บลัดฮันท์/Bloodhunt

7.8

เขียนโดย เอเดน

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 23.19 น.

  7 #
  3 วิจารณ์
  10.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561 17.06 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) Grimmest of Dawn III

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

III

 

...ขาออกจากเมืองเมื่อตอนสาย บนอานม้า ผ่านความซับซ้อนของหุบเขา ไล่ตามธารน้ำไหลลงเนิน ก่อนจะหยุดสักพัก สำรวจบนท้องฟ้ากับขบวนของควันจาง ๆ เหนือดงของต้นสน ฝนยังตกไม่หยุดหย่อน

 

มันไม่ยากที่จะตามหาคนเผาถ่าน ที่ไหนก็ตามที่มีแหล่งน้ำ ป่า และโรงตีเหล็ก ที่นั้นก็มีพวกเขา อาชีพของคนเผาถ่านมีหน้าที่จัดผลิตฝืนให้แก่โรงตีเหล็กในเมืองและตามหมู่บ้าน ทำงานร่วมอาศัยกับคนตัดไม้ พวกเขาเป็นจำพวกชอบเก็บตัวของพวกเขาอยู่กับพวกเขาเอง บ่อยครั้งผุดเกิดเป็นความเชื่อในบางท้องถิ่นว่าพวกเขาฝึกฝนศาสตร์มืด แน่นอนว่าเชื่อผุดเกิดจากข่าวลือและคำซุบซิบนินทา

 

อากาศหนาว และหมอกบาง ๆ ปกคลุมพื้นที่แคมป์ของคนเผาถ่าน ตาเฒ่าทำงานตากฝนอยู่ตรงหนึ่งในหลายเตาเผาถ่านทำจากดินปั้น สูงค้ำหลังคากระท่อมริมชายสุดของแคมป์ ระหว่างหลานชายหนุ่มของเขานอนป่วยไข้ป่าในกระท่อม โครว์หยุดม้าตรงนั้น ลงเดินตรงไปยังชายชราผู้ยืนดูแลเตาเผา

 

“แค่พวกเจ้าสองคน?” ตาเฒ่าเหล่จับมองดวงตาอมนุษย์ของเขา ในใบหน้าที่นิ่งเฉยอยู่ได้เริ่มปริปลดน้ำเสียงอันแห้งล้า

 

“ถ้าแกจะปล้นข้าก็เชิญเลย แค่ทิ้งผลไม้แห้งในกระสอบกับยาในหีบไว้สำหรับหลานข้า”

 

“ผมแค่อยากถามคำถาม ไม่ได้มาปล้นอะไร”

 

“งั้นถามมา” มันไม่มีความรู้สึกโล่งใจหรือรำคาญในเสียงของชายชรา

 

“คนงานที่เหลือหายไปไหนกันหมด?” โครว์สังเกตจากเต็นท์ผ้าขาวเป็นสิบ ๆ ตรงหน้ากระท่อมไม้ที่ดูรกร้างและจากพื้นถนนที่ไม่ดูยุ่งเหยิ่งไปด้วยรอยเท้าเทียบครบเท่ากับจำนวนของเต็นท์ อธิบายว่าไม่ค่อยมีใครสารจรไปมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง

 

“พวกมันออกไปโชว์ออฟ ทำตัวเป็นฮีโร่ ถ้าถามข้า ข้าว่าพวกมันอยากไปตายซะมากกว่า”

 

“ผมได้ยินเรื่องคำสาปในป้อมไฟอาว้า ช่วยบอกเพิ่มเติมหน่อย”

 

“ก็นั่นแหละที่พวกมันมุ่งหน้าไป! พวกโง่… พอได้ยินผีดิบโพล่ขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง พวกมันก็หยิบขวานจับหอกไปล่ามันกัน ทั้งป้อมทั้งทุ่งโดยรอบถูกสาปไปหมด จะต้นไม้จะนกก็ล้มป่วยตาย เหมือนหลานข้า เจค็อป เขากินผลไม้ต้องสาปที่นั่นเมื่อสามวันก่อนยันปานนี้ก็ยังไม่ตื่น” ชายชราสลดเศร้า เอื้อมสายตาไปข้างหลัง ถึงร่างของหลานที่นอนสงบนิ่งอยู่ในกระท่อม

 

“ให้ผมตรวจดูเขาไหม บางทีผมอาจระบุได้ว่ามันคือคำสาปอะไร-”

 

“ไรวะ! ไม่เอา! เจค็อปมีข้า! มียาอยู่แล้ว! พวกข้าไม่ต้องการหมอ!”

 

“เอาหล่ะ เอาหล่ะ ไม่ต้องโมโหก็ได้ อย่างน้อยช่วยบอกหน่อยว่าป้อมไฟอาว้านี้อยู่ตรง?”

 

“ผ่าดงป่าไปหน่อยแล้วตามถนนตรงไปทางตะวันออก พอเจอทางสามแยก ไปทางขวา และมองดูตรงด้านขวาของเจ้า เจ้าจะเห็นหอคอยป้อมสูง ๆ นั้นเอง” เขาจิ้มนิ้วชี้ไปตรงพรมเขตของดงไม้ที่โครว์ควรใช้ตัดผ่านขึ้นสู่ถนน

 

“โอเค งั้นผมจะไปแล้ว”

 

โครว์กระโดดขึ้นนั่งบนอานม้า คนเผาถ่านผู้ชรากลับไปใช้กิ่งไม้เกลี่ยกองถ่านใต้เตาเผา ดูไร้หวังจะเผาไหม้ในอากาศเช่นนี้ ระหว่างที่ม้าของเขาเตาะแตะผ่านแคมป์ไปนั้นเอง ที่โครว์ได้แอบแลสังเกตผ่านประตูแกว่งอ้าเปิดออกของกระท่อม ในสักชั่วขณะแต่มันชัดพอที่จะทำให้เขาได้เห็นถึงร่างผอม ๆ ของผู้ชายคนนั้น ผู้นอนไม่ขยับอยู่ในกระท่อม เสื้อผ้าชีกขาดตามสภาพ บริเวณผิวมีรอยเขียวช้ำปรากฏให้เห็น ใบหน้าซีดเงยค้างขึ้นเพดาน แมลงวันบินไต่ตอมรอบ ๆ ฝีปาก ม้านตาแหกกว้างไม่ขยับ แก้วตาของเขาเป็นแก้วใสและไร้วี่แววของชีวิต… เขาได้ตายมาสามวันแล้ว...

 

...ากาศหนักแน่น ยากจะสูบหายใจให้เข้าเต็มปอด โครว์ผ่านซากศพริมทางสู่ป้อมไฟอาว้า และยิ่งเขาเข้าใกล้มันมากแค่ไหน ศพก็ยิ่งยาวราดเพิ่มให้เห็น ในที่สุดเขาต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งกริ่งเรียกตามลมพัด คำเตือนของมันห้อยลงมาจากต้นไม้ก่อนพ้นชายป่า คางคก กิ่งก้า กระโหลกของวัวและเขากวาง ถูกแขวนตากแห้งกลับหัวกลับหางไว้ตามกิ่งไม้ มันคือสัญลักษณ์ เตือนถึงภัยอันตรายหรือสถานที่ที่ผู้คนมิควรเดินเตร็ดเตร่เข้าไป คงจะถูกแขวนทำไว้โดยชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ

 

ภาพทุ่งโล่งของหญ้าไพศาล ทอดขึ้นสู่เนินน้อย ๆ และสู่ประตูเหล็กของป้อมไฟอาว้า ด้านหลังของมันคือทะเลสาบ แผ่ไกลและกว้างขวาง ณ ใจกลางของหมู่เขา ทำเลดีสำหรับต่อต้านกำลังของกองทัพใด ๆ ก็ตามที่คิดจะบุกเข้ามาโจมตี เพราะศัตรูจะถูกบังคับให้เลือกระหว่างเดินทัพทางเท้าผ่านป่าจากด้านหน้าหรือล่องเรือมาจากด้านหลัง และทั้งหมดสามารถถูกโต่กลับได้โดยกราดยิงธนูและปืนใหญ่ รอบ ๆ อาณาเขตของป้อมเองก็เป็นผื่นป่าไม้ ง่ายแก่การดักซุ่มโจมตีและตัดกำลังของศัตรู

'ไม่น่าหล่ะมิคาเอลถึงอยากได้มันคืน’ เขาคิดในใจระหว่างชื่นชมตำแหน่งที่ตั้งของมัน

 

ศพซ่อนอยู่ในดงหญ้า 'ยังสดอยู่’ เขาคิด สบกับตาเหลือกสยองของมัน ไม่ต่างกันจากที่เหลือ

‘อาจจะเป็นคนเผาถ่าน’ จากการแต่งกายกับอาวุธที่ยังถืออยู่ในมือบ่งชี้ว่าคงเป็นเช่นนั้น นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านธรรมดา ๆ พยายามต่อกรกับสิ่งชั่วร้ายเหนือเกินธรรมชาติ

ถ้าเขายังจำเวลาได้ ตอนนี้มันคงเป็นช่วงเที่ยงไปแล้ว แต่บนท้องฟ้าทมิฬนี้ยังคงไร้ซึ่งแสงตะวัน มัวหมอง และในทุกมุมตรอกของความมืด เขารู้สึกได้ถึงดวงตานับไม่ถ้วนที่กำลังจดเฝ้ามอง

เลือดคร่ำร้องในตัวของบลัดฮันท์ ทำนองของมันคล้ายเสียงเพลงของเศษแก้วขูดระลึกลงบนศิลา มันเป็นสัญญาณเตือนถึงพลังอำนาจของเวทมนตร์รอบ ๆ ตัว ‘เวทมนตร์ที่ทรงพลัง...ร่ายคาถา ณ ตรงนี้... คำสาป? แต่ประเภทไหนกัน?’ มันทิ้งไว้แต่คำถาม

โครว์หาคำตอบในบริเวณทุ่งหญ้า เลือดในตัวของเขาได้เตือนให้ทราบถึงอิทธิพลของคำสาปอันรุนแรงบริเวณภายในตัวป้อม มันจะถือว่าโง่เขลาสำหรับเขาที่จะเดินตรงดิ่งเข้าหามันเหมือนคนตาบอดวิ่งกอดหุบเหวโดยมิรู้หรือเข้าใจถึงต้นตอของคำสาปนี้เสียก่อน

ก้มยองนั่ง เขากวาดตาตรวจสอบสถานะภาพของผื่นผิวของหญ้าที่ทั้งเปียกและอ่อนเฉา สีใบหญ้าคงไว้เพียงเหลืองน้ำตาลเหมือนนั่งก้มดูรูปภาพน้ำมันเก่า ๆ สีเยิ้มย้อย และเมื่อเขาพลิกก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นบนนั้น ก็เปิดเผยให้เห็นถึงลำตัวขด ๆ ของเจ้าหนอนไส้เดือนที่นอนดับตาย แน่ชัดแล้วว่าคำสาปนี้ได้ถูกร่ายลงบนดินแดน พรมอาณาเขตรอบป้อมไฟอาว้า สาปแช่งทุกชีวิตในรัศมี

'อาจจะเป็นฝีมือของจอมเวทย์หรือปิศาจ…’ ที่จะมีพลังอำนาจอะไรมากถึงขนาดนั้น ปกติ หากเรียนรู้และศึกษา ผู้คนธรรมดาสามารถจะปลุกเศกของสาปผู้คนและเรือนบ้านเรือนช่องที่ใช้อาศัยอยู่ได้ บุคคลที่ฝึกฝนศาสตร์มืดชนิดนี้จะถูกจัดเรียกว่า แม่มดหรือพ่อมด แต่เนื่องจากขาดพรสวรรค์ของพลังแห่งเวทมนตร์ พวกพ่อมดหรือแม่มดนี้จึงมิอาจสาปแช่งอาณาหรือดินแดนได้ และจากที่จะนายหรือนางจอมเวทย์ก็ได้ ส่วนใหญ่ ถูกขังในเกาะอูสเตวล่า Austella เกาะพิเศษที่ตั้งอยู่สุดขอบของโลกซึ่งเป็นทั้งเรือนจำและโรงเรียนสำหรับผู้มีความสามารถทางเวทย์ มันก็คงเป็นไปได้ที่พวกของ ส่วนน้อย- ไม่ว่าได้หลบหนีจากนักล่าจอมเวทย์หรือไม่นั้น ได้มาหลบภัยที่นี่ แต่ทำไมร่ายมนตร์สาปแช่งทั้งพื้นที่? และหากเป็นจอมเวทย์ทรงพลังเช่นนี้เขาก็ควรจะเห็นร่องรอยของเมจแคชเชอร์ Magecatcher (ชื่อที่ใช้เรียกองค์กรจอมเวทย์ผู้ออกล่าจอมเวทย์ด้วยกัน) เสียแต่แรก ๆ แล้ว พวกเขามันไม่ใช่ประเภทที่ทำการล่าจอมเวทย์แล้วไม่ทิ้งร่องรอยของหายนะเอาไว้ข้างหลัง ขนาดบลัดฮันท์ยังรู้ตัวดีที่จะหลีกเลี่ยงพบปะกับพวกเขา

 

ข้อสรุปทั้งหมดเหลือทิ้งให้เขาเอาไว้ของหนึ่งความเป็นไปได้ที่ยังคงต้องพิสูจน์...

 

โครว์ควักมีดที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อโค้ท เขาบรรจงกรีดปาดบนฝ่ามือของเขา ในเส้นตรง เลือดสีแดงเข้มไหลหยดรินกับใบหญ้า ลูบคลำผิวเงามันของมันก่อนจะร่วงหยดจากปลายคมของใบสู่พื้นดินด้านล่าง เขาถากเกลี่ยมันเป็นพูนน้อย ๆ ก่อนจะยึดกำมันไว้ในฝ่ามือโชกเลือด เปลี่ยนท่านั่งของเขาเป็นคุกเข่ากับธรณี หลับตาลง ตั้งสมาธิถึงสิ่งที่เลือดในตัวเขาพยายามจะร้องบอก ในตอนแรก ช่างเงียบและเย็นชา ภายหลังต่อจาก มันตามมาด้วยเสียงหึ่ง ๆ ของฝูงผึ้งนับหมื่น หรือว่ามันคือเสียงของสายแห่งลมพายุหมุนแตะสกิดตรงแก้วหูทั้งสองของเขา และลึกในความมืดที่มืดสุด ในจิตตั้งสมาธิมั่นนี้ของเขา แสงสว่างน้อย เหมือนหิ่งห้อย เข้าโพยบินเข้ามา ใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น แต่ยิ่งใกล้ขึ้นมันยิ่งพองโต ในที่สุดลูกไฟสีขาวนี้รุกรานอาบทั่วทุกมุมกรอบในวิสัยทัศน์ของเขา เพงจ่อในพลังที่เขามิอาจหันหรือเปิดตาหนีได้ แสงสว่างเผยเป็นโฉมหน้า ของหญิงสาวผู้สวมมงกุฎทองคำมรกต ผิวของเธอซีดขาวเหมือนหิมะ ในปากของเธอบีบคั้นคำออกมา…

 

“ไปให้พ้น!”

 

เสียงก้องดังกังวานกรอกหูและสั่นสมองของเขา โครว์ลืมตาขึ้น ดินที่ได้กุมอยู่กลับเหลือเป็นเพียงผงธุลี

นี่มันไม่ใช่ผลงานของจอมเวทย์หรือปิศาจธรรมดา ๆ ...มันคือเฟียนชี

 

ในภาษาเก่าแก่ของเคิร์น Fián Sí ‘เฟียนชี’ แปลว่านางป่าหรือนางไม้

เพื่อนบ้านแสนดี เจ้าแม่นางฟ้า พันธุ์ผีปิศาจจากโลกอื่นที่ถูกนับถือและหวาดกลัว บ้างในฐานะของผู้ปกป้องประจำท้องถิ่น และบ้างก็ผู้ลงทัญคนบาปอย่างไร้ซึ่งความเมตตา ปัจจุบันยังคงถูกนับถืออยู่โดยชาวเขาตามขอบทวีปตะวันตกของนอร์ พวกเธอสร้างอาณาจักรใต้พิภพ ในถ้ำใต้ภูเขา สถิตในลำต้นของไม้อายุนับพัน ๆ ปีและศิลาทำจากกระดูกของสิ่งมีชีวิตเก่า

เขาในตอนนี้รู้แล้วว่าทำไมบลัดฮันท์คนอื่นถึงได้แค่อยากจะเก็บเงินใส่กระเป๋าแล้วทิ้งงานหนีไป เพราะตรงกันข้ามกับอสูรหรือสัตว์แห่งเวทมนตร์ พวกปิศาจชนิดนี้เคยครั้งหนึ่ง- และยังถูกนับถือในฐานะของพระเจ้า ยุ่งเสือกกับธุระของพระเจ้าจากโลกเก่าเช่นนี้มีแต่จะก่อปัญหาและสร้างความยุ่งยากให้แก่บลัดฮันท์ ทั้ง ๆ ที่มีงานธรรมดา ๆ ให้ทำเต็มไปหมดหลังช่วงสงครามของเคิร์น

 

ไปให้พ้น... มันฟังเหมือนคำเตือน... มากพอจะทำให้โครว์ลุกขึ้นยื่นและหันกลับไปขึ้นนั่งบนอานม้า ‘เธอฟังดูเหมือนกำลังหงุดหงิด…’ เขาประเมินสิ่งที่พึ่งได้บังเกิดกับตัวเขา ระหว่างที่ไม่ใช่ พระเจ้า จริง ๆ เฟียนชีสามารถถูกผนึกหรือขับไล่ไปจากโลกนี้ได้ ผ่านการทำลายศาลหรือแท่นบูชาต่าง ๆ ตามเขตโดยรอบของเธอ ที่เขามั่นใจว่าได้กระจัดกระจายอยู่ในป่าทั่วหุบเขาและถูกปกป้องโดยภูติผีบริวารของเธอ เนื่องจากมันเป็นงานที่ยุ่งยากและจะต้องใช้เวลาหลายวันตามสืบหา ทุก ๆ ศาลเจ้าในอาณาบริเวณของไคทาสตาวล์ เหมือนบลัดฮันท์ผู้มาก่อนเขา โครว์ไม่มีความปรารถนาจะวิ่งไล่ตามเงาล่องหนทั้งวัน แต่เขาเองก็ไม่มีความปรารถนาจะทอดทิ้งงานไปด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่ามันจะดูเหมือนเขากำลังถูกโกงโดยมิคาเอลก็ตาม

เขาต้องการรู้มากกว่านี้ อย่างน้อยแค่ชื่อของยัยเฟียนชีเพื่อจะใช้เรียกอัญเชิญเธอได้โดยไม่ให้เหมือนดูหมิ่น จะยังไงแล้วนั้น พวกมันก็เป็นปิศาจที่มีความจองหองและโกรธโมโหง่าย

 

โครว์ยูเทิร์นม้าของเขา มุ่งตรงไปหาหมู่บ้านโดยใกล้ เครื่องหมายเตือนจากก่อนหน้านั้นคงถูกทำไว้โดยชาวบ้านจากฟาเควล์ มันเป็นเหมืองทองแดง- ถ้าเขาจำไม่ผิด บลัดฮันท์อย่างเขาไม่เคยลืมสถานที่อยู่อาศัยของมนุษย์หรือเมือง เพราะเหมือนออฟฟิศ มันเป็นที่ที่เขาไปเอางาน ตามป้ายประกาศและอะไรอื่น เขาเองก็ไม่ควรลืมหมู่บ้านหรือเมืองไหน ๆ ที่มิควรไป เหมือนไคทาสตาวล์หรือเคิร์น ใช่ว่าทุกที่จะเปิดอ้อมกอดต้อนรับบลัดฮันท์อย่างเขา

 

โครว์ควบม้าผ่าละอองเถ้า ตกลงมาจากฟ้า...

 

...มันส่งเสียงครวญคร่ำ มือไม้ตะเกียกตะกาย กงเล็บยาวดั่งเข็มเรียวแหลมขูดกรีดลงบนเนื้อไม้ หนังแก้มที่ลื่นใสลูบถูไปมาซ้ำ ๆ กับกำแพงของหมู่บ้าน ท่ามกลางสายฝน กลิ่นลมแห่งความชั่วร้าย ม้านเมฆที่ได้บดบังดวงตะวัน และท้องฟ้าเผ่าไหม้ในแสงอัคนี

 

ซากศพหน้าหมู่บ้านฟาเควล์คงมิอาจเป็นมาจากผลของคำสาป แต่หากจะเรียกพวกมันว่าซากศพก็คงจะไม่ถูกต้อง ในธาติแท้ของพวกมันคือ เวลลิ่ง Wailings อสูรซึ่งมีร่างคล้ายกับศพของมนุษย์ ผอมก้าง ผิวซีดเงาใสเหมือนตาขาวของปลา ความสูงที่ราว 170 ซม. ถึง 200 ซม.

ไร้ฝีปาก เวลลิ่งมีลิ้นเรียวยาวสี่ลิ้นยื่นตวัดออกมาจากกรามพร้อมความปรารถนาจะเขมือบกินเนื้อของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ตรงหน้า- บ่อยครั้ง นั่นหมายถึงมนุษย์

พวกมันเป็นอสูรที่ถูกพบได้มากตามสุสานหรือสนามรบ เพราะเนื้อศพเน่า ๆ คืออาหารโปรดของพวกมัน ภายในร่างกายนั้น เลือดของเวลลิ่งก็เน่าเสียและถือว่าเป็นพิษร้าย น้ำลายที่เยิ้มจากลิ้นของมันก็มีเชื้อโรคพาหะสารพัด เมื่อทำรังตามแหล่งน้ำใดหรือในถิ่นฐานของมนุษย์สามารถก่อให้เกิดโรคระบาดได้

เวลลิ่งเคลื่อนไหวด้วยสองเท้าคล้ายมนุษย์ แต่เชื่องช้า อย่างไรก็ตาม ในความเอื่อยเฉื่อยของพวกมัน เวลลิ่งสามารถเคลื่อนไหวได้โดยแทบจะไร้เสียง บวกกับที่มักออกล่ากันเป็นกลุ่มของจำนวนมาก หนึ่งฝูงใหญ่ของเวลลิ่งสามารถย่องโจมตีแคมป์ของกองทัพเล็ก ๆ ได้ภายในค่ำคืนเดียว

เป็นมาจากที่มีนิสัยชอบออกจากรังและล่าเหยื่อเฉพาะตอนค่ำหรือในที่มืดทึบจนมองไม่เห็น ในจำนวนฝูงของ 14 ถึง 60 กว่าตัว เจอเวลลิ่งในตอนกลางวันนั้นจึงเป็นภาพอันแปลกประหลาดตา แต่เจอะกับเวลลิ่งในความมืดสงัดสามารถสยดสยองคน ๆ หนึ่งให้หัวใจวายตายได้ ส่วนมากผู้คนจะได้รู้สึกรู้สาว่ามันมาอยู่ข้างหลังก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงหายใจหอบ ๆ หืด ๆ ของพวกมันที่คล้ายกับคนกำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ใกล้ใบหู เสียงอันเฉพาะเจาะจงที่ถี่ขึ้นนี้เองเป็นเครื่องชี้บอกว่าเจ้าเวลลิ่งนั้นกำลังตื่นเต้นที่ได้ค้นพบเหยื่อของมัน

จำนวนของเวลลิ่งนั้นเพิ่มมากขึ้นในแทบตอนกลางและตะวันออกเป็นเนื่องมาจากหลังช่วงของสงครามในเคิร์นและไฮกิชิ (Higishi โลกตะวันออก) และจำนวนมหาศาลของศพที่ได้ถูกทิ้งไว้ในสนามรบ และเพราะเพียร์ตร้าเป็นประเทศพรมแดนติดกับเคิร์น การปรากฏตัวของเวลลิ่งรวมถึงอสูรประเภทกินศพอื่น ๆ จึงเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดตามมาวันยันค่ำ

 

ระหว่างที่กลุ่มของพวกมันยังไม่ทันจะสังเกตเขา โครว์ดึงดาบคริสตัลออกมาจากข้างหลัง เป็นดาบสั้นสองคม เบาและจับสะดวกในกำมือ ดูเหมาะถือควบคู่กับโล่มากกว่าแค่ในมือเดียวแบบนั้น สภาพใหม่ไร้รอยขีดข่วนของมันแสดงให้เห็นว่าเขาได้ใส่ใจดูแลรักษามันเป็นอย่างดี ถึงดาบที่ตีจากแร่มิทตริวเช่นนี้จะยากแก่การทะนุบำรุงก็ตาม ใบดาบเปร่งแสงนวลฟ้าสว่าง อมเขียวขจีเหมือนน้ำจากใต้ก้นบ่อบึงหรือมหาสมุทร สว่างแม้กลางความหม่นหมอง แต่ยิ่งขึ้นอีกเมื่อเขาใช้มันตัดร่างของเจ้าเวลลิ่งนั้นเป็นสองท่อน

โครว์ค่อย ๆ สู้กับมันทีละตัว หลีกเลี่ยงโดนถูกล้อม เขาตัดสับพวกมันขณะมุ่งหน้าไปยังประตูของหมู่บ้าน เสียบแทงดาบลงบนหัวของเวลลิ่งตัวสุดท้ายที่พยายามแอบคลานหนีเขาไป ดาบสีฟ้าของเขาไม่ช้าอาบด้วยดำน้ำหมึกของเลือด บรรจงหยาดอาบหน้าฝากของเจ้าเวลลิ่ง

“น่าขยะแขยง” ดวงตาสบมองมัน เขาถอนหายใจก่อนจะหลุดพูดออกมาเพราะความรังเกียจ ส้นเท้าเหยียบกับใบหน้านิ่มลื่นนั้น เขาดึงดาบออก สลัดขจัดคราบเลือดก่อนจะเก็บมันไป

 

ไม่มีเสียงหรือสัญญาณของชีวิต ในตอนแรก โครว์พยายามพลักเปิดประตูบานไม้นั้นเข้าไปในหมู่บ้าน แต่เขาก็พบทันทีว่ามันถูกกั้นไว้โดยรถเกวียนม้าและถังไม้สามถัง พวกชาวบ้านคงได้ลากมันมากั้นประตูเอาไว้ไม่ให้พวกเวลลิ่งเข้ามาข้างในได้ แต่เขาคาดว่านั่นมันไม่ใช่ถึงครึ่งหนึ่งของเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้

ฝูงของเวลลิ่งมีน้อย ประมาณ 8 - 12 จากที่เขาได้นับไปฆ่าไป ไม่มากพอที่จะเรียกได้ว่า ฝูง และพวกมันก็มาเฝ้าอยู่กับที่ตรงนี้อย่างไร้จุดหมาย ทำไมกัน?

 

คำถามมีมากมายและคำตอบกลับช่างน้อย โครว์แก้ปัญหาด้วยการปีนกำแพงเข้าไปสำรวจภายในหมู่บ้าน ซึ่งต้องขอบคุณที่กำแพงมันไม่ได้สูงมากนักหนา และอย่างที่เขาได้นึกเอาไว้ ทั่วทั้งหมู่บ้านไม่ต่างไปจากป่าช้า ข้าวของกระจัดกระจายไปตามพื้น พวกเขาคงจะรีบหลบหนีไปอย่างรุกรน มันยังมีรอยเท้าย้ำไปมามั่วซั่วให้เห็นอยู่ทั่วลานกลางหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ยังไม่เก่าอะไรมาก '...มันเกิดขึ้นสองถึงสามวันก่อน’ ไม่มีความจำเป็นต้องตามเช็คดูทีละหลัง โครว์รู้ในทันทีจากประสบการณ์ของเขาว่ารังของเวลลิ่งนี้ควรจะอยู่แห่งหนใด

เขาพบกับมัน ร่องรอยของกองเลือดบนพื้น แตกต่างจากอื่น ๆ บนลาน อันนี้ยังสดและใหม่อยู่ มันได้ลาดยาวไปยังถึงบ่อน้ำหลังโบสถ์ คู่ข้างกับเมือกหนืด ๆ สีน้ำนม- มันคือน้ำลายของเวลลิ่ง

‘ร่างของเขาหรือเธอถูกจับลากไปในบ่อน้ำ… โดยเวลลิ่ง… คงจะถูกเอาไปใช้วางไข่ในรัง…’ โครว์ตรวจสอบจากปริมาณของเลือดที่เหยื่อผู้โชคร้ายคนนี้ได้สูญเสียตลอดทางจนลงสู่บ่อน้ำหรือขุมนรก เขาภาวนาให้เหยื่อคนนั้นตายก่อนที่จะถูกลากไป เพราะความคิดที่ต้องตื่นมาทั้งเป็นในรังเต็มด้วยไข่ของเวลลิ่งนับสิบ ๆ ฝังในเนื้อหนังมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครควรเผชิญ

“หืมมม มีคนปิดมันไว้” สะท้อนความคิดของเขาออกมาเป็นคำพูด ตาและมือจับตรวจความคงทนของแผ่นไม้กระดานซึ่งดูเหมือนได้มีคนตอกปิดกับปากของบ่อน้ำ อีกด้าน เขาสามารถได้ยินเสียงครวญครางของเวลลิ่งที่เกาะอยู่ในขอบบ่อ เสียงที่สะท้อนห้อนลึกต่อ ๆ กันไปเหมือนท้องร้องของอสูร…

 

ปัง! กระสุนแล่นผ่านหลังของเขา โครว์ฉับเปลี่ยนสายตาและความสนใจของเขามายังเด็กสาวผู้ถือปืนไรเฟิลฟินล็อกยาวจ่อเล็งมาตรงอกของเขา ทั้งสองแลกเปลี่ยนสายตาในความเงียบสงัดหลังไกปืนลั้นนั้น เด็กสาว- จากความสูงของเธอ คงราว ๆ อายุสิบหกเทียบเท่ากับเอสเตอร์ เธอมีร่างกายผอมที่เหลือแต่หนังและกระดูกให้เห็น มือสั่น ๆ ทั้งสองพยายามคุมถือปืนนั้นให้นิ่ง

 

“รออะไรอยู่มิร่า? ยิงมันซะ!” เด็กตัวเล็ก ๆ ผู้แอบซ่อนอยู่ข้างหลังกำชับ มือรัดแน่นกับขาเธอ เก็บซ่อนใบหน้าของเขาไว้

 

“เขาไม่ใช่พวกมัน…” เธอลดอาวุธลง แต่ยังครึ่งอกครึ่งใจ “เขาดูน่ากลัว” เด็กชายแอบมองโครว์สักพักก่อนจะกลับไปหลบดังเดิม

 

“พวกเธอหมายถึงเวลลิ่งหรือไง?”

“อ-อะไรคือเวลลิ่ง?” เด็กสาวยักคิ้ว ไม่เข้าใจคำที่เขาใช้เรียกพวกมัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ดีไปกว่านั้น

 

“เวลลิ่งคืออสูรที่มีร่างคล้ายมนุษย์และชอบกินศพ พวกมันคงทำรังไว้ในระบบแหล่งน้ำบริโภคของหมู่บ้านนี้สินะ” เขาคลาดสายตาแล้วจดมองตรงไปยังบ่อน้ำ ทำจากอิฐสีขาวที่ตอนนี้เปื้อนในโคลนและเลือด

 

“คุณลุงของเรา เรรอล์ฟ กับเพื่อนบ้านช่วยกันปิดกั้นมันไว้”

 

“แล้วพวกเขาหายไปไหนกันหมดหล่ะ?”

 

“พวกเขา- กับทั้งหมู่บ้านหลบอยู่ในเหมืองทองแดง แต่...คุณเป็นใครกันค่ะ? ดวงตาของคุณ…” เธอลังเลใจที่จะตอบในตอนแรก เธอกลัวว่าเขาอาจจะมาปล้นหรือทำร้ายพวกเธอ เขาเป็นคนแปลกหน้าและก็ดูน่าแปลกประหลาด

 

“ผมเป็นบลัดฮันท์ นักล่าอสูร”

 

“คุณจะมากำจัดพวกมันหร่อค่ะ? พวกเวลิ่ง?”

 

“ผมจะ แต่ไม่ฟรี ๆ หลังจากผมทำลายรังมันเสร็จผมจะตามไปเก็บค่าจ้างกับผู้ใหญ่บ้านของคุณ…”

 

“โอ้…” เธอถอนหายใจ

 

“ในระหว่างนั้นก็ไปหลบรอกับพวกชาวบ้านที่เหลือก่อน อยู่ในที่สว่าง ๆ และหลีกเลี่ยงดื่มน้ำจากบ่อนี้” ระหว่างที่ภารกิจของเขาคือการปลดปล่อยคำสาปจากป้อมไฟอาว้า โครว์ไม่สามารถจะปล่อยให้ชาวบ้านทนทุกข์ภัยร้ายของอสูรแบบนี้ไปได้ อีกอย่าง เขาปรารถนาให้มีคนจ่ายเงินจ้างเขาดีกว่าไม่มีซะเสียเลย

 

“คะ-ค่ะ” อย่างฉับพลัน เธอวิ่งจากไป ทิ้งให้เด็กชายคนนั้นตามแทบจะไม่ติด “ร-รอป๋มด้วยอ่ะ!”

 

โครว์ลืมจะถามว่ามีทางอื่นเข้าสู่บ่อน้ำนี้หรือไม่ เนื่องจากเขาไม่ต้องการจะแงะกระดานออกเพียงแต่พวกมันจะใช้หลบออกมาได้ในภายหลัง แต่มันก็ไม่จำเป็น เพราะแน่ชัดแล้วว่าพวกเวลลิ่งมันต้องเข้ามาจากภายนอกของหมู่บ้าน และตัดสินจากห้วงจังหวะของเสียงเพลงครวญครางที่ก้องสะท้อนกันจากเมื่อก่อน ก็อาจบอกได้ว่ามันคงเป็นถ้ำอยู่ใต้หมู่บ้านแห่งนี้ คล้ายกับตามชนบทจากทั่วของโลก หมู่บ้านแบบนี้ไม่มีเงินทุนพอจะสร้างระบบประปาเหมือนในเมืองจึงต้องใช้อาศัยจากธรรมชาติเสียแทน

เขา อีกครั้ง ปีนกำแพงกลับสู่ภายนอกของฟาเควล์ พร้อมเป้าหมายหาทางเข้าสู่ถ้ำ

 

ถูกต้อนรับโดยม้าของเขา โครว์ล้วงหยิบในกระเป๋าบนอานม้าและที่หยิบขึ้นมาคือทุ่นระเบิดเพลิง มันค่อนข้างเล็กในรูปแบนกลมเหมือนจานหรือฝาของกาน้ำชาและมีแค่หกลูก เขาเอาพกกับตัวไปหมด ก่อนจะเดินตามรอยเมือกบนพื้นเข้าไปในป่า ตามลำธารเดียวกันกับที่ตัวเขาเคยไล่ล่า ตรงริมน้ำ บังหลบอย่างดีใต้พุ่มไม้ มันคือปากเหวที่มืดและเปียกแฉะ มันมีคราบเมือกอยู่ตามต่อมขรุของหินเซาะ ‘พวกมันอาจใช้ทางนี้เข้าออกด้วยเช่นกัน’ มันยากจะบอกอายุของเมือกที่เปียกโดยน้ำ อย่างไรก็ตาม รูปากของมันนี้มีขนาดคับและลาดชัน โครว์หย่อนระเบิดแสงทำจากสารเคมี เรียกว่า สตาร์ไลท์ ลงไป สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการคือสไลด์ตัวลงไปขาหักหรือร่วงตกกลางดงของพวกเวลลิ่ง

แสงเล็ก ๆ ในลูกแก้วกลม ๆ ไหลกลิ้งลงตามทางกระทบกับก้นพื้นของที่เขามั่นใจว่าคือถ้ำ ประกายแสงขาวสว่างระเบิดกระจายออก เผยให้เห็นพื้นส่วนล่างของถ้ำอย่างชัดแจ้ง เขาควรจะรีบ แสงของสตาร์ไลท์จะคงสว่างในพื้นที่ได้แค่เพียง 6 วินาที เมื่อเห็นว่าไม่มีอันตรายใด ๆ โครว์ไถลตัวลงตามทางเนิน ดิ่งลึกลงไปในถ้ำปริศนา

สะโพกของเขากระแทกกับพื้น ไม่เจ็บอะไรมาก เขาจุดตะเกียงไฟแบบคาดเอวที่เซราน่าได้ทิ้งให้ไว้แล้วพยูงตัวขึ้น สำรวจรอบ ๆ เขาสังเกตรอยเท้าและคราบเมือกเก่า ๆ ของเวลลิ่งเดินลึกเข้าไปในถ้ำ แต่ก่อนที่แสงจากสตาร์ไลท์จะดับหายไปนั้น เขาหันเงยกลับขึ้นไปมองดูรูปากของถ้ำที่เขาได้ไถลตกลงมา มันทั้งลื่นและชัน จะลำบากสำหรับเขาตอนขากลับเมื่อต้องปีนมันขึ้นไป แต่ก่อนอื่น เขายังต้องหารังเต็มด้วยอสูรโสโครก...

 

...นบทเพลงของธรรมชาติ ลูกน้ำกลิ่งตลบหยดจากหินย้อย ดิ่งลงมาตามอำนาจของแรงโน้มถ่วง เสียงของมันกระทบตบกับผื่นน้ำที่ท่วมภายในขุมลึกของถ้ำแผ่ขยายไปตามทางอุโมงค์เหมือนลำไส้ และยิ่งลึกที่เขาบุกย่างก้าวไป… ระดับน้ำก็ยิ่งสูงเหนืออก มันสามารถบอกได้จากราและพรรณไม้น้ำชนิดต่าง ๆ ที่เจริญเติบโตไปทั่วรอบของถ้ำว่าที่แห่งนี้นั้นได้จมอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี มันเป็นน้ำใต้ดินที่หลั่งทับสมกันมาจากข้างบน จะลำธาร จะสายฝน ลึกใต้ถ้ำแห่งนี้เปรียบเสมือนโอ่งธรรมชาติขนาดยักษ์ที่ทำการรองรับกักเก็บพวกมันเอาไว้  

น้ำขุ่น ๆ เรืองกระพือแสงผลิตจากการสังเคราะห์ของต้นสาหร่ายใต้น้ำและเห็ดราจับเกาะตามผนัง โชว์แสงเด็ดเด่นของพวกมันในฟ้าสดใสกับแดงอมชมพู ณ เมื่อจับปรากฎไฟที่ฉายส่องจากตะเกียงของเขา

 

โครว์บากบั่นผ่านช่วงตื้นของถ้ำ ‘มันไม่เคยมีงานไหนที่ง่าย ๆ เหมือนพบกับอสูร ฆ่ามันแล้วเก็บตังค์เลย’ เขาบ่นในใจ มือชูตะเกียงขึ้นเหนือผิวน้ำ แต่ละเท้าย้ำไปหาอีกฝั่งอย่างช้า ๆ แทบทั้งตัวของเขาเปียกโชกน้ำที่มีกลิ่นเหมือนกับดินทรายในฤดูฝน  เขาตามหาจุดในถ้ำที่ไร้ซึ่งแสงสว่างและเต็มด้วยความมืดสงัด มันเป็นจุดที่พวกเวลลิ่งเลือกจะทำรังมัน จุกกันตรงในความมืดใกล้ผิวของผื่นน้ำ พอพ้นจากช่วงตื้น โครว์ปีนแท่นโขดหินที่สูงกว่าระดับของน้ำเล็กน้อย เขาก้มคลานไปในรูที่ได้เผยปรากฏบนผนังโดยแสงจากตะเกียง มันมีอีกหลายรูนำและทั้งหมดเลอะเทอะในคราบเมือกของเวลลิ่งเช่นเดียวกันกับนำพาเขาสู่อีกฟาก มันคือที่แห่งความมืดดับ

เอาศอกทั้งสองนำพาตัวเข้าไป ผ่านรูใหญ่ที่สุด หรืออย่างน้อย พอจะไม่ให้อาวุธที่เขาสะพายมาติดขัด อย่างเงียบ ๆ โครว์ลุกยืนขึ้นปัดฝุ่นออกจากกางเกงของเขา ‘คงมีข้ออ้างให้ไปเยี่ยมโรงอาบน้ำแล้วหล่ะ’ เขาสามารถจินตนาการมันได้ในขณะนั้น อาบในน้ำร้อนผสมสมุนไพร สาว ๆ ค่อยขัดถูตัวเขา และบางทีซักล้างคราบเปื้อนสกปรกบนเสื้อผ้านี้ของเขาไปด้วย แต่เขาตักเตือนตัวเองว่ายังห่างไกลจากจุดหมายนั้น

แลอยู่ตรงหน้าเขา กองศพเน่าอวบม่วง เรียงกันเป็นแนวตามขอบผนัง บนผิวของแต่ละศพมีตุ่มเม็ดขาวใสพองโตออกมา บุบ พอง บุบ พอง เหล่าเวลลิ่งน้อยในขนาดของลูกนกกำลังหายใจเข้าออกอยู่ในไข่ ‘หืมมม พวกมันใกล้จะฟัก...’ เขาไม่กังวล เวลลิ่งในวัยเยาว์จะยุ่งกินศพที่ใช้วางไข่อยู่ในระยะแรก แต่ที่เขาควรระมัดระวังจริง ๆ แล้ว… ในพื้นที่แคบ ๆ โครว์แหงนหน้ามองข้างบนฝ้าเพดาน หยดน้ำหนืดเหนี่ยวแตะกับหัวไหล่ของเขา มันมาจากลิ้นของเวลลิ่ง ราว ๆ 30 หรือ 40 กว่าตัวซ่อนอยู่ในเงามืด พวกมันเกาะกลมเกลียวกันนอนหลับอยู่บนเพดาน เขาไม่แปลกใจเลย พวกมันรู้จักขนานดีในฐานะนักปีนไต่ แต่เขาควรจะรีบเร่งวางระเบิดไว้ เพราะหากเขาคาดเวลาถูก เขาจะไม่มีเวลาพอก่อนถึงเย็น ก่อนที่พวกมันจะตื่นขึ้นมาหาอาหารรับประทาน

 

ไม่ว่ามันมากหรือน้อยไป โครว์พ้วงสายประจุระเบิดเพลิงกับลูกระเบิดมือที่เขาพกมาทั้งหมด ใช่ว่าเขาระเบิดรังของอสูรอย่างนี้ทุกวัน เขาค่อย ๆ จัดวางมันตามกองศพ เหยียบวางแต่ละก้าวของเขาให้แทบไร้ซึ่งเสียง และเมื่อสำเร็จ เขาจึงเริ่มมองหาจุดที่ปลอดภัยพอจะใช้หลบระหว่างอบย่างรังของเวลลิ่งโสโครกนี้ในไฟนรก เขาตัดสินใจจะเดินลึกเข้าไปหน่อย ในทางอุโมงค์ที่ขอบของหินจากขรุขระกลายเป็นฉาบนวลของฝีมือช่าง มันขูดและทำด้วยมือคน ดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านได้ทำการเชื่อมอุโมงค์และขุดแนวน้ำให้มาทางบ่อ เขาสามารถเห็นแผ่นไม้เดียวกันกับที่ได้ตอกปิดฝาบ่อผ่านช่องสี่เหลี่ยมของกรงประตูเหล็กสึกกร่อนในสนิม แม่กุญแจของมันพังยับเยิน ‘ไม่น่าหล่ะ… พวกมันทำรังในถ้ำก่อนจะพังประตูและไต่ขึ้นบ่อน้ำ’ มันจะสมเหตุสมผล พวกชาวบ้านไม่ได้เตรียมพร้อมอะไรเลย ฝูงของเวลลิ่งต้องจู่ ๆ ปีนขึ้นมาโจมตีทั้งหมู่บ้านในตอนดึก ‘ถ้าพวกชาวบ้านรู้จักรอบคอบและตรวจตาในบ่อน้ำสักหน่อย…’ -นี่มันก็คงจะไม่เกิดขึ้น

ปลดแม่กุญแจชำรุดนั้นออกจากประตูแล้ววางมันอย่างเบาที่สุดบนนูนขอบของพื้น เขาค่อย ๆ พลักบานประตูช่างชำรุดนั้นออกให้ไร้เสียงเท่าที่เป็นไปได้ แต่บานประตูก็ ทันที ล้มลงกับพื้น... เสียงของมันเหมือนกับกลองดังปัง ส่งต่อไปตามอุโมงค์ ทั่วทั้งถ้ำ… และเมื่อเสียงนั้นได้จบลง มันตามต่อมาด้วยแผดห้อนครวญครางจากฝูงของเวลลิ่งกว่าร้อยตัว… จ้องจิตสงบไปยังความมืดข้างหลัง โครว์ยังต้องกลับไปจุดชนวนระเบิดอีก...



 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา