ปริศนาราณี

5.8

เขียนโดย Richa

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 15.17 น.

  14 ตอน
  1 วิจารณ์
  14.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 เมษายน พ.ศ. 2561 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) อารียา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
เสียงกล่าวต้อนรับด้วยภาษาพื้นเมืองดังขึ้นเมื่อผู้โดยสารคนแรกก้าวเท้าเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินขนาดเล็กกะทัดรัดในจังหวัดเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ติดชายแดนไทย - ลาว แม้จะจัดเป็นสนามบินขนาดเล็กแต่ถ้าเทียบผู้มาใช้บริการแล้วก็ดูไม่แออัดนัก ส่วนมากจะเป็นคนท้องถิ่นที่มีฐานะทางการเงินมากพอสมควรและต้องการเดินทางไปทำธุรกิจหรือธุระส่วนตัวที่กรุงเทพฯ กับอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายคือเหล่านักท่องเที่ยว
“ไอริช”  เสียงตะโกนก้องพร้อมกับโบกมือไปมาจากชายชราวัยหกสิบกว่าผู้มีรูปร่างผอมแกร็น ผมสั้นเกรียน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยมราคาถูกยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ยังประตูทางออกของผู้โดยสารขาเข้า
ชายชราดูตื่นเต้นดีใจกว่าญาติผู้โดยสารคนอื่น ๆ ที่มายืนรอต้อนรับนักเดินทางผู้มาจากกรุงเทพฯทางเครื่องบินโดยสาร เขามายืนรออยู่ตรงนี้ตั้งแต่ผู้คนยังออกันอยู่เต็มประตูทางออก จนบัดนี้ผู้คนเริ่มบางตาเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนรออยู่อย่างมีความหวัง
หญิงสาวผู้ถูกเรียกหาเพิ่งเดินตรงออกมาจากห้องรับรองผู้โดยสารขาเข้า เธอช่างดูแตกต่างจากชาวพื้นเมืองทั่วไปด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง ผิวกายสีน้ำผึ้งละเอียดละมุนละไม ผมยาวสีดำสนิทมัดเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง
หญิงสาวสวมแว่นกันแดดเลนส์สีดำสนิทและเธอยังใส่ชุดสีดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่มีน้ำหนักราว 25 - 30 กิโลกรัมออกมาเป็นคนสุดท้ายของผู้โดยสารในเที่ยวบินนี้ เธอไม่ต้องคอยมองหาผู้มารับเพราะเวลานี้เหลือชายชราพื้นเมืองยืนโบกไม้โบกมืออยู่เพียงผู้เดียว
หญิงสาวเดินตรงดิ่งเข้ามาอย่างไม่ลังเลและหยุดอยู่ตรงหน้าชายชราที่มีสภาพไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป เธอยกมือไหว้แบบไทย ๆ ให้กับชายสูงวัยผู้นั้นได้อย่างสวยงามมันช่างขัดแย้งกับใบหน้าที่มีความเป็นไทยหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เธอคือหญิงงามผู้มีส่วนผสมผสานระหว่างรูปหน้าแบบไทยอีสานและตะวันตกได้อย่างลงตัว มันคือใบหน้าที่สวยงามอย่างมีรสนิยมที่ผสมกลมกลืนทั้งแบบตะวันตกและตะวันออกได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“คุณตามารอไอร์นานแล้วหรือยังคะ” หญิงสาวพูดกับชายชราด้วยภาษาไทยที่ไม่ชัดเจนนัก 
“ไม่นานหรอกลูก แค่ 4-5 ชั่วโมงเอง หนูไอริชเหนื่อยมั้ย? นั่งเครื่องมาจากอังกฤษแล้วยังต้องต่อเครื่องมาลงที่จังหวัดเราอีก หิวมั้ย? หาอะไรกินให้อิ่มท้องก่อนมั้ย? เดี๋ยวตาค่อยพาหนูไอริชกลับบ้านเรา” ชายชราผู้ถูกเรียกว่าคุณตา พูดด้วยภาษาไทยสำเนียงชาวพื้นเมืองอย่างประหม่า
สิบสองปีแล้วที่ชายชราไม่ได้พบเจอหน้าหลานสาวคนสวยที่ยืนหน้าตาเศร้าหมองอยู่ตรงหน้า ครั้งสุดท้ายที่เขาเจอเธอ หญิงสาวยังเป็นเด็กน้อยวัยสิบขวบ มารอบนี้เธอโตเป็นสาวเต็มตัวจนผู้เป็นตาแทบจะจำหน้าหลานตัวเองไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะรูปถ่ายโปสการ์ดในมือที่ถืออยู่ คุณตาคงไม่รู้ว่าหลานสาวของตัวหน้าตาเป็นเช่นไร 
“ไอร์ไม่หิวค่ะ ไอร์กินมาจากบนเครื่องแล้ว ไอร์อยากพาแม่กลับบ้าน” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนผู้เป็นตาแทบจะฟังสำเนียงของเธอไม่ออก ในมือของเธอถือกล่องสี่เหลี่ยมกล่องหนึ่ง มันคือกล่องที่มีคุณค่าทางจิตใจของเธอมากที่สุด 
น้ำตาเริ่มรินไหลลงมาอาบแก้มของสาวสวยวัยยี่สิบสองปี เธอเพิ่งจะเรียนจบปริญญาตรีภาควิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์แห่งประเทศอังกฤษ หลังจากเรียนจบมาได้ด้วยความยากลำบาก เธอจึงให้รางวัลชีวิตกับตัวเองโดยการออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกมุมโลกเพียงลำพังเหมือนเช่นเด็กฝรั่งหรือเด็กไทยสมัยใหม่ทั่วไปปฏิบัติ
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น “ไอริช กลับอังกฤษด่วน คุณแม่ของหนูเสียแล้ว” นี่คือประโยคที่พ่อชาวอังกฤษกล่าวกับเธอขณะที่เธอกำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ที่รัฐแอริโซนาประเทศสหรัฐอเมริกา เธอต้องเดินทางกลับอังกฤษทันทีทั้งที่เพิ่งออกเดินทางท่องเที่ยวไปได้เพียงแค่ 3 สัปดาห์
มารดาชาวไทยของอารียาเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาที่บ้านของตนเอง ระหว่างที่บิดาชาวอังกฤษของเธอออกไปทำงานเหมือนเช่นทุกวัน ตกเย็นกลับมาถึงบ้านก็พบว่ามารดาของเธอนอนตายในห้องน้ำด้วยร่างกายเปล่าเปลือยแต่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ใด ๆ ศพถูกแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ ตำรวจสันนิษฐานว่านี่คือการฆ่าตัวตาย แต่อารียาและบิดาของเธอไม่เชื่อ ไม่มีเหตุผลอะไรที่มารดาของเธอจะทำเช่นนั้น
ชายชราพยายามยื้อแย่งกระเป๋าใบโตจากหลานสาวได้สำเร็จ เขาลากมันออกไปยังลานจอดรถด้านนอกอย่างคล่องแคล่วและว่องไวเกินกว่าจะเป็นชายวัยชรา รถกระบะคันเก่าที่เกือบจะพังและแทบจะแยกไม่ออกว่าก่อนหน้านี้มันเคยเป็นสีอะไรจอดรออยู่ตรงหน้า ชายชราพยายามจะยกกระเป๋าที่มีน้ำหนักราว 25 -30 กิโลกรัมขึ้นไปบนกระบะท้ายรถ แต่ด้วยวัยที่ชราอย่างเขามันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด กระเป๋ามันหนักเกินไปสำหรับชายวัยหกสิบกว่า อารียาจึงตรงเข้าไปช่วยเหลือและกระเป๋าใบโตของเธอก็ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ท้ายกระบะคันเก่าอย่างทุลักทุเล
“คุณตาแน่ใจนะคะ ว่ากระป๋องคันนี้มันยังวิ่งได้” อารียาเอ่ยถามชายชราเมื่อเธอสังเกตเห็นสภาพรถกระบะที่จอดอยู่เบื้องหน้ามันเก่าจนไม่น่าจะรับอนุญาตให้ออกมาโลดแล่นบนท้องถนนได้อีกแล้ว
“กระป๋องที่ไหนกันล่ะลูก อันนี้ ... ภาษาไทยเขาเรียกว่ากระบะ ไม่ใช่กระป๋อง” คุณตาตอบโต้หลานสาวอย่างอารมณ์ดีโดยไม่เข้าใจว่าที่หลานสาวเธอเรียกกระป๋องนั้นเป็นมุขตลกของผู้เป็นหลาน
“มันยังวิ่งได้ใช่มั้ยคะ” หลานสาวเลิกคิ้วขึ้นถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ
“ได้ซิ ถึงมันจะเก่าไปหน่อย แต่มันก็ยังไหวนะ เหมือนตาไง แก่แต่กาย แต่ใจยังวัยซารุ่น” ชายชรายิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี เขามักเป็นคนอารมณ์ดีเช่นนี้เสมอและวันนี้การได้พบเจอหลานสาวผู้เป็นสายเลือดของเขาเองยิ่งสร้างอารมณ์เบิกบานสำราญใจมากขึ้นไปอีก 
อารียาเปิดประตูรถคันเก่าเพื่อจะก้าวเข้าไปนั่ง แต่แล้วเธอก็ถูกผู้เป็นตาแทรกตัวเบียดเข้าไปขวางไว้ และบรรจงถอดเสื้อเชิ้ตลายสก๊อตที่สวมใส่อยู่มาเช็ด ๆ ถู ๆ ตรงเบาะที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นก็ถอยออกมาพร้อมกับเปิดประตูรถกระบะให้อ้ากว้างมากขึ้น
“โอ้ว ... คุณตาขา ขอบคุณมากค่ะ คุณตาไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้ ไอร์ไม่รังเกียจรถคันเก่า ๆ ของคุณตาเลย” อารียาส่งสายตาที่ปลาบปลื้มใจมายังผู้เป็นตาและกล่าวคำขอบคุณเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงไทยที่ชัดเจนเหมือนคำนี้มันพูดง่ายสำหรับเธอหรือเธอคงถูกสอนให้กล่าวขอบคุณจนชินปาก
รถกระบะคันเก่าที่อารียาเรียกมันว่ากระป๋องแล่นออกไปจากสนามบินในตัวเมืองตรงดิ่งสู่อำเภอเล็ก ๆ ที่มารดาของเธอถือกำเนิดมา รถขับผ่านตัวเมืองเล็ก ๆ ที่มีบ้านเรือนแหล่งพักอาศัยอยู่ประปราย หมู่บ้าน ชุมชน ไร่ข้าวโพด และป่าเขาตลอดสองข้างทาง ถนนหนทางที่ลาดยางนั้นลดเลี้ยวเคี้ยวลดเหมือนการเลื้อยของงู เส้นทางนั้นขึ้นลงเขาบ้างเล็กน้อย แต่รถกระบะคันเก่าที่เกือบจะกลายเป็นเศษเหล็กคันนี้ก็ยังโลดแล่นไปได้เป็นอย่างดี
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ ว่ากระป๋องคันนี้จะวิ่งได้จริง ๆ  มันอายุเท่าไหร่แล้วเหรอคะ” อารียาเอ่ยถามหลังจากที่เธอนั่งนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน เธอไม่ได้พูดคุยอะไรกับผู้เป็นตาเลยตลอดเส้นทางเกือบครึ่งชั่วโมงที่นั่งรถมาด้วยกัน เธอเอาแต่เหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างรถอย่างเหม่อลอย 
สิบสองปีที่แล้ว ถนนหนทางยังไม่ลาดยางอย่างดีเหมือนเช่นทุกวันนี้ สองข้างทางมีแต่ป่าเขารกร้าง สนามบินยังไม่เปิดให้บริการพาณิชย์กับผู้คนทั่วไป มันถูกสร้างมาเพื่อใช้ทางการทหารเท่านั้นแต่ด้วยปัจจุบันจังหวัดเล็ก ๆ ติดชายแดนแห่งนี้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงอันดับต้น ๆ ของประเทศไทยไปเสียแล้ว ความเจริญต่าง ๆ จึงตามมา
“ได้ดีซิ ไก่โต้งเขาคอยดูแลรถให้ตาน่ะ เครื่องยนต์มีปัญหา โน่นนี่นั่น ไก่โต้งเขาดูแลให้หมดเลย” ผู้เป็นตาพูดพลางยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดีเหมือนเช่นเคย
“ไก่โต้ง? คุณตาหมายถึงอภิวัฒน์? เด็กน้อยขี้แยข้างบ้านคุณตาคนนั้นนะเหรอคะ” อารียายังจำภาพของเด็กชายข้างบ้านที่ชอบมาเล่นกับเธอทุกครั้งในช่วงเวลาที่เธอเดินทางกลับมาประเทศไทยได้ดี
แม้อารียาจะเกิดที่อังกฤษแต่ในทุก ๆ ปีเธอจะต้องเดินทางกลับมาประเทศไทยพร้อมกับบิดาและมารดาเพื่อเยี่ยมเยือนคุณตาและคุณยาย ไก่โต้งผู้นี้แหละที่คอยวิ่งเล่นเป็นเพื่อนของเธอชนิดเป็นเงาตามตัว จนกระทั่งเกิดเหตุระทึกขวัญที่ทำให้เธอและมารดาถูกสั่งห้ามจากบิดาไม่ให้เดินทางกลับมาประเทศไทยอีก
“ใช่ เขาจบปริญญาตรีและสอบครูได้ เลยกลับมาเป็นครูสอนพละและประวัติศาสตร์ที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ” ชายวัยหกสิบกว่าตอบอย่างภาคภูมิใจแทนบิดาของเด็กชายข้างบ้าน
“ไก่โต้ง เขาโตขึ้นมากเลยนะ เรียกกว่าหล่อขั้นเทพเลยล่ะ ไม่อ่อนปวกเปียกและขี้แยเหมือนเมื่อก่อนแล้วนา” ชายชรากล่าวเสริมพลางหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีเช่นเคย
อารียาเพียงแค่ส่งยิ้มเศร้า ๆ กลับไปให้ผู้เป็นตา ภาพของไก่โต้งสำหรับเธอยังคงเป็นเด็กชายขี้แยตัวเล็ก ๆ ที่โดนเพื่อนข้างบ้านอีกคนกลั่นแกล้งและมักร้องไห้วิ่งไปฟ้องพ่อทุกครั้ง อารียาซึ่งเป็นเด็กลูกครึ่งตัวโตสูงใหญ่กว่าเด็กผู้ชายในวัยเดียวกันจึงต้องคอยเข้าไปช่วยเหลือ เธอนึกภาพไม่ออกว่าไก่โต้งคนนั้นจะเติบโตไปเป็นชายอกสามศอกได้อย่างไรกัน
รถกระบะคันเก่าขับมาเรื่อยอย่างไม่จอดแวะและตอนนี้ก็กำลังขับผ่านถนนที่มองเห็นวิวแม่น้ำโขงอย่างชัดเจน อารียารู้สึกเหมือนเธอได้ยินเสียงร้องต้อนรับการกลับมาของเธอดังแว่วมาจากสายน้ำแห่งนั้น สายน้ำอันกว้างใหญ่และไหลนิ่งอย่างลึกลับ
อารียาเหม่อมองออกไปสู่แม่น้ำที่อยู่ด้านซ้ายมือของเธอ หญิงสาวไม่ต้องลดกระจกรถลงเลยเพราะรถคันเก่าของคุณตามันเก่าจนไม่มีกระจกกั้นแล้ว อารียาวางแขนทาบลงไปที่หน้าต่างรถยนต์แล้ววางคอตามลงไปอย่างสบายอารมณ์ หญิงสาวทอดอารมณ์ไปกับวิวแม่น้ำอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ผู้เป็นตาชำเลืองมองและลดความเร็วรถลงเพื่อเอาใจหลานสาว
อารียารู้สึกเหมือนเธอได้กลับมาบ้าน ... บ้านที่แท้จริงที่เสียงจากหัวใจของเธอร่ำเรียกหา บ้านหลังนี้ซินะที่มารดาของเธอได้สั่งเสียเอาไว้ในจดหมายลาตาย ... ให้เธอกลับมาเมื่อร่างกายของผู้เป็นมารดาเหลือเพียงเถ้าถ่านและวันนี้เธอก็กลับมาเพื่อนำเอาอัฐิและเถ้าถ่านของมารดามาลอยอังคารยังแม่น้ำโขง
รถกระบะคันเก่าจอดสนิทอย่างนิ่งเงียบหน้าบ้านหลังเล็กริมแม่น้ำโขง บ้านไม้เก่า ๆ ดูคลาสสิค ตัวบ้านถูกยกสูงจากพื้นเหมือนบ้านทรงไทยโบราณทั่วไป และที่สำคัญมันมีกลิ่นอายของความอบอุ่นและมัน อ้าแขนต้อนรับเธอ
อารียาเปิดประตูรถออกไปอย่างเชื่องช้า สายตาของเธอเหม่อมองไปยังบ้านไม้หลังเก่าที่เธอเคยมาพักอาศัยสมัยวัยเยาว์ แต่แล้วร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งก็เดินตรงดิ่งเข้ามาบังวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างท้าทาย ชายหนุ่มอายุราว 21 -22 ปี ผิวสีเข้มเกลี้ยงเกลา ส่วนสูงราว 180 เซนติเมตร คิ้วเข้มดกดำ ริมฝีปากเป็นกระจับ จมูกโด่งเป็นสันต่างจากคนท้องถิ่นทั่วไป
 “ยินดีต้อนรับกลับสู่ประเทศไทย” ใบหน้าหล่อเหลานั้นส่งยิ้มมาให้อารียาอย่างยินดีปรีดา
“คุณคงเป็นอภิวัฒน์?” อารียาเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก ใบหน้าคมเข้มของเขานั้นช่างดูคุ้นเคยนัก และเขาก็ดูสูงกว่าเธอ แข็งแรงกว่า เด็กน้อยขี้แยคนนั้น ณ ปัจจุบันได้เติบโตเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เต็มพิกัด ซ้ำยังร่าเริงสดใส
“ใช่ ให้ผมช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปบนบ้านนะ” ชายผู้กำลังยืนบังวิวทิวทัศน์เสนอตัว
ชายหนุ่มกระโดดขึ้นไปบนท้ายรถกระบะอย่างแม่นยำ ความแข็งแรงของร่างกายวัยหนุ่มนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อหญิงสาวเหลือบตาไปเห็นมัดกล้ามเนื้อทะลุออกมาจากแขนเสื้อยืดที่เขาสวมใส่อยู่ เขายกกระเป๋าขึ้นไปบนบ้านได้อย่างง่ายดาย แม้บันไดไม้เก่า ๆ นั้นจะชันพอสมควร 
“ห้องนี้ล่ะ ห้องนอนของไอริช” ชายหนุ่มเปิดประตูออกและวางกระเป๋าใบใหญ่ของอารียาไว้ด้านในอย่างรู้ทิศทาง
“ขอบใจนะอภิวัฒน์ที่อุตส่าห์ยกกระเป๋าขึ้นมาให้” อารียากล่าวขอบคุณพลางส่งยิ้มให้ชายหนุ่มผู้มีน้ำใจ
“ไม่เป็นไรหรอก เล็กน้อยนะ มีอะไรให้ผมช่วยก็เรียกได้ตลอดนะ บ้านผมอยู่ข้าง ๆ ติดกับบ้านตาบังอาจนี่เอง” ชายหนุ่มผู้มีน้ำใจส่งยิ้มอย่างเขินอายไปให้หญิงสาวสวยราวนางฟ้านางสวรรค์ “อีกอย่าง เรียกผมว่าไก่โต้งเถอะ ดูสนิทสนมกว่าเยอะเลย ... แต่ไอริช จำผมได้ด้วยเหรอ นึกว่าจะลืมผมไปเสียแล้ว ไม่ได้เจอกันตั้งสิบสองปี”
“จำได้ซิ ... ไอร์ไม่เคยลืมไก่โต้งเด็กชายขี้แยคนนั้นเลย” อารียาส่งยิ้มน้อย ๆ อย่างหยอกเย้าไปให้กับชายหนุ่มผู้ยืนเขินอายอยู่ตรงหน้า “แต่วันนี้ไอร์กลับเห็นผู้ชายอีกคนที่ดูแข็งแรง เก่งกาจ และท่าทางจะไม่ยอมเสียน้ำตาให้ใครง่าย ๆ แน่”
ผู้ถูกพูดถึงส่งยิ้มอย่างเขินอายไปให้ ใบหน้าคมเข้มนั้นจ้องมองใบหน้างามแบบล้ำสมัยนั้นอย่างไม่วางตา อารียาเติบใหญ่เป็นสาวเต็มตัวแต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยนั่นคือความสวยงามที่ชัดเจนมาตั้งแต่วันเด็ก “แต่เราจำไอริชเกือบไม่ได้ ถ้าไม่นั่งรถมากับตาบังอาจ เราคงไม่คิดว่าเป็นไอริชแน่ ๆ สวยอินเตอร์มาก”
“ก็เพิ่งอิมพอร์ตเข้ามา สด ๆ ร้อน ๆ เดี๋ยวกินข้าวเหนียวมาก ๆ กินส้มตำปลาร้าบ่อย ๆ ดั้งคงจะหดหาย หน้าก็จะบานออก แล้วก็จะเหมือนคนไทยมากขึ้น” หญิงสาวผู้เพิ่งถูกชมว่าสวยอินเตอร์พูดเสริมพร้อมกับส่งยิ้มให้เพื่อนชายข้างบ้านอย่างสนิทสนม ชายหนุ่มหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี
“ให้ผมช่วยจัดกระเป๋าด้วยมั้ย ตู้เสื้อผ้าอยู่ตรงนี้ ผมเพิ่งซ่อมให้ นี่โต๊ะเครื่องแป้ง และโต๊ะหนังสือ” ชายหนุ่มแนะนำอุปกรณ์เครื่องใช้ ๆ ต่าง ๆ ในห้องราวกับเป็นห้องของตน ข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้มันคือของเก่าที่เขานำมันมาประยุกต์และดัดแปลงใหม่ให้ใช้งานได้ดีเหมือนเดิมเพื่อต้อนรับหญิงสาวผู้ที่เขาไม่เคยลืมเลือน
“ไม่ต้องหรอก ทิ้งไว้ตรงนี้ล่ะ ไอร์อยากอาบน้ำ เหนียวตัวมาก”
อารียาทิ้งกระเป๋าสัมภาระไว้ในห้องอย่างไม่ไยดี อากาศในเมืองไทยร้อนเกินไปสำหรับเธอ ร่างกายของเธอต้องการความเย็นช่ำเป็นการด่วน หญิงสาวจึงถือโอกาสจังหวะที่คุณตาของเธอวุ่นวายอยู่กับการออกไปหาซื้ออาหารเย็นสำหรับหลานสาวดอดออกไปว่ายน้ำเล่นที่แม่น้ำโขง
อารียา ... หญิงสาวจากแดนไกลหารู้ไม่ว่ามันมีความลี้ลับซ่อนกายอยู่ใต้ผืนน้ำแห่งนั้น 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา