เบื่อ โดยจะชวนสรไปด้วยอีกหนึ่งคน หลังจากแยกกับลุงคำแล้วชินกรก็เดินกลับบ้านแล้วพบว่าสรนั่งรอเขาอยู่ที่บ้าน โดยสรขอโทษเขาเป็นการใหญ่ที่ไม่ได้อยู่บ้านวันนี้เพราะต้องพาพ่อไปหาหมอที่อำเภอ
“ช่างเถอะ แกมีธุระนี่แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากให้แกช่วยหน่อย”
“ช่วยเรื่องอะไร?”
“ตอนนี้ฉันอยากได้รถเช่าสักคัน แกช่วยเป็นธุระหาให้ฉันหน่อย ฉันมีธุระที่อาจต้องออกนอกอำเภอ”
ชินกรไม่อาจจะปิดบังเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับนางภาได้เมื่อแม่ของเขาสอบถามเรื่องที่หายไปวันนี้ทั้งวัน ชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังเรื่องที่เกินขึ้นทั้งหมด นางภามีสีหน้าโกรธไอ้ชมกับลูกสมุนทั้งสองคนมาก
“มันบังอาจคิดทำร้ายลูกของแม่เชียวหรือ? พวกมันวอนหาเรื่องเสียแล้ว”
“พวกมันยังไม่ทันได้ทำร้ายผมครับแม่ ถ้ามันทำผมจะเอาเรื่องมันตามกฎหมายให้ถึงที่สุด”
“พวกมันจะไม่โอกาสนั้นหรอกลูกกรของแม่”
“แม่หมายความว่ายังไงครับ?”
ชินกรถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเพราะแววตาของแม่เขาตอนนี้ช่างน่ากลัวอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“แม่จะไปบอกกับลุงคำว่ามันคิดจะทำอะไรกร ให้ลุงคำกำราบพวกมันก่อนที่มันจะทำร้ายลูกแม่”
ชินกรรู้สึกเบาใจที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้ เมื่อแม่ของเขาเอ่ยชื่อลุงคำจู่ๆชินกรก็นึกเรื่องของสรขึ้นมาได้
“ลุงคำกลับมาแล้วเจ้าสรล่ะแม่มันเป็นยังไงบ้าง? ตำรวจคุมขังเจ้าสรไหม?”
“ไม่ได้โดนขังอะไรหรอก ตำรวจแค่เอาไปสอบปากคำและตรวจดูรอยแผลของรถกระบะเจ้าสรมันแล้วพบว่าเป็นคนละคันกับที่ชนมอเตอร์ไซค์คนที่ตาย ตอนนี้ตำรวจเขาก็ปล่อยมันมาละ ก่อนที่กรจะกลับมาเจ้าสรมันยังมาหาเราอยู่เลยแถมพอรู้ว่าเรายังไม่กลับก็เห็นทำหน้าตาห่วงเราอยู่ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราซึ่งมันก็เกิดขึ้นจริงๆ”
นางภาบ่นด้วยความเป็นห่วงลูกชายเธอเข้ามาสวมกอดพร้อมกับลูบศีรษะอย่างทะนุถนอม
“ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมแม่ถึงไม่อยากให้เราออกไปไกลจากบ้าน”
“ผมรู้ครับว่าแม่ห่วงผม แต่ผมก็ยังดูแลตัวเองดีอยู่ ผมโตแล้วนะครับแม่”
นางภาสวมกอดลูกชายด้วยความรักและห่วงใย ชินกรรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำให้มารดาต้องห่วงเขาถึงขนาดนี้พร้อมกับไม่เข้าใจตนเองจริงๆว่าเหตุใดเมื่อหลายปีก่อนเขาจึงได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปทั้งๆที่เขาก็มีแม่ที่รักและห่วงใยเขาขนาดนี้ ยังไม่รวมกับเรื่องคาใจกับสาวปริศนาที่ช่วยเขาไว้ได้พูดทิ้งให้คิดไม่ตกอีก
“เธอทำเรื่องที่เลวร้ายกว่านั้นมาก!”
เรื่องเลวร้ายนอกจากทิ้งหวานที่กำลังท้องจนต้องฆ่าตัวตายยังมีเรื่องอะไรอีก? ระหว่างที่ชินกรพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เขาไม่ได้สังเกตถึงแววตาสีแดงเลือดของมารดาที่เรืองขึ้นมาในเงามืดราวกับเสือที่กำลังหมายปองเหยื่อ!
คืนนี้อากาศหนาวที่บ้านของไอ้เขียวนอนหลับอยู่ด้านข้างมีขวดเหล้าและซากไก่ที่แทะเหลือแต่กระดูก ข้างๆกันนั้นไอ้ดำก็กำลังกระดกเหล้าเข้าปากพร้อมด้วยอาการมึนเมา ทั้งสองคนดวดเหล้ากับลูกพี่คือไอ้ชมมาตั้งแต่หัวค่ำหลังจากได้รู้ว่าชินกรกลับไปถึงบ้านโดยรอดสายตาของพวกมันได้ ไอ้ชมจึงมากินเหล้าย้อมใจด้วยหวังโอกาสครั้งใหม่ที่จะคิดบัญชีแค้นกับชินกรให้ได้ หลังจากดวดเหล้าไปพักใหญ่ไอ้ชมก็อาสาขับรถกระบะของตนไปซื้อเหล้ามาเพิ่มเพราะเห็นสภาพลูกสมุนตัวเองแล้วคงไม่มีปัญญาขับรถไปแน่ปล่อยให้ไอ้เขียวกับไอ้ดำนั่งนอนรอลูกพี่มันอย่างหมดสภาพ ไอ้ดำที่ถึงจะเมาแต่ยังมีสติอยู่บ้างได้ยินเสียงเปิดประตูรั้วบ้านที่ทำมาจากไผ่มันจึงหันไปมองเห็นเป็นเงาดำของใครบางคนเดินเข้ามา มันหรี่ตามองเพื่อจะมองให้ชัดๆพร้อมป้องปากถามออกไป
“ใครวะ? พี่ชมหรือเปล่าพี่? ทำไมกลับมาเร็วจัง?”
ไม่มีเสียงตอบจากอาคันตุกะยามวิกาลเงาดำร่างนั้นยังคงก้าวเดินมา อากาศรอบตัวของมันรับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกแบบไม่ธรรมดาที่หนาวเย็นขึ้นจนขนหัวตั้ง ไอ้ดำเริ่มรู้ตัวถึงความไม่ปกติของเงาดำผู้มาเยือนนั้นมันค่อยๆถอยหลังขณะที่บัดนี้เงาดำนั้นขึ้นบันไดมาบนชานบ้านที่มันสองคนนั่งดวดเหล้าแล้ว!
ไอ้ดำเห็นลักษณะของเงาดำนั้นเป็นลักษณะผู้หญิงร่างสูงชะรูดผมมีลักษณะกระเซอะกระเซิงราวกับคนบ้า แขนขายาวเรียวเกินกว่าจะเป็นมนุษย์และที่ทำให้อันธพาลอย่างไอ้ดำต้องถึงกับฉี่ราดในเวลานี้คือดวงตาที่แดงเลือด สีเลือดยิ่งกว่าตาเรืองแสงของไอ้ดำเสียอีกมันดูราวหลุดมาจากขุมนรกอย่างไรอย่างนั้น!
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ไอ้ดำได้ยินเสียงเลียลิ้นอย่างตะกละตะกลามออกมาจากเงาดำชวนสยองนั่น มันรีบถอยรูดไปจนชนประตูบ้านโดยปล่อยให้ไอ้เขียวเพื่อนสนิทนอนขวางทางเดินเงาดำตนนั้น ไอ้ดำเห็นสายตาที่แดงของมันเหลือบมองไปที่ไอ้เขียวไม่ถึงอึดใจก่อนจะทันได้คิดอะไร มือที่เรียวยาวของเงาดำก็จับไปที่ศีรษะของไอ้เขียวพร้องกับกระชากขึ้น ก่อนที่มืออีกข้างจะกะซวกทะลุท้องของไอ้เขียว
สวบ!
เสียงดังที่สั้นแต่กระตุกขวัญของไอ้ดำที่เห็นภาพตรงหน้าจนแหลกไม่มีชิ้นดีเพราะมันเห็นเงาดำที่บัดนี้เสมือนมัจจุราชกำลังดึงตับไตไส้พุงของไอ้เขียวออกมากองอยู่ตรงหน้ามัน กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วชานบ้านเลือดไหลนองไปบนไม้กระดาน ทันใดนั้นเองไอ้ชมขับรถกระบะกลับมาพอดีพร้อมกับเลี้ยวเข้ามาในบ้าน แสงไฟหน้ารถก็สาดไปเจอกับภาพชวนสยองนั้นด้วย
“พี่ชม! พี่ชมช่วยฉันด้วย!”
ไอ้เขียวแหกปากพร้อมกับใช้แรงฮึดของมันจะวิ่งฝ่าเงาดำตนนั้น แต่อนิจจาเงาดำใช้แขนที่ยาวตวัดรัดมันก่อนจะถึงบันได
แผล่บ! แผล่บ! แผล่บ!
ไอ้เขียวได้ยินเสียงสยองในระยะที่ใกล้ความตายอย่างกระชั้นชิด เงาดำเอี้ยวศีรษะแล้วอ้าปากที่กว้างฟันแหลมเป็นซี่กัดเข้าไปที่ลำคอของไอ้ดำจนตัวมันไม่สามารถแหกปากได้อีก ไอ้ชมที่อยู่บนรถกระบะเห็นภาพชวนสยองตรงหน้ามันทำได้เพียงนั่งมองน้ำตาไหลโดยในมือของมันกำหมัดแน่นที่ไม่สามารถช่วยอะไรลูกน้องตนเองได้ แววตาที่เรืองแสงเป็นสีเลือดของไอ้เขียวค่อยๆหรี่ลงตามพลังงานชีวิตของมันและดับลงทันทีที่เงาดำกระชากศีรษะของมันออกจากคอไอ้เขียวจนเลือดที่คอของมันพุ่งกระฉูดเต็มบันไดบ้าน!
เอี๊ยดดดด บรื้นนนนน
ไอ้ชมรีบถอยรถกระบะสีดำของมันพร้อมกับเหยียบคันเร่งออกไปจากบ้านทันที มันไม่อยู่รอที่เงาดำมัจจุราชนั่นมาพรากเอาชีวิตมันไปอีกคน แต่ในคราวนี้มันไม่ลืมแน่กับความแค้นที่สองสมุนของมันต้องตายเพราะมันรู้ว่าเป็นฝีมือใคร?!
ชินกรตื่นขึ้นมากลางดึกถ้าเขาไม่รู้สึกไปเองเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้ชายมาจากที่ไหนของหมู่บ้านสักแห่ง ขณะกำลังจะลุกขึ้นเขาเห็นแววตาเรืองแสงสีเลือดของแม่ในความมืดที่รู้สึกตัวตื่นด้วยเช่นกัน
“มีอะไรเหรอกร? ตื่นขึ้นมาจะเข้าห้องน้ำหรือไง?”
“ผมว่าผมได้ยินเสียงคนกรีดร้อง ไม่ไกลจากบ้านเราด้วย”
นางภาลุกขึ้นมาเงี่ยหูฟังอยู่สักครู่ แล้วส่ายหน้า
“แม่ไม่ได้ยินอะไรเลยนะ กรหูฝาดแล้วล่ะ”
ชินกรเงี่ยหูฟังก็ไม่ได้ยินเสียงตามที่แม่ของเขาบอกเช่นกัน ชายหนุ่มจึงนอนลงโดยมีนางภาสวมกอดลูกชาย
“แม่ว่ากรคงจะเหนื่อยมากกว่ากับเรื่องที่เจอวันนี้ กรนอนเถอะตราบใดที่แม่ยังอยู่ไม่มีใครทำอะไรลูกแม่ได้”
ชินกรรู้สึกอบอุ่นเมื่อได้ฟังประโยคนี้จากแม่ของตน พร้อมกับจับมือแม่ที่สวมกอดเขาแล้วหลับไปอีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้นหมู่บ้านบ้านวังสาก็กลับมาเงียบสงบดั่งเดิม ไม่มีวี่แววความรุนแรงและนองเลือดเมื่อคืน ไม่มีแม้แต่ศพของไอ้เขียวและไอ้ดำ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้วยซ้ำเพราะไม่มีแม้แต่รอยเลือด! บ้านของไอ้ชมกับลูกสมุนเหลือเพียงความว่างเปล่าเมื่อลุงคำไปถึง จะมีเพียงเรื่องผิดปกติเรื่องเดียวคือประตูรั้วของบ้านไอ้ชมไม่ปิดราวกับรีบหนีบางสิ่งอย่างไรอย่างนั้น
เช้าวันนี้ชินกรตั้งใจจะใส่บาตรทำบุญแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนางภาได้บอกกับเขาว่า “ที่หมู่บ้านไม่มีพระมาบิณทบาตรนานแล้ว”
แต่ชินกรยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจเขาสอบถามมารดาว่ามีวัดไหนที่อยู่ใกล้ๆบ้างไหม? ซึ่งคำตอบที่ได้คืออยู่ห่างจากปากทางเข้าหมู่บ้านไปร่วมสิบกิโลเมตร เมื่อเป็นเช่นนั้นชินกรจึงต้องยอมแพ้เพราะเขาไม่มีรถที่จะสะดวกเดินทางเพื่อไปทำบุญ ชายหนุ่มหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จก็เตร็ดเตร่ไปหาสรเพื่อจะไปพูดคุยกับเรื่องราวเมื่อวานที่ถูกตำรวจคุมตัวไปเมื่อวาน ชายหนุ่มเดินไปมาตรงหน้าบ้านของสรเขาเห็นประตูรั้วปิดสนิทแถมในบ้านไม้ก็เงียบเชียบ แถมรถกระบะของเจ้าตัวก็ไม่อยู่ชินกรจึงหันหลังจะเดินกลับบ้าน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่างเปิดออกพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วซึ่งเขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของป้าวันแม่ของสร
“สรไม่อยู่จ๊ะกร มีอะไรจะฝากป้าไว้ไหม?”
ป้าวันพูดด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแต่ในสายตาทนายอย่างชินกรเขารู้ดีว่าเป็นรอยยิ้มที่เสแสร้ง ชายหนุ่มถอนหายใจเล็กๆเขาเริ่มจะชินกับเบื่อหน่ายกับอากัปกิริยาของคนที่นี่ต่อเขาแล้ว
“ไม่มีหรอกครับป้า ผมแค่เดินมาพูดคุยเฉยๆ ถ้าไม่อยู่ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมกลับบ้านก่อนแล้วกัน”
ชินกรยกมือไหว้ป้าวันแล้วเดินจากมาทันที เขาเริ่มจะเซ็งกับการที่ไม่มีอะไรทำนอกจากเดินไปมาเพื่อพูดคุยได้แค่กับแม่และสรเท่านั้น ระหว่างทางที่เดินกลับมาที่บ้านชินกรสังเกตเห็นทางเล็กระหว่างรั้วบ้านที่มองไปจะเห็นคันนาทอดยาวที่นั่นเขาเห็นชายแก่คนหนึ่งรูปร่างเล็กแต่ดูแข็งแรงกำลังก้มๆเงยๆอยู่ตรงคันนานั้น ด้วยความเซ็งที่ไม่รู้จะทำอะไรอยู่แล้วชินกรเดินเข้าไปตามทางเล็กนั่นก่อนจะทะลุไปตรงคันนาทีที่ทอดคั่นกลางนาข้าวเขียวชอุ่มหลายสิบไร่แล้วมาหยุดตรงที่ชายแก่
“คุณตากำลังทำอะไรอยู่เหรอครับ?”
ชายแก่เงยหน้ามองดูชินกรที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร ชายแก่ยิ้มให้ตาม
“กำลังเก็บเบ็ดที่ปักอยู่ลูกเอ๊ย”
ชินกรมองดูที่มือของชายแก่เห็นคันเบ็ดที่ทำมาจากไม้ไผ่โดยเหลาเป็นเรียวเล็กขนาดพอประมาณ ปลายไม้มีเส้นเอ็นยาวผูกไว้กับเบ็ดที่ใส่เหยื่อโดยชายหนุ่มเห็นมีปลาช่อนติดเบ็ดปักดิ้นรนอยู่ในมือ ชายแก่ใช้ความชำนาญจัคการปลดเบ็ดที่เกี่ยวปากปลาช่อนก่อนจะเอาใส่ข้องใส่ปลาที่สะพายอยู่ที่ไหล่ ชินกรมองดูภาพตรงหน้าอย่างสนใจในขณะที่ชายแก่ก็หันมาพูดกับเขา
“ลูกชายของแม่ภาใช่ไหม? ไม่ได้เห็นหน้าตั้งหลายปี”
“ใช่ครับ ผมชินกรลูกแม่ภา ผมเอ่อ ประสบอุบัติเหตุมาจนเสียความทรงจำเลยกลับมารักษาตัวที่บ้าน”
ชายแก่พยักหน้ารับฟังพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร ถ้าไม่นับสร,ลุงคำก็มีชายแก่คนนี้แหละที่ชินกรดูแล้วรู้สึกได้ว่าเป็นอีกคนที่ดูเป็นมิตรแล้วไม่เสแสร้ง
“คุณตาจะไปไหนต่อครับ?”
“ตาก็จะไปเก็บเบ็ดที่ปักไว้ตามที่ต่างๆนั่นแหละ ถามทำไมล่ะเรา? อยากไปด้วยเหรอ?”
“ก็ประมาณนั้นครับ ถ้าคุณตาไม่รังเกียจเพราะว่าวันนี้ผมก็ไม่รู้จะทำอะไรอยู่พอดี ไปช่วยคุณตาเก็บเบ็ดน่าจะมีประโยชน์กว่านั่งๆนอนๆที่บ้าน”
ชายแก่หัวเราะชอบใจพร้อมกับเดินมาตบไหล่ชินกร
“เอาๆถ้าเบื่อก็มาช่วยตาแล้วกัน เดี๋ยวตาทำของเด็ดให้กิน”
วันนั้นทั้งวันชินกรเดินตามชายแก่ไปเก็บเบ็ดปักตามคันนา เมื่อคุยไปได้สักพักชินกรถึงรู้ว่าชายแก่ที่เขาคุยอยู่นั้นคือตาแสง ชื่อที่เขาจำได้ว่าเป็นคนที่ป้าวันมาเอายาต้มที่แม่ของเขาในคืนก่อนชายหนุ่มจึงได้ถามเรื่องสุขภาพกับตาแสง
“ตาเจ็บออดๆแอดๆมาเรื่อยๆแหละ ก็ได้ยาจากแม่เอ็งตาถึงยังมีชีวิตอยู่รอดจนถึงตอนนี้”
“ยาต้มของแม่ผมดีขนาดนั้นเลยเหรอครับ? ผมไม่เคยรู้เลย”
“ดีสิ เอ็งรู้ไหมไอ้หนุ่ม? ว่าหลายปีที่แล้วสุขภาพตาเรียกได้ว่าขี้โรค เพราะตอนหนุ่มกินเหล้าสูบยาเส้นค่อนข้างหนัก เรียกว่าตายได้ทุกเมื่อเชื่อวันเพราะแม่เอ็งที่ทำให้ตาดีขึ้น กินของบำรุงได้เยอะขึ้น”
ตาแสงเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดีขณะที่เก็บปลาดุกตัวใหญ่จากเบ็ดปักได้
“เอาล่ะ เก็บครบหมดทุกตัวแล้ว กระท่อมตาอยู่ตรงใกล้ๆเดี๋ยวตาย่างปลาให้กิน”
ตาแสงพาชินกรเดินไปที่กระท่อมปลายนาของตนที่อยู่ไม่ไกลโดยลักษณะกระท่อมของตาแสงที่ชินกรเห็น คือกระท่อมไม้ไผ่ยกสูงต้องเดินขึ้นบันไดไม้ไผ่ขึ้นไป มีชานบ้านและก็หนึ่งห้องไว้สำหรับอยู่เท่านั้นโดยมีที่นอนและมุ้งเก่าสีซีดอยู่ด้านใน หลังคาก็มุงด้วยฟางแบบง่ายๆส่วนห้องน้ำตาแสงก็สร้างแยกไว้ด้านล่างไม่ไกลจากกระท่อมของแก ตาแสงเมื่อกลับมาถึงก็จัดแจงก่อกองไฟจากไม้ฝืนและก็ฟาง แล้วจัคการขอดเกล็ดปลาช่อนก่อนจะทาด้วยเกลือเสียบไม้ย่างข้างกองไฟ โดยชินกรนั่งอยู่บนขอนไม้ใหญ่ใกล้กองไฟที่เปรียบเสมือนเฟอร์นิเจอร์สำหรับรับแขกของกระท่อมตาแสง เวลาเริ่มเข้าบ่ายคล้อยปลาเผาของตาแสงเริ่มสุกกำลังดีส่งกลิ่นหอมไปทั่วจึงส่งมาให้กับชินกร
“ขอบคุณมากครับตา”
ชินกรรับมาพร้อมกับใช้มือฉีกหนังที่หมักเกลือไว้ออกจนเห็นเนื้อสีขาวฟูน่ารับประทาน ชายหนุ่มชิมเนื้อปลาช่อนย่างเกลือไปหนึ่งคำ
“โห ตาแสงอร่อยมากครับ นี่ผมไม่ได้พูดเวอร์นะ แต่เอาเท่าทีผมยังจำได้ผมไม่เคยกินปลาช่อนเผาที่อร่อยขนาดนี้เลย”
ตาแสงหัวเราะอย่างชอบใจ ขณะที่ชินกรหยิบเนื้อปลาช่อนเผามาทานอย่างต่อเนื่องอย่างเอร็ดอร่อยแล้วจู่ๆความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ชินกรเงยหน้ามองตาแสงที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ตาแสงครับ ถ้าไม่รบกวนเกินไปผมขอถามอะไรตาได้ไหม?”
ตาแสงทำสีหน้าฉงนเมื่อได้ยินคำขอของชายหนุ่มรุ่นหลาน แกไม่ว่าอะไรได้แค่ยิ้มแล้วพยักหน้า
“ตาพอจะจำได้บ้างไหม? ว่าตอนที่ผมอาศัยอยู่กับแม่เมื่อก่อนนี้ผมเป็นคนยังไง?”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะ สายลมแห่งทุ่งพัดผ่านคนทั้งสองชินกรมองดูตาแสงด้วยแววตาแห่งความหวังเพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ซึ่งผ่านมาแล้วหลายวัน ชินกรยังไม่รู้จักตัวตนของเขาเมื่อครั้งยังอาศัยอยู่กับแม่เมื่อหลายปีก่อนเลย มีเพียงสรที่หลุดปากแค่เรื่องหวานเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นทั้งสายตาของชาวบ้านที่มองเขาอย่างไม่เป็นมิตรไม่เว้นแม้แต่ป้าวันแม่ของเจ้าสรเพื่อนสนิท เรื่องของไอ้ชมที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำทั้งหมดคือสิ่งที่คาใจชินกรในขณะนี้ ตาแสงเหม่อมองไปที่นาที่เขียวขจีแล้วจึงเอ่ยปากถามเขากลับ
“แม่ภาเอ็งบอกว่าเอ็งเป็นคนยังไงล่ะ?”
“แม่ไม่ได้บอกอะไรครับ บอกเพียงแค่เรื่องมันเป็นอดีตไปแล้วเพียงแค่นั้น”
“ในสายตาของคนเป็นแม่ เอ็งเป็นลูกชายเพียงคนเดียวไม่ว่าเอ็งจะทำอะไร แม่ก็รักอยู่วันยังค่ำแต่ในสายตาของคนอื่น เอ็งในสมัยก่อนก็ไม่ได้เป็นคนเลวร้าย เอ็งเป็นคนที่ฉลาดกว่าเด็กรุ่นเดียวกันจนเป็นที่รักของใครหลายคน”
“แต่สายตาที่ชาวบ้านมองผมมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ ผมมองออกว่าชาวบ้านหลายคนไม่ชอบผม หลายคนแสดงให้เห็นเลยว่าเกลียดผมด้วยซ้ำไป อย่างที่ผมบอกกับตาแสงว่าผมสูญเสียความทรงจำก่อนหน้านี้ไปจนเกือบหมดสิ้น ผมถึงอยากจะกลับมารักษาตัวและก็จำให้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นยังไงกันแน่?”
ตาแสงมองไปที่ชินกรด้วยสายตาที่แน่นิ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆในลำคอ
“ถ้าเป็นเอ็งสมัยก่อน เอ็งรู้ไหม? ว่าเอ็งไม่มีทางจะมานั่งกินปลาเผาหรือคุยกับตาแบบนี้แน่”
“ทำไมครับ?”
“เพราะเอ็งเกลียดที่นี่ไง เอ็งเกลียดท้องนา เกลียดความเป็นบ้านนอก เอ็งเป็นคนฉลาดวันๆเอ็งเอาแต่อ่านหนังสือเรียนให้ได้เกรดดีๆ เอ็งพูดอยู่เสมอว่าเอ็งจะเรียนให้สูงเพื่อไปจากที่นี่ ฉะนั้นลืมเรื่องแบบที่เอ็งทำตอนนี้ได้เลย”
“ผมพูดแบบนั้นออกมาเลยเหรอครับ?”
“พูดสิ พูดกับแม่เอ็งเกือบทุกวัน พูดกับไอ้สรเพื่อนรักเอ็ง พูดกับไอ้ชม กับคนอื่นๆจนเป็นเรื่องปกติ”
เหมือนโดนตบหน้าจนชาชินกรนิ่งเงียบไป ตอนนี้เขาพยายามนึกตามคำพูดของตาแสงซึ่งก็รู้สึกคุ้นและจำได้รางๆไม่ชัดเจน
“ยังอยากจะฟังอยู่ต่อไหม? บางเรื่องถ้ารู้ไปแล้วเป็นทุกข์ตาว่าเอ็งจะหยุดก็ไม่ผิดนะ”
“ไม่ครับผมยังอยากฟัง” ชินกรยืนยันแววตามุ่งมั่น “ก่อนหน้านี้เจ้าสรเคยพาผมไปที่โรงเรียนเก่าสมัยประถมที่ร้างไปแล้ว ที่นั่นทำให้ผมพอจะจำตัวเองในวัยเด็กได้แต่ในช่วงเวลาย่างเข้าสู่มัธยมขึ้นไปโดยเฉพาะช่วงเวลาวัยรุ่นที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ผมจำไม่ได้เลย ผมอยากจะรู้จริงๆครับ”
“โฮ่ ไอ้สรพาเอ็งไปที่โรงเรียงร้างเชียวหรือ? นอกจากมันพาไปมันได้บอกอะไรเอ็งอีกไหมล่ะ?”
ชินกรลังเลที่จะบอกตาแสงเรื่องที่สรหลุดปากเรื่องหวานให้เขาฟัง
“ไม่ครับ ไม่ได้บอกอะไรทั้งนั้น”
ชินกรเลือกที่จะรักษาสัญญาที่จะไม่บอกใครว่าเขารู้เรื่องของหวานมาจากสร ตาแสงขยับฟืนที่ลุกไหม้ก่อนจะส่งปลากดุกย่างเกลือให้กับชินกรไปอีกตัว
“ผมเป็นคนเห็นแก่ตัวเหรออย่างนั้นเชียวหรือครับ?”
ชายหนุ่มดึงตาแสงกลับมาคุยข้อสนทนาเดิมอีกครั้ง ตามนิสัยทนายที่ดีคือเมื่อเห็นหนทางหรือข้อเท็จจริงที่ต้องการย่อมจะกัดไม่ปล่อย
“เห็นแก่ตัวเรื่องอะไรล่ะ?”
“ก็เรื่องที่ผมเที่ยวบอกใครต่อใครเรื่องที่วันหนึ่งจะย้ายออกไปจากที่นี่”
“ตาว่ามันเป็นสิทธิ์ของเอ็งนะที่จะไม่อยากอยู่ที่นี่ สำหรับตาเรื่องนั้นเอ็งไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวเลย”
“แล้วเรื่องอะไรล่ะครับที่ทำให้ชาวบ้านดูไม่ชอบผมเลย?”
ตาแสงมองมาที่ชินกรซึ่งเขาสังเกตว่าบัดนี้รอยยิ้มที่เป็นมิตรของตาแสงได้หายไปแล้ว เหลือแต่แววตาที่จ้องมองเขายากที่จะหยั่งถึงว่าตาแสงคิดอะไรอยู่
“รู้อะไรไหม? ตาเคยติดบุญคุณแม่ภาของเอ็งที่ทำให้ตายังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ ตาเลยไม่เคยเกลียดเอ็งแบบที่คนอื่นเป็น แต่สำหรับคนอื่นสิ่งที่เอ็งทำมันทำให้เขาตกนรกทั้งเป็น”
“ผมทำอะไรไปครับตาแสง?”
ชินกรถามด้วยความร้อนรนเพราะคำพูดของตาแสงนั้นกระตุ้นความอยากรู้ของเขาถึงที่สุด แต่ก่อนตาแสงจะได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อเสียงทักทายมาแต่ไกลก็ดังขึ้น เมื่อชายหนุ่มหันไปมองปรากฏว่าเป็นลุงคำผู้ใหญ่บ้านนั้นเองที่ถือปืนลูกกรดสะพายบ่าพร้อมกับคาบยาเส้นเดินตรงมาที่ทั้งสองคน
“เฮ้อ ตาคงไม่ได้บอกเอ็งเสียแล้วล่ะลูกเอ๊ย มีคนมาขัดจังหวะเสียแล้ว”
ตาแสงบ่นอิดออดสายตาเหนื่อยหน่ายใจฉายให้เห็นอย่างเด่นชัด
“เอาเป็นว่าถ้าเอ็งอยากจะรู้จดจำคำพูดที่ตาบอกให้ฟังต่อไปนี้ให้ดี .......”
ชินกรจดจำคำพูดของตาแสงที่บอกเขามา ขณะที่ลุงคำเดินเข้ามาใกล้จนเกือบจะถึงทั้งสองคน
“เอ็งจำไว้ว่าอย่าจดสิ่งที่ตาบอกในกระดาษเด็ดขาด ให้ท่องจำไว้อย่างเดียวเท่านั้นเพราะมีบางคนไม่อยากให้เอ็งจำอะไรได้ จำไว้ให้ดี”
ตาแสงกำชับมั่นขณะที่ลุงคำก็เดินเข้ามาถึงที่ที่ทั้งสองคนนั่งอยู่พอดี ชินกรจับจ้องไปที่ลุงคำเห็นแกมองเขาด้วยรอยยิ้มแล้วก็เหลือบมองตาแสงอย่างคนจับผิดสังเกต
“คุยอะไรกันล่ะกรดูน่าสนุกเชียว?”
ปากถามเขาแต่สายตายังเหลือบมองตาแสงที่บัดนี้แกล้งเอาไม้เขี่ยถ่านที่อยู่ในกองไฟ
“คือผมเบื่อๆครับ แล้วเห็นตาแสงเก็บเบ็ดปักพอดีก็เลยอาสาช่วย ตาเขาก็เลยย่างปลาให้กิน”
ลุงคำมองไปที่กองไฟที่มีปลาช่อนกับปลาดุกย่างทิ้งไว้แล้วกวาดตาไปมองซากปลาที่ชินกรกิน มีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก
“อ้อ อย่างนั้นเองหรือ? ถ้าเบื่อๆบอกลุงก็ได้ลุงจะได้พาเอ็งไปล่าสัตว์ จะได้ไม่จับเจ่าอยู่ที่บ้าน”
ชินกรพยักหน้ารับคำ “ว่าแต่ลุงคำเดินมาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ? แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”
“เออใช่!” ลุงคำทำท่าเหมือนเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก “ลุงมาตามเอ็งเพราะว่ามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเอ็งเกี่ยวกับพวกไอ้ชม ส่วนเรื่องที่รู้ว่าเอ็งอยู่ที่นี่ก็เพราะมีคนเห็นเอ็งคุยอยู่กับตาแสงลุงก็เลยเดินมาตามไง”
“เรื่องของไอ้ชม มีอะไรหรือครับ?”
“เรื่องใหญ่เลยล่ะ เดี๋ยวลุงพาเอ็งเดินกลับบ้านแล้วก็เล่าไปด้วยละกัน”
ลุงคำพาชินกรเดินจากไปแล้วโดยตาแสงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เหม่อมองหลังของทั้งสองคนเดินห่างจากกระท่อมปลายนาแกไปเรื่อยๆ กองไฟที่ก่อไว้ลุกพรึบพรับเมื่อหันไปมองตาแสงเห็นปลาที่ย่างไว้ให้ชายหนุ่มติดไหม้ไฟก่อนที่แกจะใช้มือเปล่าๆหยิบปลาช่อนกับปลาดุกที่เสียบไม้โยนเข้าไปในกองไฟให้มอดไหม้ ส่วนตาแสงเอี้ยวตัวไปที่ด้านข้างหยิบข้องใส่ปลาเอามือล้วงหยิบปลาดุกนาที่ยังดิ้นอยู่ในมือ แล้วใช้ปากกัดเนื้อปลาดุกดิบกินอย่างตะกละตะกลาม!
ระหว่างที่ชินกรเดินกลับบ้านไปกับลุงคำเขาได้รับรู้ข้อมูลที่ลุงคำได้นำมาบอกนั่นคือ ตำรวจรู้ตัวคนที่ฆาตกรรมชายผู้โชคร้ายเมื่อวานนี้ซึ่งก็คือไอ้ชมนั่นเอง เพราะตำรวจพบรถกระบะสีดำของไอ้ชมจอดทิ้งไว้อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านบ้านวังสาโดยไม่พบตัวเจ้าของรถ แต่ตำรวจพบหลักฐานนั่นคือแผลรอยชนจากหน้ารถกระบะสีดำที่ตรงกับสีรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ตาย ตอนนี้ตำรวจจึงตั้งข้อหากับไอ้ชมและพรรคพวกพร้อมกับจัดทีมตามล่าตัวอยู่ในขณะนี้
“ลุงรู้จากแม่ภาว่าพวกมันก็ปองร้ายกรอยู่ ลุงก็เลยเป็นห่วงเลยไปตามเราดู”
“ขอบคุณลุงคำมากครับที่เป็นห่วงผม ผมจะระวังตัวให้ดี”
“อย่าดูถูกไอ้ชมมัน ไอ้นี่มันสันดานอันธพาลเหมือนพ่อมัน ทางที่ดีกรไปไหนควรอยู่ใกล้ๆเจ้าสรไว้ตลอดดีกว่า”
ลุงคำพาชินกรมาส่งตรงใกล้บ้านนางภาพร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาชายหนุ่มไปล่าสัตว์แก้เบื่อ โดยจะชวนสรไปด้วยอีกหนึ่งคน หลังจากแยกกับลุงคำแล้วชินกรก็เดินกลับบ้านแล้วพบว่าสรนั่งรอเขาอยู่ที่บ้าน โดยสรขอโทษเขาเป็นการใหญ่ที่ไม่ได้อยู่บ้านวันนี้เพราะต้องพาพ่อไปหาหมอที่อำเภอ
“ช่างเถอะ แกมีธุระนี่แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องหนึ่งอยากให้แกช่วยหน่อย”
“ช่วยเรื่องอะไร?”
“ตอนนี้ฉันอยากได้รถเช่าสักคัน แกช่วยเป็นธุระหาให้ฉันหน่อย ฉันมีธุระที่อาจต้องออกนอกอำเภอ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ