บลัดฮันท์/Bloodhunt
เขียนโดย เอเดน
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 23.19 น.
แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561 17.06 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) บทนำ - The Month of Flowers
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
The Month of Flowers
...และจดหมายก็ถูกส่งมาโดยม้าเร็วยังปราสาทรอชฟอร์ท Rochefort
ท่านแชมเบอร์ลีนด้วยใบหน้าอันเคร่งเครียดเปิดอ่าน ท่ามกลางคณะของขุนนางแห่งมหาอาณาจักรเคิร์นห่มในผ้าไหมเงินย้อมสีล้วนตระการตา และแน่นอนว่า ท่านไวส์เคาท์แห่งเดวฟินเนีย ฟาร์นซิส รอซฟอร์ท Francis Rochefort ก็นั่งประจำบัลลังค์อยู่ตรงนั้น รอคอยรายงานการกลับมาจากลูกชายเขา
“ท่านลอร์ดแห่งเดวฟินเนีย ข้ากระผมโปรดขออภัยที่จะต้องเรียนบอกให้ท่านทราบว่าบุตรชายคนสุดท้ายของท่าน แอ็คเซว รอชฟอร์ท พร้อม ๆ กับม้า หมาล่าเนื้อ คนใช้ นายพรานนำทาง อัศวินและกองทหารอารักขาจำนวน 20 นายของเขาได้ถูกฆ่าโดยยักษ์ในป่าต้องห้าม… ” ในทันที ข่าวร้ายกระซัด ท่านลอร์ดสลบดับคาบันลังค์
เดวฟินเนีย Delphinia จะถูกจดจำตราตรึงใจของผู้มาเที่ยวชมเอาไว้ตลอดกาล ในฐานะของดินแดนคล้ายหลุดมาจากโลกเทพนิยาย แม่น้ำสีรุ้ง ต้นไม้หยกเขียว ดอกไม้บานสะพรั่งไปทั่วทุกหนแห่ง มันคือดินแดนจุดกำเนิดของจิตรกรและศิลปินชื่อดังระดับโลก ถนนของเดวฟินเนียปริโปรยเต็มด้วยเสียงดนตรีและกลีบเกสรของดอกไม้ พวกมันมีหลากหลายพันธุ์ ส่งขนกันมาจากขบวนเกวียนเพื่อไปแปรรูปเป็นสีย้อม น้ำหอม หรือโพชั่นชนิดต่าง ๆ จำนวนของมันสามารถเป็นได้ถึงตันในช่วงเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว และสำหรับผู้ที่แสวงหาการศึกษา ตัวเมืองเองก็มีมหาวิทยาลัยพิคาสโซ่ Picasso University ทำการเปิดสอนด้านศิลปะตลอดจนการแสดง สำหรับผู้ที่มีเงินทุนพอจะเข้าเรียนในหลักสูตรนั้น ๆ และในเดือนแห่งดอกไม้เช่นนี้เดวฟินเนียก็จะมักเกลื่อนกลาดไปด้วยผู้คน
เสียงกระดิ่งดังกังวานส่งสัญญาณบอกให้ผู้โดยสารลงจากขบวนม้าเหล็ก- รถไฟพ่นไอน้ำ ซึ่งถือเป็นวิวัตกรรมทันสมัยสำหรับดินแดนใดก็ตามที่มีไว้ครอบครอง เครื่องหมายก้องประกาศของความมั่งคั่งในดินแดนเดวฟินเนีย
“ สาลุเทชั่น และขออภัยด้วยครับ แต่พวกผมเกรงว่าจะต้องทำการตรวจดูกระเป๋าของท่าน ” สุภาพบุรุษสองคนในชุดโค้ทยาวเรียบปิดทักหยุดชายในชุดคลุมดำ ผู้ดูน่าสงสัยและเหมือนพึ่งจะลงจากรถไฟมาได้ไม่นาน
แต่หากจะเรียกพวกเขาว่าทหารยามแบบนอร์ก็จะไม่ถูกต้อง พวกเขาคือ แฮทแมน Hatman หรือรู้จักกันในที่อื่น ๆ ว่า ตำรวจ พวกเขาสวมหมวกสูงเป็นเอกลักษณ์คล้ายสุภาพบุรุษในเมืองใหญ่ ๆ แต่เย็บติดตราอาร์มไว้เพื่อบอกตัวตน ทหารอาจจะรักษาความปลอดภัยของประเทศ แต่มันคือแฮทแมนที่มีหน้าที่ดูแลรักษาความสงบภายในบ้านเมือง
“ เอกสารเดินทางครับ? ” แฮทแมนร่างกายอวบอ้วนจนกระดุมเสื้อแทบจะร่อนยืนมือเปียกเหงื่อออกไปหาชายผู้ต้องสงสัย ขณะกำลังล้วงมือไปหยิบเอกสารภายใต้เสื้อผ้าสวมกันหลายชั้นจนประหลาดของเขานั้น แฮทแมนข้าง ๆ -ซึ่งตรงกันข้ามกับคู่หูของเขาเป็นคนผอม- ได้จับกุมปืนพกบนสายคาดอกไว้แน่น ปลายนิ้วแนบบนไกปืน เขารู้สึกไม่ดีกับชายคลุมดำตรงหน้า ในหัวกำลังคิดว่าชายคลุมดำนี้อาจจะควักอาวุธออกมาแทน
“หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามปกตินะครับ” ชายต้องสงสัยมอบม้วนห่อของเอกสาร เสียงของเขาควงจับอารมณ์แห่งความเยือกนิ่งจนแทบเหมือนเย็นชาเอาไว้
“มิสเตอร์ บอลดีแรอ์ สัญชาติเคิร์น แต่แปลกจริงเลยครับ หน้าตาของคุณดูคล้ายชาวลูแมน... ” แฮทแมนคนอ้วนอ่านและสังเกตได้ เขารู้จักลักษณะของชาวเกาะลูแมนจากปลายจมูกโด้งกับโหนกแก้มเรียวแหลม
ถึงแม้เอกสารของชายชื่อครอสนี้จะดูเรียบร้อย บางรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเขาต่างดูผิดปกติ เขาสวมชุดคลุมดำยาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ทีท่าของเขาขาดแรงกระตือรือร้นรีบร้อนจะเข้าไปในเมืองเหมือนนักท่องเที่ยวหรือนักศึกษาทั่วไป ซึ่งมันทำให้แฮทแมนคนอ้วนตั้งคำถาม
“คุณมาทำธุระที่เดวฟินเนียหรือครับมิสเตอร์ครอส? ”
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้”
“ว่าแต่ธุระอะไรพิเศษไหมครับ? ถ้าคุณไม่เกรงที่ผมจะถามหรือเปิดดูข้างในกระเป๋าเดินทาง”
“ผมเป็นบลัดฮันท์ และใช่ ผมเกรงว่าคุณควรจะหลีกเลี่ยงเปิดกระเป๋าของผมดูถ้าคุณไม่อยากเก็บสิ่งที่พบไปเป็นฝันร้าย” แฮทแมนที้งสองจับขั้วของความเย็นตรงสันหลัง นามของ บลัดฮันท์ Bloodhunt -ที่แสลงมาจากบลัดฮันเตอร์ Bloodhunter- เสียบแทงความกลัวไปยังหัวใจของทั้งมนุษย์และอสูร
พวกบลัดฮันท์มักใช้ชีวิตอยู่ตามนอกเมือง เดินทางเร่ร่อน ต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายและอะไรอื่นก็ตามตราบใดที่ได้ค่าจ้าง เมื่อพวกเขาเข้ามาในตัวเมืองหรือแม้กระทั่งหมู่บ้าน ทุกคนก็รู้โดยทันทีว่ามีปํญหา เนื่องจากพิลึกผิดธรรมชาติภายในร่างบวกกับความชอบทำตัวลี้ลับของพวกเขา ข่าวลือและลางร้ายบินดมตอมรอบตัวของบลัดฮันท์เหมือนแมลงวัน ยกตัวอย่างเช่นที่ว่าพวกเขาลักพาตัวเด็กหรือที่ว่าพวกเขาควักกินเนื้อเครื่องในของอสูรเป็นอาหาร
แฮทแมนคนอ้วนและคนผอมต่างมองตา จะเอายังไงดี? ทั้งคู่คิด แฮทแมนเกณฑ์จากราษฎรในพื้นที่ ไม่ได้ฝึกหรือเตรียมอาวุธมารองตอบรับกับอะไรที่ไม่ใช่โจรจี้หรือตีนแมวเยี่ยงนี้ อีกอย่าง บลัดฮันท์เป็นที่รักของขุนนางและนักกวี ในเดวฟินเนีย พวกเขาถูกถือเป็นเหมือนนักรบผู้ทรงความสามารถ เก่งกาจเชี่ยวชาญในการปราบศัตรูสูงโตเป็นสองเท่าของพวกเขาได้
“ถ้าเช่นนั้นพวกผมจะไม่รบกวนท่านบลัดฮันท์อีกต่อไป ฟาเวล”
ไม่คุ้มเสี่ยงกับปัญหา แฮทแมนทั้งสองคืนเอกสารแล้วหลีกทาง แลมองดูบลัดฮันท์ในชุดคลุมดำหิ้วกระเป๋าจากไป
.
ชาวเดวฟินเนียแต่งตัวในสีจัดจ้านเพื่อสื่อสารแสดงอารมณ์ความรู้สึกของผู้สวมใส่ เขียวสำหรับหญิงสาวผู้มีความอิจฉาริษยา แดงเหมาะกับขุนนางผู้มีความทะเยอทะยานสูง หรือขาวสำหรับนักบวชและความบริสุทธิ์เป็นต้นไป แต่สวมใส่สีดำอย่างชายคนนี้นั้นช่างย่อมสะดุดตาผู้คน
เหมือนนักท่องเที่ยว นักศึกษา หรือพ่อค้าต่าง ๆ ที่มายังเดวฟินเนีย บลัดฮันท์หนุ่มออกจากสถานีรถไฟแล้วจ้างรถม้าต่อตรงเข้าไปในตัวเมือง พบกับความรังควาญเพียงเล็กน้อยจากหน่วยลาดตระเวนของแฮทแมนระหว่างเดินทาง แต่พอมาถึง ณ จุดหมายปลายทาง ตลาดกลางเมืองดาวี้กับคิสต้า เขาก็ได้คลายผ้าคลุมนั้นออก รู้สึกได้ว่ามันเรียกร้องความสนใจที่ตัวเขาไม่ต้องการ
ปราศจากผ้าคลุม มันเผยโฉมหน้าของชายหนุ่มตาคมเข้ม เส้นผมของเขาตรงดำกลมกลืนไปกับเงามืดแต่เปร่งประกายสะท้อนทันทีเมื่อแสงเสาะ เขามีหนวดเคราบาง ๆ ขีดจัดอย่างเรียบร้อย เขาไม่ได้เลือกที่จะไว้มันในตอนแรก แต่เขาก็เคยชิน และอย่างช้า ๆ หลงชอบมัน
ม้าสูบถอนหายใจฟึดฟัดเมื่อรถม้าได้หยุดขยับแน่นิ่ง พื้นรองเท้าหนังของเขาแตะคอนกรีตเรียบลื่นของตลาดกลางวันดาวี้ Davy Day-Marketplace คู่แฝดกับตลาดกลางคืนคิสต้า Cista Night-Marketplace ทั้งสองสลับกันเปิดปิดตามคาบเวลาของแต่ละวันไม่พักผ่อน แท่นรูปปั้นแบกนาฬิกาในสวนดอกไม้กลางตลาดบอกกับเขาและผู้คนที่เดินจับจ่ายใช้สอยรอบ ๆ ว่าขณะนี้คือเวลา 12:30 นาฬิกา
ระหว่างรอคนขับรถม้า -ซึ่งไม่ค่อยถามคำถามเขามาก- ยกกระเป๋าสัมภาระมาให้ บลัดฮันท์หนุ่มก็อย่างมิตั้งใจ แอบได้ยินบทสนทนาของสองขุนนางสาวกำลังลอบมองเขาจากสวนดอกไม้ใต้ร่มต้นอูนป่า
“...เขาดูหล่อเหลาและแต่งตัวดี” เธอบอก ตาไล่ไต่เสื้อคลุมขนสัตว์และเสื้อกั๊กทำจากผ้ากำมะหยี่ของเขา
“แต่ทั้งหมดช่างมีแต่สีดำ! เพราะอะไรกันนะ? ความลึกลับหรือความเศร้า? ”
“และตาของเขา...อืมมม ช่างสวยงาม ” ดวงตาคริสเติลบลูคู่นั้นสะกดใจเธอ สีฟ้าใสจนเกือบขาว เหมือนเหงนมองผิวน้ำจับแข็งจากก้นของทะเลสาบ สีฟ้าขาวก่อนความตายอันหลบเลี่ยงไม่ได้
“เหมือนดวงตาของอสูร… ฉันสงสัยว่าเขาจะพรอดรักเหมือนอสูรด้วยหรือเปล่า… ” ขุนนางสาวตกหลุมรักอย่างรวดเร็ว
“มาร์เซลิน! เธอมันอยากมาก! ” เพื่อนขุนนางสาวตบไหล่ ยิ้มเยาะ
“ฉันจะยอมร่วมเตียงกับอสูรดีกว่าทนนอนกับตาเฒ่าที่ฉันต้องเรียกเขาว่าสามี ”
“เทศนาเลยจ๊ะพี่สาว แต่ว่านะะ...” ขุนนางสาวเอียงตัวเข้าหา “นิอูส เดวอนส์ ดิสคัทร์ ดี’อุทร์ชูส อิว ริกราอ์ นิอูส nius devrons discutr d'autrchose. il rigare nius.” เธอเปลี่ยนมากระซิบในภาษาพื้นเมืองของพวกเธอ ภาษาเคิร์นนา หวังไม่ให้เขาเข้าใจได้
เธอหารู้ไม่ว่าเขาพูดคร่องในภาษาเคิร์นนา นอร์ ลูแมน และคอมมอน จากที่เขาจับแปลมันได้เธอพูดว่า ‘พวกเราควรสนทนาเรื่องอื่นกัน เขากำลังมองเราอยู่’
“กระเป๋าคุณครับ” คนขับรถม้ายกกระเป๋าหนังให้ชายหนุ่ม ดูหนักเพราะเขาต้องถือไว้ด้วยสองมือ
ท่ามกลางกลุ่มของเด็ก ๆ เล่นวิ่งไล่จับหน้าสวนดอกไม้กับคนมากมายเดินวนรอบจนหัวหมุน บลัดฮันท์หนุ่มในพริบตาหายตัวไป แฝงในหมู่ของฝูงชนเพียงแต่จะมาปรากฏตรงปากซอยอันเปลี่ยวเงียบ
..
เติบโตมากับดอกไม้ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ บนดินแดนที่รวยร่ำอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ ชาวเดวฟินเนียเรียนรู้จักนำพวกมันมาใช้เป็นประโยชน์อย่างมากทั้งในทางศาสตร์ของศิลปะและศาสตร์การแพทย์ ทุก ๆ ปี ดอกไม้นับสิบ ๆ ตันจะถูกส่งเข้ามากลั่นเป็นน้ำหอมเช่นกันกับต้มเป็นยาโพชั่น แต่ขณะที่เพอร์ฟูมเมอร์ Perfumers หรือที่รู้จักว่าคนทำน้ำหอมได้ถูกถือเป็นอาชีพชนชั้นสูง มีบ้านอยู่อาศัยท่ามกลางขุนนางแนวหน้าของเดวฟินเนียเคียงข้างตามลำดับกับช่างทำรองเท้าและช่างตัดเย็บเสื้อผ้า โพชั่นเมคเกอร์ Potionmakers นักต้มยาโพชั่น กลับถูกหวาดระแวงว่าเป็นพวกเล่นศาสตร์มืดอย่างกับพ่อมดหรือแม่มดปิศาจ และข้อกล่าวหานี้ยิ่งรุนแรงขึ้นอีกเมื่อพวกเขาได้มอบที่อยู่หลบภัยให้กับชาวนักเวทย์ผู้อพยพมาจากตอนเหนือในอดีต
พวกโพชั่นเมคเกอร์เรียกมันว่าบ้าน แถวอาคารปริศนา ณ สุดขอบของซอยฝั่งตะวันตก ตลอดทั้งวัน บนถนนนี้ ไอควันสามารถพบลอยขึ้นมาจากฝาของช่องระบายอากาศจากชั้นใต้ดิน มันคือควันไอน้ำเดือดจากการต้มยาสมุนไพรชาวเมืองเรียกมันว่าตรอกควัน Fog Alley ตรอกซอยนี้พ่นลมหายใจแห่งหมอกขาวหนาตลบไปทั่วตั้งแต่ช่วง 4:00 - 9:00 นาฬิกา ก่อนจางบางลงในช่วงเที่ยงยันบ่ายแล้วกลับมาหนาอีกในยามเย็นยันค่ำ
ในเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว The Month of Harvest เมื่อปีที่แล้ว เพลิงไหม้ได้เกิดขึ้น ณ ตรอกควัน คืนเดียวกันกับวันฉลองการเก็บเกี่ยว ทั้งแถบตึกของร้านโพชั่นถูกมอดไหม้ทำลาย อีกหลายชีวิตตายในเปลวไฟ จากรายงานของกรมแฮทแมน ไฟเกิดขึ้นมาจากร้านของโพชั่นเมคเกอร์ตรงอาคารที่ 2 เพราะมันเป็นช่วงหลังเที่ยงคืน ผู้อาศัยส่วนมากจึงกำลังนอนหลับอยู่และไม่สามารถตอบสนองกับเพลิงไฟได้ทัน มันเป็นเหตุการณ์แห่งความโกลาหลอย่างเชิงสิ้น ผู้อาศัยบางคนติดกับเพราะมัวแต่เก็บรวมรวบข้าวของมีค่า บ้างก็กระโดดหนีไฟออกมาทางหน้าต่างคอหักตาย
บ่อยครั้งบนโลก เมื่อเหตุโศกนาฏกรรมเช่นนี้ได้เกิดขึ้นมันดลบันดาลให้สิ่งผิดปกติตามธรรมชาติบังเกิดขึ้น วิญญาณของผู้ตายในตรอกควันถูกติดกับในห่วงกงจักรของช่วงเวลาก่อนตาย โคจรอย่างไม่รู้หยุดจบ วิญญาณเหล่านี้ฟื้นคืนชีพจำลองเหตุการณ์ของวันเพลิงไหม้ครั้งแล้วครั้งเล่า
มันเป็นมาเกือบปีแต่กลิ่นของซากไม้ไหม้ยังคงจับที่ปลายจมูกของเขา พร้อม ๆ กับกลิ่นมันคือความรู้สึก เหมือนตะไบสกิดบริเวณหลังศรีษะและหัวไหล่ของเขา การที่บลัดฮันท์เป็นนักล่าสมบูรณ์แบบได้ต้องขอบคุณจากเลือดลี้ลับและพิธีกรรมบลัดเล็ทธิ่งที่ดัดแปลงยีนพันธุกรรมของพวกเขา สัมผัสได้ยิน การมองเห็น ต่อมรับกลิ่นของพวกเขาเฉียบคมกว่าหมาล่าเนื้อตัวไหน ๆ และหนึ่งในพันธุกรรมประหลาดของพวกเขาคือ ไบโอเมจิโอเจเนซิส Biomagiogenesis ยีนพิเศษอันสามารถสร้างหรือส่งประจุพลังงานคล้ายเวทมนตร์จากเนื้อผิวของพวกเขาได้ พลังนี้ทำให้บลัดฮันท์เป็นที่น่าเกรงขาม เพราะความไม่รู้ถึงจุดจำกัดของมัน แม้กระทั่งบลัดฮันท์หรือจอมเวทย์เองก็ยังคาดเดากันไม่ออก พวกเขาสรุปเรียกมันว่าของขวัญแห่งเลือด the Gifts of Blood
ไซท Sight คือหนึ่งในพลังนั้น พวกบลัดฮันท์มักใช้มันเป็นประจำเพื่อตรวจหาตำแหน่งที่อยู่ของสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวอย่างอสูรรวมถึงวิญญาณ บลัดฮันท์หนุ่มใช้พลังนี้บวกกับความสามารถย่องเบาประจำตัวหลีกเลี่ยงขบวนของวิญญาณที่ติดกับภายในซากอาคาร เขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวิญญาณพวกนี้เพราะรู้ว่าจะมีแต่ปํญหาตามมา
เข้ามาจากประตูหลังร้านโพชั่นซึ่งชื่อของร้านนั้นถูกทาเขียนใหม่ด้วยเลือดหมูว่า ‘ปิศาจอยู่ตรงนี้ The Devil Lives Here’ มันคือร้านโพชั่นของอดีตอาจารย์ใหญ่จากโรงเรียนเวทมนตร์ในอูสเตร่า ฟีลิกซ์ สนิคเก็ท Felix Snicket เกษียณมาทำงานอดิเรกของเขาให้เป็นอาชีพ ต่อมาโพชั่นเมคเกอร์คนนี้ก็ได้รับชายหนุ่มไว้เป็นลูกศิษย์คนเอก และในขณะเดียวกัน ผู้ถือหุ้นส่วน
แผงอาคารตรอกควันถูกสร้างมา 5 ชั้นพร้อมกับห้องใต้ถุน โพชั่นเมคเกอร์ใช้ห้องใต้ดินนี้เพื่อดำเนินการปรุงยาเช่นกันกับเก็บเครื่องส่วนผสมให้พ้นสายตาของลูกค้าหรือคนช่างถาม ก่อนที่ฝีเท้าของเขาบนจะวางเรียบแผ่เบาพื้นไม้ซึกรา บลัดฮันท์หนุ่มตรวจจับกลิ่นที่ไม่ได้มาจากฝุ่นควันและรอยเท้าในร้านดูชอบมาพากล
พรมขนแกะน่ารังเกียจถูกถกขึ้นอย่างรีบร้อน รอยรองเท้ายึดครอบครองที่จากกองฝุ่น กลิ่นของน้ำหอมชื่นหวานลอยไปมาจาง ๆ บนอากาศ บลัดฮันท์หนุ่มสูดดมมันลึก ๆ พิจารณาส่วนประกอบของกลิ่นที่คาดนึกออกว่าคุ้น ๆ รากชะเอ็ม ดอกไวโอเล็ต ดอกไอริส เมล็ดอัลมอนด์ เชอร์รี่ วานิลลาหวาน ช็อคโกแลต กับกลิ่นอื่นที่แยกแตกต่างจากน้ำหอมนี้ ...กลิ่นของเนื้อไม้และน้ำมันเครื่องจักร นักศึกษาหญิงหลายคนใช้น้ำหอมลิคอไรซ์ กลิ่นหอมหวานเหมือนขนมเค้กวานิลลาของมันช่วยบอกถึงความสดใสและร่าเริง รอยรองเท้ามีปุ่มของส้นสูงตรงสัน ไซส์ 11 และมีกลิ่นเหม็นของหนังใหม่เอี่ยม ชี้บอกว่าเจ้าของคือผู้หญิง ร่างเล็ก และมีฐานะ เธอทำงานในด้านอุตสาหกรรม อาจเกี่ยวข้องกับงานไม้ รอยเท้าจบลงและใหม่สุดตรงขอบของประตูกลสู่ห้องใต้ดิน เขาสงสัยและสนใจกับหญิงสาวต้นตอของกลิ่นนี้ ช้า ๆ ชายหนุ่มวางกระเป๋าหนัง ยกประตูกลบนพื้นหลังเคาท์เตอร์ขึ้นเผยให้เห็นขั้นบันไดฉาบปูนทอดยาวลงไปในดิ่งของความมืด
ลมดับตาย เปลวจากเทียนข้างอ่างอาบน้ำบอกกับเขาว่าเธออยู่ตรงนั้น แต่เมื่อสักครู่ เพราะเขาดมดูแล้วได้กลิ่นของสบู่ไม่กระจุกอยู่กันบริเวณอ่างในห้อง หัวของเขาเสนอให้ใช้ไซทระบุตำแหน่งของเธอแต่เพื่อความบันเทิงเขาจึงคัดค้าน เขารู้สึกว่าโกงเมื่อไหร่ก็ตามที่ล่าเหยื่ออันอ่อนแอกว่าตัวเขา เขาหยุดตรงหน้าธรณีประตู รับรู้กลิ่นกับลมหายใจอันซ่อนอยู่เคียงข้างมุมมืดของอีกฟาก เขากำลังคิดว่าจะจัดการกับเธอยังไงดีแต่ในเวลาเดียวกันเขาก็อยากจะเห็นว่าเธอจะจัดการกับเขายังไง เขาก้าวไปข้างหน้าทั้ง ๆ ที่รู้แล้วว่าเป็นกับดัก เขาอยากจะรู้ว่าเธอจะทำยังไงต่อ
ทันทีที่พ้นธรณีประตู เธอง้างแล้วเหวี่ยงควงแขนหันคมไขควงเข้าหาร่างที่เข้ามา ในสโลว์โมชั่น ชายหนุ่มได้กลิ่นของน้ำประปาปนเค็มเหงื่อบนผิวนวลสะอาด เธอมีกลิ่นของความลังเลใจ เขารับเหวี่ยงแขนนั้นไว้ จับที่ข้อมือเธอแล้วบิดจนทำให้เธอปล่อยไขควงร่วงกลิ้งบนพื้น เมื่อเนื้อของทั้งสองประสาน ตัวตนแท้จริงของเธอก็เผยแน่ชัดสำหรับเขา
“มิส ฟรินส์…” เขาสละปล่อยข้อมือเธอ ในแสงสว่างจากตะเกียงแก๊สบนเพดาน สาวร่างน้อยอย่างว่องไวหันมาหาเจ้าของเสียงนั้น ทั้งสองรู้จักกัน
“โครว์?”
…
...เธอได้ถูกตามล่า
และถึงแม้ว่าด็อกเตอร์ เบทธานี ฟรินส์ Bethany Flintz จะเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรณ์ทางด้านเครื่องจักรกลไก เข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุแปดขวบและเป็นส่วนร่วมในการผลิตเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ได้พัฒนาโลกในปัจจุบัน เธอก็ยังไม่รู้จักที่จะทำอาหาร ต้มน้ำอาบ หรือทานอาหารอะไรก็ตามที่ไม่ได้ปรุงทำโดยคนใช้หรือผู้ช่วยของเธอได้
“…จ-จริง ๆ แล้วฉันเคยทำอาหารครั้งหนึ่งนะ! แต่ว่ามันค่อนข้าง… อืม ไหม้เกรียมไปหน่อย” ตากลม ๆ สีกรมท่าของเธอจับจ้องแผ่นหลังของเขากำลังมั่วสุมอยู่ตรงเตาไฟ ทำอาหาร ภาพของบลัดฮันท์หนุ่ม โครว์ Crow สวมผ้ากันเปื้อนนี้ช่างหาชมได้ยาก
“สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการคือคุณเผาห้องนอนของผมครับมิส ฟรินส์”
“งั้นฉันก็ดีใจ ๆ ที่เธอโพล่ตัวมาก่อนนะโครว์” สำเนียงการออกเสียง ค จนเกือบกลายเป็นเสียง ก ของเบทธานีมาจากที่เธอมีสองสัญชาติ เคิร์นและลูแมน
“ครั้งสุดท้ายที่ผมได้ยินมา คุณควรจะสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในเกาะลูแมนใต้” เขาบอกเป็นนัย แทรกข้อคำถามว่าทำไมเธอมาสุงสิงอยู่ในห้องลับของเขาได้? เขาจำได้ว่าพาเธอมาที่นี่ หนึ่งหน มัดปิดตา
“ฉัน เคย ค่ะ จากนั้นฉันถูกจ้างโดยฟาร์นซิสให้มาทำงานวิจัยที่นี่ แต่มันก็เป็นก่อนที่ห้องแลปของฉันจะถูกบุกรุก”
“เกิดอะไรขึ้นครับ?”
“ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจค่ะ มันเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ระหว่างที่ฉันออกไปเยี่ยมโรงละครในคิสต้า พอกลับมาก็พบทหารยามได้รับบาดเจ็บ เศษกระจกกระจายไปทั่ว ห้องแลปของฉันถูกรื้อเละเทะ” ฝีหน้าใส ๆ ของเธอสลดผวาเมื่อไหร่ก็ตามที่นึกถึงความเสียหาย “ฉันนอนหลับลงไม่ได้ ฉันรู้สึกเหมือนมีคนไล่กวดตาม ฉันเลยหลบมาเก็บตัวที่นี่พยายามคิดแยกแยะเหตุการณ์ และเธอก็รู้ที่เหลือ”
“แล้วคุณรู้หรือเปล่าครับว่าพวกเขาเป็นใครหรือต้องการอะไรจากคุณ?” คำถามของเขาถูกครอบครึ่งทางโดยเสียงหั่นสับใบโหระพากับใบพาสรีย์บนเขียง
“ฉันไม่รู้เลยโครว์ ไม่มีของอะไรหายไปจากห้องแลปเลยสักชิ้นและทหารเองก็ไม่ได้เห็นอะไรมาก”
“อย่างนั้นก็หมายถึงสองอย่างครับ ไม่ว่าใครก็ตามที่เล็งเป้ามายังคุณเป็นมืออาชีพและพวกเขาไม่ได้เจออะไรก็ตามที่ได้ตั้งใจบุกมาเอา” เบทธานีกัดยางลบบนดินสอ ชะงักการวาดร่างบนสมุดสเก็ตในมือ “ และผมคิดว่าพวกเขาคงได้หยุดตามล่าคุณแล้วด้วย”
“เธอมั่นใจยังไงกันค่ะ?”
“เพราะคุณทิ้งร่องรอยเอาไว้ทั่วเป็นกิโลไมล์ครับ ทั้งรอยเท้าและกลิ่นน้ำหอม ถ้าพวกเขาต้องการตัวของคุณจริง ๆ พวกเขาสามารถที่จะทำได้เสียก่อนที่ผมจะมาถึงซะด้วยซ้ำ”
“เธอคิดว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่การกลั้นแกล้งบ้างไหมนะ?”
“ถ้าเช่นนั้นมันก็จะไม่ถือเป็นการกลั้นแกล้งเลยครับ...” เขาคนซุปครีมในหม้อ ตักชิมมันก่อนค่อยปิดฝา “...มันจะถือเป็นข้อความ”
“ของอะไรกันค่ะ?” เสียงของเธอสั่นในความกังวล เธอยังเด็กอยู่และประสบการณ์โลกภายนอกของเธอมักถูกคุ้มกันไว้ด้วยเปลือกทึบหุ้มแก้ว
“ข้อความของความกลัวครับ กลัวจนมิอาจจะขยับลุกขึ้นตื่นหรือนอนหลับลงได้ กลัวจนทำให้คุณไม่กล้าแม้แต่จะปริปากกรีดร้องขอความช่วยเหลือ กลัวจนมิสามารถให้คุณหวังหยิบอาวุธขึ้นมาต่อต้านเมื่อพวกเขาเข้ามาปาดคอ”
“งั้น… ฉันควรจะทำยังไงดีโครว์...”
เธอวางสมุดและดินสอ นิ้วพันม้วนปลายผมน้ำตาลอ่อนด้วยใจเหม่อลอย การถูกตามล่าคือรสชาติใหม่ในชีวิตของเธอ แต่สำหรับบลัดฮันท์อย่างโครว์ เขาต้องประสบกับมันอยู่ทุกวันเช่นกันกับเป็นคนออกล่า เธอเชื่อใจเขามากและคำพูดของเขาเหมือนเสาหลักในยามที่เธอไม่อาจมั่นแน่คิด
“คำแนะนำแรกของผมนะครับ... รับประทาน”
เธอรับรู้ไม่ได้ว่าเมื่อไหร่กันแน่ที่เขาได้ทำอาหารเสร็จ แต่ตัดสินจากกลิ่นหอมของชีสกับบัตเตอร์อันเย้ายวนท้องให้ครวญร้อง เธอก็ไม่สนใจอะไรอื่นอีกต่อไป
โครว์วางถาดบนโต๊ะ ชามของซุปครีมสมุนไพรกับเนื้อตัดเป็นก้อนลูกเต๋า ก้อนขนมปังยาวโรยด้วยเกร็ดเกลือ และที่ขาดไม่ได้สำหรับมื้อบ่าย น้ำชาดอกแคมะไมล์ผสมน้ำผึ้ง อาหารพื้นเมืองของเคิร์นทำจากวัตุดิบใด ๆ ก็ตามที่เขาค้นหาเจอในกระเป๋าเดินทางแสนสารพัด
“ได้โปรดครับมิส ฟรินส์ เก็บสมุดของคุณก่อนทาน” เขายื่นมือออกหาเรียกให้เธอมอบสมุดนั้นมา
“ฉันขอโทษด้วยค่ะ ฉันแค่พยายามจะวาดโครงร่างให้เสร็จก่อน” เธอจำนนสมุดสเก็ตให้เขา เธอได้ยอมแพ้แล้วให้กับความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์… ความหิวโหย แล้วเขาจึงแก้พับผ้าเช็ดปากวางบนตักของเธอตามมารยาทของการจัดโต๊ะทานอาหาร ทักษะที่ไม่ค่อยได้เห็นกันในนักล่าอสูร
เธอจิบหวานอ่องของน้ำชาก่อนจะแตะช้อนตักผ่านฟองชีสกับบัทเตอร์ซึ่งเรียบเหมือนผิวหน้าของไข่ตุ๋นแต่นิ่มเบาคล้ายฟองน้ำ มันเป็นแค่ชั้นบนของชามซุปผัก ชั้นล่างเป็นก้อนของเนื้อตัดในรูปเต๋าขนาดเท่า ๆ กัน จากที่เธอกัดเคี้ยวมัน เทกเจอร์ของเนืัอมีความละมุน เหมือนเนื้อลูกวัว ลื่นลงคอเมื่อกลืน โครว์แน่นอนเลยว่าได้บรรจงทำอาหารนี้ขึ้นมา แต่เธอคิดว่ามันเป็นหนึ่งในนิสัยของเขาไปเสียแล้วที่ชอบจะทำทุกอย่างซะจนสมบูรณ์แบบ
“แล้วฟาร์นซิสได้ลงความเห็นอะไรบ้างครับ? เกี่ยวกับการบุกรุกห้องแลปของลูกจ้างเขาอย่างนี้”
โครว์นั่งอีกฝั่งของโต๊ะอาหาร พลิกหน้ากระดาษ สำรจดูงานโครงร่างดีไซน์ของสิ่งประดิษฐ์ที่หัวสมองของเบทธานีเสกสรรค์ออกมา
“เผื่อเธอไม่รู้นะโครว์ ไวส์เคาท์ฟาร์นซิสล้มป่วยลงเมื่อไม่กี่วันก่อน ทหารของเขาก็แทบจะจัดงานการกันไม่ได้เรื่อง ปัญหาส่วนใหญ่ในตอนนี้จะต้องถูกส่งไปให้คณะขุนนางในตำหนักดูแลจัดการ” เธอหวงเล็กน้อย ตาจ้องเขาพลิกเปิดตามหน้ากระดาษอย่างรวดเร็วเหมือนแค่มองผ่าน ๆ แต่กระจกตาของเขาบีบคั้น โฟกัสเก็บข้อมูลรายละเอียด จากนั้นเขาจึงปิดสมุดแล้วนำมันไปวางบนเตียงนอนไม่ห่างมากจากกระเป๋าสะพายของเธอ
“จะว่าไปนะโครว์ ระหว่างที่ตัวฉันได้มาอยู่ที่นี่ฉันได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเธอมาเหมือนกัน ถ้าจะให้สรุปสั้น ๆ ฉันเชื่อว่าฟาร์นซิสคงจะอยากได้หัวเธอ”
“อืมหืม เขายังคิดว่าผมเป็นคนทำ มันเลยเป็นเหตุให้ผมต้องใช้เอกสารปลอมแปลงชื่อ” และหากเขาได้ใช้ชื่อจริงของเขาตอนลงมาจากรถไฟเขาก็คงจะไม่พบกับอะไรรออยู่ที่หน้าประตูเมืองเดวฟินเนียนอกจากกลุ่มของหน่วยพลแม่นปืน
“และฉันคิดว่าหนวดเคราก็คงช่วยปกปิดตัวตนของเธอด้วยเหมือนกันนะ ฉันแทบจะจำเธอไม่ได้เลย” เบทธานียิ้มในกริยาที่ดูบริสุทธิ์สดใส เธอตักซุปทานอีกคำ ริมฝีปากอ่อนชมพูของเธอลูบลื่นกับช้อนกลม
“รสชาติเป็นยังไงบ้างครับ?” เขาเดินไปเก็บทำความสะอาดบริเวณเตาไฟกับโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เขาเรียกว่ามุมครัวขณะถาม เขารู้สึกความต้องการจะรับรู้กริยาตอบกลับจากเธอ เขาไม่ค่อยได้ทำอาหารให้ใครอื่นนอกเหนือขอบเขตของเพื่อนที่ชิดใกล้
“ทั้งเนื้อ ซุป และน้ำชา ดีกว่าแท่นขนมช็อกโกแลตที่ฉันทานเมื่อคืน”
“ผมดีใจที่ได้ยินครับ” รอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าเขาเคลือบบังในเงาและคงอยู่สั้น
....
...ตลาดกลางคืน... คิสต้า
ประตูขาวอลังการงานสร้างนี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับตลาดเดลวี้ ในช่วงกลางวันมันจะถูกปิดสงัด จัดเฝ้ายามลาดตระเวนโดยแฮทแมนเพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครเข้าไปรบกวนนักแสดงหรือร้านค้าที่กำลังเตรียมเปิดกิจการได้ แต่พอถึงเวลา 18:00 นาฬิกา ระฆังทั้งสามผนึกในตัวบานประตูสลักจะบรรเลงเซ็ทของเพลงดังลั่นจับก้องไปทั่วเมือง เป็นไปตามจักรกลไกของนาฬิกาที่ได้ถูกจัดออกแบบเอาไว้ เมื่อสัญญาณแสนดั้งเดิมสำหรับชาวเมืองนี้ถูกส่งไป ตามกระบวนกลไกที่สอง ประตูจึงจะค่อย ๆ เปิดอย่างอัตโนมัติ เชิญให้ผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามา ส่วนมากคือนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนคิสต้าด้วยจุดประสงค์หลัก ...โรงละคร
พรมแดง วงดนตรีเลิศล้ำ คณะนักแสดงรูปหล่อสวยงามชื่อดังจากทั่วมุมโลกถูกสะสมไว้ที่นี่เหมือนคอลเลคชั่นตุ๊กตาพอร์ซเลนฝังเพชรประดับมุก โรงละครเดวฟินเนีย หรือชื่อในภาษาเคิร์นนา ลีอาปเปว ดิ รา ซีรีน Liiappel di ra sireen แปลออกมาในภาษาคอมมอนที่ใกล้เคียงที่สุดหมายความว่า เสียงเรียกหาของนางไซเรน โรงละครนี้มีจุดเด่นในเรื่องของชื่อเสียงและความเก่าแก่ ถูกสร้างมาตั้งแต่ก่อนสมัยเคิร์นจะคิดคล้องพันธมิตรกันกับนอร์ วัสดุการสร้างของโรงละครนั้นหรูหราเน้นนำไม้เมเปิ้ลขาวและทองคำมาจากเกาะลูแมนตอนใต้ ภายใน สถาปัตยกรรมเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจากลูแมน มันถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสันถวไมตรีระหว่างประเทศเดวฟินเนียและจักรวรรดิลูแมน
โครว์แอบแวะมาที่นี่มากกว่าสองครั้ง ปะปนไปกับแขก เขาจะชอบแอบมาฟังเพลงเจ้านกน้อยกับมหาพายุ The Bird and The Tempest ขับร้องและแต่งโดยศิลปินผู้เปรี่ยมความสามารถ อริน่า คีส์ Alina Keyes ตัวบทเพลงนี้เล่าถึงเรื่องราวชะตากรรมอันโศกเศร้าของนักรบมีชีวิตต้องพบพัวพันกับความทุกข์ทรมานและการสูญเสีย ณ บนโลกที่จะไม่มีวันขอบคุณเขา บทเพลงเป็นออเคสตร้าถูกตัดแบ่งเป็นสองท่อน ในท่อนแรก อริน่าเริ่มร้องโซโลด้วยเสียงทรงพลังแห่งมนตราเสน่หา คำประสานเพื่อสื่อกล่าวถึงตัวเอก นก ดิ เบิร์ด และบรรยายถึงชีวิตของเขา ท่อนที่สองจึงแทรกนักร้องหมู่ของเด็กชาย ซึ่งทันที แปรผันบทเพลงให้โศกเศร้า ดุ และเกรียวกราด สื่อถึงมหาพายุ ดิ เทมเพสท์ มรสุมในชีวิตและที่ตามมา ความตายอย่างไร้ความกลัวของนักรบ มันไม่แน่ชัดว่าหากอริน่าจงใจแต่งให้กับใคร แต่ครั้งหนึ่ง ในหน้าหนังสือพิมพ์เดลิ เธอได้กล่าวเอาไว้ว่าเธอได้แต่งบทเพลงนี้ขึ้นเพื่อหวังมอบแทนคำขอบคุณให้กับเพื่อนของเธอ โครว์มักนั่งอยู่ตรงนั้น บนบ็อกซ์ตู้ชมของโรงละคร หลับตาฟื้นชีพมาในพื้นที่ปราสาทแห่งความทรงจำของเขา
เมื่อเบทธานีหอบกระเป๋ากลับห้องแลปไปพร้อมกับเพิ่มจำนวนทหารยามรอบ ๆ ตัวคฤหาสน์รอชฟอร์ทเป็นสองเท่าโครว์ทิ้งคำแนะนำที่สองก่อนจะออกจากตรอกควัน ในยามค่ำพระจันทร์เด่นฟ้า ภายใต้เงาอาคารหลังคาสูงกับหมวกท็อปแฮทของเขา คืนนี้มีนักท่องเที่ยวมารอแถวกันหน้าโรงละครมากกว่าปกติ มากกว่าปกติในเดือนท่องเที่ยวอย่างนี้ แต่โครว์ก็ไม่ตกแปลกใจอะไรมาก เขารู้อยู่ล่วงหน้าว่าพวกเขามาชมระบำของหุ่นตุ๊กตาไม้ มันคือสิ่งประดิษฐ์ที่เบทธานีได้วาดโครงร่างเอาไว้ในสมุดสเก็ตของเธอ เขาแค่แปลกใจที่มีนายแฮทแมนอยู่สองสามหน่วยมายืนเฝ้า จำนวนเดียวกันกับที่สามารถใช้หยุดกลุ่มประท้วง เขาลังเลใจที่จะเข้าไปชมผลงานของเบทธานี และอาจแวะเยี่ยมอริน่า แต่โครว์มีนัดหมายกับเพื่อนของเขาก่อน
โครว์แฝงตัวไปในหมู่คน กลุ่มเมฆของนานากลิ่นให้กับจมูกของเขา บลัดฮันท์มีลักษณะภายนอกไม่ต่างกับมนุษย์ พวกเขาสามารถถูกระบุตัวได้เพียงแค่จากการรวมของหลายข้อพิสูจน์ และในเมื่อโครว์แต่งตัวอย่างกับสุภาพบุรุษตลอดเวลามันจึงยากสำหรับแฮทแมนที่จะทราบว่ามีอมนุษย์อยู่ท่ามกลางพวกเขา ผู้คนนั้นตาบอดเพราะไม่สามารถเห็นได้ชัด
มีคนอยู่สองประเภทที่มายังย่านตลาดคิสต้า ผู้คนที่สรรหาความบันเทิงหวังปลดปล่อยความตรึงเครียดของงานการในกลางวัน กับ ผู้ที่ทำมาหากินในยามกลางคืน ทุกครั้งก็หมายถึงอาชีพที่นึกดูแล้วไม่สุจริต โจร ฆาตกร โสเภณี พ่อค้ายาเสพติด คนลอบค้าของเถื่อน พวกเขาเหล่านี้ระบาดไปทั่วใต้ผิวเนื้อของคิสต้า และคนส่วนมากก็จะไม่บ่นเถียงอะไรเลยหากจะพบสบตาของบลัดฮันท์ที่นี่
“เฮ้สุดหล่อ อยากหาอะไรสนุก ๆ ทำกับฉันไหม?” นางหญิงค้าประเวณีกวักมือเรียกถามขณะที่เขาขณะเดินผ่าน เธอมีกลิ่นของลูกพลัมและไม้เมเปิลไหม้ ขาเกร็งจากงาน เธอถกกระโปรงยาวขึ้นโชว์เรียวขาเรียกลูกค้า
“เอาไว้วันหลังครับคนสวย” เขาปฏิเสธอย่างสุภาพ มุ่งหน้าไปอีกฟากของหญิงสาวให้บริการ ตรงตึกอาคารบรรยากาศหม่นหมอง
แถวของอาคารเต็มด้วยตัวละครมองแล้วแสนมิน่าไว้วางใจ บนป้ายแขวนเกว่งไปตามสายลมยามค่ำเขียนไว้ว่า ทาฟเวิร์นมัสกี้มิสกี้ MuskyMisky Tavern ชื่อนี้ฟังพิลึกแต่คุ้นหูคอเหล้า มันมาจากชื่อของคู่แฝดนักหมักเหล้าน้ำผึ้งชื่อดังของเคิร์น มัสกี้กับมิสกี้ ระหว่างที่โปสเตอร์โฆษณาเครื่องดื่มติดบนผนังหน้าร้านชวนให้กระหายคอ ร่างเหมือนยักษ์หินตรงหน้าร้านกลับไม่ค่อยดูเชิญชวนสักเท่าไหร่ ด้วยขนาดสูงจนค้ำหัวของบลัดฮันท์หนุ่มกับท่ายืนกอดอกที่ให้ทำนายชะตาของลูกค้าคนไหนที่ไม่คิดจะจ่ายตังค์ “หืมมม….” และเสียงหยาบกร้านนั้นไม่ต่างจากโกเลม ยักษ์ใหญ่คนนี้มีกล้ามมากกว่าชายสิบคนรวมกัน ตาเทาเหมือนเหล็กมองลงมาหาเขาผู้จ้องหน้ากลับไปอย่างไม่รู้สึกรู้สา
“มิสเตอร์โครว์ แปลกจริง ๆ ที่คุณยังกลับมาที่นี่อีก” ใบหน้าของยักษ์ดูเคร่งเครียด สุขุม จากรูปร่าง มันง่ายที่จะมองเขาว่าเป็นนักเลงเถื่อนชั่ว แต่ในความจริงแล้ว เขากลับแสนสุภาพ เขามีใบหูใหญ่ ๆ สองข้างที่ใช้ฟังและสมองที่รู้จักเก็บข้อมูลเหมือนตระกร้า ตาของเขาดูเหนื่อยและล้า เขามีประสบการณ์และเห็นอะไรต่าง ๆ มามาก
“จะว่ายังไงให้ถูกแอนดริล โลกเรามันกลมและผมยังต้องการเงินใช้”
“จริงแท้แน่นอนเลยครับบอส ผมเชื่อว่าเฟสจะจัดการปัญหานั้นให้กับคุณได้ ช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงเดือนแห่งดอกไม้ แต่สัตว์ประหลาด ๆ บ้าคลั่งกลับอพยพกันขึ้นมาจากป่าชั้นใน The Inner Forest ล่าสุด พวกมันได้ฆ่าบุตรคนสุดท้ายของท่านฟาร์นซิสไปแล้ว เป็นเรื่องแย่มาก ๆ ” แอนดริลปลดแขนลงก่อนสายหน้า ในความรู้สึกของที่ว่า ‘ มันเกิดขึ้นอีกหน’
“แต่ระวังตัวหน่อยนะครับบอส แขกของพวกเราในวันนี้ค่อนข้าง...ไม่รู้จักจะเป็นมิตรสักเท่าไหร่”
จะว่าไป เสียงจากมุมนอกร้านวันนี้เงียบครึ้มกว่าปกติ มันไม่มีเสียงเพลงของนักดนตรีหรือเสียงหัวเราะของพวกขี้เมา พอเขาเพ่งจับใจฟังก็พบได้แค่เสียงเคาะของช้อนและแก้วทานการ์ตกระทบโต๊ะไม้
จบคำเตือน แอนดริลเขยิบร่างเท่าภูเขาไปเปิดประตูให้ เมื่อเข้าไป โครว์ถูกต้อนรับด้วยอโรม่าของแอลกอฮอล์ กลิ่นเค็มของเหงื่อและเลือดกระจางในอากาศ มันได้มีการชกต่อยเกิดขึ้นในร้าน ไม่ว่าจะเมื่อนานแค่ไหนก็ดูเหมือนว่ามันได้ขับไล่ลูกค้าคนอื่น ๆ ออกไปหมดจนเหลือเพียงกลุ่มของทหารรับจ้างพวกนี้
พวกเขานั่งในทุก ๆ โต๊ะ เว้นตรงเคาน์เตอร์ พวกเขาไม่ไว้ใจบาร์เทนเดอร์ พวกเขาแต่งกายในชุดเกราะหนังประกอบผ้าลายสก็อต บางคนคลุมหัว คาดดาบโค้งสองคมกับโล่กลมเล็ก ๆ ไว้บนหลัง ภาษาที่พวกเขาใช้พูดกันชี้บอกว่าไม่ได้มาจากนอร์หรือเคิร์น พวกเขามาจากโอเทสร์
โครว์รู้สึกเหมือนเป็นนักแสดงแหวกผ้าม่านออกมาบนเวทีก่อนถึงคิว ทหารรับจ้างพวกนี้รุมมองมาที่เขาก่อนหมดความสนใจในเสี้ยววินาทีต่อมา โครว์รับรู้ได้จากกริยา พวกเขาไม่ได้มาดื่มเหล้าหรือหาสาว พวกเขามารอฆ่าเวลา
“คุณดูเบื่อ ๆ นะครับ” หรืออารมณ์เสียเมื่อดูจากใบหน้าบูดบึ้งเอามือยันแก้มของเธออยู่ตรงหลังเคาน์เตอร์
เธอมีอายุประมาณ 30 สวมแต่งหน้าและตัวในสีจัด เธอต้องการให้คนรู้ว่าสำคัญและมีรอยสักรูปดอกดอกลิลลี่กับกระโหลกตรงหัวไหล่ เธอคือ เฟส Face เป็นทั้งเจ้าของทาเวิร์น บาร์เทนเดอร์ แม่ค้า และสายลับให้กับองค์กรดาร์คมาร์เก็ต The Darkmarket Organization แต่ เฟส นี้ไม่ใช่ชื่อเกิดของเธอเลย มันคือตำแหน่ง สถานะในองค์กรมีหน้าที่ทำการเสนอขายแลกเปลี่ยนข้อมูลและความลับ หน้าสวย ๆ นี้ทำให้งานของเธอง่ายที่จะดึงเปิดตู้ลิ้นชักแห่งข้อมูลจากผู้คน คนเมาชอบเผลอเปิดปาก
“กองทัพลูกค้าของเราวันนี้ขับไล่ขาประจำหนีกลับบ้านไปกันหมด ยกเว้นเธอนะโครว์” เธอเอียงหน้าจับมองตลอดจนเขาตัดสินใจนั่งลงตรงมุมเคาท์เตอร์ใกล้ประตู รักษาระยะห่างกับพวกทหารรับจ้าง
“งั้นก็หมายความว่าผมไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีคนมารังควาญสินะครับ”
“ฉันจะไม่ปล่อยวางใจเลยนะ ยังมีนักล่าค่าหัวและทหารรับจ้างแถวนี้ที่ยังมองหา บลัดฮันท์คนนั้นที่ฆ่าหนึ่งในทายาทของรอชฟอร์ท” เธอลดเสียงเบาตอนท่อนสุดท้าย เห็นแก่เพื่อนเก่า “ว่าแต่จะดื่มอะไรดีเอ่ย?”
“เบียร์ครับ”
“เอาถูก ๆ เลยนะวันนี้ แน่นอนว่าเธอไม่มีตังค์” เธอหันหลังเข้าหาตระกร้าแก้ว ตามองไล่ล่าแก้วทานการ์ตสำหรับเบียร์ที่พึ่งล้างเสร็จ
“คุณรู้จักผมอยู่แล้วครับเฟส ผมไม่เกี่ยงรังเกียจสิ่งโสโครกอย่างเบียร์หรือเลือด”
“แล้วววนั่นคือเหตุที่ทำไมเธอคือลูกค้าคนโปรดของฉันโครว์ เธอไม่เลือกงานมากเหมือนบลัดฮันท์คนอื่น”
“ตราบใดก็ตามที่ได้เงินเยอะ ๆ ครับ”
เฟสบิดก๊อกถังเบียร์สด เธอรินแก้วของเขาจนล้นด้วยฟองซ่าจากนั้นหันกลับมาเสิร์ฟให้กับเขา ระหว่างนั้นตาของเธอเอื้อมเลี้ยวไปแอบมองกลุ่มของลูกค้าจากโอเทสร์ พยายามอ่านปากดูว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร โครว์ไม่ได้รู้อะไรมากเกี่ยวกับภาษาของชาวโอเทสร์ เขาเพียงแต่เคยอ่านประวัติศาสตร์กับชมงานศิลปะ เขาไม่เคยไปเยี่ยมชมตัวของพิภพตะวันออก
“แล้วพวกแขกจากโอเทสร์นี้คือใครกันครับ?”
“อย่าเสียมารยาทโครว์ เธอก็รู้ว่าถ้าเธออยากจะได้ข้อมูล…” เธอบอกใบ้ ชี้ไปว่าตัวเขารู้กฏดีอยู่แล้ว และเขาก็ควรจะทบทวนความรู้จักเฟสก่อนจะถาม สำหรับเธอ ธุรกิจก็คือธุรกิจและงานก็คืองาน เงินทองคือลูกชายคนแรกของเธอ
โครว์ถอนหายใจเล็กน้อย เขาวางแก้วลงแล้วล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบเหรียญทองแวววับขึ้นมา กิลเดอร์ Guilders -ค่าเงินของเคิร์น และเหมือนกับตู้บุหรี่หยอดเหรียญ ข้อมูลก็ค่อย ๆ ออกมาจากปากเธอ
“เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับกองทัพกบฏของอูราคในโอเทสร์ไหม?”
“กองทัพที่เกณฑ์จากประชาชนในอาณาของเจ้าชายดาจจาน์แห่งอูราค Prince Dajjahn of Aurak เพื่อขับไล่ลุงของเขาจากการแยกบัลลังก์ แต่หลังจากพ่ายแพ้ กองทัพนั้นถูกเนรเทศไปจากประเทศอูราค” โครว์ผู้มีความรู้การศึกษาดี...สำหรับบลัดฮันท์ เขาขยายความ เริ่มจะเห็นภาพตัวตนแท้จริงของทหารรับจ้างในทาเวิร์นได้ชัดขึ้น
หลังจากสงครามที่ว่ามา พวกกบฏจึงถูกถือเป็นกลุ่มคนนอกรีต เร่รอนไปตามขอบแดนตอนเหนือของทวีปตะวันออกที่ขึ้นชื่อในฐานะของดินแดนแห่งขุมนรกทะเลทรายไม่มีชีวิตใดคงรอดอยู่ได้ ความแห้งแล้งของทะเลทราย ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร พวกกบฏต้องดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเพียงจากการปล้นสะดมคาราวานของพ่อค้า ไม่กี่อีกสิบปีต่อมาพวกเขาก็กลายเป็นกองโจรที่ใหญ่ที่สุดในทะเลทรายตะวันออก รู้จักกันในนามว่า พวกเช็ปส์ the Chaps ชื่อของนกแร้งประจำท้องถิ่นโอเทสร์
“ฉันเซอร์ไพรซ์ที่พวกเขาทำตัวมีความศิวิไลซ์มากกว่าในหนังสือนิทาน” เฟสลูบถูคางเรียวนวลนั้นด้วยปลายนิ้ว จิตของเธอทึ่ง สนใจ พวกเช็ปส์รู้จักใช้ช้อนตักอาหารและมีเนื้อตัวสะอาดเหมือนคนทั่วไป พวกเขาพูดจาคงเสียงเงียบไว้ในที่สาธารณะ ทำให้นึกถึงลักษณะของกริยาเดียวกันจากพระและนักบวช
เรื่องราวของพวกเช็ปส์จับคนถลกหนังอาบแดดหรือตัดหูของเหยื่อที่คิดพยายามจะสู้กลับยังหลอกหลอนเด็ก ๆ และผู้คนตามพรมแดนของเคิร์น แน่นอนว่าในทุกนิทานประดับประดาไปด้วยเศษฝุ่นของความเป็นจริง พวกเช็ปส์ปักหลักถิ่นฐานตรงพรมแดนช่วงใต้ของเคิร์น พวกเขาเปลี่ยนไปยอมรับนับถือศาสนาเซเลสโทร Celestro -ศาสนาของลูแมน และประกอบอาชีพล่าสัตว์ตามเส้นทางสายไหมตอนเหนือของแม่น้ำดรากอนหรือฝึกเป็นทหารรับจ้าง แต่ยังมีบางกลุ่มอีกบ้างที่ยังดำรงวิถีของการปล้นสะดมผู้อื่นในโอเทสร์
“แต่ใครจ้างพวกเขากัน?”
“โทษทีโครว์ แต่ฉันเองก็ไม่รู้” ความกวนใจผุดปรากฏขึ้นมาบนหน้าผาก เธอเกลียดตลอดเมื่อไม่รู้ “ฉันแค่มีหน้าที่จับตาดูพวกเขา แต่ถ้าถามฉัน ฉันคิดว่าพวกเขาคงถูกจ้างมาผ่านเซลล์อื่น”
ไม่ถือเป็นความลับสำหรับการประกอบงานของดาร์คมาร์เก็ต พวกเขาทำงานแยกกันออกเป็นหลาย ๆ กลุ่มเรียกว่า เซลล์ กระจายกันไปตามเมืองหลวงต่าง ๆ ทั่วโลก นอกจากครอบครองธุรกิจค้าของเถื่อนในตลาดมืด ดาร์คมาร์เก็ตยังมีส่วนเชื่อมสัมพันธ์กับกิลด์โจร เครือข่ายสายลับ บวกกับเป็นเจ้าของคอมปานีของทหารรับจ้างกว่าพัน ๆ สัญญาจ้าง พวกเขาเองก็ได้พยายามบุกรุกกิจการล่าอสูรของบลัดฮันท์ตั้งแต่ต้นในอดีตแต่จนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ...อย่างสิ้นเชิง เหมือนงูหลามพยามเขมือบหนูนา ดาร์คมาร์เก็ตมีจุดมุ่งหมายจะตะกละกลื่นกินและควบคุมเศรษฐกิจของโลกโดยทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฏหมาย
เขาดื่มเบียร์ให้หมด รสขมหวานสะกิด ณ ปลายลิ้นของเขา ข้อมูลของเธอให้ประโยชน์กับเขามากพอที่จะประติดประต่อรายละเอียดในหัวของเขาได้ว่าบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในเดวฟินเนีย
“แล้วเผื่อฉันเกือบลืมไป แอนโทนิโอฝากบอกเธอด้วยว่าคอมมิชชั่นของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้ว และถ้าเธอกำลังมองหางานฉันก็ได้ฝากรายละเอียดไว้กับเขา” เธอสไลด์เศษม้วนผ้าให้กับเขา ข้อความภายในเป็นความลับ
“ค่าตัด 30% เหมือนเดิม?”
“เหมือนเดิมจ้ะ” โครว์แสดงฝีหน้าของความผิดหวังเล็กน้อย มันไม่มีประโยชน์จะต่อรองราคากับเธอ เมื่อไหร่ก็ตามที่งานผ่านต่อมาจากดาร์คมาร์เก็ต เขาเสีย 30% ของค่าจ้างทุกครั้ง
ดาร์คมาร์เก็ตไม่สามารถควบคุมองค์กรของบลัดฮันท์ได้เพราะพวกเขาไม่ใช่ร้านค้าติดประจำการอยู่กับที่ บลัดฮันท์เดินทางไปทั่วทิศหนแห่งเสมอ หลีกเลี่ยงสะสมความเกลียดชังของชาวบ้านระหว่างทาง แต่ที่ดาร์คมาร์เก็ตสามารถทำได้ก็คือการให้แน่ใจว่าข้อมูลงานใด ๆ เกี่ยวข้องกับอสูรหรือสัตว์กายสิทธิ์ผ่านมาทางมือของพวกเขาก่อนบลัดฮันท์เสมอ
“แล้ววันนี้อุโมงค์เป็นยังไงบ้างครับ?” ตาของเขาคมกริบจับจ้องมุมมืดหลังเคาท์เตอร์
“ค่อนข้างทึบ ฉันคิดว่าเธอควรเอาอุปกรณ์หลังร้านติดตัวไป”
“อืมหืม โอเคครับ งั้นผมควรรีบลงมือทำงาน”
เขาลุกขึ้น เสียงของเก้าอี้เสียดพื้นไม้ฟังขัดหูแขกแต่เขาก็รีบหายตัวไปในมุมซอกหลังเคาท์เตอร์ซึ่งเฟสมักจะบอกกับลูกค้าที่ไม่ใช่วีไอพีว่ามันคือห้องเก็บไม้กวาด
…..
บีบตัวผ่านกล่องรังและถังไม้ของเหล้าน้ำผึ้ง โครว์มาถึงห้องทำจากอิฐชื้นขึ้นราน้ำ ใยแมงมุมกับฝุ่นแย่งชิงอาณาเขตของพื้นที่ช่องแคบนี้แทบตลอดกาลเวลา เฟสไม่อยากเสียเวลาทำความสะอาดหรือจ้างแม่บ้านมาปัดถู เพราะจุดประสงค์ของห้องไม่ใช่เพื่อเก็บของ แต่เพื่อปกปิดเส้นทางลับ ซ่อนกำบังอย่างดีใต้ถังหมักโบราณคือประตูสู่ท่อระบายน้ำใต้ดินของเดวฟินเนีย
มืด ขมเน่า เหม็นโสโครก และอันตราย ไม่มีคนสมประกอบสติดีคนไหนคิดจะเข้าไปเดินยืดเส้นยืดสาย ช่างแดกดัน จากความสวยงามของเมืองท่องเที่ยวระดับโลกจรดท้ายที่ความเน่าเละเทะขี้เหร่ซ่อน ณ ใต้ชั้นผิว เหมือนจิตใจมนุษย์ กลิ่นสดชื่นของอากาศ น้ำหอม หรือดอกไม้ เหล่านั้นหาพบไม่ได้และหลากหลายภัยอันตรายหลบใต้ทุกเงามืด แต่ที่น่าหวาดผวากว่าฝูงกองหนูโสโครกหรือร้ายแรงกว่าเชื้อโรคจากฟันของปลิงและปรสิตเมื่อเดินในอุโมงค์ระบายใต้ดินนี้คือดอกกล้วยไม้ชื่อว่า แอชโบน Ashbone พืชชนิดเดียวที่สามารถคงอยู่และครองมงกุฎราชินีในโลกแห่งความมืดมิดนี้ได้ เธอมีหลายดอกลูกดิบเล็ก ๆ ขนาดเท่าลูกเบอร์รี่เติบโตตลอดตามก้านเถาวัลย์ หกกลีบขาวทำหน้าที่เหมือนห่อช่อเข็มเกสรสีแดงอ่อนแฝงพิษเพชฌฆาต
ชาวพื้นเมืองเดวฟินเนียเชื่อว่าต้นของดอกไม้ปิศาจนี้มีชีพและความนึกคิดเป็นของมันเอง มันเติบโตเร็วใหญ่เป็นพุ่ม และจริงอยู่ รากของมันชอนไชหาน้ำดื่มถึงกับเจาะเข้าไปในร่างของสิ่งมีชีวิตที่ตาย แต่ที่ชั่วร้ายทางธรรมชาติคงเป็นเกสรและขนบนใบของมัน แอชโบนมีน้ำมันผสมสารอัลคาลอยด์ ซูดาคอนนิดีน pseudaconitine เคลือบบนขนและเกสร เมื่อสัมผัสสามารถทำให้เกิดอาการคัน แสบร้อน และชาจนเป็นอัมพาตชั่วขณะบริเวณชิ้นส่วนของร่างที่จับต้อง เมื่อสูดเกสรหรือทานผลอ่อนของมัน ฤทธิ์ของพิษจะทำลายระบบประสาทและในที่สุดหยุดการทำงานของหัวใจได้ มันคือหนึ่งในพรรณพืชที่อันตรายที่สุดในเดวฟินเนีย
ดงแอชโบนโปะทั่วหนาทึบจนอุโมงค์เป็นเหมือนม้านของดาวซีดแสงขาว มันเสมือนกับสวนเขาวงกตที่ถูกทอดทิ้งจากความรักของชาวสวน กลิ่นแสนหวานเปรี้ยวสั่งเตือนสมองของเขาว่ามีพิษ แต่บลัดฮันท์มีความทนทานต่อพิษจากแทบทุกสรรพสิ่งบนโลก โครว์กดฉีดกระป๋องสเปรย์ไฟ -ประเภทเดียวกันกับที่ใช้ในหน่วยลาดตระเวนของแฮทแมนเมื่อต้องการเดินตรวจในอุโมงค์น้ำทิ้งเช่นนี้- เส้นไฟสีส้มพุ่งกัดม้านของดอกกล้วยไม้ที่ขว้างทางเขา อย่างรวดเร็วและร้อนแรง มันเผาจนตรงหน้าของเขาไม่เหลืออะไรเว้นเพียงแต่เถาถ่าน
เสียงปริศนาดังจากอีกฟากของผนัง อิฐขึ้นใยเชื้อราน้ำ เขาชะงักเท้า หูเพ่งฟัง ต่อตาเปล่า ตรงหน้าของเขาไม่มีอะไรนอกจากทางตันและเหวหลุมทิ้งของเสียข้างหลัง เขาใช้ปลายนิ้วชี้นำ กดดันก้อนอิฐที่เกือบตกลงมาจนสุดแล้วส่งเสียงเครื่องจักรกล คลิ๊ก จากนั้นผนังทางตันจึงเผยธาติแท้ของมัน หินอิฐบนผนังแต่ละก้อนบิดตัวหมุนแหวกเปิดทางให้กับเขา มันคือประตูกลไกซับซ้อนที่ดาร์คมาร์เก็ตได้ติดตั้งเอาไว้
เท้าทั้งสองจุ่มน้ำนิ่งนองพื้น หยดหนึ่งจากรอยร้าวบนเพดานจูบลูบแก้มของเขา ผ่านแถวและแถวของชุดโต๊ะเก้าอี้ ครั้งหนึ่งที่นี่คือห้องสมุดถูกสร้างในยุคของแวมไพร์ เมื่อมองดูจากสถาปัตยกรรมอันมืดหมองและรูปปั้นการ์กอยบนแต่ละยอดเสาค้ำแล้วก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็น ณ แผ่นหลัง ท้ายห้องได้ถูกแปลงเป็นโรงงานเวิร์คช็อป เครื่องมือนับร้อยถูกวางเรียงกัน บนโต๊ะกับเครื่องจักรประหลาดหลายแขนนั้น นาฬิกาชนิดพกนอนไส้จักรทะลักราวกับคนไข้รอแพทย์มาจบการผ่าตัด โครว์จำนาฬิกาเรือนนี้ได้จากภาพในปราสาทแห่งความทรงจำของเขา เจ้าของของมันคือวิลส์ กู๊ดแมน Wills Goodman ผู้ช่วยและคู่หมั้นของเบทธานี วิลส์สวมแหวนบนมือขวาสร้างรอยข่วนลึกตรงขอบทองมุมบนของนาฬิกา ตัวโมเดลเองก็รุ่นเดียวกัน ซีซี&ฮิวเบิร์ก 25 มันสั่งทำพิเศษ
โครว์สูดดมใกล้ ๆ มันมีกลิ่นหืดละไมของน้ำมันจักร เค็มเหล็กของเลือดมนุษย์ และหนักแน่นเนื้อของต้นไม้บีช ไม้ประเภทเดียวกันกับที่เบทธานีใช้ในการประดิษฐ์หุ่นตุ๊กตาไม้ แปลกที่มาเห็นมันใกล้ถึงเดวฟินเนีย จากคำของเบทธานี วิลส์ควรจะสอนแทนเธอที่มหาวิทยาลัยดรากอน เว้นแต่ว่าตัวเรือนนาฬิกาพกนี้ได้ถูกขโมยมาจากเขา
อย่างไรก็ตาม โครว์หันเปลี่ยนความสนใจของเขาไปหาเจ้าเปลือกหอยกลางห้อง มันควรเป็นสิ่งแรกที่น่าทึ่งแปลกตาสำหรับใครก็ตามที่เข้ามาพบ แต่สำหรับโครว์ เขาคุ้นเคย เขารู้จักกับมันเกินกว่าจะตีฝีหน้าอะไร เจ้าเปลือกหอยทากดูเก่าแก่และดึกดำบรรพ์ อายุของมันไม่ต่างมากไปจากของอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้ ไซส์ของมันใหญ่ขนาด 15 ฟุต เนื้อเปลือกแข็งม้วนซ้อนกันเป็นเกลียวหลายชั้น มันได้ตั้งทื่อไร้ทีท่าจะขยับ ...แต่ข้างในเปลือกนี้ไม่ได้ว่างเปล่า
*ก๊อก ก๊อก ก๊อก*
โครว์เคาะเปลือกหอยทาก “แอนโทนิโอ?” จังหวะของคลื่นน้ำสะท้อนมาเล็กน้อย บางอย่างในเปลือกหอยได้ตอบสะนอง และโครว์จึงเคาะแรงขึ้น ครั้งนี้มันบังคับให้เจ้าหอยทากผู้ขี้ขลาดถึงกับตลับตัวออกมา ในความกลัวที่ว่าบ้านเปลือกหอยของมันจะแตกพัง
“อ้า! ได้โปรดคับ! ผมเป็นแค่ทากสกปรก ๆ โสโครก! ...โอ้ สวัสดีคับโครว์” ใบหน้าขี้ริ้วที่หวาดผวาฉับพลันเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายสบาย ๆ และเป็นเหมือนตรึงรังควาญใจเล็กน้อย
มือครีบกบบดบังหน้า ผิวของเขามีเนื้อนุ่มใสอย่างเจลลี่ ดวงตาของเขาคือความสิ้นเชิงของเงาดำ ร่างอีกครึ่งขดภายในเปลือกหอยทาก ไม่ว่าจะดูยังไงแอนโทนิโอก็ไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นอสูรทากยักษ์ Giant Snail สายพันธุ์ที่ถูกจัดถือว่าใกล้สูญพันธุ์เป็นมาจากความขี้ขลาดกับเกิดมาไร้กลไกการต่อสู้ตามธรรมชาติของพวกเขา
“ทำไมคุณดูตื่นตัวจัง?”
“ป-เปล่าเลยโครว์ ผะ ผะ ผมกำลังยุ่งอยู่กับงาน” เขาเป็นอสูรที่เชื่องช้า...และชอบโกหก ถึงแม้โครว์จะเคยช่วยเหลือชีวิตของเขาเอาไว้ครั้งหนึ่งก็ตาม
“จะว่าไป นาฬิกาเรือนนี้เป็นของใครกัน?”
“อัมมม ลูกค้า?”
“ชื่อ?”
“นี่คือดาร์คมาร์เก็ต โครว์ ทุก ๆ ใช้ชื่อปลอมไม่ก็ฉายา” น้ำเสียงของแอนโทนิโอเย่อหยิ่งและแสนกวน โครว์บอกได้ถึงความเครียดที่เริ่มก่อสะสมบนหน้าผากของเจ้าอสูรทาก
“งั้นบอกมา”
“คุณ... เป็นพวกประเภทที่ชอบขุดปัญหา เหตุผลที่ทำไมผมถึงไม่อยากคุยกับคุณ!”
“และคุณไม่อยากจะรู้ว่าผมใช้อะไรขุดข้อมูลจากอสูรที่ไม่ยอมเจรจาและชอบโกหกแอนโทนิโอ” เขาบีบความกลัวนั้นจนทะลักจากปากของเจ้าหอยทาก แอนโทนิโออาบในน้ำเมือกอันเปรียบเสมือนเหงื่อของเขา
“ก็ได้! ก็ได้! ท-ทำไมคุณไม่ลองไปดูตรงกล่องเอาเองโครว์” สายตาของแอนโทนิโอเพ่งชี้เจาะจงไปยังตู้ลิ้นชักไม้สูงเท่าตึก หน้าแต่ละกล่องชั้นมีหมายเลยเขียนแปะไว้ด้วยเศษผ้า ชนิดของมันเป็นอย่างเดียวกันกับที่เฟสได้มอบให้แก่โครว์
“และหมายเลข?”
“165 ต-แต่คุณไม่ได้ยินจากผมนะ เข้าใจไหม?”
โครว์ไล่หาตามตู้ฝากความลับ ตู้ลิ้นชักนี้เป็นหนึ่งในบริการของดาร์คมาร์เก็ต ไม่ว่าจะเป็นรายการบันทึก ชื่อ อาวุธ หรือสินค้า ทุกอย่างที่ไม่ควรถูกเปิดเผยหรือผิดกฎหมายโลกด้านบนจะถูกฝากเก็บไว้ในกล่องนิรภัยล็อกแน่นหนาด้วยแม่กุญแจหลายชั้น
เขาหามันเจอ โครว์ใช้บันไดลากมาหน้าชั้นแล้วปีนไปดึงลิ้นชักที่แม่กุญแจได้ถูกปลดไว้เสียก่อนแล้ว กล่องหมายเลข 165 กล่องของเจ้าของหรือหัวขโมยนาฬิกา แอนโทนิโอคงได้ปลดล็อคมันเพื่อนำนาฬิกานั้นออกมาซ่อม แต่จากที่โครว์รู้จักกับแอนโทนิโอในฐานะนักดัดแปลงอาวุธและอุปกรณ์พกพาของสายลับ มันไม่ใช่งานซ่อม มันคงเป็นงานแอบฝังอะไรสักอย่างในตัวเรือนนาฬิกา
ในกล่อง แผ่นกระดาษ ถุงผ้ากำมะหยี่ โซ่ควงนาฬิกา กลิ่นสมุนไพรของใบคอมเฟรย์และเหม็นคาวจากปลา หลักฐานที่แกะรอยไม่ได้ในความคิดของแอนโทนิโอ แต่ทุกอย่างที่โครว์ต้องการได้อยู่ตรงหน้า เขาปิดลิ้นชัก หันไปหากล่องของเขาตามหมายเลขในเศษผ้าที่ได้รับมาจากเฟส ในกล่องของเขาเอง หมายเลข 14 คือเอกสารข้อมูลงานกับห่อผ้าฝ้ายย้อมดำสองห่อ พวกมันคือคอมมิชชั่นที่เขาได้สั่งให้แอนโทนิโอทำไว้ล่วงหน้าถึง 6 เดือน โครว์หยิบทุกอย่างใส่กระเป๋าไป แล้วปิดทิ้งความลับไว้ในความมืด อย่างที่ควร
…...
แสงอรุณนวลทาบม้าน ของห้องโรงแรมแห่งหนึ่งประดับไม้เมเปิ้ลขาวเจิดจรัสทองคำ เฟอร์นิเจอร์ในห้อง โต๊ะดินเนอร์ยาว 12 ที่นั่ง โซฟากำมะหยี่สีเผือก ไม้ประดับสูงค้ำแต่ละมุมห้อง จากทุกทัศนะ มันคือห้องสีขาวอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ในทุกความสมบูรณ์บริสุทธิ์แฝงจุดดำ ดั่งแสงสว่างกระทุบเงา ค่ำคืนคลอดซึ่งรุ่งตะวัน สองจุดดำที่นั่งตรงหัวโต๊ะดินเนอร์ โครว์จิกนิ้วจับการินน้ำชา ให้แก่ชายผู้นั่งนิ่งสงบอยู่ข้าง ๆ หัวของเขาถูกคลุมด้วยผ้าดำ เขาจะไม่มีวันรับรู้ว่าโครว์คือใครหรือเพราะเหตุใดเขาถึงได้ถูกจับลักพาตัวมา
จากไซทของเขา เสียงฝีเท้าเดินขึ้นมาจากห้องโถง ประตูเปิดอ้า ผู้ชายอีกคนในชุดสูทสีเทากับหนังสือพิมพ์พึ่งลงไปซื้อใหม่ ๆ ในกุมมืออีกข้าง ใบหน้าของชายคนนี้กับหนวดเคราโกนเรียบขาวบิดแสดงในกริยาของความสุดช็อก เขาไม่คาดฝันจะเจอกับบลัดฮันท์ เดอะ บลัดดี้ โครว์ The Bloody Crow นั่งดื่มชารอบนโต๊ะ
“ อรุณสวัสดิ์ครับ วิลส์”
…....
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ