Revive and revenge (แฝงร่าง...ชำระแค้น)

-

เขียนโดย Mysteek

วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 17.49 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  6,022 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561 18.23 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ตอนที่ 3 โครงการวิจัยฟื้นฟูสมอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 3

    โครงการวิจัยฟื้นฟูสมอง

 

สายของวันต่อมา

ชายสูงวัยรูปร่างท้วมหัวล้านสวมแว่น นั่งอ่านรายงาน ดูฟิล์มเอกซเรย์อยู่ในห้องพัก

ส่วนตัว   ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“คุณหมอคะ มีคนมาขอพบค่ะ”

“เอ่อ เข้ามาได้”

สักพัก ก็มีพยาบาลสาว รูปร่างผอมหุ่นดีในชุดขาว สวมหมวกสีขาว พาชายวัยกลางคน

อายุราว 50 กว่าปี ผมสีน้ำตาล มีผมขาวแซม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว สูทสีน้ำเงินทับกางเกง

สีเดียวกัน สวมรองเท้าหนังสีดำเป็นเงา เดินเข้ามาเข้ามาภายในห้องพักส่วนตัวของ

หมอสูงวัย

“เอ่อ ผมมารบกวนคุณหรือเปล่าครับ คุณหมอไมตัน”

ชายที่เพิ่งเข้ามาเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทำให้หมอวัยเดียวกัน เอ่ยต้อนรับอย่างเป็น

กันเอง

“เอ่อ ไม่ครับ ตอนนี้ผมเคลียร์งานเสร็จแล้ว ว่าแต่คุณมาพบผม ไม่สบายตรงไหนหรือครับ”

ชายวัยกลางคนยื่นนามบัตรของตนไปให้อีกฝ่าย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ

“ผม  เดอร์ซาดา   อาคัส ทนายประจำตระกูลไมวาลครับ ผมจะมาคุยกับคุณหมอเรื่อง

ของผู้ป่วยที่ชื่อไมวาล ชาลอตครับ”

หมอไมตัน มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็เก็บอาการได้ดี เขาผายมือให้อีกฝ่ายนั่งเก้าอี้

ฝั่งตรงข้าม

“อ่า เอ่อครับ เชิญนั่งก่อนครับ”

“ขอบคุณครับ”

ทนายอาคัสเอ่ยขอบคุณแล้วนั่งลง แล้วเริ่มต้นบทสนทนา

“ตอนนี้อาการของคุณชาลอตเป็นอย่างไรบ้างครับ”

“เอ่อ ตอนนี้ อาการทางด้านร่างกายค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆครับ เรื่องบาดแผลที่ถูกยิง เรา

ก็พยายามกันอย่างเต็มที่ แต่ว่า.......”

“แต่ว่าอะไรครับ”

ทนายวัยกลางคนเอ่ย พร้อมกับมองด้วยสายตากังวลระหว่างรอคำตอบ

“แต่ว่า สมองเขาได้รับความกระทบกระเทือนมาก  ผมตอบไม่ได้ว่าเขาจะฟื้นหรือไม่นะครับ”

“อะไรนะครับ คุณหมอ  คุณหมอกำลังจะบอกว่า ไม่สามารถทำให้เขาฟื้นงั้นหรือครับ”

อาคัส ลุกขึ้นยืน จ้องหน้าคุณหมออย่างไม่พอใจ

“อ่า เอ่อ คือ...........”

นายแพทย์ไมตันก้มหน้าลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองแขกผู้มาเยือนอีกครั้ง

“เอ่อ......ก็อาจจะใช่ครับ”

ทนายอาคัส กัดริมฝีปาก กำหมัดแน่น ก่อนจะเอ่ยตอบไป

“งั้นผมคงต้องขอย้ายโรงพยาบาลครับ”

นายแพทย์ไมตัน ถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสลด

“ถ้าคุณต้องการแบบนั้น ผมก็จนใจ แต่ผมจะบอกคุณว่า เรื่องกรณีของคุณชาลอต ผม

ได้เชิญหมอระบบประสาทในโรงพยาบาลมาช่วยดูแล้ว  ทุกคนก็พูดเหมือนกันว่า

ไม่สามารถตอบได้ว่า เขาจะฟื้นหรือไม่ อีกทั้ง ผมยังส่งข้อมูล และโทรไปถาม

อาจารย์หมอดังๆ อีกหลายโรงพยาบาล แต่ทุกคนก็ให้ความเห็นไปในทางเดียวกันหมด

ผม..........เสียใจด้วยจริงๆ ครับ”

คุณหมอวัยกลางคน มีสีหน้าหม่นหมอง เขาไม่เคยเจอเคสที่ไม่มีทางรักษาแบบนี้

อีกทั้งยังเป็นเด็กอายุน้อยอีกด้วย  ทนายอาดัสปล่อยแขนตกลงด้านข้าง เขาทรุดร่างลง

บนเก้าอี้ด้วยท่าทางสิ้นหวัง  แต่ดวงตาสีดำของเขายังมองออกไปทางนอกหน้าต่าง

“ไม่มีหนทางจริงๆ ......หรือครับ”

“เฮ้อ ผมเสียใจด้วยครับ”

ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด

เสียงจากเครื่องโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเขาดังขึ้น  นายแพทย์สูงวัยกดปุ่มรับ

“คุณหมอไมตันคะ มีสายจากนักวิจัยที่ชื่อ เจสท์ค่ะ”

“อ่าครับ โอนสายเข้ามาเลย”

“ผมเจสนะครับ อาจารย์ที่เคยร่วมงานกับคุณหมอ เมื่อสองปีก่อนไงครับ

พอดีตอนนี้ ผมกำลังร่วมในโครงงานการวิจัยเรื่องการฟื้นฟูสมองโดยการใช้ระบบ

เรียนรู้แบบใหม่น่ะครับ อาจารย์พอจะมีเคสที่มีปัญหาด้านสมองไหมครับ พอดีผม

กำลังหาเคสที่มีปัญหาด้านการพัฒนาสมอง ผมพยายามหาในเคสเด็กหลายเคส แต่พ่อ

แม่ไม่ยอมเซ็นใบยินยอม ผมเลยลองโทรมาถามอาจารย์ เผื่อมีใครสนใจน่ะครับ

“เอ่อ เดี๋ยวผมโทรกลับนะครับ”

หมอไมตันวางสาย แล้วหันไปมองทนายความตรงหน้าด้วยแววตาแน่วแน่

“คุณอาดัสครับ ผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณ  ตอนนี้มีคนจะทำโครงการวิจัยการทำงานสมอง

เขาอยากได้อาสาสมัครเข้าร่วมโครงการวิจัยฟื้นฟูสมอง คุณอยากจะให้คุณชาลอตเข้าร่วม

ไหมครับ”

ทนายวัยกลางคน มีสีหน้าหนักใจ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็เอ่ยตอบ

“ผมคิดว่า เรื่องนี้ ผมคงต้องเรียนปรึกษา คุณอาหญิงของคุณชาลอตก่อนครับ เพราะตอนนี้

ท่านเป็นผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ใกล้ชิดที่สุด ยังไง ผมของเวลาสักหนึ่งถึงสองวัน แล้วจะรีบ

ติดต่อมาอีกทีครับ”

ทนายอาดัสลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยขอตัวทันที

“งั้นวันนี้ ผมคงต้องขอตัวไปเยี่ยมคุณชาลอตและจัดการธุระต่างๆ ก่อนนะครับ

คุณหมอไมตัน ลาก่อนครับ”

“อ่าครับ แล้วผมจะรอคำตอบจากคุณนะครับ”

++++++++++++

2 วันต่อมา

ชาลอตยังนอนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ  หมอไมตันจึงได้แต่รอโทรศัพท์จาก

ทนายความประจำตระกูลไมวาล

และในที่สุด ทางตระกูลก็อนุมัติให้ชาลอตได้เข้าร่วมโครงการฟื้นฟูสมอง แต่ทุกเรื่อง

เกี่ยวกับอาการของชาลอต  ให้เก็บเป็นความลับต่อสาธารณชน

   ร่างของเด็กหนุ่มผมดำ ได้ถูกเคลื่อนย้ายโดยทีมแพทย์ พยาบาลโดยยานบินพยาบาลไปยังตึก

ของหน่วยวิจัยระบบประสาทในกลางดึกคืนหนึ่ง

ณ อาคาร k หน่วยวิจัยระบบประสาทร่างของเด็กหนุ่มผมดำในสภาพชุดผู้ป่วยสีเขียว

อ่อน นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงสีขาว บนหน้าอกมีปุ่มมากมายแปะอยู่ต่อกับสายระโยง

รยางค์หลายเส้น ซึ่งจะเชื่อมต่อกับเครื่องมอนิเตอร์หัวใจ และเครื่องตรวจสอบการ

ทำงานระบบภายในร่างกาย  ส่วนศีรษะของเขาก็มีอุปกรณ์คล้ายหมวกเต็มใบครอบอยู่

มีไฟกระพริบ สีเขียวอยู่โดยรอบ  ภายในห้องกระจกชนิดพิเศษ  ด้านนอกห้องกระจกมี

แผงไฟฟ้า และหน้าจอแสดงมาตรวัดระดับออกซิเจนการเต้นของหัวใจ การทำงานของ

คลื่นสมองส่วนต่าง ภาพจำลองสมอง

    ผู้หญิงผมสีดำสั้น อายุ30 กว่าปี รูปร่างผอม ใส่แว่น สวมเสื้อกาวน์สีขาวนั่งบนเก้าอี้

หมุนสีขาว กำลังมองดูหน้าจอควบคุมต่างๆ ด้านข้างมีชายหนุ่มรูปร่างผอมผมดำยาว

มัดลวกๆ ไว้ที่กลางหลัง สวมเสื้อกาวน์รูปแบบเดียวกัน กำลังนั่งกำลังกดแป้นพิมพ์

ป้อนคำสั่งอะไรบางอย่างขะมักเขม้น    ถัดไปด้านหลังที่เคาน์เตอร์ที่มีปุ่มเล็กๆสีต่างๆ 

มีชายวัยกลางคนอายุราว40 ปีกำลังนั่งมองหน้าจอต่างๆ ตรงหน้า ข้อมูลต่างๆ ครุ่นคิด

ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“หัวหน้าคะ ตอนนี้สภาพร่างกายผู้ป่วยคงที่ค่ะ เราจะเริ่มกันเลยไหมคะ”

ชายกลางคนผมสีน้ำตาลเข้มมีผมหงอกแซมเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

“อืมถ้างั้นก็เริ่มได้เลย เราจะโหลดโปรแกรมฟื้นฟูระบบการเรียนรู้ ให้กับผู้ป่วย พร้อม

มั้ย”

หญิงสาวผมสั้น และชายหนุ่มผมยาว พยักหน้าแล้วเอ่ยตอบอย่างมั่นใจ

“ตอนนี้ เตรียมพร้อมทุกระบบครับ /ค่ะ”

ชายวัยกลางคนก็สูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวให้สัญญาณเริ่มต้น

“ถ้างั้น มาเริ่มกันเถอะ”

..

..

ในอีกโลกหนึ่ง

ภาพของชายหญิงคู่หนึ่ง รูปร่างสมส่วน ในชุดยูนิฟอร์มสีเทา กำลังช่วยกันอุ้มเด็กทารกเพศชาย

หน้าตาจิ้มลิ้ม  นั่งอยู่ที่ห้องรับแขกในบ้านหลังเล็ก

“แม่ ดูสิ ลูกเราเป็นผู้ชาย น่ารักจริง เจ้าชื่อว่า ชาลอตนะ”

“แอ๊แอ๊แอ๊”

เด็กน้อยร้องตอบรับผู้เป็นพ่อ

“อ้าว ชาลอต เป็นชื่อของลูก จำเอาไว้นะ”

หญิงสาวผมสีเหลืองทองยาว ยื่นมือไปจับแก้มนิ่มใสของเด็กทารกนั้น

“โตเร็วๆนะชาลอต”

สักพัก ภาพตัดไปที่เด็กคนนั้น เติบโตขึ้นกว่าเดิม อายุราว 3ปี เป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กผมสีดำ

ตอนนี้ พ่อและแม่ของเด็กจูงมือเด็กน้อยคนละข้างพาไปโรงเรียนวันแรก

เด็กน้อยไปถึงโรงเรียน ก็มีหญิงสูงอายุผมสีเทามัดรวบเป็นมวย รูปร่างผอมในชุดยูนิ

ฟอร์มเข้ารูปสีน้ำเงินเดินมาจูงมือของชาลอตเข้าไปในเขตโรงเรียน

“ชาลอต วันนี้ ตั้งใจเรียนนะลูก”

พ่อแม่ของเด็กน้อยเอ่ยอย่างให้กำลังใจ ขณะที่มองดูลูกเดินเข้าไปในเขตโรงเรียน

เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีแค่หนึ่งห้องเรียน ในนั้นมีเด็กหญิงและชาย กำลังวิ่งบ้าง นั่ง

บ้างอยู่ในห้องเรียน

หญิงสูงวัยยิ้มอย่างใจดี แล้วเอ่ยกับเด็กนักเรียนใหม่

“ครูชื่อ เคธี่ นะ หนูชื่อชาลอตใช่มั้ยจ๊ะ วันนี้ เป็นวันแรกของการเรียนในโรงเรียน

ที่นั่งของเธออยู่ตรงนั้นนะ แล้วก็เล่นให้สนุกกับเพื่อนๆนะ”

“ครับ คุณครู”

ชาลอตวิ่งไปที่เก้าอี้นั่งที่ว่าง แล้วหันมองเด็กคนนั้น คนนี้ รอบตัวเขา ทุกคนยิ้มให้อย่างสดใส 

ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าผ่านไป จนถึงตอนเย็น พ่อของเด็กน้อยก็มารับ กลับบ้าน

ไปทานอาหารเย็น และใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างเป็นสุข

วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ จวบจนเข้าสู่ชั้นประถม พ่อและแม่ของเด็กน้อยก็พาไปโรงเรียน

แห่งใหม่ มีครูมารับเหมือนเคย  ชาลอตสนุกกับการเรียนมาก ช่วงเวลา 6 ปี ที่อยู่ใน

โรงเรียน ตอนเย็นหลังเลิกเรียน เขากลับไปบ้าน และเปิดดูคอมพิวเตอร์ในบ้าน ที่ขอ

ให้พ่อซื้อมาให้เขา  เขาป้อนคำสั่งข้อมูล เชื่อมต่อระบบเน็ตเวิร์ค หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่

เขาสนใจ นั่นก็คือ ศิลปะการต่อสู้  ชาลอตเริ่มมีความคิดอยากเรียนวิชาการต่อสู้ เขา

อยากให้ร่างกายแข็งแรง มีกล้ามเนื้อและไม่ผอมจนเกินไป ถึงขนาดขอให้พ่อของเขา

สร้างหุ่นไม้ซื้อกระสอบทราย มาฝึกหัดซ้อมมวย และการต่อสู้ เขาศึกษาด้วยตนเอง

โดยใช้เวลาหลังเรียน เตะต่อย เรียนทุกอย่างจากข้อมูลที่ได้จากคอมพิวเตอร์มาฝึกฝน

ต่อด้วยตนเองจวบจนเวลาล่วงไปที่ช่วงวัยมัธยมต้น เขาอายุ 12 ปี เขาก็ยังค้นคว้าหา

ความรู้

นอกเหนือจากวิชาการที่เรียนตอนอยู่โรงเรียน  ช่วงวัย12ปี เป็นต้นไป เขามีพัฒนาการ

ด้านการอ่าน เขียน ทำได้เร็วขึ้นมาก เขาจึงทำการบ้านทุกวิชาเสร็จใน 1 ชม. และใช้

เวลาที่เหลือหาข้อมูลจากเน็ตเวิร์คที่เชื่อมต่อกับโลกภายนอก  ช่วงเวลาเช้าตรู่ เขาตื่นมา

ออกกำลังกายและฝึกซ้อมการต่อสู้  เขาทำในสิ่งที่เด็กทุกคนไม่ทำกันในช่วงวัยนี้

พัฒนาการของเขาโดดเด่น เขาเลื่อนชั้นจากมัธยมปี1 ไปปี3 ภายในสองปี และจาก

มัธยม4 ไปปี6 ในสองปีเช่นเดียวกัน

5 เดือนภายหลังอาการโคม่า ของชาลอต

ณ อาคาร K หน่วยวิจัยระบบประสาทในห้องประชุมทีมวิจัยโครงการฟื้นฟูสมอง

ชายและหญิงในชุดเสื้อกาวน์ อายุระหว่าง 30-55 ปีประมาณ7 คน กำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะรูป

ตัวU มีสีหน้าเคร่งเครียด     หญิงสาวผมดำสั้นใส่แว่นในชุดเสื้อกาวน์ขาว เริ่มกล่าวก่อน

เป็นคนแรก ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง

“ ช่วงสองเดือนแรก พัฒนาการสมองด้านการเรียนรู้ของชาลอตยังอยู่ในเกณฑ์

มนุษย์ปกติ  แต่ช่วง3 เดือนหลัง มันเร็วขึ้นกว่าปกติถึงสองเท่านะคะ นอกจากนี้ ชาลอต

ยังเข้าสู่ระบบเน็ตเวิร์คเรียนรู้ข้อมูลจากโลกภายนอกด้วยตนเอง โดยไม่มีใครชี้แนะ

มันน่าทึ่งเกินไป เขาคิดหรือทำแบบนั้นได้อย่างไร โดยไม่มีใครสอน  เรื่องนี้เรา

ควรจะตั้งสมมติฐานอย่างไรคะ  อาจารย์”

ชายวัยกลางคนที่อายุราว 50ปี ซึ่งถูกเชิญเข้าร่วมการประชุมวิเคราะผลโครงการ

เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นกับผลลัพท์

“เอ่อ เป็นเรื่องที่น่าทึ่งจริงๆด้วย จากข้อมูลประวัติของผู้ป่วยก่อนหน้านี้ ก็มีIQ เพียง

89 นี่นา  แต่ตอนนี้ คิดว่าน่าจะเกิน 140 แล้วก็เป็นได้ อาจารย์แนะนำให้เธอวัด IQ

ของชาลอตใหม่นะ  ทางด้านการงอกของเส้นประสาทล่ะ รายงานเป็นอย่างไรบ้าง”

ชายหนุ่มผมยาวรุงรัง เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า

“ครับ ผลการตรวจสอบ พบว่า เส้นประสาทที่ถูกทำลาย มีการสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว

ในช่วงสองเดือนแรก เพียง 25 %  แต่ช่วงสามเดือนหลัง สร้างเพิ่มขึ้นอีก 122%  ครับ

น่าตกใจจริงๆ  สมองส่วนความคิดสร้างสรรค์ เพิ่มการทำงานถึง 110%  สมองส่วนที่

ควบคุมกล้ามเนื้อ ทำงานเพิ่มขึ้น50%  แต่สมองที่เก็บความจำในอดีตไม่มีการทำงาน

เลยครับ คาดว่า ต่อให้การฟื้นฟูสำเร็จ ผู้ป่วยก็อาจจะจำเรื่องในอดีตไม่ได้เลย”

ชายวัยกลางคนหัวล้าน รูปร่างท้วมเอ่ยต่อ

“อืมเคสนี้แปลกมากจริงๆ สมองเลือกทำงานเฉพาะส่วนการเรียนรู้ด้านอื่น แล้วทาง

คุณเจสท์คิดว่า การเรียนรู้ ณตอนนี้ ไปถึงไหนแล้วครับ”

“ตอนนี้ โปรแกรมการเรียนรู้ใกล้จะสิ้นสุดแล้วครับ เร็วกว่าที่เราคาดไว้มาก แต่ตอนนี้

เรากำลังคิดว่าจะต้องสร้างบางอย่างเพิ่มเข้าไป เพราะจากที่คุณแจ้งเรามา ทางตระกูลไม

วาลอยากให้ทายาทของเขา ตื่นขึ้นมาจากสภาวะโคม่าที่เป็นอยู่ครับ คำถามคือ

สถานการณ์แบบไหน ที่จะทำให้เขาตื่นขึ้น นี่เป็นเรื่องท้าทายสำหรับทีมของเราที่

จะต้องขบคิดให้ออกครับ”

ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมใส่เสื้อกาวน์ ที่ชื่อ เจสท์เอ่ยขึ้น

"หวังว่า ทีมของพวกคุณจะคิดสิ่งนั้นให้ออกโดยเร็วนะ เพราะผมก็หวังว่า ชาลอต

จะตื่นขึ้นมา ใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กปกติโดยเร็ว"

นายแพทย์ไมตัน ที่เป็นแพทย์ประจำตัวของคนป่วย เอ่ยขึ้นในตอนท้ายของการประชุม

"ครับ ผมก็หวังเช่นนั้น"

หัวหน้าทีมเจสท์ตอบคำถามนั้น ด้วยสีหน้ากังวล เขาก้มหน้าลง พลางคิดในใจ

 

หวังว่า จะไม่มีอะไรผิดพลาดในขั้นตอนการปลุกนะ 

tbc.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา