ยามเมื่อสายลมกรีดร้อง!

-

เขียนโดย GCodename

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 20.29 น.

  16 บท
  5 วิจารณ์
  16.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 เมษายน พ.ศ. 2561 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่3 ศพปริศนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บท3  ศพปริศนา

 

 

 

 

              ตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียนประถมร้างชินกรก็นั่งครุ่นคิดอยู่ตรงแคร่ไม่ไผ่ตรงใต้ถุนบ้าน        นางภาเก็บผักและเตรียมอาหารเย็นถึงกระนั้นก็มองดูลูกชายตนเองไม่ห่าง   จนเมื่อเตรียมอาหารเย็นเสร็จนางภาจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับลูบหัวชินกร

              “เป็นอะไรกร?  แม่เห็นเรานั่งอยู่ตรงนี้ทำหน้าตาเคร่งเครียดมาตั้งแต่กลับมาแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”

              “แม่ครับ ผมพอจะจำเรื่องในวัยเด็กของผมได้บางส่วนแล้ว”

              “ก็ดีนี่กร   แล้วกรจะหน้าเครียดไปทำไม?”

              “ผมแค่กำลังสับสนเกี่ยวกับตัวผมครับ  ผมจำเรื่องที่ผมเรียนมา กฎหมายยากๆมาตราต่างๆเรื่องราวของตัวเองได้ แต่ผมกลับจำเรื่องราวของแม่ ครอบครัวหรือหมู่บ้านนี้ไม่ได้เลย    จนตอนที่ผมรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลไม่มีครอบครัวมาเยี่ยมผมคิดว่าผมไม่มีครอบครัวเลยด้วยซ้ำ    แล้วพอมาวันนี้ผมไปที่โรงเรียนร้างที่เคยเรียนเมื่อตอนเด็กจู่ๆภาพความทรงจำในตอนนั้นมันก็กลับมา   ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นผมสนิทกับเจ้าสร หวาน รวมทั้งเจ้าชมแต่ทำไมพอกาลเวลาเปลี่ยนคนที่เคยสนิทเล่นด้วยกันถึงได้แปรเปลี่ยนเป็นศัตรูกันได้    ผมเป็นคนยังไงกันแน่? ผมจำตัวผมในช่วงตอนที่อยู่หมู่บ้านนี้ไม่ได้เลย”

              “ลูกเจอไอ้ชมมันเหรอ?”

              เสียงของนางภาแม่ของเขาแปรเปลี่ยนทันที   ชินกรหันไปมองเขาเห็นแววตาของมารดาตนเองจ้องมองมาอย่างน่ากลัว

              “มันได้พูดหรือทำอะไรลูกหรือเปล่า? มันบอกอะไรกรบ้าง?”

              “เอ่อ ก็เห็นเขามองผมด้วยสายตาเคืองๆ แต่ก็ไม่มีอะไรกันครับแค่เดินผ่านเฉยๆ”

              ชินกรตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องราวไม่หมด ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะโพล่งเรื่องที่สรเล่าเรื่องที่เขาทำหวานท้องแล้วเสียใจจนต้องผูกคอตาย     ซึ่งเขาไม่อยากทำให้สรที่บอกความจริงต้องเดือดร้อนขณะที่นางภาเอียงคอจ้องมองมาที่เขาราวกับแววตาของทนายความที่ต้องการเค้นความจริงจากฝั่งตรงข้าม    ยังดีที่เขาก็เป็นทนายที่เขี้ยวลากดินพอควรชินกรจ้องตาแม่ของตนอย่างไม่หลบสายตาด้วยแววตาที่แน่วแน่

              “ดี ที่มันไม่ทำอะไรหรือพูดอะไรกับลูก แต่กรจงจำไว้ว่าให้อยู่ห่างมันกับพวกตลอดเวลาที่อยู่หมู่บ้านนี้”

              ชินกรพยักหน้าเขามีความดีใจเล็กๆที่โกหกแม่ของตนได้สำเร็จ แต่จู่ๆนางภาจับไปที่ต้นคอของเขาพร้อมกับดึงสร้อยพระที่ให้ไปออกมาดู

              “และรวมถึงสร้อยพระที่แม่ให้ไปเส้นนี้ แขวนไว้ตลอดเวลาห้ามถอดเด็ดขาด   แม้จะเป็นเวลาอาบน้ำก็ตามแล้วถ้าเป็นไปได้ แม่ไม่อยากให้กรออกไปไหนในช่วงกลางคืน”

              เสียงของแม่เด็ดขาดเป็นคำสั่งอย่างชัดเจน ชินกรพยักหน้ารับคำ

              “ครับแม่ ไม่เข้าใกล้พวกไอ้ชม ไม่ถอดพระที่แม่ให้ หวังว่าคงไม่มีกฎอะไรที่จะกำชับลูกคนนี้อีกนะครับ”

              “มีอีกอย่างที่แม่ต้องการให้กรทำ”

 

 

              นางภาพาชินกรเดินมาที่สวนหลังบ้าน    โดยชินกรสังเกตว่าพื้นที่ของบ้านแม่เขานั้นเป็นแนวยาวเชิงลึกโดยตัวบ้านไม้ปลูกอยู่เกือบกึ่งกลางของพื้นที่     ด้านหลังจึงมีที่ว่างสำหรับสวนเล็กๆที่ปลูกทั้งมะม่วงและส้มโอที่สะดุดตาคือพืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นเต็มไปหมดเป็นลักษณะพืชล้มลุกสูงไม่เกินหัวเข่าใบใหญ่คล้ายว่าน         นางภาพาลูกชายมาหยุดตรงท้ายสวนที่นั่นชินกรเห็นศาลไม้เก่าหลังหนึ่งตั้งอยู่ มีดอกดาวเรืองทั้งเก่าใหม่วางอยู่เต็มศาลบ้างก็หล่นกระจัดกระจายเต็มพื้นที่นั้นตรงหน้าศาลไม้มีแท่นไม้สำหรับวางกระถางธูปและมีโต๊ะไม้ขนาดพอเหมาะวางไว้ซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงเป็นเครื่องเซ่น  ชินกรรู้สึกขนหัวลุกตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไร้สาเหตุ ขณะที่นางภาอธิบาย

              “นี่เป็นศาลผีปู่ผีย่าเป็นศาลของบรรพบุรุษของเรามาหลายชั่วคน    แม่ต้องการให้กรไหว้เพื่อคุ้มครองลูกและมีความเป็นสิริมงคลให้ผีปู่ผีย่าคอยดูแลเรา”

              เมื่อพูดจบ นางภาเปิดลิ้นชักของโต๊ะเครื่องเซ่นที่วางอยู่ภายในมีธูป เทียนและก็ไม้ขีดไฟเป็นชุด  โดยนางภาหยิบธูปขึ้นมาหนึ่งดอกพร้อมกับใช้ไม่ขีดไฟจุดธูปดอกนั้นแล้วส่งให้กับชินกร ชายหนุ่มลังเลที่จะรับอย่างไม่ทราบสาเหตุแต่นางภาก็เอาธูปจับยัดเข้าใส่มือลูกชายของตน    สายตาของนางภาจ้องเขม็งเป็นการบังคับกลายๆให้ชินกรทำตามที่สั่งโดยไวชินกรรู้สึกไม่ดีกับพื้นที่ตรงนี้เลยเขาอยากจะออกไปจากที่นี่เร็วๆเพราะเริ่มอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก    ชายหนุ่มยกมือไหว้ศาลไม้ตรงหน้ามีธูปหนึ่งดอกอยู่ในมือ   เขารีบไหว้แบบส่งเดชไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐานอะไรทั้งนั้นเมื่อไหว้เสร็จชายหนุ่มรีบส่งธูปดอกนั้นให้กับแม่ในทันที   พร้อมกับเดินออกไปโดยไม่รอให้มารดาปักธูปเสร็จด้วยซ้ำ   ชั่วอึดใจนางภาก็เดินออกมาพร้อมกับลูบศีรษะชินกรอย่างเอ็นดู

              “เอาล่ะ แม่ไม่มีกฎอะไรจะบังคับกรแล้ว ผีปู่ย่าบรรพบุรุษจะช่วยคุ้มครองลูกของแม่ ไปเถอะแม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วเราไปกินข้าวกัน”

 

 

              แล้วช่วงเวลายามเย็นก็ผ่านไปจนถึงจนพลบค่ำ   นางภากางมุ้งอยู่ในห้องนอนขณะที่ชินกรนั่งกดมือถือดูว่ามีข้อความหรืออีเมล์อะไรมาหาเขาบ้างไหมตรงริมหน้าต่างแต่ก็ต้องพบว่าที่นี่ไม่มีคลื่นสัญญาณทั้งมือถือและเน็ทเลย ชายหนุ่มทำหน้าเซ็งๆรับลมยามค่ำคืนที่พัดโบกอย่างสบาย     สายตากวาดไปที่เบื้องล่างสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นแววตาเรืองแสงสีเลือดคู่หนึ่งกำลังมองเขาอยู่ที่ริมรั้วหน้าบ้าน!

              “ป้าวันเองจ๊ะ แม่เจ้าสรมัน”

              เสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากทางนอกรั้ว นางภาเปิดไฟนีออนหน้ารั้วบ้านส่องสว่างจนเห็นหญิงวัยกลางคนๆหนึ่งยืนยิ้มให้อยู่

              “นั่นแม่เจ้าสรมัน ตั้งแต่กรมายังไม่ได้พบใช่ไหม?”

              ชินกรส่ายหน้าพร้อมกับนึกขึ้นได้ว่าเขาเจอสรมาแล้วสองวันแต่ยังไม่รู้จักบ้านและเจอครอบครัวของสรเลย

              “คงจะมาหาแม่ เดี๋ยวแม่ลงไปหานังวันมันก่อนนะ”

              นางภาเดินลงบันไดลงไปที่ริมรั้ว ชินกรสังเกตเห็นแม่ของตนคุยกับป้าวันแม่ของสรด้วยอาการที่ซุบซิบราวกับกลัวเขาจะได้ยิน     แต่นั้นยังไม่ทำให้ชายหนุ่มแปลกใจตรงที่แม่เขาเล่าให้ฟังคืนวานว่า ชาวบ้านที่นี่จะมีตาที่เรืองแสงในความมืดเป็นสีแดงเลือดกันทุกคนเป็นเรื่องจริง!

              ระหว่างที่แม่ของเขากำลังพูดคุยกับป้าวันอยู่นั้นสายตาของชินกรก็สังเกตเห็นที่บริเวณไม่ไกลจากบ้านเขาสักเท่าไร     มีดวงไฟสว่างวาบไปมาอยู่ตรงบริเวณถนนลูกรังที่เขาใช้เดินไปกับสรเมื่อตอนกลางวัน   แวบแรกชินกรคิดว่าคงเป็นไฟฉายที่ชาวบ้านส่องตามทางเพราะบริเวณนั้นมีบ้านของชาวบ้านทั้งสองฝั่ง    แต่พอสังเกตได้สักพักชายหนุ่มเห็นไฟดวงนั้นเป็นลักษณะสีเขียวและลอยไปมาอย่างจับทิศไม่ได้   บ้างลอยต่ำไปยังตรงพื้นดิน   บ้างลอยสูงไปสุดปลายยอดไม้ ชินกรมองดูดวงไฟปริศนาด้วยความฉงนใจ

              “ดูอะไรอยู่เหรอ กร?”

              ชินกรสะดุ้งตกใจเพราะเสียงนางภามายืนอยู่ตรงด้านหลัง   เขาหันไปมองที่รั้วพบว่าป้าวันได้กลับไปแล้ว

              “ผมเห็นดวงไฟประหลาดมันมาลอยอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราครับแม่  ผมเลยมองดูว่าเป็นดวงไฟอะไร?”

              “คงเป็นแสงจากไฟฉายหรือไม่ก็หิ่งห้อยนั่นแหละกร”

              นางภาสรุปมาให้เสร็จสรรพชินกรอยากจะค้านว่าดวงไฟที่เห็นมันมีสีเขียวซึ่งคงไม่ใช่ไฟฉายแน่และมันก็ดวงใหญ่เกินไปที่จะเป็นหิ่งห้อย   แต่เขาก็เลิกล้มความคิดเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเถียงเรื่องพรรค์นี้ให้ชนะขึ้นมาโดยเฉพาะกับแม่ของตน

              “แล้วป้าวันมาทำไมครับ? มาหาเสียมืดเชียว”

              “อ๋อ นังวันมันมาขอยาจากแม่ไปต้มให้กับตาแสงที่อยู่ใกล้ๆบ้าน  นังวันมันบอกว่าตาแสงอาการไม่ค่อยดีลุกขึ้นเดินเหินไม่ได้  นี่แม่ก็เอาห่อยาต้มให้กับมันไปแล้วก็ขึ้นมาเห็นเราจ้องอะไรก็ไม่รู้นี่แหละ”

              “นี่แม่เป็นหมอยาด้วยเหรอครับ? ผมเพิ่งรู้”

              “ตระกูลเราเป็นหมอธรรมและก็เชี่ยวชาญสมุนไพรมาหลายชั่วอายุคนนะกร   แม่ก็พอมีวิชาติดตัวสืบมาจากปู่ย่าตายายบ้าง  ถ้ากรอยากรู้เรื่องยาสมุนไพรแม่จะสอนให้ก็ได้นะวิชามันจะได้ไม่สูญหายหรือตายไปกับแม่”

              ชินกรใจหายวาบเมื่อได้ยินประโยคที่ไม่เป็นมงคลออกมาจากปากแม่ของเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นโอบกอดนางภาราวกับเด็กชายที่ออดอ้อนมารดา

              “แม่ยังจะต้องอยู่กับผมไปอีกนานครับ แม่จะทิ้งผมไปเหรอ? ผมยังไม่หายดีเลยนะ”

              “แม่อยากจะอยู่กับกรนานๆอยู่แล้ว  ถ้าเป็นไปได้อาจจะฟังดูแปลกนะ   แม่อยากให้กรเป็นแบบนี้ดีที่สุด ไม่ต้องจำอะไรเพิ่มเติมทั้งนั้น   เพราะสำหรับแม่แม่ไม่เคยสนใจอดีตแค่กรเป็นลูกที่น่ารักของแม่ก็พอแล้ว”

              ชินกรหวนคิดไปถึงเรื่องที่เขาเป็นต้นเหตุให้หวานท้องแล้วก็ฆ่าตัวตายจนไอ้ชมเกลียดเขาและทำให้สรเพื่อนสนิทผิดหวัง    แต่คำถามที่อยู่ในใจต่อมาคือเขาทำบาปไว้เรื่องเดียวหรือเปล่า? เพราะสายตารวมทั้งปฏิกิริยาของชาวบ้านส่วนใหญ่ที่เจอส่วนใหญ่ล้วนแต่ดูจะหลบหน้าแลไม่เป็นมิตรทั้งนั้น  ยังไม่รวมกับเพราะเหตุผลใดที่ทำให้เขาตัดสินใจหนีออกจากบ้านแล้วไม่คิดจะหวนกลับมาที่บ้านวังสานี้อีก

 

 

              ชายหนุ่มคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์มาตามถนนสายหลักที่มืดสนิทเขามีอาการมึนเมาพอสมควรเพราะเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง  ระหว่างที่ขี่มาทันใดนั้นรถกระบะเก่าคันหนึ่งก็พุ่งชนมอเตอร์ไซค์ผู้โชคร้ายจากทางด้านหลังทำให้ชายหนุ่มคนขี่กระเด็นล้มลง    ยังดีที่เขาใส่หมวดกันน็อคเลยไม่เสียชีวิตแต่ด้วยความแรกจากการกระแทกของรถกระบะและตัวเขากลิ้งกระแทกกับพื้นถนนก็ทำให้ชายผู้โชคร้ายบาดเจ็บสาหัสส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา    ไม่นานเขาเห็นชายคนหนึ่งลงจากรถกระบะเดินเข้ามาหาแต่น่าตกใจคือชายคนดังกล่าวมีแววตาเรืองแสงเป็นสีแดงเลือดเมื่ออยู่ในความมืด!  ชายคนนั้นเดินมาหยุดที่เขาพร้อมกับกระชากร่างกายที่บาดเจ็บสาหัสอุ้มไปก่อนจะโยนคล้ายกับโยนหมูโยนหมาขึ้นบนรถกระบะแล้วก็ขับหายไปในทางเปลี่ยวมืด!

 

 

              ชินกรสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เหงื่อไหลโทรมกายเขามองไปในความมืดภายในห้องนอนด้วยอาการหวาดกลัว

              “มีอะไรหรือกร?”

              เสียงของนางภาแม่ของเขาดังขึ้นข้างๆ  ชินกรหันไปมองเห็นแววตาสีเลือดของมารดาจ้องมองเขาอยู่ในความมืด

              “ผมฝันร้ายครับแม่”

              “ฝันร้ายว่าอะไร?”

              “ผมฝันเห็นผู้หญิงที่เหมือนศพร่างกายอืดบวมพยายามจะวิ่งตามผมไปทุกที่  ผมกลัวเธอแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยด้วยไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”

              ชินกรพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือจนผู้เป็นแม่เอามือมาจับที่มือเขาไว้

              “แม่อยู่ตรงนี้ไม่มีใครทำอะไรลูกแม่ได้ทั้งนั้น  นอนเถอะกร”

              เมื่อได้สัมผัสมือของผู้เป็นแม่ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก  เขานอนลงโดยรู้สึกได้ว่านางภาโอบกอดลูบศีรษะของเขา  ไม่นานด้วยอำนาจที่อบอุ่นของมารดาไม่ทราบอย่างไรทำให้ชินกรที่หวาดกลัวเมื่อครู่รู้สึกสงบแล้วเริ่มเคลิ้มเตรียมเข้าสู่นิทรา  แต่ก่อนที่สติจะเข้าสู้ความฝันนั้นเขาได้ยินเสียงรถขนาดใหญ่แล่นเข้ามาไม่ไกลจากบ้านแล้วก็หลับไป

 

 

              “นั่นรถกระบะแกไปโดนอะไรมา?”

              ชินกรถามสรขึ้นหลังจากทานมื้อเช้ากับนางภาเสร็จเขาก็ขอไปเดินเล่นในหมู่บ้าน   ซึ่งก็เจอสรกำลังล้างรถกระบะของตนอยู่หน้าบ้านที่ห่างจากบ้านเขาไปเพียงสามหลังเท่านั้นพร้อมกับสังเกตเห็นตรงกันชนด้านหน้ามีรอยบุบ

              “เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยตอนไปตลาดเมื่อวานนี้  แกมีอะไรหรือเปล่าถึงมาหาฉันแต่เช้า? หรือว่าคิดถึง”

              “ถ้าฉันไม่มาหาแกฉันจะหาใครถามจริง  อยู่ที่นี่มาสามวันคนที่ฉันพอจะคุยได้ก็มีแค่แม่กับแกแค่นั้นแหละ”

              สรยิ้มเห็นด้วย ชินกรเดินเข้ามาช่วยเพื่อนล้างรถกระบะด้วยอีกแรง  ระหว่างที่สองล้างรถกระบะนั้นชายคนหนึ่งที่ชินกรจำได้จากการที่สรพาไปแนะนำตัวใครต่อใครเมื่อวานนี้ว่าชื่อ น้าหำ ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาบริเวณแถวนั้นก่อนจะตะโกนลั่นให้ได้ยินกันทั่ว

              “เฮ้ย แย่แล้วพวกมึง มีใครหน้าไหนไม่รู้ตายอยู่ในปากทางเข้าหมู่บ้านของเราสภาพนี่ดูไม่ได้เลย!”

              “ตายตรงไหนของปากทางน้าหำ?”

              “ตรงบริเวณแถวต้นมะขามเทศใหญ่”

              เป็นสรที่ตะโกนถาม แล้วหันมาพยักหน้าชวนชินกรขึ้นกระบะรุ่นเก่าของตนขับออกไปทันที

 

 

              สรเหยียบคันเร่งเกือบสุดผ่านหมู่บ้านและนาออกมายังเส้นทางลูกรังที่เต็มไปด้วยป่าสองข้างทาง  ด้วยความที่เป็นคนพื้นที่อยู่แล้วสรไม่ต้องมองหาหรือหลงทิศใดๆเพราะเขาขับตรงไปจอดตรงจุดที่พบศพแทบจะทันที  โดยสายตาของชินกรเห็นว่าเริ่มมีคนมามุงดูกันบ้างแล้ว

              ชินกรเปิดประตูรถเดินไปดูเห็นไทยมุงเจ็ดแปดคนกำลังทำหน้าตาสะอิดสะเอียน   เขาไม่คุ้นชินหน้าตาของคนเหล่านั้นคาดว่าถ้าจะอยู่กันคนละพื้นที่จากบ้านวังสาแน่    เมื่อเข้าไปใกล้ก็เจอลุงคำผู้ใหญ่บ้านบ้านวังสายืนสูบยาเส้นอยู่ใต้ต้นมะขามเทศใหญ่กันกลุ่มคนไม่ให้เข้าไปใกล้ศพ

              “ลุงคำ”

           “ไอ้สร อ้าว เจ้ากรก็มาด้วยเหรอ?”

              “เห็นน้าหำบอกมีศพ ใครกันลุง?”

              “ข้าก็ไม่รู้ว่ะ  ท่าทางจะเป็นคนต่างบ้านกับเรา สภาพศพอนาถมากนี่ก็รอตำรวจอยู่”

              “ฉันขอเข้าไปดูหน่อยนะ”

              สรพูดจบก็เดินดุ่มเข้าไป ชินกรลังเลเพราะแค่ยืนอยู่ตรงด้านหน้ากลิ่นเลือดก็คละคลุ้งบวกกับสีหน้าของไทยมุงคนอื่นก็บ่งบอกได้ว่าสภาพศพคงไม่น่าดูนัก    แต่เมื่อเห็นเพื่อนอย่างสรยืนหยุดนิ่งดูศพอยู่นานสองนานก็ทำให้ชินกรเดินเข้าไปดูบ้าง

              ภาพที่ปรากฏตรงหน้านั้นมันเกินจินตนาการที่ชินกรนึกภาพที่แย่ที่สุดเสียด้วยซ้ำ  เพราะศพที่เห็นตรงหน้าคือชายผู้หนึ่งที่ไม่รู้ว่าใคร? นอนแผ่หลาตรงโคนต้นมะขามเทศเลือดเปรอะเปื้อนทั้งตัวจนถึงใบหน้า   โดยชายผู้นั้นตาเบิกโพลงบ่งบอกถึงความทรมาณถึงขีดสุดก่อนที่จะเสียชีวิต    ที่ท้องของชายผู้เคราะห์ร้ายนั้นมีบาดแผลฉกรรจ์ที่กว้างตั้งแต่อกลงมาจนถึงท้องน้อย   ที่สำคัญถ้าชินกรดูไม่ผิดไปเขาเห็นว่าอวัยวะภายในหายไปจนหมดสิ้น!  สรหันมาสบตากับลุงคำราวกับมีความในใจแต่ลุงคำส่ายหัวราวกับไม่ให้สรพูดอะไรตอนนี้

 

 

              ไม่นานหลังจากนั้นตำรวจก็มายังที่เกิดเหตุ พร้อมกับลงมือสอบสวนผู้ที่พบศพคนแรกซึ่งเป็นชาวบ้านคนหนึ่งของบ้านวังสาที่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาจากตลาดในอำเภอ     ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจึงได้จอดรถมอเตอร์ไซค์ดูจึงพบศพแล้วรีบไปบอกกับลุงคำที่เป็นผู้ใหญ่บ้าน            ชินกรกับสรก็ยืนอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นฟังตำรวจและดูหน่วยกู้ชีพทำงานเก็บศพที่ชวนสยองนั้นไป       ระหว่างนั้นมีเรื่องราววุ่นวายเมื่อตำรวจหันไปเห็นรถกระบะของสรที่จอดอยู่แล้วเห็นรอยบุบจากการชนที่กันชนหน้า      ตำรวจจึงเรียกสรไปสอบสวนพร้อมกับบอกว่าผู้ตายได้ขี่มอเตอร์ไซค์มาจากอีกอำเภอแล้วผ่านเส้นทางถนนหลักที่ผ่านหน้าทางเข้าหมู่บ้านบ้านวังสาแล้วมีรถใหญ่บางคัน(ที่ไม่แน่ใจว่ารุ่นไหน,รถอะไร)ชนท้ายเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ของผู้ตายจนล้มลง    ก่อนจะมาพบศพผู้ตายในสภาพนี้ส่วนซากมอเตอร์ไซค์ก็อยู่ตรงถนนหลักที่ไม่ไกลจากทางเข้าหมู่บ้าน  

              สุดท้ายตำรวจตัดสินใจคุมตัวสรไปสอบสวนต่อที่โรงพัก ชินกรเป็นห่วงจะตามไปด้วยแต่ลุงคำกลับห้ามไว้

              “ไม่ต้องตามไปหรอกกร เดี๋ยวลุงไปดูมันเองลุงแน่ใจว่าไอ้สรเป็นคนทำแน่   เอ็งกลับบ้านไปเถอะเดี๋ยวแม่เอ็งเป็นห่วง”

              ลุงคำพยายามมองหาคนในหมู่บ้านที่จะพาชินกรไปส่งที่บ้าน  ชายหนุ่มมองดูแววตาของแต่ละคนก็รู้ได้ว่าไม่มีใครเต็มใจจะไปส่งเขา   ชินกรจึงบอกกับลุงคำว่าเขาขอเดินกลับเอง

 

 

              กว่าจะเสร็จเรื่องราวตะวันก็เข้าสู่บ่ายคล้อยจนถึงช่วงเย็นย่ำ    ชินกรเดินกลับเข้าหมู่บ้านสองฟากฝั่งเป็นป่าสองข้างทาง    เขายังติดตากับภาพศพปริศนาที่ชวนสยดสยองยังไม่หาย   ขณะที่เดินอยู่นั้นชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกับใครสักคนเดินตามทว่าเมื่อหันไปมองเขาก็ไม่พบเจอกับใคร

              “ รู้สึกเหมือนมีคนเดินตามเลย”

              ชินกรบ่นกับตัวเอง  แต่แล้วเขาต้องตกใจแทบหงายหลังเมื่อหันกลับมาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา  ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นของชายหนุ่ม

              “ฉันทำให้เธอตกใจเหรอ? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ขอโทษด้วยนะ”

              ชินกรมองดูหญิงสาวคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้เธออยู่ในชุดเสื้อแขนกุดสีฟ้ากับกางเกงยีนส์ขาสั้นและใส่รองเท้าแตะ  เธอผมยาวถึงกลางหลังและมีลักยิ้มที่ขับเอาความน่ารักสดใสออกมาเต็มที่

              “เธอคือใคร? อยู่หมู่บ้านบ้านวังสาเหรอ?”

              ชินกรลุกขึ้นปัดฝุ่นที่แขนขาและตามตัวที่ล้มไปเมื่อสักครู่   หญิงสาวไม่ตอบเธอใช้ตาที่กลมโตจ้องมองเขาจนชินกรรู้สึกเขินอาย

              “เธอช่วยอะไรฉันหน่อยสิ  พอดีฉันจะเก็บมะม่วงแต่ฉันปีนไม่เก่งเธอช่วยฉันหน่อยนะ”

              ชินกรรู้สึกหวั่นไหวโดยเฉพาะเวลาที่สาวปริศนาเข้ามาใกล้แล้วขอร้องเขาด้วยน้ำเสียงที่กระซิบจนชายหนุ่มหน้าแดงก่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

              “ได้สิ ว่าแต่มะม่วงต้นไหนล่ะ?”

              เธอคนนั้นชี้มือไปที่เนินดินที่อยู่ไกลจากถนนลูกรังราวสองร้อยเมตร   เมื่อชินกรมองตามเขาเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นบนเนินดินนั้นเต็มไปหมด

              “เธอแน่ใจนะว่าที่นั่นมีต้นมะม่วง?”

              “แน่ใจสิ รีบมาเถอะน่าฉันไม่มีอันตรายกับเธอหรอก”

              หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบแต่คราวนี้เมื่อพูดจบเธอเดินนำเขาไปที่ป่าหญ้าข้างทางพร้อมกับเดินนำไป ชินกรตัดสินใจเดินตามสาวปริศนาที่เขาก็ไม่รู้จักชื่อ      เมื่อชายหนุ่มลองเหยียบตามทางที่เธอเดินนำเข้าป่าหญ้าข้างทางไปเขาก็ต้องรู้สึกแปลกใจเพราะว่าที่ที่เขาเหยียบนั้นลักษณะเป็นเหมือนคันนา

              “ทางตรงนั้นเป็นคันนาเก่า” สาวปริศนาอธิบายพร้อมกับกวักมือ “รีบไปเถอะเดี๋ยวไม่ทันนะ”

              ชินกรรู้สึกสะดุดใจกับคำว่า “เดี๋ยวไม่ทัน” เขาเอ่ยปากจะถามแต่ก็พบว่าสาวปริศนานั้นเดินห่างจากเขาไปจนเกือบจะถึงเนินที่มีต้นไม้ขึ้นรกครึ้ม   ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าจนเกือบจะวิ่งตามจนในที่สุดก็มาถึงตรงเนินที่เธอชี้จนได้

              “เธอเดินเร็วมากเลย เผลอแปบเดียวก็มาที่เนินดินนี่ละ”

              “ฉันไม่ได้เดิน ฉันหายตัวมาน่ะ”

              สาวปริศนาพูดสวนขึ้นมาจนชินกรนิ่งไปกับคำตอบของเธอ    ไม่นานสาวปริศนาก็เผลอหัวเราะอย่างชอบใจที่แกล้งชายหนุ่มได้

               “ฉันล้อเล่น   ฉันวิ่งมาต่างหากก็เลยเร็วแล้วก็เธอต่างหากล่ะที่ช้า   ท่าทางไปอยู่กรุงเทพนานจนกลายเป็นเต่าไปแล้วมั่ง”

              “เธอรู้จักฉันอย่างนั้นเหรอ? เธอเป็นใครกันแน่?”

              “ลูกชายของน้าภาไม่มีใครในหมู่บ้านไม่รู้จักหรอก แค่จะรู้จักในทางดีหรือไม่ดีก็เท่านั้น”

              สาวปริศนาพูดด้วยรอยยิ้ม   ชินกรเข้าใจประโยคแดกดันของเธอดีและไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียงด้วย  เขาจึงทำเป็นไม่สนใจในคำพูดแล้วหันมองหาต้นมะม่วงแทน

           “ไหนล่ะมะม่วงที่จะให้ฉันเก็บ?”

              หญิงสาวชี้มือไปที่ต้นมะม่วงที่อยู่ลึกเข้าไปตรงกลางของเนิน     ชินกรมองดูเห็นผลมะม่วงสุกเป็นสีทองอยู่จริงๆเขาจึงเดินฝ่าต้นไม้น้อยใหญ่เข้าไปที่ต้นมะม่วงต้นนั้น  เ   มื่อไปถึงชายหนุ่มจัดการปีนต้นมะม่วงโดยมีสาวปริศนายืนมองดูที่ใต้ต้น   ทันใดนั้นชินกรได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งผ่านมาบนถนนลูกรังอันเป็นทางสายหลักที่จะเข้าหมู่บ้านเมื่อหันไปมองเห็นเป็นรถกระบะสีดำ   โดยกระบะคันนั้นขับมาจอดบริเวณที่เขายืนอยู่เมื่อสักครู่    ก่อนที่จะมีกลุ่มคนลงมาจากรถกระบะแล้วทำให้ชินกรรู้สึกใจหายวาบนั่นคือไอ้ชมกับพรรคพวกที่ลงมาพร้อมกับมีดสปาต้าในมือ!

              ชินกรมองดูจากบนต้นมะม่วงเห็นไอ้ชมกับสมุนหันซ้ายหันขวาเหมือนจะมองหาอะไรสักอย่างที่เดาไม่ยากว่าน่าจะเป็นเขา    ขณะที่ชายหนุ่มอยู่บนต้นมะม่วงตรงกลางของเนินดินซึ่งด้านหน้าเขามีต้นหญ้ากับต้นไม้น้อยใหญ่อำพรางกำบังไว้อยู่     ไม่มีทางที่ไอ้ชมกับสมุนจะมองเห็นจากบนถนนลูกรังได้โดยเขาเห็นพวกมันสามคนหัวเสียเป็นอันมากเมื่อไม่เจอเป้าหมายอย่างเขา      ชินกรรู้ได้ด้วยข้อสันนิษฐานส่วนตัวและสันชาติญาณทนายว่าต้องมีชาวบ้านคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในที่เกิดเหตุไปบอกพวกตัวร้ายทั้งสามว่าเขาเดินกลับมาคนเดียว       จึงได้รีบบึ่งรถกระบะสีดำมายังถนนเพื่อจะดักทำร้ายเขาได้ถนัดถนี่      เดชะบุญที่เขาอยู่เนินดินที่ช่วยอำพรางเขาอยู่นี้หากชินกรยังอยู่บนถนนเขาคงยากที่จะหลีกเลี่ยงการโดนทำร้ายไปแล้ว!

              ไอ้ชมกับสมุนยืนชะเง้อมองตามทางอยู่ชั่วครู่ในที่สุดพวกมันก็ขึ้นรถกระบะแล้วบึ่งออกตัวไปด้วยความเร็วจากบริเวณนั้น      ในตอนนี้ชินกรลืมเรื่องเก็บมะม่วงไปจนหมดสิ้นเขาค่อยๆลงจากต้นมะม่วงลงมาพื้นด้านล่างจนเจอสาวปริศนายืนยิ้มให้เขาอยู่

              “นั่นเป็นศัตรูของเธอใช่ไหม?”

              “เธอรู้ได้ยังไง?”

              “ถ้าไม่รู้ก็คงไม่ช่วยเธอออกมาจากถนนนั่นหรอก   เธอเป็นคนฉลาดน่าจะรู้ดีว่าถ้าเธอยังอยู่ตรงนั้นป่านนี้ชีวิตเธอเป็นอันตรายไปแล้ว”

              “งั้นแสดงว่าเรื่องเก็บมะม่วงตรงนี้เป็นเรื่องแหกตา   เพื่อช่วยฉันใช่ไหม? เธอ.....เป็นใครกันแน่?”

              “มิตร”

              “มิตร...อย่างนั้นเหรอ?”

              “ใช่ มิตรที่มีอยู่น้อยนิดสำหรับเธอในหมู่บ้านแห่งนี้  ฉันใจหายวาบที่ตอนนั้นเธอหนีไปจากที่นี่ได้แต่กรรมก็ยังทำให้เธอกลับมาที่นี่อีก  น่าสงสารจริงๆ”

              “ฉันหนีไปจากที่นี่เพราะอะไรเธอบอกได้ไหม?”

              “ฉันรู้แต่บอกไม่ได้  ฉันทำได้เพียงช่วยเธอและเตือนเธอได้เท่านั้น”

              “เตือนฉัน ช่วยฉันจากพวกไอ้ชมกับชาวบ้านหรือไง?”

              สาวปริศนาส่ายหน้าพร้อมกับก้าวเท้าเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาโดยห่างกันแค่คืบ

              “ช่วยเธอจากสิ่งที่เธอได้ทำต่างหาก”

              “สิ่งที่ฉันทำลงไป เรื่องหวานเหรอ?”

              “ไม่ใช่....เธอทำเรื่องที่เลวร้ายกว่านั้นมาก!”

              เธอพูดพร้อมกับเอามือทั้งสองข้างมาจับที่แก้มของชินกร   ชายหนุ่มรู้สึกเย็นวาบเหมือนมีน้ำแข็งมาเกาะ

              “ฉันชอบเธอนะ ชอบเธอมานานและรอเธอมานานมากเหลือเกิน”

              สาวปริศนาพูดกับชินกรพร้อมกับจุมพิตไปที่ริมฝีปากโดยชายหนุ่มไม่ทันได้ตั้งตัว    ชินกรเคลิบเคลิ้มกับริมฝีปากที่นุ่มนวลของสาวปริศนาอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจผลักเธอออกไป

              “นี่เธอทำอะไรของเธอ? เธอเป็นผู้หญิงนะ”

              “สารภาพรักไง  แบบที่คนส่วนใหญ่เขาทำกัน”

              เธอคนนั้นพูดมาอย่างไม่อายปากพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์สำหรับชินกรเหลือเกิน

              “เอาล่ะ  เธอคงจะกลับทางเดิมไม่ได้แล้วเพราะศัตรูเธอดักรออยู่ทางเข้าก่อนถึงหมู่บ้านแน่  เธอเห็นทางนี้ไหม?”

              สาวปริศนาชี้มือไปที่ด้านหลังของเนินดินลึกเข้าไป ชินกรพยักหน้า

              “ถ้าเธอเดินเข้าไปทางนี้เธอจะเจอกับคันนาเก่า ให้เธอเดินเลาะคันนาไปเรื่อยๆจะไปโผล่ตรงแถวบริเวณไม่ไกลจากบ้านของเธอ    ถ้าเธอใช้เส้นทางนี้รับรองว่าเธอปลอดภัยแน่”

              ชินกรมองไปตามทางที่สาวปริศนาได้ชี้ไปเขามีท่าทางลังเลจนหันมาจะถามเพื่อความแน่ใจแต่เธอคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว!     ชายหนุ่มพยายามมองหาก็ไม่มีวี่แววขณะที่เวลาก็เย็นย่ำลงทุกทีในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินไปตามทางที่สาวปริศนาได้บอกไว้   จนพบกับคันนาเก่าที่แห้งกรังมีหญ้าขึ้นตามที่เธอคนนั้นได้บอกไว้จริงๆ     ชินกรเดินไปตามคันนาเก่าหลายครั้งหลายตอนเขาต้องฝ่าดงวัชพืชที่ขึ้นสูงเทียมหัวขณะที่แสงตะวันเริ่มส่องแสงสีส้มทองบ่งบอกว่าจะมืดเต็มทน ในที่สุดชินกรก็ฝ่าดงวัชพืชจนมองเห็นบ้านของนางภามารดาของเขาที่อยู่ทิศหลังบ้าน      แล้วชายหนุ่มก็เร่งฝีเท้าจนไปโผล่ตรงป่าใกล้บ้านถึงบ้านโดยปลอดภัยในที่สุด

             

             

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา