ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  16.99K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่5 การล่าสัตว์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท5  เข้าป่าล่าสัตว์

 

 

 

 

              หลังจากจัคการสั่งธุระให้สรไปหารถเช่าสักคันพร้อมกับให้เงินไป  ชินกรก็เดินขึ้นไปบนบ้านเห็นนางภาแม่ของเขาทำกับข้าวอยู่        นางภาถามชายหนุ่มหายไปไหนมาทั้งวัน? ชินกรก็เล่าให้ฟังทั้งหมดรวมไปถึงเรื่องที่ไอ้ชมตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าคนตายด้วย

              “ลูกต้องระวังไอ้ชมให้ดี ไปไหนมาไหนก็ต้องมีเจ้าสรหรือลุงคำไปด้วยเข้าใจไหม?”

              นั่นคือคำประกาศิตจากมารดาที่ทั้งจริงจังและออกคำสั่งไปพร้อมกัน   ชินกรจึงขอตัวไปอาบน้ำก่อนที่จะรับประทานอาหารเย็น 

 

 

              ชินกรอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำเขานุ่งผ้าเช็ดตัวกำลังจะเดินผ่านต้นมะม่วงที่อยู่หน้าห้องน้ำ    ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงมากทางดงสวนหลังบ้านที่เขาจำได้ว่าที่นั่นมีศาลบรรพบุรุษของเขาตั้งอยู่      ชินกรจึงหยุดพร้อมกับเงี่ยหูฟังเขาได้ยินเสียงคนเดินสวบสาบอยู่ในสวนหลังบ้านไม่ผิดแน่      นี่ก็ยังไม่เย็นค่ำถึงขนาดฟ้ามืดชินกรจึงตัดสินใจเดินเข้าไปดูชายหนุ่มเดินเข้าไปที่สวนหลังบ้าน    เขายังได้ยินเสียงแม่ของเขาตำน้ำพริกอยู่ที่ครัว ขณะที่เสียงเดินสวบสาบในดงสวนหลังบ้านได้เงียบไปแล้ว      ชายหนุ่มหยุดชะงักไม่กล้าเข้าไปข้างในเพราะยังจำได้ว่าเขารู้สึกไม่ถูกชะตากับศาลไม้ที่อยู่ท้ายสวนนี่เลย

              “ทำอะไรอยู่เหรอจ๊ะ?”

              ชินกรสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงใสมาจากทางด้านหลัง เมื่อเขาหันไปมองพบว่าเป็นสาวปริศนาที่เคยช่วยเขาไว้เมื่อวานนี้นี่เอง

              “เธอ...เธอมาจากไหน? เข้ามาที่บ้านฉันได้ยังไง?”

              “ก็เธอไม่ปิดประตูรั้วนี่  ที่นี่น่ะนะบ้านไหนเปิดประตูรั้วไว้ ใครก็เข้ามาได้ทั้งนั้นแหละ”

              “อ้อเหรอ นี่เพิ่งรู้ว่าคนที่นี่เขามีธรรมเนียมกันแบบนี้”

              ชายหนุ่มแซวหญิงปริศนาพร้อมกับรอยยิ้ม   ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่เขาก็ไม่ได้คุยกับใครแล้วรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนที่สำคัญชินกรรู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงที่เขายังไม่รู้จักชื่อคนนี้เหลือเกิน

              “ฉันมีเรื่องอยากจะเตือนเธอ”

              “เตือนเรื่องอะไร?”

              “พรุ่งนี้เธออย่าไปไหน ขอให้อยู่แต่ในบ้าน”

              เป็นคำขอที่แปลกสำหรับชินกรที่จู่ๆสาวปริศนาก็มาขอให้เขาอยู่แต่ในบ้านในวันพรุ่งนี้  เขามองสังเกตไปที่หญิงสาวปริศนาเห็นว่าเธอยังคงสวมชุดเดิมที่เจอกันเมื่อวาน แต่บางอย่างที่ดูไม่เหมือนก็คิดแววตาเธอดูจริงจังขึ้น

              “คงไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ฉันรับปากลุงคำไว้ว่าจะไปล่าสัตว์กับแก”

              “ถ้าเธอไม่อยากมีอันตรายก็ฟังฉัน!”

              น้ำเสียงสาวปริศนาเคร่งขรึมแลจริงจัง  ชินกรหรี่ตามอง

             “เธอเป็นใครกันแน่บอกฉันได้ไหม? แล้วทำไมพรุ่งนี้ฉันถึงจะเป็นอันตราย?”

              หญิงสาวปริศนามีท่าทีอึกอักที่จะตอบคำถาม ชินกรถอนหายใจดังเฮือกใหญ่

               “ทำไมคนที่นี่ถึงได้ขยันมีความลับกับฉันจัง?  บอกหน่อยได้ไหมคุณสาวปริศนา?”

              “ฉันบอกเธอได้ แต่ฉันกลัว”

              “กลัวอะไร?”

              “กลัวว่าเธอจะกลัวฉัน”

              ชินกรเริ่มฉงนมากขึ้นเขากำลังจะเอ่ยปากถามแต่เธอกลับพูดด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนแลกระซิบ

              “เชื่อฉัน  อย่าไปล่าสัตว์ในวันพรุ่งนี้”

              พูดจบสาวปริศนาก็วิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นทันที ชินกรรีบวิ่งตามโดยทิศทางที่เธอวิ่งไปนั้นคือตรงประตูรั้วหน้าบ้าน   ทว่าพอเขาวิ่งมาถึงตรงประตูรั้วที่เปิดทิ้งไว้ก็ไม่เจอเธอเสียแล้ว!  ชินกรได้แต่ยืนงงกับการปรากฏตัวและหายไปอย่างลึกลับของเธอรวมไปถึงคำเตือนสำหรับวันพรุ่งนี้

 

              เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากทานอาหารเช้าชินกรนั่งอยู่ตรงแคร่ใต้ถุนบ้าน คำพูดของหญิงสาวปริศนายังคงวนเวียนอยู่ในโสตสำนึก    พอสายหน่อยทั้งลุงคำและสรก็มาหาที่บ้านโดยลุงคำนั้นมาพร้อมกับปืนลูกกรดพร้อมย่ามสะพายของแก  ขณะที่สรนั้นเอาหน้าไม้มาพร้อมกระบอกใส่ลูกดอกสะพายหลังไว้    ทั้งสองคนทำสีหน้าแปลกใจเมื่อยังเห็นชินกรยังอยู่ในชุดลำลองอยู่ใต้ถุนบ้าน 

           “แกจะไม่ไปล่าสัตว์กับฉันและลุงคำเหรอ?”

           สรถามชินกรด้วยน้ำเสียงที่เสียดาย ขณะที่ลุงคำก็ถามอย่างสงสัยเช่นกัน

              “นั่นสิ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่ากร? เมื่อวานเห็นเรายังสนใจอยู่เลย”

              ชินกรไม่อยากที่จะโกหกแต่ก็ไม่อยากจะเล่าว่าที่เขาลังเลนั้นมาจากคำพูดของผู้หญิงคนหนึ่ง   ขณะที่เขากำลังอึกอักพูดไม่ออกนั่นเองเขาก็ได้ยินเสียงนางภาเดินลงบันไดมา

              “ไปเถอะลูกกรลุงคำกับไอ้สรอุตส่าห์มาชวนถึงบ้าน  ถือว่าไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”

              ชินกรเห็นลุงคำกับสรยกมือไหว้นางภาแม่ของตน ในกรณีย์เจ้าสรเขาไม่แปลกใจเท่ากับลุงคำที่ดูยังไงก็แก่กว่าแม่ของเขาแน่ๆ  นางภาเดินเข้ามาลูบศีรษะของเขาพร้อมกับนั่งลงข้างๆ

              “ถ้าเป็นห่วงแม่กรไม่ต้องห่วงเลย  แม่ดูแลตัวเองได้กรไปสนุกเที่ยวเล่นกับลุงคำและเจ้าสรเหอะ เผื่ออาการของลูกจะดีขึ้นอย่างที่กรได้หวังไว้ อ้อ แล้วแขวนสร้อยพระที่แม่ให้ไปด้วยล่ะ”

              เมื่อคนเป็นมารดาคะยั้นคะยอเพิ่มอีกคน ชินกรจึงต้องพยักหน้าตกลงที่จะไปล่าสัตว์โดยเขาเห็นรอยยิ้มที่เป็นมิตรของลุงคำกับรอยยิ้มดีใจของสรที่ได้เพื่อนร่วมเดินทางออกทริปไปล่าสัตว์ด้วยกัน

 

 

              กว่าชินกรจะเตรียมตัวเสร็จก็ใช้เวลาร่วมสามสิบนาทีโดยชายหนุ่มได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นกางเกงยีนส์ขายาวใส่ร่วมกับถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบ  ส่วนบนนั้นก็ใส่เสื้อยืดทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวซึ่งเขาพับแขนขึ้นมานิดเดียวเพื่อกันแดดที่จะมาโดนผิวให้มากที่สุด     นางภาจัดเอาน้ำกับอาหารใส่เป้เล็กๆไว้ให้ลูกชายส่วนอาวุธที่จะใช่ล่านั้นชินกรไม่มีโดยเขาตั้งใจจะไปดูลุงคำล่าสัตว์เสียมากกว่า ซึ่งลุงคำนั้นส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

              “เข้าป่าอย่าประมาทนะ เดี๋ยวขาไปแวะบ้านลุงละกันเพราะที่บ้านมีปืนลูกซองอันเก่าอยู่”

              เมื่อเตรียมตัวพร้อมเสร็จสรรพทั้งสามคนก็ออกเดินทางโดยใช้เส้นทางที่แยกไปด้านขวาของหมู่บ้านที่สามารถตรงไปบ้านลุงคำและโรงเรียนประถมร้าง     ทั้งสามคนเดินไปคุยไปจนถึงบ้านลุงคำชินกรสังเกตเห็นซากสัตว์ที่เคยเห็นแขวนไว้ใต้ถุนบ้านหายไปหมดแล้ว   ลุงคำที่หายขึ้นไปบนบ้านไม่นานก็ออกมาพร้อมกับปืนลูกซองรุ่นเก่าที่บรรจุได้แค่ครั้งละนัดพร้อมด้วยกล่องกระสุน    โดยลุงคำลองให้ชินกรซ้อมยิงไปที่ป่าหญ้าที่อยู่ตรงข้ามบ้านแกปรากฏว่าชินกรสามารถยิงปืนลูกซองของลุงคำได้เป็นอย่างดี ลุงคำจึงให้ปืนลูกซองกระบอกนี้เป็นอาวุธคู่กายที่จะไปล่าสัตว์กัน

              ทั้งสามคนเดินทางกันต่อจนผ่านโรงเรียนร้าง ชินกรอดที่จะหันไปมองที่ต้นไทรที่อยู่บนเนินที่ตั้งโรงเรียนเสียมิได้ ที่นั่นคือที่จบชีวิตของหวานและลูกที่อยู่ในท้องสาเหตุก็เป็นเพราะตัวเขา     ขณะเดียวกันชินกรก็สังเกตว่าสรก็มองไปยังต้นไทรเช่นเดียวกัน     ลุงคำเดินนำเลยโรงเรียนร้างมาอีกร่วมกิโลเมตรแดดเริ่มแรงขึ้นตามลำดับเพราะตอนนี้ใกล้จะเที่ยง ระหว่างเดินทางลุงคำก็พูดถึงไอ้ชมขึ้นมาอย่างเดือดดาล

              “ไม่รู้ว่ามันกับสมุนคิดอะไรถึงได้ฆ่าคนตายอย่างนั้น? หึ แต่ก็ดีคนอย่างพวกมันควรอยู่ในคุกมากกว่าจะอยู่ที่นี่”

              “เขาไม่ได้มีความแค้นอะไรกับผู้ตายเหรอครับลุงคำ?”

              “ไม่มีหรอกตำรวจตรวจสอบดูแล้ว  ว่ามันกับคนที่ถูกฆ่าไม่ได้รู้จักกันเลย   อย่าไปคาดหวังอะไรกับคนอย่างมันไอ้ชมกันก็เหมือนพ่อมันนั่นแหละ”

              เป็นครั้งที่สองที่ชินกรได้ยินลุงคำพูดพาดพิงไปถึงพ่อของไอ้ชม เขาเกิดสงสัยขึ้นมา

              “พ่อของไอ้ชมเป็นใครเหรอครับ? ดูท่าทางลุงคำจะไม่ชอบมากๆ”

              “พ่อของไอ้ชมเป็นอันธพาลใหญ่มาก่อน   ที่สำคัญเคยเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านมาก่อนลุงคำด้วย”

              สรให้คำตอบมาเสร็จสรรพ   ขณะที่ลุงคำสีหน้าแววตาบ่งบอกถึงความเกลียดชังคนที่ถูกพูดถึงนัก

              “พ่อมันเป็นนักเลงใหญ่ที่บ้านไผ่มาก่อน  แล้วก็ย้ายมานี่ทำตัวกร่างกับคนอื่นไปทั่วจนตัวมันได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน”

              “อ้าว แล้วตอนนี้เขาไปไหนเสียล่ะถึงได้ปล่อยให้ลูกชายไปฆ่าคนตายแบบไม่มีปีมีขลุ่ยอย่างนี้?”

              ชินกรถามอย่างสงสัย  ขณะที่เขาเห็นสีหน้าของลุงคำแสยะยิ้มอย่างสะใจ

              “มันตายไปแล้วน่ะสิ ตายอย่างอนาถเสียด้วย”

              “ตายไปแล้ว! เขาตายเพราะอะไร?”

              สีหน้าของสรซีดลงอย่างชัดเจน ส่วนลุงคำยังคงแสยะยิ้มอยู่

              “มันไหลตาย!”

              ลุงคำพูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยม โดยคำว่าไหลตายที่ลุงคำพูดถึงนั้นคือการตายที่หลับแล้วก็เสียชีวิตไปอย่างปริศนา ซึ่งถ้าเป็นในทางการแพทย์จะวินิจฉัยราวหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แต่แค่ชินกรรู้สึกสะดุดกับคำว่า “ตายอย่างอนาถ!”ที่ลุงคำหลุดปากออกมา เพราะในแง่ของการไหลตายที่ชินกรเคยได้ยินมักจะไม่ทรมานหรือดูน่าอนาถตามคำพูดของลุงคำเลย

 

 

            ลุงคำนำทางเลี้ยวเข้ามาจากทางหลักเดินฝ่าป่าหญ้าเตี้ยๆมาได้หน่อยเดียวก็เจอกับทางด่านสัตว์ ชินกรสังเกตว่าทางที่ลุงคำเดินนำอยู่นั้นเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ แลเริ่มจะเห็นป่าโปร่งที่ขึ้นทั้งสองข้างทางโดยถ้าเขาคาดไว้ไม่ผิดทางด่านที่กำลังเดินอยู่นี้น่าจะพาขึ้นไปบนภูเขาจุดใดจุดหนึ่งเป็นแน่      หลังจากเดินมาได้อีกร่วมชั่วโมงก็เป็นไปตามที่คิดเมื่อลุงคำนั้นพาชินกรและสรมาที่เวิ้งผาแห่งหนึ่งพร้อมกับชี้ลงไปให้ทั้งสองดู

              “นั่นไงบ้านวังสาของเรา สวยไหม?”

              ภาพที่เห็นตรงหน้าคือภาพของหมู่บ้านบ้านวังสาที่อยู่เป็นวิวสวยงามเบื้องล่าง    โดยมองเห็นท้องนาที่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของหมู่บ้าน    เห็นหลังคาบ้านหลังต่างๆที่เรียงรายกันแม้จะไม่เป็นระเบียบนักแต่ก็ดูสวยงามตามแบบชนบท  ทั้งชินกรและสรต่างมองดูวิวนี้อย่างชื่นชมในความงดงามท่ามกลางเสียงนกร้องจากภายในป่าขับกล่อมไปในตัว 

              “เอาล่ะ  นี่ก็เที่ยงตรงละกรกินข้าวเที่ยงไว้เก็บแรงเลย   เพราะตลอดบ่ายเราเริ่มล่าสัตว์กันต้องขึ้นเขาไปอีก”

              ชินกรพยักหน้าโดยหาทำเลที่สามารถมองวิวลงไปเห็นหมู่บ้านได้จนมาได้ขอนไม้เก่าขอนหนึ่งเหมาะสำหรับนั่งทานข้าว   ชายหนุ่มจึงลากเอาขอนไม้มานั่งตรงเวิ้งผาเพื่อจะได้ชมวิวสวยงามไปด้วย    ขณะที่ลุงคำได้เรียกสรเพื่อไปดูลาดเลาของสัตว์ป่าใกล้ๆ

              “แล้วทั้งสองคนไม่กินข้าวรองท้องกันเหรอครับ?”

              “ไม่ล่ะแกกินเถอะ เพราะฉันมีเนื้อตากแห้งติดตัวมาเดี๋ยวฉีกกินระหว่างทางได้”

              สรบอกปัดส่วนลุงคำก็เช่นกัน

              “ลุงกินแค่สองมื้อจนติดเป็นนิสัยแล้ว เอ็งกินเถอะเดี๋ยวลุงมา เพราะเอ็งไปอยู่กรุงเทพมาหลายปีเดี๋ยวไปเป็นลมหมดแรง  ลุงเป็นโดนแม่เอ็งเอ็ดตายแน่”

              ชินกรเห็นด้วยในเหตุผลของลุงคำจึงนั่งบนขอนไม้แล้วเอากล่องข้าวที่มารดาเตรียมให้ออกมา   โดยทั้งลุงคำและสรก็หายเข้าไปบนเนินที่เห็นเป็นป่ารกทึบปล่อยให้ชินกรรับประทานอาหารไปดูวิวไปตามลำพัง

 

              หลังจากทานอาหารเสร็จชินกรก็เริ่มรู้สึกตัวว่าลุงคำกับสรหายไปนานจนผิดสังเกต   ทันใดนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้นหนึ่งนัดในบริเวณที่ไม่ไกล    ชินกรอยากจะวิ่งไปดูแต่ก็คิดขึ้นได้ว่าเขาไม่รู้ภูมิประเทศในบริเวณนี้เลย   ถ้าเกิดวิ่งตามเสียงปืนแล้วหลงป่าขึ้นมาคงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่แถมดีไม่ดีจะโดนลุงคำหรือสรยิงโดยคิดว่าเป็นสัตว์ป่าก็เป็นได้    ชายหนุ่มจึงรีบเก็บกล่องข้าวพร้อมกับเตรียมปืนลูกซองที่ได้มาไว้รอลุงคำและสรอย่างใจจดใจจ่อ

              ไม่นานนักหลังจากเสียงปืนดังชินกรก็ได้ยินเสียงเดินเข้ามาใกล้   ชายหนุ่มกำชับปืนลูกซองมั่นเตรียมพร้อมไว้เพราะระหว่างมาลุงคำเน้นย้ำว่าอยู่ในป่าห้ามประมาทกับอะไรทั้งนั้น แต่แล้วเสียงของสรที่นำมาก็ทำให้ชินกรผ่อนปืนลูกซองลง

              “วู้  อย่ายิงนะไอ้กรนี่ฉันกับลุงคำเอง”

              ชินกรรออยู่ชั่วครู่ลุงคำกับสรก็โผล่มาโดยในมือของสรนั้นชินกรเห็นค่างตัวหนึ่งถูกหิ้วมา   ซึ่งพอมาถึงตรงที่เขารออยู่สรก็ชูค่างตัวนั้นด้วยอาการดีใจสุดๆ

              “นี่ฝีมือฉันเลยนะเว้ยกร ฉันเห็นเลยยืมปืนลูกกรดลุงคำเขาสอยมาได้”

               สรบอกอย่างตื่นเต้นขณะที่ลุงคำหยิบยาเส้นที่ม้วนเรียบร้อยออกมาจากย่ามแล้วจุดสูบพ้นควันโขมง

              “ไอ้สรมันตาดี ถ้ามันไม่ชี้ลุงก็คงไม่เห็น”

              ลุงคำพูดอย่างอารมณ์ดีขณะที่ชินกรกลับรู้สึกตรงกันข้ามเพราะสำหรับเขาในเวลานี้ค่างนั้นรูปร่างเหมือนคนจนเกินไปแล้วยิ่งมาเห็นมันที่ตายพร้อมกับเลือดที่ไหลนองยิ่งทำให้ชินกรหดหู่ไม่น้อย  ลุงคำหยิบกระสอบที่เตรียมมาจากในย่ามพร้อมกับยัดร่างของค่างลงไปในกระสอบแล้วมัดเชือกปิดปากถุง ก่อนจะเอากระสอบนั้นไปแขวนบนต้นไม้สูงพร้อมกับหันมาให้เหตุผล

              “แบกไปด้วยมันหนักเปล่า เพราะเดี๋ยวเราต้องขึ้นไปสูงกว่านี้เอาแขวนไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวขากลับค่อยมาเอา”

 

 

              หลังจากนั้นลุงคำก็พาชินกรกับสรเดินขึ้นเขาไปต่อโดยรอบข้างนั้นป่าเริ่มทึบขึ้นเรื่อยๆ  ระหว่างทางเหมือนสรจะยังสนุกกับการล่าสัตว์หรือไม่คงติดใจไปแล้วเพราะเขาใช้หน้าไม้ที่เตรียมมายิงลูกดอกฆ่านกระหว่างทางที่ผ่าน    จนลุงคำต้องหันมาดุจนสรหน้าเจื่อนไป       ชินกรเริ่มเหนื่อยกับการเดินขึ้นเขาในขณะที่แดดก็ร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ บ่อยครั้งที่ต้องกระดกน้ำที่เตรียมมาดื่มเพื่อคลายเหนื่อย  แลหลายครั้งหลายคราวที่เขาเห็นลุงคำหันมามองตัวเขาด้วยสายตาเป็นห่วง แต่ชินกรก็พยักหน้าอันเป็นสัญญาณบอกว่าเขายังไหวจนลุงคำเดินนำไปต่อ

              ลุงคำพาเดินเข้าสู้ป่ารกทึบเป็นเวลาร่วมชั่วโมง  แกมาหยุดอยู่ที่โป่งดินแห่งหนึ่งพร้อมกับนั่งยองชี้ไปที่โป่งดินนั้น เมื่อทั้งสองมองตาเห็นเป็นรอยเท้าของสัตว์ชนิดหนึ่ง

              “หมูป่า”

              ลุงคำพูดด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่เจ้าสรนั้นดูตื่นเต้นกว่า

             “จริงเหรอลุงแล้วมันอยู่ที่ไหน? อีกไกลไหม?”

              “รอยเท้ายังดูใหม่ น่าจะไม่เกินชั่วโมงถ้าลมเข้าข้างเราไม่พัดให้มันได้กลิ่นก่อนนะ”

              สรแทบจะกระโดดโลดเต้นเมื่อได้ยินดังนั้น ขณะที่ชินกรก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วยเพราะจะได้เห็นการล่าหมูป่าแบบประสบการณ์จริง

              “โชคดีของเราที่เอาลูกซองมาด้วย ถ้าลูกกรดเอาไม่อยู่จะได้ซ้ำด้วยลูกซองเสียเลย”

              ลุงคำพูดพร้อมกับหันมาทางชินกร ชายหนุ่มเริ่มจะลังเลเพราะไม่เคยยิงสัตว์มาก่อน

              “ลุงคำจะเอาปืนกระบอกนี้ไปถือไหมละครับ? อยู่กับผมไม่แน่ใจว่าจะได้เรื่องได้ราวหรือเปล่า?”

              “เอาไว้กับหลานแหละดีแล้ว อีกอย่างลุงใช้เจ้านี่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนชินมือ ถ้าลุงจะใช้ค่อยหันไปเอาที่กรละกัน”

 

 

              ลุงคำลดความเร็วเพื่อมองหารอยเท้าหมูป่าแล้วติดตาม โดยแกหันมาย้ำกับชินกรและสรว่าให้ตามแกอย่างใกล้ชิดเพราะป่าจะทึบขึ้น     หลายครั้งหลายตอนที่ลุงคำเดินนำอยู่นั้นชินกรสังเกตว่าแกจะหยุดเช็คทางลมที่พัดอยู่ด้วยการใช้นิ้วชี้แตะน้ำลายแล้วชูขึ้นเมื่อแน่ใจจึงเดินทางต่อ  ป่ารอบตัวเริ่มรกครึ้มเป็นลำดับชินกรต้องใช้สายตาจับไปที่การเก้าเท้าของลุงคำเพื่อเหยียบตามเพราะลุงคำได้หันมาพูดกับทั้งเขาและสรว่า

              “แถวนี้เนินชันเยอะ ให้ก้าวตามรอยเท้าลุงอย่างกระชั้นชิด อย่าออกนอกเส้นทางเด็ดขาด”

              ทางเริ่มเดินลำบากขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ลุงคำกระซิบบอกอย่างมีความหวังว่าหมูป่านั้นอยู่ไม่ไกลจากที่เดินกันอยู่ ทันใดนั้นระหว่างที่ลุงคำเดินอยู่แกก็สังเกตได้ถึงทางลมที่แปรเปลี่ยนกะทันหันจนทำให้บัดนี้ทั้งสามคนอยู่เหนือลมที่พัดไปทางหมูป่า พริบตาที่ลุงคำบอกกับชินกรและสรถึงความอันตรายเมื่อเสียงกรุยเท้าอย่างดุเดือดตรงเข้ามาหาทั้งสามคนลุงคำที่เป็นพรานมาทั้งชีวิตไวพอที่จะยกปืนลูกกรดของแกยิงไปที่เจ้าตัวที่พุ่งฝ่าพงหญ้าด้านหน้าแต่เฉียดไปจนมันมาถึงตัวแกก็กระโดดหลบฉิวเฉียด   จนมาถึงชินกรที่ยืนถัดจากลุงคำพยายามตั้งสติยกปืนลูกซองขึ้นประทับเพื่อจะยิงแต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อภาพสุดท้ายที่เขาเห็นคือหมูป่าขนาดเขื่องพุ่งเข้ามาหมายเอาชีวิตเขา ปฏิกิริยาของชินกรในตอนนั้นคือกระโดดไปอีกทางซึ่งโชคร้ายซ้ำสองคือมันเป็นทางลาดลงไป  ชินกรกลิ้งไปตามแรงโน้มถ่วงหลายตลบหูยังได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายของลุงคำและสรที่ไกลตัวไปทุกที ก่อนที่ทุกอย่างหลังจากนั้นจะมืดลง

 

 

              ชินกรรู้สึกตัวขึ้นมาพบว่าบรรยากาศรอบตัวนั้นเริ่มมืด เขารู้สึกเจ็บที่ศีรษะเมื่อลุกขึ้นพบว่าตนเองกลิ้งลงเนินมาศีรษะไปชนเข้ากับต้นไม้เข้าโดยชายหนุ่มพยายามสำรวจดูว่ามีแผลที่ศีรษะหรือเปล่า? หลังจากสำรวจจนแน่ใจว่าไม่มีแผลที่ศีรษะก็มาดูตามร่างกายอื่นยังดีที่แขนหรือขาไม่หักหรือว่าเป็นอะไรมากมีเพียงเสื้อผ้าที่ขาดบางจุดพร้อมกับแผลที่เกิดขึ้นตอนที่ประสบอุบัติเหตุแค่นั้น  ชินกรพยายามลุกขึ้นเขามองไปรอบตัวเห็นแต่ป่ากับความมืดที่เริ่มเข้ามาปกคลุม เมื่อยกนาฬิกาข้อมือพบว่าขณะนี้เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว  ชายหนุ่มใจหายวาบขณะที่ต้องควบคุมสติให้อยู่กับตัวเองเพราะในตอนนี้ชินกรต้องยอมรับกับตัวเองว่า เขาได้พลัดหลงกับลุงคำและสรเพื่อนของเขา ในตอนนี้เขาอยู่ในสภาวะหลงป่าเรียบร้อยแล้ว!

             

                            

             

             

              

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา