บลัดฮันท์/Bloodhunt
7.8
เขียนโดย เอเดน
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 23.19 น.
7 #
3 วิจารณ์
10.38K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561 17.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) Grimmest of Dawn IV
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความIV - maleficus
“…บอกผมมา เซร่า คุณเคยไหมที่ก้าวเข้าไปในความมืดแล้วพบเพียงแต่ความมืดที่หนาทึบยิ่งกว่า?”
โครว์ ผู้อยู่ในสภาพมอมแมมและเปื้อนคราบเลือดกว่าปกตินั่งอยู่บนโซฟา เอ่ยเรียกเซราน่า ในชื่อเล่นที่ตัวเขาได้มอบให้
“คำสาปแห่งไฟอาว้า? ...มันแย่ถึงขนาดนั้น?” เธอสวนตอบเขาด้วยคำถามในน้ำเสียงขี้เล่นดั่งเช่นเคยกับเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอเกิดความสนใจ
หยุดสักพัก โครว์ใช้ไม้ขีดไฟจุดไปป์กล้องยาสูบที่เธอคาบไว้ในปากด้วยลิ้นเรียว ๆ และหลังจากเขาสบัดลูกไฟบนหัวไม้ขีดนั้นจนมอดดับ โครว์จึงมอบสายตาแห่งความจริงจังและเหนื่อยล้าให้ “ไม่ใช่งานโปรดของผมอย่างแน่นอน” …
ภารกิจของโครว์เปลี่ยนแปลงไปในทุกนาที... เสียงของประตูกรงเหล็กที่ล้มพังฟาดดังลงบนพื้น ปลุกตื้นทุกความมืดและสรรพสิ่งที่สถิตลึกภายในถ้ำให้หันมาเสาะสน และเป็นดั่งเช่นสัญชาติผูกคอจูงลาก อสูรเวลลิ่งตัวแรกตื่นตกลงมาจากฝ้าเพดานถ้ำ ทั้งตัวมันชุ่มเปียกในน้ำเมือกใสเครือบเหมือนเนื้อเยื้อบาง ๆ ผลิตโดยต่อมเหงื่อทั่วร่าง ปกป้องตัวมันจากแรงกระทบและกลบเสียงหล่นตกนั้น หนวดทั้งสี่ของมันสะบัดไกว่ไปมา… และก่อนที่เขาจะรู้ตัวได้ เสียงนั้นก็ได้ปลุกเสียงอื่น ๆ ให้ตื่นขึ้นมา- เสียงของพวกมัน ในจำนวนนับร้อย
เดินกันมาอย่างเฉื่อยช้าในจำนวนของกองทัพ พวกมันบีบดันผ่านความแออัด ผ่านช่องหินขรุขระภายในอุโมงค์ถ้ำเชื่อมติดกับห้องกักเก็บน้ำ เมือกหนึบ ๆ นั้นแปดป้ายไปทั่วทาง พรมม้านเชื้อราสีเขียวและเห็ดสีงาช้างบนผนังหลุดร่วงกันไปตาม ๆ
พวกมันเคลื่อนที่แบบกลุ่ม ในรูปที่ดำเนินได้ตามการแบ่งปันของมวลผลความคิด คอลเลคชั่นของเศษสัญชาตญาณที่บรรจบร่วมแบ่งปัน สื่อสารถ่ายทอดผ่านในรูปของคลื่นคีย์เสียงขับร้องคร่ำครวญ นักวิทยาศาสตร์ให้ชื่อนิยามของสิ่ง ๆ นี้เอาไว้ว่า ไฮฟมายด์ Hive Mind ความมีสติรู้ตัวได้จากการแชร์กันของหลายความรู้นึกคิดและข้อความเห็น เป็นวัฏจักรที่แสนสั้นของอสูรพันธุ์เวลลิ่งที่ได้ชะตาพวกมันให้รู้จักแต่พึ่งพาสัญชาตญาณนี้และมิอาจวิวัฒนาการข้ามขอบเขตของความโง่เขลาของพวกมันไปได้ เหมือนมดหรือผึ้ง พวกมันเจริญเติบโตมาเพื่อวางไข่และตาย โดยคำสั่งเฆี่ยนแส้ของสัญชาตญาณ
เสียงครวญครางนับร้อยเริ่มทยอยเข้าใกล้ เป็นเพราะปากบ่อน้ำที่ได้ถูกปิดไว้กับทางออกที่เป็นไปได้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของถ้ำ โครว์ถูกทิ้งไว้เพียงหนึ่งทางเลือก… ฝ่าดงของอสูร ในถิ่นของพวกมัน… ซึ่งอันตรายสำหรับนักล่าที่ทั้งมีและไม่มีประสบการณ์ เพราะถึงบลัดฮันท์จะเชี่ยวชาญและทรงความสามารถ ความตายก็ยังคือความตาย และ ‘ผิดพลาดหนึ่งหนอาจกลายเป็นอึกูลไปได้’ อย่างที่แอชคงจะพูด แต่ความชักช้าของพวกมันเองก็ได้มอบเวลาให้กับเขาใช้นึกคิดแผนการ
หลังการเตรียมพร้อม โครว์ยืนรอพวกมันอยู่ ณ กลางความมืด ครึ่งทางของอุโมงค์ ตะเกียงได้ถูกดับเพื่อให้ยากแก่การระบุตำแหน่งของเขา ดวงตาเด่นและแสงของคริสตัลสีฟ้าจากดาบกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน สายตาเฉียบคมของเขานั้นแน่นิ่ง ทิ่มแทงไปยังขั้วลึกของความมืด ตรงจุดที่พวกอสูรควรจะปรากฏมา เขาเฝ้า จับจังหวะของคลื่นน้ำที่เปลี่ยนไปตามแรงกระทบตรงหน้า มันช่วยบอกให้เขารู้ว่าพวกมันมาใกล้แค่ไหน ไม่นานคลื่นจากอ่อนนวลนี้ก็เริ่มจะมีน้ำหนัก สะกิดถึงข้อเท้าเพื่อเตือนเขา ‘...มันใกล้เข้ามาแล้ว’ เขาย้ำตนเอง
ในมิติความมืดสนิท มันมีเสียงหยดน้ำร่วงผ่านใยแมงมุม รองเท้าลอยชนกับผนัง และเสียงของสวิทช์ที่ได้ดังขึ้น ประกายแสงสีน้ำเงินของประจุไฟฟ้าระยับเมื่อเจ้าเวลลิ่งตัวแรกถูกจับในกับดักที่โครว์ได้วางเตรียมไว้ คลื่นน้ำสะพรึง มันสะบัดสะดิ้งชักงอไปมาและเช่นกันกับตัวอื่นที่ตามรอย หลังจากกับดักของเขาได้หยุดจบการทำงาน โครว์มุ่งหน้าเปิดโจมตีพวกมันที่กำลังตกอยู่ในความแตกตื่น ดาบของเขาฟาดฟันบันหัวของเวลลิ่งตัวแรกนั้นจนหลุดกลิ้ง จากนั้น ในเสี้ยววินาทีถัดมา เขาหันคมดาบเข้าหาตัวที่สอง
ลำน้ำในอุโมงค์ถูกแทนด้วยเลือด ความเงียบสงัดถูกเครือบด้วยเสียงครวญร้องของพวกมัน แผ่ทอดกันไปตามม้วนกรวงกระบอกศิลา วุ่นวาย… สับสัน... ขณะที่กองทัพแห่งสัญชาตญาณยังคงบั่นรั้งมาไม่รู้จบ
บางอย่างเปลี่ยนแปลงไปในรัง เขาสังเกตได้ถึงความผิดปกติในกริยาท่าทางของพวกมัน พวกอสูรนั้นเคลื่อนไหว...เร็วขึ้นกว่าปกติ เช่นกันกับเสียงร้องของพวกมันที่แข็งกร้าวและดุดันเหมือนหมาป่าคำราม เลือดในตัวเขาบอกลางว่ามันมีเวทมนตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง โครว์ทิ้งระยะห่างจากพวกอสูร เขาต้องการตั้งหลักใหม่ในพื้นที่เปิดกว้าง ณ ใจกลางรัง แต่เพราะพลังปริศนาที่เขาได้สัมผัสเพิ่มพูนมากขึ้นภายในถ้ำ เขากลัวว่าหากมีอย่างอื่นที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ดวงตาของเขากวาดมองหาระเบิด และมันก็มาปรากฏอยู่ในรูปแบบที่เขาไม่ได้คาดเอาไว้
พวกมันจูงควงแขน ยืนเรียงเป็นแนวเหมือนขบวนของนักแสดงบนหน้าเวทีบอรดเวย์ก่อนจะปิดม้าน กองศพของชาวบ้านซึ่งได้ถูกฆ่าและนำไปใช้เป็นรังไข่ให้กับพวกเวลลิ่งได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา แต่จากดวงตาสีขาวที่ไร้เงาสะท้อนของวิญญาณและความนิ่งทื้อดั่งก้อนหินอาจให้คำอธิบายใหม่ก็เป็นได้ ประจุพลังงานแห่งเวทมนตร์นี้สถิตภายในร่างของพวกมันแต่ละศพ เชื่อมต่อกับต้นตอที่ดูเหมือนมาจากด้านบนเพดานถ้ำ ยึดตรึงกับร่างศพคล้ายเชือกเอ็นสีขุ่นดำ โครว์เคยอ่านเกี่ยวกับเวทมนตร์ศาสตร์มืดประเภทนี้ มันเรียกว่า ‘หุ่นเชิดเนื้อ (Meat Puppets)’ ศาสตร์แห่งการตรึงร่างที่ไร้วิญญาณให้ขยับและกระทำตามคำสั่งของผู้ร่าย เพียงแต่ในถ้ำแห่งนี้ขาดตัวตนของจอมเวทย์ผู้ร่ายให้เห็นต่อหน้า จริง ๆ แล้วมันไม่มีวี่แววของมนุษย์อาศัยอยู่เลยด้วยซ้ำ โครว์สัมผัสว่ามีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลัง และเจ้าพวกหุ่นเชิดที่กำลังมองกันมาที่เขาเปิดปากอ้า
“ทำไมกัน? ทำไมเจ้าถึงต้องฆ่าพวกเขา?” พวกมันมีปากแตกต่างกันแต่น้ำเสียงที่ออกมานั้นกลับเป็นหนึ่งเดียว เสียงเศร้า ๆ แห้งหยาบและอ่อนล้านี้เป็นของชายแก่ ๆ
“คุณกำลังหมายถึงพวกเวลลิ่ง?”
“พวกเขาเป็นเหมือนกับเพื่อน ๆ ของ ข้า… ตลอดเวลาที่ผ่านมา… ในความมืดมิดแสนสุดทรมานนี้…” เขาเน้นคำนามที่ใช้เรียกตนเองเป็นราวกับเพื่อไม่ให้ลืม
“คุณไม่ใช่ปิศาจแน่นอน แต่บางอย่างที่แตกต่างออกไป”
“ชื่อเมื่อครั้งหนึ่งที่ ข้า เคยเป็นมนุษย์คือ...ลูบอชฮ์ Lubosh...ฮึ ฮึ... ฮึ” เขาหยุดสักพัก ค้นหา หลังจากขุดพบชื่อของเขาในความทรงจำ สิ่งอื่น ๆ ก็ไหลกลับเข้ามา มันคือความทรงจำอื่นที่ทำให้เขารู้สึกได้เพียงความเศร้า โครว์แปลอารมณ์ของวิญญาณนี้ไม่ออก เขารู้แต่ว่ามันทุกข์ทนอะไรมานานและยังพยายามคงความทรงจำของมันไว้
“ข...ขอโทษด้วย ไม่มีใครเคยถามชื่อของข้ามาก่อนในรอบ 300 ปี”
“300 ปีมันเป็นเวลานาน เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?”
“ในอดีตข้าเคยเป็นมนุษย์ ...เคยเป็นจอมเวทย์… ถูกส่งมาให้สอนเวทมนตร์แก่เจ้าชายเฟอร์ริสแห่งเพียร์ตร้า ...สอนให้เขาควบคุม...เวทมนตร์…” ลูบอชฮ์คั้นความทรงจำออกมา
“เฟอร์ริส Ferris ไฮคิงคนสุดท้าย มหาราชันย์ผู้เคยครองพิภพเหนือและกลางเป็นนักเวทย์? เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อสักหน่อย”
ไฮคิง High king คือตำแหน่งผู้ครองราชขั้นสูงสุดในโลกเหนือ ‘นอร์’ และเทียบเท่ากับจักรพรรดิในปัจจุบัน แต่เนื่องจากการปกครองที่แย่ ๆ ของเฟอร์ริสส่งผลให้ ‘เคิร์น’ พิภพกลางก่อกบฏและแบ่งแยกดินแดนออกจากตอนเหนือ และเนื่องจากตกลงกันไม่ได้ว่าใครควรเป็นไฮคิงหลังจากเฟอร์ริสได้สิ้นพระชนม์ ทั่วทั้ง 14 ประเทศในโลกเหนือจึงได้ทำศึกสงครามแย่งตำแหน่งกัน และได้เป็นแบบนั้นมาในตลอด 300 ปี และจากที่โลกเหนือไม่เคยไว้วางใจในเวทมนตร์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ผู้ใดก็ตามอันมีทักษะทางเวทย์จึงเท่ากับตัดขาดคุณสมบัติจากการสืบทอดบัลลังก์
“พวกเขาปกปิดความจริง… จ้างข้าให้สอนเฟอร์ริสในความลับ แต่วันหนึ่งเจ้าชายได้บังคับให้ข้าสอนเขาศาสตร์มืด และเฟอร์ริสใช้มันอัญเชิญภูติปิศาจตนนั้นขึ้นมา…”
“ให้ผมทาย ภูติปิศาจนี้คือเฟียนชี”
“ชื่อของนางปิศาจนี้คือ… เวทร้า Vetra… เจ้าชายเฟอร์ริสตกหลุมมนต์สะกดรักของเธอ ข้า...ได้พยายามห้ามเขา แต่เขากลับใช้ศาสตร์มืดที่ข้าได้สอนให้ผนึกวิญญาณข้าเสียแทน… โอ้...เฟอร์ริสน้อยผู้น่าสงสาร”
“หึม ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์ คลาสสิค แต่นั่นก็อธิบายว่าทำไม 'เวทร้า’ ถึงได้ร่ายคำสาปทั่วไฟอาว้าและฟาเควล์... เพราะเธอกำลังตามล่าศัตรูของเธอ ซึ่งนั้นก็คือคุณ”
“ใช่… ความผิดทั้งหมดมันเป็นของข้า ...ข้าได้สอนเฟอร์ริสทุกอย่างที่ข้ารู้และนั่น...นำพาหายนะมาสู่ดินแดนนี้ เป็น 300 ปีที่ข้าได้รวบรวมพลังทั้งหมดที่เหลือมีในวิญญาณแก่ ๆ นี้ไว้ แต่และแล้วนางเฟียนชีก็ได้ค้นพบเจอข้าอีก...ใช่ไหม? เธอส่งเจ้ามาเพื่อทำลายข้า” ลูบอชฮ์เต็มไปด้วยความสลดและเสียใจ เขาเห็นว่าตนเป็นต้นเหตุความทุกข์ของคนอื่น แต่ในเสียงของเขามันมีอย่างอื่น ความหวัง
“แต่ว่าข้า...ข้ายังลาโลกนี้ไปไม่ได้ พวกชาวบ้านข้างบน พวกเขายังต้องการข้าอยู่”
“คุณกำลังหมายถึงคำสาป? อันนั้นมันระหว่างคุณกับนางปิศาจ”
“ไม่ใช่แค่คำสาป ชาวบ้านข้างบนนี้ได้ตกเป็นทาสของเธอมาหลายชั่วอายุคน เมื่อเป็นเพียงลมอากาศ ข้าได้เห็นมันมาทั้งหมด ทุก ๆ การทรมาน ทุก ๆ การบูชายัญมนุษย์และฆ่าในนามของเธอ ข้าอยากจะช่วยพวกเขา...แต่ข้าอ่อนแอเกินไป การจองจำได้กัดกร่อนพลังเวทย์ของข้า…”
“และคุณก็ได้เกณฑ์ทหารเพื่อสร้างกองทัพใช่ไหม? พวกอสูรเวลลิ่งพวกนี้มาเพราะคุณเรียกพวกมันมา”
“พวกเขามาจากดินแดนห่างไกล ผู้อพยพมองหาบ้านใหม่”
“พวก มัน คืออสูร”
“ข้ามิอาจเห็นความแตกต่างได้อีกต่อไป… ไม่ว่าอสูร มนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตไหน ๆ พวกเรากระเสือกกระสนดำรงอยู่ในโลกใบนี้กันทั้งนั้น เผ่าพันธุ์ของพวกเขาไม่ได้เลือกที่จะเกิดมา เหมือนกันกับมนุษย์”
“งั้นคุณก็เข้าใจใช่ไหมว่าพวกมันได้ฆ่าชาวบ้านข้างบน?”
“ข้าหยุดพวกเขาไม่ได้... อย่างเช่นตอนนี้ ข้าพยายามใช้เวทมนตร์ควบคุมพวกเขา ข้าไม่ภูมิใจกับสิ่งที่ข้าทำ แต่บางทีเมื่อปลอดภัย เมื่อนางเฟียนชีได้ผ่านพ้นไป พวกเราอาจสามารถหาบ้านใหม่ด้วยกันได้” นวลนุ่มของความหวังบังเกิดในน้ำเสียงเขา
ระหว่างที่ไอเดียของเขาฟังดูแล้วบ้าคลั่งในหูของโครว์ จากที่เขาเรียนรู้มามันมีอสูรที่พยายามสื่อสารกับที่ทำตามสัญชาตญาณของมัน ความคิดที่ว่าสันติสุขระหว่างทุกเผ่าพันธุ์นั้นถือเป็นเพียงความฝันอันหลอกลวง
“คุณกำลังควบคุมกองทัพของอสูรที่สร้างความปั่นป่วนและปัญหาให้กับชาวบ้านลูบอชฮ์”
“ถ้าเช่นนั้นก็ได้โปรดช่วยข้าหน่อยเถอะ ช่วยจอมเวทย์แก่ ๆ คนนี้กำจัดนางปิศาจไป”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นลูบอชฮ์ มันจะต้องใช้ทั้งอาทิตย์ระบุศาลเจ้าและทุกต้นไม้ทุกก้อนหินศิลาที่ผูกพันธ์กับพลังของเธอ” และยังไม่รวมถึงความเป็นไปได้ที่คำสาปอาจจะร้ายแรงยิ่งกว่านี้หากปล่อยไว้นาน ๆ
“มันมี...อีกหนทางหนึ่ง…” ในทันที โครว์สัมผัสความลังเลใจในน้ำเสียงของลูบอชฮ์ “นางเฟียนชีตนนี้มีร่างทรง หญิงสาวที่ชื่อ มิร่า Mira …” และโครว์ก็เริ่มจะไม่ชอบไอเดียนี้แล้ว
“หากเรากำจัดนางเฟียนชีระหว่างอยู่ในร่างทรง-”
“-มันจะสามารถกำจัดทั้งเฟียนชีและร่างทรงไปได้” โครว์ต่อประโยคของลูบอชฮ์ “แต่คุณเองก็รู้ใช่ไหมว่ามันจะได้ผลแค่ชั่วคราว นางเฟียนชีสามารถฟื้นคืนพลังใหม่ในภายหลัง” โครว์มีประสบการณ์ดี มันเคยมีสัญญารับจ้างคล้ายลักษณ์แบบนี้ในอดีต
“แค่นั้นก็พอแล้ว มากพอที่ข้าจะคิดค้นหาทางกำจัดเธอ และมากพอที่ชาวบ้านจะได้หายใจโล่ง ๆ”
“ มาก เกินไปด้วยซ้ำ ผมจะไม่หลั่งเลือดของคนบริสุทธิ์เพียงแค่จะชะลอจุดจบไปไม่กี่ปี”
อาจฟังดูแปลกสำหรับคนที่ฆ่าเป็นอาชีพ แต่โครว์ไม่มีความปรารถนาหรือแรงจูงใจจะพรากชีวิตของหญิงสาวบริสุทธิ์ เพราะอย่างที่ลูบอชฮ์พูดไว้ ไม่มีใครเลือกเกิดมา ใช่เช่นกับว่ามิร่าเลือกมามีโฉมโดนใจนางเฟียนชี
“อีกอย่าง 300 ปีมันเป็นเวลานาน มากพอจะให้นางเฟียนชีสร้างฐานยึดคงอยู่บนดินแดนแห่งนี้ ...กำจัดเธอตอนนี้และไคทาสตาวล์จะลุกเป็นไฟ”
โครว์ยกดาบของเขาขึ้น จ่อปลายคมไปหาคณะหุ่นเชิดเนื้อตรงหน้า
“พวกเรามีเพียงหนึ่งหนทางเดียวที่จะจารึกบาดแผลลงบนแผ่นดินนี้ให้น้อยที่สุด” ใจของเขาคงมั่นกับการตัดสินนี้ ถึงมันจะฟังดูโหดร้ายก็ตาม
วิญญาณในหุ่นเชิดเนื้อของลูบอชฮ์ไม่เอ่ยอะไร ชะงัก เหมือนการสนทนาที่จู่ ๆ ก็หยุดพูดเพราะบุคคลผู้สนทนาต่างขัดแย้งไม่เข้าใจ จากนั้นร่างของพวกมันจึงร่วงลงกับพื้น เส้นเอ็นแห่งพลังเวทย์ได้คลายออก ในกิริยาดั่งได้รับอนุญาตจากนายเจ้า ฝูงพลของอสูรเวลลิ่งเข้ารายล้อมเขา
พวกมันรุกโจมตีจากทั่วทิศทาง จอมเวทย์ผู้ถูกผนึกวิญญาณทอดทิ้งร่างหุ่นเชิดและหลบไปซ่อนตามซอกเงาในถ้ำ อย่างขี้ขลาด หรือบางทีไม่อยากจะทำร้ายเขาตรง ๆ หรือบางทีอ่อนแอเกินกว่าจะทำไหว
อยู่ภายใต้พลังอำนาจของเวทมนตร์ พวกเวลลิ่งนั้นยากเสียยิางขึ้นที่จะสู้ โดยเฉพาะในจำนวนเช่นนี้ ด้วยอันตรายที่เพิ่มเสี่ยงมากขึ้นในทุกขณะ โครว์นึกคิดอย่างฉับพลันเพื่อจะเอาตัวรอดในสถานการณ์เช่นนี้ เขาล้อพวกมันมาใกล้กับทุ่นระเบิด ต่อกรกับพวกมันขณะรอให้ทั้งหมดกระจุกอยู่ในรัศมี และเมื่อพยายามนำพาตัวของเขาออกจากแห่ฝูง เขาใช้ดาบเสียบแทงพุงของเจ้าอสูรและจับตัวมันมาใช้เป็นกำบัง มืออีกข้างรีบคว้าไปจับปืนออกมา เล็งไปหาทุ่นระเบิด กระสุนถูกส่งผ่านตรอกแห่งความโกลาหลของฝูงทัพเวลลิ่งตรงเข้าหาชนวนระเบิดอย่างแม่นยำ
มาในตอนแรกคือเสียงระเบิดดังก้องสะท้านฟ้าที่ในเสี้ยวของวินาทีสลับแทนด้วยเสียงวี๊อันลากยาวไม่รู้จบ มันกลืนกลบเสียงอื่นโดยรอบ และตามมาหรือในขณะเดียวกัน ความร้อนเกรี้ยวกราดของพายุแห่งอัคณีที่อาบใบหน้าเขา เพลิงไฟสีอำพันหมุนเกรียวในรูปที่คล้ายกับงูยักษ์เลื่อยไชตามเพดานถ้ำ มันจับกัดกินทุกสรรพสิ่ง ถูกจับในรัศมีระเบิด ร่างของเขาโดนส่งโยนไปอีกฟาก หลังของเขาชนกับผนังแต่โชคดีที่เขาใช้ร่างของเจ้าเวลลิ่งเป็นโล่กำบังและจึงหลีกเลี่ยงบาดเจ็บสาหัสไปได้
รอบตัวเขามีเพียงกลิ่นของดินปืนและเลือดประจุดด้วยเปลวไฟ โครว์ดึงดาบแล้วพลักทิ้งร่างที่ใช้เป็นโล่ เงาในดวงตาของเขาสะท้อนเศษพูนของก้อนเนื้อที่จับไหม้ ไม่มีอะไรมีชีวิตเหลืออยู่ในถ้ำ เว้นเพียงแต่คลื่นพลังวิญญาณของจอมเวทย์ที่แผ่เบา ถึงเป็นเช่นนั้น โครว์ชักนำตัวของเขาเข้าหามัน เกรี่ยตามเขม่าถ่าน เขาค้นพบกับตุ๊กตาไม้ในรูปของเด็กทารก ตัวไม้เป็นไอรอนวูด Ironwood เนื้อไม้ที่แข็งทนทานที่สุดในโลก และจากที่ตุ๊กตานี้ไม่มีซึ่งดวงตา ทั้งภายในร่างก็ว่างโหว เขาสามารถบอกได้ว่ามันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นของเล่น นอกจากรอยชำรุดขูดถากบนเนื้อไม้ มันมีรอยระบุเล็ก ๆ ของเวทย์
ตุ๊กตาน้อยตัวนี้ถูกใช้เพื่อผนึกวิญญาณ แน่นอนว่าคือของลูบอชฮ์ แต่สิ่งของที่ใช้นั้นค่อนข้างแปลกตา จากที่โครว์อ่านมาเวทมนตร์ผนึกวิญญาณ หรือ Soul Trap เป็นหนึ่งในศาสตร์มืด เวทมนตร์ประเภทดาร์คอาร์ทที่มักใช้ในการกักขังและทรมาน คิดค้นขึ้นโดยเมจแคชเชอร์ สิ่งของที่ใช้ในกระบวนการควรมีคุณสมบัติเป็นพาชนะ เช่นหีบหรือโลงศพ คงเป็นเรื่องจริงที่เจ้าชายเฟอร์ริสได้กักขังวิญญาณของลูบอชฮ์เอาไว้
วิญญาณนั้นสั่นคลอน โครว์รับรู้มันได้จากพลังที่อ่อนไหวเหมือนกองหนังสือที่วางทับซ้อนกันกำลังจะล้ม วิญญาณนี้คงทนอย่างมากที่จะรักษาสติและความนึกคิดของมัน จากที่โครว์ประสบมา วิญญาณที่ถูกผนึกส่วนมากหากปล่อยไว้นานควรกลายเป็นเรร์ท Wraith ผีร้ายบ้าคลั่ง มันน่าประทับใจที่ลูบอชฮ์ยังคงความทรงจำของเขาเอาไว้ในนับ 300 ปี
“จะไม่ทิ้งคุณไว้ในความมืด…” โครว์ก้มตัวหยิบตุ๊กตานั้นขึ้นมา ตั้งใจจะปล่อยวางมันสู่ความสงบ ...เป็นสิ่งเล็กน้อยที่ตัวเขาสามารถมอบให้กับมันได้
เขาไม่หวังจะให้มันเป็นการขออภัยใด ๆ หรือทำไปเพราะเป็นความรู้สึกผิดในการตัดสินใจและกระทำต่อต้านกับความปรารถนาของลูบอชฮ์ มันคือความต้องการจะทำเป็นเพราะความเคารพในจิตเจตนาที่ดีของลูบอชฮ์ซึ่งตักเตือนให้โครว์นั้นรำลึกถึงตัวตนของเขาเองในอดีต ย้อนไปในวัยเด็กที่เขาพยายามมองโลกในแง่ดี
พิธีปลดปล่อยวิญญาณนั้นไม่ยุ่งยาก เขาเพียงแค่ต้องวาดวงแหวนเวทย์บนพื้นและกล่าวบทสวดหลังจากนั้นวิญญาณก็จึงสามารถกลับไปสู่ ดิ บียอนด์ The Beyond โลกของคนตายได้ สำหรับอะไรที่รออยู่ในโลกหลังความตายนั้นเขาเองมิอาจรู้หรือจะรู้ได้
เมื่อเสียงกริบกรอบของเนื้อย่างไหม้ถูกละทิ้งไว้ข้างหลัง โครว์พร้อมกับตุ๊กตาบรรจุวิญญาณของลูบอชฮ์ปีนขึ้นบันไดเหล็กสีเทา และจากขอบปากของบ่อน้ำ เขาเห็นได้ถึงท้องฟ้าและแสงสีส้มปนอัญชัน ความมีอยู่ของคำสาปนั้นได้เลือนหายไป เขาแปลกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะศัตรูของนางเฟียนชียังอยู่ในมือของเขา แต่แทนทีคำสาป โครว์รับรู้ได้ถึงสัมผัสของพลังอันยากจะลืม มันเป็นของนางเฟียนชี แต่ในครั้งนี้ช่างเหมือนเธอมาอยู่ใกล้ ‘...เธอกำลังรออยู่ข้างบน’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ