The Slaying Shadow
7.0
เขียนโดย AiPie
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.19 น.
7 บท
0 วิจารณ์
8,611 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ ๔ อันตรายจากรากสำแลง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๔
อันตรายจากรากสำแลง
“สะไบ!”
ราธีรี่ตรงเข้าไปหาผู้ตาย เขานั่งลงข้างๆ หล่อน มองสภาพน่าอนาถด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง สองมือเริ่มเขย่าตัวผู้เสียชีวิตพร้อมกับพร่ำเรียกชื่อวนหลายรอบอย่างมีความหวัง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก แต่ถึงกระนั้น หนุ่มรูปงามก็ยังไม่ลุกไปไหน เขานั่งตรงนั้นอยู่นานสองนาน มือไม้สั่นระริกอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก จนเมื่อเริ่มทำใจได้แล้ว จึงเอื้อมมือไปปิดตาอดีตว่าที่ภรรยาลง หวังเพียงให้หล่อนไปสู่สุคติโดยไม่ทิ้งความกังวลใดไว้บนโลกนี้อีก
“เกิดอะไรขึ้น!”
หญิงสาววัยประมาณสี่สิบพร้อมกับลูกสาวคนรองแหวกม่านเข้ามา เมื่อเห็นร่างที่นอนไม่ไหวติงของลูกสาวคนโตก็แทบจะลงไปกองอยู่กับพื้น ส่วนคนเป็นน้องป้องปากมองสภาพของพี่สาวอย่างหวาดผวา ก่อนจะเข้าไปกอดร่างแม่เอาไว้แน่น
“อย่างน้อยนางก็ไปดีแล้ว” เป็นคำปลอบใจที่ดีที่สุดที่คิดได้ในสถานการณ์เลวร้ายนี้ เธอค่อยๆ พยุงตัวหญิงวัยสี่สิบออกไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว เพราะเกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้จะยิ่งบั่นทอนจิตใจ
“ราธีสินะ” น้องสาวเพียงคนเดียวของสะไบเอ่ยเรียก สีหน้าของหล่อนดูแย่พอๆ กับพี่สาวตอนยังมีชีวิต “ข้ารู้มาว่าสะไบเชื่อใจเจ้ามาก ยังไงก็ฝากด้วย อย่าปล่อยให้การจากไปของพี่สาวข้าเสียเปล่า เจ้าต้องหาคนร้ายให้ได้”
แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังนั้น ทำให้ราธีไม่อาจปฏิเสธ เขาพยักหน้ารับเล็กน้อย “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าหล่อนจึงพาคนเป็นแม่เดินออกไป ราธีมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา ที่ไม่อาจช่วยชีวิตสะไบไว้ได้ทัน
“ทุกคน อยู่ในความสงบ!” เสียงประกาศเป็นของเด็กหนุ่มผมทองที่ดูจะควบคุมสติได้ก่อนใครเพื่อน “อย่าได้คิดจะก้าวเท้าออกจากงานจนกว่าเราจะแน่ใจว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยของคดีนี้”
เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงแสดงความตกใจของบรรดาแขกเหรื่อ หลายคนพยายามเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถูกกันท่าไว้โดยหนุ่มตาชั้นเดียว จึงไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้สักคน ราธีรีบปิดม่านทันควัน เพราะเขาไม่คิดว่าสะไบจะอยากให้ใครเห็นเธอในสภาพนี้อย่างแน่นอน
ทั้งที่เป็นวันที่ควรจะสวยที่สุดในชีวิต แต่มันกลายเป็นวันที่หล่อนดูแย่ที่สุด...
“ใครก็ได้ไปตามร้อยเปียมาที”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันยุ่ง ทำไมชื่ออัปมงคลถึงถูกขานเรียกในงานมงคลแห่งนี้
“ร้อยเปียไหนกัน” แขกคนหนึ่งถามขึ้นแทน ราธีหันไปหาผู้ที่ช่วยคุมสถานการณ์ รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ทั่วทั้งพุฒภารา คงมีไม่กี่ร้อยเปียที่ช่วยเราได้ในสถานการณ์แบบนี้หรอกน่า” มะแมทำเสียงเบื่อหน่าย “นักสืบสาวผู้ถักผมเปียไว้เสมอนั่นไงล่ะ”
“นางไม่ได้ถูกเชิญมางานนี้” หนุ่มรูปงามแทรกขึ้นแทบจะในทันที
“เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้ายังเห็นนางอยู่เลย” อีกฝ่ายแย้งอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ให้ข้านั่งยัน นอนยัน ตีลังกายันก็ยังได้”
“ให้ยันสักทีด้วยดีไหมล่ะ”
และแล้วหญิงสาวที่ทุกคนกำลังพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้น ร้อยเปียยืนเท้าสะเอวอยู่ด้านหลังฝูงชน หมวกใบเดิมที่เคยใส่ไว้บนหัว บัดนี้มันอยู่ในมือข้างหนึ่งแทน นักสืบสาวหมุนมันเล่นด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับเดินไปด้านหน้า ผู้คนที่ขวางทางอยู่รีบเบี่ยงตัวออกโดยอัตโนมัติเมื่อรับรู้ถึงการมาของผู้มีอำนาจ
อาจจะไม่ใช่อำนาจจากยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่เป็นอำนาจจากความนับถือ
รูม่านตาคู่สวยขยายออกกว้างเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำของอริ และถึงแม้มุมปากจะยังคงโค้งขึ้นเหมือนยิ้มให้ แต่เธอรับรู้ได้ถึงรังสีความเกลียดชังที่แผ่ซ่านออกมาถึงตัวเธอ
“ฮ่า! นี่ไงล่ะ ข้าก็ว่าอยู่ว่าไม่ได้ตาฝาดไป” มะแมดีดนิ้วดังเปราะเมื่อคนที่ตนพูดถึงเมื่อครู่มายืนอยู่ตรงหน้าเสียที เด็กหนุ่มหันมากระซิบกระซาบกับร้อยเปีย “แต่เรื่องยันน่ะ ขอไม่รับไว้แล้วกัน พอดีคนที่อยากจะยันข้ามันมีเยอะอยู่แล้ว”
“ก่อนอื่น ข้าอยากจะให้พวกเจ้าทยอยกลับบ้านกันไปให้หมด” นักสืบออกคำสั่งทันที นิ้วเรียวชี้ไปยังหญิงต่างวัยสองคนซึ่งนั่งอยู่บนโขดหินไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ “ยกเว้น พวกเจ้า ซึ่งเป็นแม่และน้องสาวของผู้ตาย” และหยุดลงที่ชายเจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลา “และเจ้า ซึ่งเป็นอดีตว่าที่สามีของผู้ตาย” ร้อยเปียให้เหตุผลก่อนที่จะมีใครทันได้ถาม “ก่อนและหลังเกิดเหตุ คนที่เข้าไปในกระโจมนี่ มีเพียงพวกเจ้าสามคนเท่านั้น”
ใช่ มีเพียงพวกเขาทั้งสามคน ถ้าไม่รวมตัวเธอ และไม่จำเป็นต้องรวม เพราะในคดีนี้ ร้อยเปียเป็นเพียงพยานเท่านั้น
“เอาล่ะ ไหนๆ ข้าก็มาแล้ว ทำไมไม่ลองเข้าไปดูข้างในล่ะ เผื่อจะเจอหลักฐานดีๆ มาเอาผิด ‘คนร้าย’ ได้” ร้อยเปียจงใจเน้นคำว่าคนร้ายและหันไปหาเจ้าบ่าวที่ตอนนี้ทำเพียงมองเธออย่างเก็บงำความคิด
ว่าแล้วก็เปิดม่านเดินเข้าไปข้างในอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะหันมายกมือห้ามหนุ่มน้อยที่กำลังจะตามเข้าไป
“คนนอกอย่างเจ้า อย่าเข้ามาจะดีกว่า เดี๋ยวมันจะเสียรูปคดี”
มะแมเบ้ปากนิดหน่อย “คนนอกอย่างนั้นหรือ ฟังดูใจร้ายไปหน่อยนะ”
“จริงสิ เจ้าเคยบอกว่าทำงานวงการเดียวกันนี่ ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่ นักสืบหรือ” หญิงแกร่งเลิกคิ้วถาม ก่อนตัดบทอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านไปซะ คดีนี้เป็นของข้า”
เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ เขาบุ้ยใบ้ไปยังสะไบที่ไม่หายใจอีกต่อไป “ข้าทำงานกับเจ้านี่”
นักสืบถอนหายใจพรืด “เจ้าจะไปทำงานกับคนที่ตายแล้วได้ยังไงกันล่ะ บ้าหรือเปล่า”
“นักชันสูตรพลิกศพ” คำเฉลยมาจากชายผู้มีสมองเป็นอาวุธ
“ปิ๊งป่อง!” มะแมปรบมืออย่างชอบใจ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลม เขาล้วงมือเข้าไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วชูขึ้น “ปกติไม่ได้พกไปไหนหรอก แต่พกมานี่เพราะคิดว่าต้องใช้น่ะ”
ในมือมีเหรียญทรงกลมที่หล่อจากทองคำ ตรงกลางมีตราพญาครุฑกางปีกที่กำลังร่ายรำอยู่บนผืนนภา บ่งบอกถึงการเป็นคนของหน่วยควานบาป และการจะได้ตรานี้มาครอง แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ร้อยเปียยังไม่มีมัน ถึงแม้จะมีคนเสนออยากให้หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังยืนยันกรานที่จะปฏิเสธ เพราะเธอไม่ต้องการขึ้นตรงต่อหน่วยใด
แต่ก็น่าแปลกอยู่ไม่น้อย เพราะเธอไม่เคยเห็นนักชันสูตรศพ หรือแม้แต่คนงานจากหน่วยควานบาป ที่อายุน้อยขนาดนี้มาก่อน ท่าทางเจ้าเด็กนี่ คงจะมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่
“รออะไรอยู่เล่า ย้ายก้นเข้ามาข้างในได้แล้ว” ร้อยเปียกลับคำสั่งแทบไม่ทัน เธอแหวกม่านพร้อมกับผายมือเชิญบุคคลสำคัญ คนถูกเชิญไม่รอช้า เจ้าตัวรีบเก็บตราและก้าวสวบๆ ตามเข้าไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก ด้านนอกนั่นน่ะ คนของข้าคุมสถานการณ์อยู่ พวกนางหนีไปไหนไม่ได้แน่” มะแมพูดขึ้นเหมือนอ่านความคิดออก
“ว่าแต่เจ้าน่ะ จริงๆ แล้วไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหรอกนะ” ร้อยเปียเอ็ดเจ้าบ่าวที่ยังคงนั่งลงข้างศพ ดวงตาดูเลื่อนลอย “แล้วยิ่งอยู่ใกล้ศพแบบนั้น มันยิ่งน่าสงสัย”
ว่าแล้วก็วางถุงที่บรรจุเบี้ยสามพันกะโหลกลงบนพื้น ก่อนจะเข้าไปหิ้วปีกคนไร้เรี่ยวแรงออกมาให้ห่างจากเหยื่อ เธอวางเขาลงบนพื้นข้างโต๊ะ นิ้วเรียวชี้ไปยังร่างผอมอย่างวางอำนาจ “อย่าได้คิดจะลุกไปไหน ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าเข้าคุกเสียตั้งแต่ตอนนี้ ข้อหาทำตัวน่าสงสัย”
นักสืบยิ้มเยาะอย่างสะใจ เมื่อวันก่อนเธอโดนพ่อคนนี้เล่นงานจนติดมุม วันนี้ถึงคราวเธอบ้างแล้วล่ะนะ
แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขายังคงนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ไม่กระดิกกระเดี้ยวแม้สักนิด ร้อยเปียสังเกตว่าไม่มีน้ำตาสักหยดไหลลงมาจากเบ้า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะเขาไม่ได้พิศวาสในตัวสะไบ และอาจจะเป็นคนลงมือฆาตกรรมในครั้งนี้ก็เป็นได้
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ “เจ้าสาวตายทั้งคนแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด มันชักจะยังไงๆ อยู่นะ”
ครั้งนี้คำสบประมาทได้ผลชะงัด เมื่อดวงหน้าหล่อเหลานั้นหันขวับมาอย่างรวดเร็ว
“ไอ้การที่เจ้ามักจะอยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมน่ะ มันน่าสงสัยกว่ากันเยอะ” ราธีตอกกลับ “บางทีข้าก็แอบคิดว่า เป็นเจ้าหรือเปล่านะที่ฆ่าเหยื่อเสียเอง แต่ออกมาสร้างเรื่องในฐานะนักสืบ”
นัยน์ตาสีดำขึงมองอริอย่างขู่เข็ญ เขากล้ามากที่พูดออกมาแบบนั้น ทั้งที่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน นี่มันเท่ากับจงใจเปิดเผยว่าเธอคือฆาตกรต่อหน้าคนอื่นชัดๆ และเป็นอย่างที่คิดไว้ มันเรียกความสนใจจากบุคคลที่สามในห้องได้อย่างดี มะแมมองตรงมาที่เธอด้วยแววตาพราวระยับ ชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบชอบกล
“เจ้าก็ดูเหมือนคนฉลาดอยู่หรอก” นักชันสูตรพูดกับราธี เขาเดินมาแตะไหล่หนึ่งที “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงมีคนจับไต๋ได้ไปนานแล้ว เว้นเสียแต่ว่า...” ตาเล็กชำเลืองมาทางร้อยเปียอย่างซุนซน “นางจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ฆ่าคนได้โดยไม่ทิ้งหลักฐานไว้เลยน่ะนะ ฮ่าๆๆ”
ใครจะไปรู้ว่าคำพูดติดตลกสามารถทำให้ราธีฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองมาที่เธออย่างใฝ่รู้ ร้อยเปียมั่นใจว่าเขากำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอหายตัวออกมาจากเรือของร้านลอยลำกำปั่น ซึ่งคงสงสัยเรื่องนี้เป็นเดิมทุนอยู่แล้ว และพอมีข้อสันนิษฐานมาส่งเสริมความคิด จึงอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิมเป็นธรรมดา ร้อยเปียไม่หลบสายตา เธอต้องไม่ให้เขาเห็นถึงความประมาท จะยังไงเสีย การที่เธอเป็นเงาคอยสิงอยู่ตามวัตถุต่างๆ คงเหนือจินตนาการของเขา แม้นว่าจะปราดเปรื่องมากก็ตาม
“เสื้อที่ยืมไว้คราวก่อน ช่วยมาเอาคืนด้วย” ราธีเบี่ยงประเด็น “มิเช่นนั้นจะโยนมันทิ้ง”
“จะทำอันใดกับมันก็สุดแล้วแต่เจ้า” นักสืบยักไหล่อย่างไม่แยแส “ในเมื่อมันเป็นของเจ้า”
“แต่ข้าให้เจ้าไปแล้ว” พัสดีหนุ่มย้อน สีหน้าไม่ได้แสดงถึงความเป็นมิตร ตรงกันข้าม มันอ่านได้ว่า ‘ข้าไม่อยากเก็บเศษผ้าที่ฆาตกรอย่างเจ้าเคยสวมใส่ไว้หรอก!’
เป็นเวลาเดียวกับที่มะแมเริ่มรู้สึกตะหงิดๆ ในบทสนทนากำกวม ตาชั้นเดียวหรี่เล็กลงอีกเท่าตัว เมื่อพยายามจับผิดคนสองคน ร้อยเปียสังเกตได้จากแววตาคู่นั้น ว่าเขากำลังสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทันใดนั้นเอง ปิศาจแห่งความเจ้าเล่ห์ในตัวก็ถูกปลุกขึ้น
“เช่นนั้นก็โยนมันทิ้งเสีย” เสียงสั่นเครือเหมือนเพิ่งโดนคนรักหักอกมาก็ไม่ปาน “โยนทิ้งไปพร้อมกับความทรงจำในคืนนั้น”
“ไม่นะ…” นักชันสูตรพึมพำกับตัวเอง ยังคงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ข้าทำแน่” ราธียืนกรานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่พอดีเป็นคนจำอะไรฝังใจ ไม่แน่ใจนักหรอกว่าจะลืมทั้งหมด”
ยิ่งอยากจะขู่ฝ่ายตรงข้ามมากเท่าไหร่ ก็เหมือนยิ่งตกลงไปในหลุมพรางเท่านั้น ราธีผู้น่าสงสารทำได้เพียงเล่นไปตามน้ำ โดยหารู้ไม่ว่าเหยียบโดนกับระเบิดเข้าอย่างจัง ในขณะที่ตอนนี้มะแมดูจะตกใจไม่น้อยกับข้อมูลใหม่
ไอ้นี่มันเป็นชู้กับร้อยเปียเรอะ มิน่าล่ะ มันถึงได้บอกว่าลืมเรื่องราวในคืนนั้นไม่ได้ ว่าแต่ในคืนนั้น…ไม่อยากจะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ผ่านมาเยอะนี่” ร้อยเปียแกล้งสะบัดหน้าอย่างงอนง้อ “แค่นี้ไม่ใช่ปัญหาหรอก”
ผ่านมาเยอะของเธอ อาจจะหมายถึงการจับผู้ร้ายเข้าคุก แต่ผ่านมาเยอะของมะแม มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวคงกำลังคิดว่า...
เห็นหงิมๆ แบบนี้ ผ่านผู้หญิงมาเยอะเลยรึ?!
“แต่เจ้าต้องไม่ลืม” พัสดีกำชับเสียงแข็ง “ถึงสัญญาที่ได้ให้ไว้ครั้งก่อน”
เมื่อถึงตรงนี้ ร้อยเปียเริ่มหมดสนุกกับการแหย่เจ้าแมวเหมียว เพราะความจริงที่ว่าเธอต้องเข้ามอบตัวภายในสองวันนี้ เริ่มถาโถมเข้าใส่หัวใจให้กระวนกระวายอีกครั้ง
“นี่…พวกเจ้าเป็นชู้กันสินะ!” มะแมโพล่งขึ้นอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“จะบ้าหรือไง พูดอะไรของเจ้า เหลวไหลทั้งเพ” ราธีสบถ เขาลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนก ดวงหน้าหล่อเหลาดูเหมือนคนโง่ขึ้นมาหน่อยก็คราวนี้
พัสดีหนุ่มคนนี้ อาจจะเก่งในเรื่องการวางแผน แต่เขายังอ่อนประสบการณ์ยิ่งนัก ในเรื่องเล่ห์เหลี่ยม โดยเฉพาะเล่ห์เหลี่ยมจากสตรีเพศ
“หึ อย่ามาแถเสียให้ยาก พวกเจ้าได้เสียกันแล้ว และในเช้าวันต่อมา ร้อยเปียก็จงใจทิ้งชุดที่เจ้าซื้อให้ไว้ในห้องเจ้า เพราะต้องการให้จดจำนางไว้ก่อนจะต้องไปเข้าเรือนกับหญิงอื่น ก่อนจากกัน พวกเจ้าสัญญากันเอาไว้ว่าจะไม่ลืมอีกฝ่ายถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน” หนุ่มผมทองดูมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินกับเรื่องเล่าที่เขาปะติดปะต่อกันเอง “และถึงแม้เจ้าจะผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่ก็ไม่อาจลืมร้อยเปียได้สินะ”
“อะ…อะไรนะ” ราธีพูดติดขัด คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะคิดไปได้ไกลเพียงนี้
“ดังนั้น มันอธิบายได้อย่างชัดแจ้ง ว่าเจ้าน่ะ อาจจะเป็นคนลงมือฆ่าผู้ตาย เพราะหญิงที่เจ้ารัก แท้จริงแล้วคือร้อยเปีย!”
“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเสียหน่อย…” พัสดีหนุ่มดูร้อนรนกว่าครั้งไหน เขาหันมาขอความช่วยเหลือจากเธอ “นี่ พูดอะไรบ้างสิ เจ้านี่เข้าใจข้าผิดหมดแล้ว”
ร้อยเปียกล้ำกลืนความขบขันไว้ เธอปาดน้ำตาที่บีบออกมาอย่างไม่ยากเย็นออกจากแก้ม นั่นยิ่งส่งผลความเข้าใจผิดของมะแมเพิ่มขึ่น ส่วนราธีกำลังอึ้งในความสามารถทางการแสดงของหญิงสาวผู้มากเล่ห์อยู่
“มะ…ไม่ ข้าสาบานได้” มือทั้งสองยกขึ้นอย่างยอมจำนน “ระหว่างข้ากับร้อยเปีย เราไม่ได้มีอะไรกัน”
“แล้วไอ้บทสนทนาคลุมเครือเมื่อครู่มันหมายความว่ายังไงกัน” นักชันสูตรไล่บี้ต่ออย่างไม่ยอมแพ้
ราธีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความจริงที่อยู่เบื้องหลังบทสนทนา เขาไม่สามารถเปิดเผยได้ และในเมื่อมันเปิดเผยไม่ได้ เขาก็ไม่อาจหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาที่ว่าตนเป็นชู้กับนักสืบสาว มิหนำซ้ำสาวจอมกะล่อนยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำเดียว
“ไปถามร้อยเปียเอาเองก็แล้วกัน!” หนุ่มผู้อ่อนต่อโลกตอบปัด หน้าแดงก่ำเป็นผลตำลึงสุก ที่ไม่แน่ใจว่าด้วยฤทธิ์โกรธหรือเพราะเขินจัดกันแน่
ในเวลานั้นเองที่ร้อยเปียไม่อาจเก็บความขบขันไว้ได้อีก เธอระเบิดหัวเราะออกมาอย่างหมดความอดทน ท่ามกลางความงุนงงของมะแม และความเดือดดาลของราธี ที่ในที่สุดก็รู้ตัว ว่าโดนเสือสาวแหย่ให้ติดกับของมัน
“ตลกเป็นบ้า” นักสืบว่าพลางกุมท้องที่แข็งจากการขำมากเกินไป
“นี่มันใช่เวลามาตลกหรือไง” ราธีเอ็ด มองหน้าอริอย่างแค้นเคืองที่เกือบทำให้ตนด่างพร้อย
“ตกลงนี่มันยังไงกันแน่” มะแมเกาหัวแกรกๆ สบตาคนทั้งคู่ไปมาอย่างขอคำอธิบาย
“ก็ไม่มีอะไร” ร้อยเปียตอบสั้นๆ “ข้าไม่ชอบเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้านั่นหรอก”
พัสดีหนุ่มชะงักกึกเมื่อโดนหมิ่น “แน่นอนอยู่แล้ว เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างข้าน่ะ คู่ควรกับอิสตรีที่จิตใจสูงส่งกว่าเจ้าเยอะ”
“หุบ...”
“ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันเลย ข้ายังไม่อยากมีงานเพิ่มขึ้น” มะแมได้ทีรีบห้ามทัพ เขาเข้าไปผลักราธีให้นั่งลงดังเดิม “แค่ศพเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว ถ้าไม่เกรงใจข้า ก็ช่วยเกรงใจหน้าหล่อๆ ของข้าด้วย”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปหาศพ เขานั่งชันเข่าลงกับพื้น สายตาลากผ่านทุกส่วนบนร่างกายของผู้ตายเพื่อตรวจดูสภาพศพอย่างละเอียด ในขณะที่มือหนึ่งก็จับไปตามลำตัวเป็นครั้งคราว
“ตัวยังอุ่นๆ อยู่ ตาขาวเป็นสีปกติ กล้ามเนื้อก็ยังมีการยืดหยุ่น ไม่ได้แข็งหรืออ่อนยวบจนเกินไป” นักชันสูตรทำหน้าที่ของตนได้อย่างไม่มีที่ติ “สันนิษฐานเวลาตาย ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก่อนเจ้าบ่าวขานชื่อจากด้านนอก”
“บ้าจริง” ถึงจะเบา แต่ร้อยเปียได้ยินเสียงบ่นอุบจากราธีได้อย่างชัดเจน “ถ้าข้ามาไวกว่านี้...”
“คนจะตาย อะไรก็ห้ามไม่ได้ ไม่เคยได้ยินหรือไง” มะแมตัดบท “โทษตัวเองไปก็เปล่าประโยชน์”
“แล้วสาเหตุการตายล่ะ” ร้อยเปียถาม พร้อมกับหยิบใบลานและเหล็กจารออกมาจากย่าม เตรียมพร้อมสำหรับการจดบันทึกทุกเมื่อ
“อืมมมม” เด็กหนุ่มลูบคางอย่างใช้ความคิด เขาชี้ไปที่บาดแผลเหวอะบนหน้าผากศพ “ดูจากภายนอกก็เหมือนจะเป็นเพราะโดนเครื่องปั้นดินเผาหล่นใส่หัว จึงทำให้เลือดออกและคลั่งในสมองจนเสียชีวิต”
“สรุปคือ เพราะบาดเจ็บที่ศีรษะสินะ” ร้อยเปียว่าเองเออเอง ตั้งท่าจะวางเหล็กจารลงบนใบลาน
“ใช่ซะที่ไหนล่ะ” มะแมรีบขัด เขาดึงเหล็กจารออกจากมือเธอไปถือไว้เอง “ข้ายังพูดไม่จบเสียหน่อย”
“แล้วมันยังไงล่ะ” ราธีถามขึ้นบ้าง ถึงจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินมาดูใกล้ๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ “ตกลงนางสิ้นใจเพราะอะไรกันแน่”
“ดูเผินๆ อาจจะเป็นเพราะโดนทำร้ายที่ศีรษะ แต่ไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาอันเฉียบคมของข้าไปได้” หนุ่มผมทองเสยผมอย่างวางมาด
“อย่าเฉไฉน่า” นักสืบตบเข้าให้ที่ท้ายทอยจนหน้ามะแมแทบคว่ำลงไปจุมพิตกับร่างไร้วิญญาณ เพื่อเอาตัวรอด เขาจึงต้องยันตัวเองไว้ด้วยมือทั้งสอง และมือข้างหนึ่งก็ไปเกี่ยวเข้ากับเกาะอกที่ถลกลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เฮ้ย!” เด็กหนุ่มหันขวับไปข้างหลังแทบไม่ทัน “ขะ...ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”
“มะแม!” ร้อยเปียร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย
“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งใจไงล่ะ รีบดึงมัน...”
“มะแม หันกลับมา เร็วเข้า!”
คำสั่งประกาศิตที่ออกมาจากปากสาวผู้มีอำนาจ ทำให้นักชันสูตรไม่มีทางเลือก นอกเสียจากทำตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย แน่นอนว่าเขาเคยชินแล้วกับการเห็นร่างอันเปลือยเปล่าของศพ แต่ไม่ใช่ต่อหน้าคนอื่น เพราะเวลามีคนมาจ้องตอนที่กำลังทำงานกับศพน่ะ มันช่างเป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยจริงๆ
ใบหน้าค่อยๆ หันกลับไปจนมองเห็นภาพตรงหน้า สิ่งที่เห็นคือรอยโบ๋บริเวณกลางหน้าอกระหว่างเต้านมทั้งสอง ที่กินพื้นที่ลึกลงไปจนเห็นหลอดลมยาว แต่หลอดลมนั้น แทนที่จะเป็นสีขาวตามสีของกระดูก มันกลับกลายเป็นสีดำสนิทดูน่าขนพองสยองเกล้า
“ว่าแล้วเชียว” มะแมงึมงำ
“อะไรหรือ เกิดอะไรขึ้น!” ราธีร้องถามอย่างร้อนรน เขาผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้ง พยายามชะเง้อมองเหตุการณ์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากทั้งคู่บังไว้จนมิด
“ดูจากปากที่อ้าค้างไว้ ตาที่เหลือกขึ้น ประกอบกับมือที่จับอยู่ที่คอก่อนหมดลมหายใจ และที่สำคัญที่สุด รอยไหม้ตรงหน้าอกที่ลึกลงไปถึงหลอดลม สรุปได้อย่างเดียวว่า...” นักชันสูตรชี้นอแรดสีดำปลายส้มไปที่ร่างไร้วิญญาณ “เขาถูกวางยาพิษ”
“ยาพิษ!?” ร้อยเปียและราธีทวนขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่นักสืบจะถือโอกาสดึงเหล็กจารคืนมา และตั้งหน้าตั้งตาบันทึกทุกเหตุการณ์ลงไปอย่างละเอียดยิบ
“พอจะบอกได้ไหมว่าเป็นยาพิษชนิดไหน” ร้อยเปียซักต่อ มือข้างขวายังคงลากผ่านใบลานไปมาอย่างมุมานะ
“ถ้าเป็นไปตามที่ข้าคิด” มือใหญ่ล้วงเข้าไปในปากผู้ตาย มุมปากกระตุกขึ้นเมื่อสัมผัสบางอย่างเข้า “ของที่ถูกวางยา จะยังอยู่ในสภาพดีถึงดีมาก”
มะแมดึงวัตถุต้องสงสัยออกมา เขาแบมือออก เผยให้เห็นของเกือบเหลวสีแดง ที่ยังคงสภาพเม็ดเล็กๆ ไว้อยู่ ใช่แล้ว มันคือหมากที่สะไบกินก่อนเสียชีวิตลง ยาพิษต้องถูกใส่ไว้ในนั้นไม่ผิดแน่
แต่ว่ายังไงกันล่ะ?!
“ผู้ตายคงมีนิสัยกินหมากที่ตำแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าหมากนี่ยังไม่ถูกเคี้ยวมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่า แค่กัดทีสองทีพิษก็ออกฤทธิ์จนทำให้ถึงฆาต และในพุฒภารา มีพิษแค่ชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำได้” เด็กหนุ่มอธิบายอย่างผู้รู้ “พิษจาก...”
“รากสำแลง” ราธีแทรก จริงๆ เธอไม่แปลกใจที่เขารู้เรื่องนี้
เพราะยังไง ราธีก็เป็นผู้ต้องสงสัย ที่น่าสงสัยมากที่สุดสำหรับเธอ จนเกือบแน่ใจว่าเป็นเขาที่ฆ่าสะไบเองกับมือ
“รู้ดีจริงนะ” ร้อยเปียประชดเหมือนกำลังจะบอกกลายๆ ว่าเขาเป็นฆาตกร พัสดีหนุ่มขยับเปลือกตาถี่ๆ ก่อนจะหลบสายตาไปที่อื่น สร้างความน่าสงสัยให้กับร้อยเปียอีกเท่าตัว
แววตานั้น บ่งบอกว่าเขามีบางอย่างปิดบังเธออยู่ และครั้งนี้เป็นคราวของเธอ ที่จะหาหลักฐานมายืนยันในสิ่งที่ตนคิด น่าสนุกดีนี่...
“แต่ยังไงก็ยังต้องตรวจสอบก่อนว่าสารพิษในท้องเป็นตัวเดียวกับในหมากหรือเปล่า บางทีนี่อาจจะเป็นกลลวงของคนร้ายก็ได้” มะแมว่าต่อ พลางดึงเกาะอกขึ้นมาปิดหน้าอกไว้อย่างเดิม “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขออนุญาตให้คนของข้ามายกศพไปตอนนี้เลย”
“เดี๋ยว” ราธีห้ามไว้ก่อน รู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ “คนของเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
หนุ่มหน้าละอ่อนเกาหัวอย่างไม่เข้าใจในคำถามประหลาด “ก็ขี่ควายมาน่ะสิ ถามได้”
“ไม่ใช่แบบนั้น” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบผ่านคนทั้งสองอย่างรู้เท่าทัน “สะไบจ้างพวกเจ้าทั้งสองคนมาสินะ”
ห้องทั้งห้องที่เคยมีเสียงพูดคุย บัดนี้มันเงียบเป็นเป่าสาก ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้นด้วยการยืนนิ่งไม่เอ่ยปากสักแอะ เอาแต่จ้องกันไปมาเหมือนอยากจะถามความเห็น คงจะดีหากสามารถสื่อสารกันผ่านโทรจิตได้
“ทั้งนักสืบและนักชันสูตร มาอยู่ในงานเดียวกันแบบนี้ ดูจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ” ราธีกล่าวต่ออย่างมีเหตุผล เขาหันไปคาดคั้นกับมะแม “นางเตรียมตัวตายไว้แล้วใช่หรือเปล่า”
ความจริงของคดีนี้ยิ่งทำให้ราธีรู้สึกแย่ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้จมูกของเขาแท้ๆ แต่ก็ยังไม่นึกเอะใจ มิหนำซ้ำยังปล่อยให้เลยเถิดจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ถึงเหตุผลที่เธอตั้งใจจะบีบคอเขาตายเสียที เพราะสะไบรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตายวันนี้ และคงกะจะให้เขาตายไปพร้อมกับเธอ
‘ในโลกนี้เจ้าอาจจะไม่ได้รักข้า แต่หลังจากนี้ มันก็ไม่แน่’
ประโยคที่แฝงไปด้วยความหมายนั้นก่อนที่เธอจะลงมือ ในที่สุด เขาก็เข้าใจมันอย่างถ่องแท้
“พวกเจ้ามันอสรพิษ” พัสดีหนุ่มกำมือแน่นด้วยความรู้สึกเคียดแค้นต่อคนสองคนที่ไม่คิดจะหยุดยั้งการฆาตกรรม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันจะต้องเกิดขึ้น
นักสืบสาวมองนักชันสูตรอย่างครุ่นคิด นั่นสินะ ทำไมเธอถึงไม่ฉุกคิด ว่าทำไมมะแมถึงมาอยู่ที่นี่พร้อมกับหน่วยงาน ในเวลาที่เหมาะเจาะแบบนี้ คนที่เตรียมการมาดีที่สุด เห็นจะเป็นตัวผู้ตายเอง...
“อย่าเหมารวมซี่ นางแค่เขียนจดหมายมาบอกว่า คืนนี้อาจจะมีเหตุนองเลือดเท่านั้นแหละ ใครจะไปคิดเล่า ว่าจะเป็นตัวนางเองที่จากไปแบบนี้” มะแมโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันควัน “ถ้าจะมีใครสักคนที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าเพื่อน ก็น่าจะเป็น...” เขาบุ้ยใบ้มาทางหญิงสาวคนเดียวในกระโจม “นักสืบที่นางจ้างมาช่วยไขคดีมิใช่หรือ”
สองหนุ่มหันมาขอคำตอบจากเธอ ร้อยเปียสูดหายใจเข้าปอดอย่างเตรียมใจรับผลของการกระทำ
“ใช่ นางจ้างข้ามาจับคนร้ายในคดีนี้”
ราธีปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว สองมือเขย่าตัวเธอเหมือนต้องการให้คายความจริงออกมาให้หมด ดวงตาสวยคู่นั้นแลดูมีน้ำโหและหม่นหมองในเวลาเดียวกัน น้ำใสๆ เอ่อขึ้นที่เบ้าของชายผู้อ่อนโยน
“หมายความว่าเจ้ารู้อยู่แล้วน่ะหรือว่านางจะตาย” สุรเสียงไร้เรี่ยงแรงราวกับคนใกล้จะสิ้นลม และแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มอย่างไม่คิดจะควบคุม “เจ้ารู้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดจะปกป้อง นั่นมันชีวิตคนทั้งคนนะ จิตใจเจ้ามันทำด้วยอะไรกันแน่”
มะแมยืนดูภาพน่าสลดใจด้วยความสงบพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หญิงแกร่งนามร้อยเปีย ถึงจะมีชื่อเสียงเรื่องความบุ่มบ่ามและเลือดเย็น แต่จะถึงขนาดปล่อยให้คนทั้งคนตายไปโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ส่วนเจ้าพัสดีหนุ่มนั่น เขาพอจะดูออกอยู่ว่าไม่ได้มีใจให้กับเจ้าสาวที่จากไป ดังนั้นจึงไม่แน่ใจ ว่าที่เห็นอยู่เป็นเพียงการแสดง หรือมันออกมาจากใจจริงกันแน่
แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง จะมีจริงๆ น่ะหรือ บุรุษที่จิตใจเปราะบางเพียงนี้น่ะ
“การคุ้มครองชีวิตคนอื่นไม่ใช่หน้าที่ของนักสืบ” ปากหนักไม่ยอมพูดความจริงออกไป แต่ทั้งนี้ก็เพราะเธอไม่ต้องการให้เขาเห็นถึงความอ่อนไหว “มิเช่นนั้นแล้วจะมีทหารไว้คอยอารักขาคนอื่นทำไมกัน”
“มันไม่ใช่เรื่องของหน้าที่” ราธีท้วงขึ้นทันที มุมปากที่เคยเชิดขึ้นเหมือนยิ้มอยู่ตลอดคว่ำลง “มันเป็นเรื่องของจิตสำนึก...ที่เจ้าไม่มี”
“อย่าทำปากมากไปหน่อยเลย ราธี” ร้อยเปียติติง แกล้งทำเป็นปัดฝุ่นออกจากไหล่ของคนตัวสูงกว่าด้วยท่าทางกวนประสาท “อย่าลืมว่าเจ้าก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย”
ชายผู้เลอโฉมไม่ตอบโต้ใดๆ เขาปัดมือเรียวออกจากบ่าอย่างไม่ใยดี มะแมกระแอมสองสามทีเพื่อทำลายบรรยากาศมาคุให้สิ้นซาก เขาเดินไปกอดคอชายที่อายุมากกว่าพร้อมกระซิบบางอย่างที่ข้างหู
“ข้าปลอบคนไม่ค่อยเก่งหรอก แต่จะบอกอะไรให้เอาบุญ” เจ้าตัววาดไม้วาดมือโฆษณาเต็มที่ “สตรีน่ะมีเยอะแยะ นางคนนี้ก็ไม่ได้สวยโดดเด่นอะไรอยู่แล้วนี่ หาใหม่เถอะ ของงามๆ กว่านี้น่ะ กระจายอยู่ทั่วพุฒภารา ให้ข้าหาให้สักคนก็ยังได้”
“เก็บไว้เชยชมคนเดียวเถอะ หญิงที่งามแต่ภายนอกพวกนั้นน่ะ” พัสดีหนุ่มกระซิบกลับด้วยเสียงซังกะตาย เนื่องจากไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเล่น
นักชันสูตรหัวเราะในลำคอ แววตาซุนซนเหล่มองคนแก่กว่าอย่างค่อนแคะ “แล้วอย่าให้ข้าเห็นว่าเจ้าไปพัวพันกับหญิงงามพวกนั้นก็แล้วกัน พ่อจะหัวเราะให้ฟันหัก” ว่าเสร็จก็ตะโกนเรียกพรรคพวกให้เข้ามาสะสางงานให้เสร็จ “เอาล่ะ เข้ามาได้!”
ไม่ทันขาดคำ ผู้ชายสามคนก็เข้ามาพร้อมอุปกรณ์บางอย่าง เป็นด้ามไม้ยาวสองด้ามที่มีด้ามจับแลดูทนทาน เมื่อถึงร่างที่นอนแน่นิ่ง ผู้ช่วยคนหนึ่งก็จับไม้ด้ามหนึ่งไว้ตามแนวยาว ปล่อยให้อีกด้ามหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง และก็หยุดลงด้วยกับการกระชากของผ้าซึ่งยึดไม้ทั้งสองไว้ ดูเผินๆ คล้ายม้วนกระดาษขนาดใหญ่
“ยกเบาๆ ล่ะ นี่เป็นของมีค่า เปรียบดั่งหัวใจของการไขคดีเลยนะ” มะแมวางท่าสั่งสมุน ก่อนจะออกแรงยกตรงส่วนศีรษะของศพไปพร้อมกับผู้ช่วยอีกคนหนึ่งที่หิ้วส่วนขา
สะไบที่ไร้วิญญาณถูกวางลงบนเปลที่มีชายสองคนช่วยกันพยุงด้ามจับไว้คนละข้าง น้ำหนักที่ถูกทิ้งไปส่งผลให้เปลอ่อนยวบลง แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของสมุนทั้งสอง ศพจึงยังอยู่รอดปลอดภัยบนเปลผ้าอย่างไม่เสียหายเลยสักนิด
“ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวจะส่งสารไปแล้วกัน หรือถ้าอยากได้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว โรงชำแหละข้าอยู่ไม่ไกลจากตำหนักแห่งบางมฤค ถามคนแถวนั้นเอาก็ได้” มะแมหันไปฉีกยิ้มให้กับคนที่เสียใจที่สุดในกระโจม “ส่วนเจ้า ขอให้โชคดีกับชีวิตโสด”
ไม่นานนัก ศพก็ถูกหามออกไปจากที่เกิดเหตุ บรรยากาศชวนวิ่งหนีกลับมาอีกครั้งเมื่ออริต้องอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“คดีนี้ คิดไว้หรือยังว่าจะให้ใครเป็นแพะ” ราธีเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน คำถามที่ฟังดูเหมือนต้องการหาเรื่องมากกว่าคำตอบ “หวังว่าคงไม่ใช่ข้าหรอกนะ”
“ข้าไม่ทำคดีนี้” ร้อยเปียตอบปัด เธอยื่นใบลานที่จดรูปคดีทั้งหมดให้ราธี
“ถ้าเจ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ”
“จะใครซะอีกที่ฉลาดพอจะทำ ถ้าไม่ใช่เจ้า”
“นี่เจ้ากำลังประชดข้าอยู่หรือ” พัสดีหนุ่มกอดอกแน่น
“เปล่าเลย ราธี ข้าเปล่าประชด” นักสืบสาวก้าวเท้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น “จับตัวคนร้ายในคดีนี้ให้ได้ และข้า...” นัยน์ตาสีดำจ้องอริตรงๆ อย่างจริงจังผสมท้าทาย “จะยอมมอบตัวตามที่เจ้าต้องการ”
-----------------------------------------------------------------------------------
เกือบอาทิตย์เลยว่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะหายไปขนาดนี้นะ พอดีมันเพลียร่างเฉยๆ ยกโทษให้ด้วยก๊าบบบ
อันตรายจากรากสำแลง
“สะไบ!”
ราธีรี่ตรงเข้าไปหาผู้ตาย เขานั่งลงข้างๆ หล่อน มองสภาพน่าอนาถด้วยหัวใจที่เหี่ยวแห้ง สองมือเริ่มเขย่าตัวผู้เสียชีวิตพร้อมกับพร่ำเรียกชื่อวนหลายรอบอย่างมีความหวัง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าหล่อนจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาอีก แต่ถึงกระนั้น หนุ่มรูปงามก็ยังไม่ลุกไปไหน เขานั่งตรงนั้นอยู่นานสองนาน มือไม้สั่นระริกอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก จนเมื่อเริ่มทำใจได้แล้ว จึงเอื้อมมือไปปิดตาอดีตว่าที่ภรรยาลง หวังเพียงให้หล่อนไปสู่สุคติโดยไม่ทิ้งความกังวลใดไว้บนโลกนี้อีก
“เกิดอะไรขึ้น!”
หญิงสาววัยประมาณสี่สิบพร้อมกับลูกสาวคนรองแหวกม่านเข้ามา เมื่อเห็นร่างที่นอนไม่ไหวติงของลูกสาวคนโตก็แทบจะลงไปกองอยู่กับพื้น ส่วนคนเป็นน้องป้องปากมองสภาพของพี่สาวอย่างหวาดผวา ก่อนจะเข้าไปกอดร่างแม่เอาไว้แน่น
“อย่างน้อยนางก็ไปดีแล้ว” เป็นคำปลอบใจที่ดีที่สุดที่คิดได้ในสถานการณ์เลวร้ายนี้ เธอค่อยๆ พยุงตัวหญิงวัยสี่สิบออกไปจากที่เกิดเหตุโดยเร็ว เพราะเกรงว่าหากอยู่นานกว่านี้จะยิ่งบั่นทอนจิตใจ
“ราธีสินะ” น้องสาวเพียงคนเดียวของสะไบเอ่ยเรียก สีหน้าของหล่อนดูแย่พอๆ กับพี่สาวตอนยังมีชีวิต “ข้ารู้มาว่าสะไบเชื่อใจเจ้ามาก ยังไงก็ฝากด้วย อย่าปล่อยให้การจากไปของพี่สาวข้าเสียเปล่า เจ้าต้องหาคนร้ายให้ได้”
แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังนั้น ทำให้ราธีไม่อาจปฏิเสธ เขาพยักหน้ารับเล็กน้อย “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าหล่อนจึงพาคนเป็นแม่เดินออกไป ราธีมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่ด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา ที่ไม่อาจช่วยชีวิตสะไบไว้ได้ทัน
“ทุกคน อยู่ในความสงบ!” เสียงประกาศเป็นของเด็กหนุ่มผมทองที่ดูจะควบคุมสติได้ก่อนใครเพื่อน “อย่าได้คิดจะก้าวเท้าออกจากงานจนกว่าเราจะแน่ใจว่าพวกเจ้าไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยของคดีนี้”
เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงแสดงความตกใจของบรรดาแขกเหรื่อ หลายคนพยายามเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถูกกันท่าไว้โดยหนุ่มตาชั้นเดียว จึงไม่มีใครสามารถผ่านเข้าไปได้สักคน ราธีรีบปิดม่านทันควัน เพราะเขาไม่คิดว่าสะไบจะอยากให้ใครเห็นเธอในสภาพนี้อย่างแน่นอน
ทั้งที่เป็นวันที่ควรจะสวยที่สุดในชีวิต แต่มันกลายเป็นวันที่หล่อนดูแย่ที่สุด...
“ใครก็ได้ไปตามร้อยเปียมาที”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันยุ่ง ทำไมชื่ออัปมงคลถึงถูกขานเรียกในงานมงคลแห่งนี้
“ร้อยเปียไหนกัน” แขกคนหนึ่งถามขึ้นแทน ราธีหันไปหาผู้ที่ช่วยคุมสถานการณ์ รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ทั่วทั้งพุฒภารา คงมีไม่กี่ร้อยเปียที่ช่วยเราได้ในสถานการณ์แบบนี้หรอกน่า” มะแมทำเสียงเบื่อหน่าย “นักสืบสาวผู้ถักผมเปียไว้เสมอนั่นไงล่ะ”
“นางไม่ได้ถูกเชิญมางานนี้” หนุ่มรูปงามแทรกขึ้นแทบจะในทันที
“เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ข้ายังเห็นนางอยู่เลย” อีกฝ่ายแย้งอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม “ให้ข้านั่งยัน นอนยัน ตีลังกายันก็ยังได้”
“ให้ยันสักทีด้วยดีไหมล่ะ”
และแล้วหญิงสาวที่ทุกคนกำลังพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้น ร้อยเปียยืนเท้าสะเอวอยู่ด้านหลังฝูงชน หมวกใบเดิมที่เคยใส่ไว้บนหัว บัดนี้มันอยู่ในมือข้างหนึ่งแทน นักสืบสาวหมุนมันเล่นด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับเดินไปด้านหน้า ผู้คนที่ขวางทางอยู่รีบเบี่ยงตัวออกโดยอัตโนมัติเมื่อรับรู้ถึงการมาของผู้มีอำนาจ
อาจจะไม่ใช่อำนาจจากยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่เป็นอำนาจจากความนับถือ
รูม่านตาคู่สวยขยายออกกว้างเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำของอริ และถึงแม้มุมปากจะยังคงโค้งขึ้นเหมือนยิ้มให้ แต่เธอรับรู้ได้ถึงรังสีความเกลียดชังที่แผ่ซ่านออกมาถึงตัวเธอ
“ฮ่า! นี่ไงล่ะ ข้าก็ว่าอยู่ว่าไม่ได้ตาฝาดไป” มะแมดีดนิ้วดังเปราะเมื่อคนที่ตนพูดถึงเมื่อครู่มายืนอยู่ตรงหน้าเสียที เด็กหนุ่มหันมากระซิบกระซาบกับร้อยเปีย “แต่เรื่องยันน่ะ ขอไม่รับไว้แล้วกัน พอดีคนที่อยากจะยันข้ามันมีเยอะอยู่แล้ว”
“ก่อนอื่น ข้าอยากจะให้พวกเจ้าทยอยกลับบ้านกันไปให้หมด” นักสืบออกคำสั่งทันที นิ้วเรียวชี้ไปยังหญิงต่างวัยสองคนซึ่งนั่งอยู่บนโขดหินไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ “ยกเว้น พวกเจ้า ซึ่งเป็นแม่และน้องสาวของผู้ตาย” และหยุดลงที่ชายเจ้าของใบหน้าอันหล่อเหลา “และเจ้า ซึ่งเป็นอดีตว่าที่สามีของผู้ตาย” ร้อยเปียให้เหตุผลก่อนที่จะมีใครทันได้ถาม “ก่อนและหลังเกิดเหตุ คนที่เข้าไปในกระโจมนี่ มีเพียงพวกเจ้าสามคนเท่านั้น”
ใช่ มีเพียงพวกเขาทั้งสามคน ถ้าไม่รวมตัวเธอ และไม่จำเป็นต้องรวม เพราะในคดีนี้ ร้อยเปียเป็นเพียงพยานเท่านั้น
“เอาล่ะ ไหนๆ ข้าก็มาแล้ว ทำไมไม่ลองเข้าไปดูข้างในล่ะ เผื่อจะเจอหลักฐานดีๆ มาเอาผิด ‘คนร้าย’ ได้” ร้อยเปียจงใจเน้นคำว่าคนร้ายและหันไปหาเจ้าบ่าวที่ตอนนี้ทำเพียงมองเธออย่างเก็บงำความคิด
ว่าแล้วก็เปิดม่านเดินเข้าไปข้างในอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะหันมายกมือห้ามหนุ่มน้อยที่กำลังจะตามเข้าไป
“คนนอกอย่างเจ้า อย่าเข้ามาจะดีกว่า เดี๋ยวมันจะเสียรูปคดี”
มะแมเบ้ปากนิดหน่อย “คนนอกอย่างนั้นหรือ ฟังดูใจร้ายไปหน่อยนะ”
“จริงสิ เจ้าเคยบอกว่าทำงานวงการเดียวกันนี่ ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่ นักสืบหรือ” หญิงแกร่งเลิกคิ้วถาม ก่อนตัดบทอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านไปซะ คดีนี้เป็นของข้า”
เจ้าตัวส่ายหน้าน้อยๆ เขาบุ้ยใบ้ไปยังสะไบที่ไม่หายใจอีกต่อไป “ข้าทำงานกับเจ้านี่”
นักสืบถอนหายใจพรืด “เจ้าจะไปทำงานกับคนที่ตายแล้วได้ยังไงกันล่ะ บ้าหรือเปล่า”
“นักชันสูตรพลิกศพ” คำเฉลยมาจากชายผู้มีสมองเป็นอาวุธ
“ปิ๊งป่อง!” มะแมปรบมืออย่างชอบใจ พร้อมกับฉีกยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลม เขาล้วงมือเข้าไปหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง แล้วชูขึ้น “ปกติไม่ได้พกไปไหนหรอก แต่พกมานี่เพราะคิดว่าต้องใช้น่ะ”
ในมือมีเหรียญทรงกลมที่หล่อจากทองคำ ตรงกลางมีตราพญาครุฑกางปีกที่กำลังร่ายรำอยู่บนผืนนภา บ่งบอกถึงการเป็นคนของหน่วยควานบาป และการจะได้ตรานี้มาครอง แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่ร้อยเปียยังไม่มีมัน ถึงแม้จะมีคนเสนออยากให้หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังยืนยันกรานที่จะปฏิเสธ เพราะเธอไม่ต้องการขึ้นตรงต่อหน่วยใด
แต่ก็น่าแปลกอยู่ไม่น้อย เพราะเธอไม่เคยเห็นนักชันสูตรศพ หรือแม้แต่คนงานจากหน่วยควานบาป ที่อายุน้อยขนาดนี้มาก่อน ท่าทางเจ้าเด็กนี่ คงจะมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่
“รออะไรอยู่เล่า ย้ายก้นเข้ามาข้างในได้แล้ว” ร้อยเปียกลับคำสั่งแทบไม่ทัน เธอแหวกม่านพร้อมกับผายมือเชิญบุคคลสำคัญ คนถูกเชิญไม่รอช้า เจ้าตัวรีบเก็บตราและก้าวสวบๆ ตามเข้าไป
“ไม่ต้องห่วงหรอก ด้านนอกนั่นน่ะ คนของข้าคุมสถานการณ์อยู่ พวกนางหนีไปไหนไม่ได้แน่” มะแมพูดขึ้นเหมือนอ่านความคิดออก
“ว่าแต่เจ้าน่ะ จริงๆ แล้วไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาหรอกนะ” ร้อยเปียเอ็ดเจ้าบ่าวที่ยังคงนั่งลงข้างศพ ดวงตาดูเลื่อนลอย “แล้วยิ่งอยู่ใกล้ศพแบบนั้น มันยิ่งน่าสงสัย”
ว่าแล้วก็วางถุงที่บรรจุเบี้ยสามพันกะโหลกลงบนพื้น ก่อนจะเข้าไปหิ้วปีกคนไร้เรี่ยวแรงออกมาให้ห่างจากเหยื่อ เธอวางเขาลงบนพื้นข้างโต๊ะ นิ้วเรียวชี้ไปยังร่างผอมอย่างวางอำนาจ “อย่าได้คิดจะลุกไปไหน ไม่อย่างนั้นข้าจะจับเจ้าเข้าคุกเสียตั้งแต่ตอนนี้ ข้อหาทำตัวน่าสงสัย”
นักสืบยิ้มเยาะอย่างสะใจ เมื่อวันก่อนเธอโดนพ่อคนนี้เล่นงานจนติดมุม วันนี้ถึงคราวเธอบ้างแล้วล่ะนะ
แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขายังคงนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ไม่กระดิกกระเดี้ยวแม้สักนิด ร้อยเปียสังเกตว่าไม่มีน้ำตาสักหยดไหลลงมาจากเบ้า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เพราะเขาไม่ได้พิศวาสในตัวสะไบ และอาจจะเป็นคนลงมือฆาตกรรมในครั้งนี้ก็เป็นได้
รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าเจ้าเล่ห์ “เจ้าสาวตายทั้งคนแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด มันชักจะยังไงๆ อยู่นะ”
ครั้งนี้คำสบประมาทได้ผลชะงัด เมื่อดวงหน้าหล่อเหลานั้นหันขวับมาอย่างรวดเร็ว
“ไอ้การที่เจ้ามักจะอยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมน่ะ มันน่าสงสัยกว่ากันเยอะ” ราธีตอกกลับ “บางทีข้าก็แอบคิดว่า เป็นเจ้าหรือเปล่านะที่ฆ่าเหยื่อเสียเอง แต่ออกมาสร้างเรื่องในฐานะนักสืบ”
นัยน์ตาสีดำขึงมองอริอย่างขู่เข็ญ เขากล้ามากที่พูดออกมาแบบนั้น ทั้งที่ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน นี่มันเท่ากับจงใจเปิดเผยว่าเธอคือฆาตกรต่อหน้าคนอื่นชัดๆ และเป็นอย่างที่คิดไว้ มันเรียกความสนใจจากบุคคลที่สามในห้องได้อย่างดี มะแมมองตรงมาที่เธอด้วยแววตาพราวระยับ ชวนให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบชอบกล
“เจ้าก็ดูเหมือนคนฉลาดอยู่หรอก” นักชันสูตรพูดกับราธี เขาเดินมาแตะไหล่หนึ่งที “แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คงมีคนจับไต๋ได้ไปนานแล้ว เว้นเสียแต่ว่า...” ตาเล็กชำเลืองมาทางร้อยเปียอย่างซุนซน “นางจะเป็นสัตว์ประหลาดที่ฆ่าคนได้โดยไม่ทิ้งหลักฐานไว้เลยน่ะนะ ฮ่าๆๆ”
ใครจะไปรู้ว่าคำพูดติดตลกสามารถทำให้ราธีฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองมาที่เธออย่างใฝ่รู้ ร้อยเปียมั่นใจว่าเขากำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอหายตัวออกมาจากเรือของร้านลอยลำกำปั่น ซึ่งคงสงสัยเรื่องนี้เป็นเดิมทุนอยู่แล้ว และพอมีข้อสันนิษฐานมาส่งเสริมความคิด จึงอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิมเป็นธรรมดา ร้อยเปียไม่หลบสายตา เธอต้องไม่ให้เขาเห็นถึงความประมาท จะยังไงเสีย การที่เธอเป็นเงาคอยสิงอยู่ตามวัตถุต่างๆ คงเหนือจินตนาการของเขา แม้นว่าจะปราดเปรื่องมากก็ตาม
“เสื้อที่ยืมไว้คราวก่อน ช่วยมาเอาคืนด้วย” ราธีเบี่ยงประเด็น “มิเช่นนั้นจะโยนมันทิ้ง”
“จะทำอันใดกับมันก็สุดแล้วแต่เจ้า” นักสืบยักไหล่อย่างไม่แยแส “ในเมื่อมันเป็นของเจ้า”
“แต่ข้าให้เจ้าไปแล้ว” พัสดีหนุ่มย้อน สีหน้าไม่ได้แสดงถึงความเป็นมิตร ตรงกันข้าม มันอ่านได้ว่า ‘ข้าไม่อยากเก็บเศษผ้าที่ฆาตกรอย่างเจ้าเคยสวมใส่ไว้หรอก!’
เป็นเวลาเดียวกับที่มะแมเริ่มรู้สึกตะหงิดๆ ในบทสนทนากำกวม ตาชั้นเดียวหรี่เล็กลงอีกเท่าตัว เมื่อพยายามจับผิดคนสองคน ร้อยเปียสังเกตได้จากแววตาคู่นั้น ว่าเขากำลังสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทันใดนั้นเอง ปิศาจแห่งความเจ้าเล่ห์ในตัวก็ถูกปลุกขึ้น
“เช่นนั้นก็โยนมันทิ้งเสีย” เสียงสั่นเครือเหมือนเพิ่งโดนคนรักหักอกมาก็ไม่ปาน “โยนทิ้งไปพร้อมกับความทรงจำในคืนนั้น”
“ไม่นะ…” นักชันสูตรพึมพำกับตัวเอง ยังคงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ข้าทำแน่” ราธียืนกรานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่พอดีเป็นคนจำอะไรฝังใจ ไม่แน่ใจนักหรอกว่าจะลืมทั้งหมด”
ยิ่งอยากจะขู่ฝ่ายตรงข้ามมากเท่าไหร่ ก็เหมือนยิ่งตกลงไปในหลุมพรางเท่านั้น ราธีผู้น่าสงสารทำได้เพียงเล่นไปตามน้ำ โดยหารู้ไม่ว่าเหยียบโดนกับระเบิดเข้าอย่างจัง ในขณะที่ตอนนี้มะแมดูจะตกใจไม่น้อยกับข้อมูลใหม่
ไอ้นี่มันเป็นชู้กับร้อยเปียเรอะ มิน่าล่ะ มันถึงได้บอกว่าลืมเรื่องราวในคืนนั้นไม่ได้ ว่าแต่ในคืนนั้น…ไม่อยากจะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“ผ่านมาเยอะนี่” ร้อยเปียแกล้งสะบัดหน้าอย่างงอนง้อ “แค่นี้ไม่ใช่ปัญหาหรอก”
ผ่านมาเยอะของเธอ อาจจะหมายถึงการจับผู้ร้ายเข้าคุก แต่ผ่านมาเยอะของมะแม มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เจ้าตัวคงกำลังคิดว่า...
เห็นหงิมๆ แบบนี้ ผ่านผู้หญิงมาเยอะเลยรึ?!
“แต่เจ้าต้องไม่ลืม” พัสดีกำชับเสียงแข็ง “ถึงสัญญาที่ได้ให้ไว้ครั้งก่อน”
เมื่อถึงตรงนี้ ร้อยเปียเริ่มหมดสนุกกับการแหย่เจ้าแมวเหมียว เพราะความจริงที่ว่าเธอต้องเข้ามอบตัวภายในสองวันนี้ เริ่มถาโถมเข้าใส่หัวใจให้กระวนกระวายอีกครั้ง
“นี่…พวกเจ้าเป็นชู้กันสินะ!” มะแมโพล่งขึ้นอย่างเก็บอาการไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“จะบ้าหรือไง พูดอะไรของเจ้า เหลวไหลทั้งเพ” ราธีสบถ เขาลุกขึ้นยืนด้วยความตระหนก ดวงหน้าหล่อเหลาดูเหมือนคนโง่ขึ้นมาหน่อยก็คราวนี้
พัสดีหนุ่มคนนี้ อาจจะเก่งในเรื่องการวางแผน แต่เขายังอ่อนประสบการณ์ยิ่งนัก ในเรื่องเล่ห์เหลี่ยม โดยเฉพาะเล่ห์เหลี่ยมจากสตรีเพศ
“หึ อย่ามาแถเสียให้ยาก พวกเจ้าได้เสียกันแล้ว และในเช้าวันต่อมา ร้อยเปียก็จงใจทิ้งชุดที่เจ้าซื้อให้ไว้ในห้องเจ้า เพราะต้องการให้จดจำนางไว้ก่อนจะต้องไปเข้าเรือนกับหญิงอื่น ก่อนจากกัน พวกเจ้าสัญญากันเอาไว้ว่าจะไม่ลืมอีกฝ่ายถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน” หนุ่มผมทองดูมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินกับเรื่องเล่าที่เขาปะติดปะต่อกันเอง “และถึงแม้เจ้าจะผ่านผู้หญิงมาเยอะ แต่ก็ไม่อาจลืมร้อยเปียได้สินะ”
“อะ…อะไรนะ” ราธีพูดติดขัด คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะคิดไปได้ไกลเพียงนี้
“ดังนั้น มันอธิบายได้อย่างชัดแจ้ง ว่าเจ้าน่ะ อาจจะเป็นคนลงมือฆ่าผู้ตาย เพราะหญิงที่เจ้ารัก แท้จริงแล้วคือร้อยเปีย!”
“มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเสียหน่อย…” พัสดีหนุ่มดูร้อนรนกว่าครั้งไหน เขาหันมาขอความช่วยเหลือจากเธอ “นี่ พูดอะไรบ้างสิ เจ้านี่เข้าใจข้าผิดหมดแล้ว”
ร้อยเปียกล้ำกลืนความขบขันไว้ เธอปาดน้ำตาที่บีบออกมาอย่างไม่ยากเย็นออกจากแก้ม นั่นยิ่งส่งผลความเข้าใจผิดของมะแมเพิ่มขึ่น ส่วนราธีกำลังอึ้งในความสามารถทางการแสดงของหญิงสาวผู้มากเล่ห์อยู่
“มะ…ไม่ ข้าสาบานได้” มือทั้งสองยกขึ้นอย่างยอมจำนน “ระหว่างข้ากับร้อยเปีย เราไม่ได้มีอะไรกัน”
“แล้วไอ้บทสนทนาคลุมเครือเมื่อครู่มันหมายความว่ายังไงกัน” นักชันสูตรไล่บี้ต่ออย่างไม่ยอมแพ้
ราธีกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ความจริงที่อยู่เบื้องหลังบทสนทนา เขาไม่สามารถเปิดเผยได้ และในเมื่อมันเปิดเผยไม่ได้ เขาก็ไม่อาจหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาที่ว่าตนเป็นชู้กับนักสืบสาว มิหนำซ้ำสาวจอมกะล่อนยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำเดียว
“ไปถามร้อยเปียเอาเองก็แล้วกัน!” หนุ่มผู้อ่อนต่อโลกตอบปัด หน้าแดงก่ำเป็นผลตำลึงสุก ที่ไม่แน่ใจว่าด้วยฤทธิ์โกรธหรือเพราะเขินจัดกันแน่
ในเวลานั้นเองที่ร้อยเปียไม่อาจเก็บความขบขันไว้ได้อีก เธอระเบิดหัวเราะออกมาอย่างหมดความอดทน ท่ามกลางความงุนงงของมะแม และความเดือดดาลของราธี ที่ในที่สุดก็รู้ตัว ว่าโดนเสือสาวแหย่ให้ติดกับของมัน
“ตลกเป็นบ้า” นักสืบว่าพลางกุมท้องที่แข็งจากการขำมากเกินไป
“นี่มันใช่เวลามาตลกหรือไง” ราธีเอ็ด มองหน้าอริอย่างแค้นเคืองที่เกือบทำให้ตนด่างพร้อย
“ตกลงนี่มันยังไงกันแน่” มะแมเกาหัวแกรกๆ สบตาคนทั้งคู่ไปมาอย่างขอคำอธิบาย
“ก็ไม่มีอะไร” ร้อยเปียตอบสั้นๆ “ข้าไม่ชอบเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้านั่นหรอก”
พัสดีหนุ่มชะงักกึกเมื่อโดนหมิ่น “แน่นอนอยู่แล้ว เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างข้าน่ะ คู่ควรกับอิสตรีที่จิตใจสูงส่งกว่าเจ้าเยอะ”
“หุบ...”
“ไม่เอาน่า อย่าทะเลาะกันเลย ข้ายังไม่อยากมีงานเพิ่มขึ้น” มะแมได้ทีรีบห้ามทัพ เขาเข้าไปผลักราธีให้นั่งลงดังเดิม “แค่ศพเดียวก็จะแย่อยู่แล้ว ถ้าไม่เกรงใจข้า ก็ช่วยเกรงใจหน้าหล่อๆ ของข้าด้วย”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินไปหาศพ เขานั่งชันเข่าลงกับพื้น สายตาลากผ่านทุกส่วนบนร่างกายของผู้ตายเพื่อตรวจดูสภาพศพอย่างละเอียด ในขณะที่มือหนึ่งก็จับไปตามลำตัวเป็นครั้งคราว
“ตัวยังอุ่นๆ อยู่ ตาขาวเป็นสีปกติ กล้ามเนื้อก็ยังมีการยืดหยุ่น ไม่ได้แข็งหรืออ่อนยวบจนเกินไป” นักชันสูตรทำหน้าที่ของตนได้อย่างไม่มีที่ติ “สันนิษฐานเวลาตาย ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก่อนเจ้าบ่าวขานชื่อจากด้านนอก”
“บ้าจริง” ถึงจะเบา แต่ร้อยเปียได้ยินเสียงบ่นอุบจากราธีได้อย่างชัดเจน “ถ้าข้ามาไวกว่านี้...”
“คนจะตาย อะไรก็ห้ามไม่ได้ ไม่เคยได้ยินหรือไง” มะแมตัดบท “โทษตัวเองไปก็เปล่าประโยชน์”
“แล้วสาเหตุการตายล่ะ” ร้อยเปียถาม พร้อมกับหยิบใบลานและเหล็กจารออกมาจากย่าม เตรียมพร้อมสำหรับการจดบันทึกทุกเมื่อ
“อืมมมม” เด็กหนุ่มลูบคางอย่างใช้ความคิด เขาชี้ไปที่บาดแผลเหวอะบนหน้าผากศพ “ดูจากภายนอกก็เหมือนจะเป็นเพราะโดนเครื่องปั้นดินเผาหล่นใส่หัว จึงทำให้เลือดออกและคลั่งในสมองจนเสียชีวิต”
“สรุปคือ เพราะบาดเจ็บที่ศีรษะสินะ” ร้อยเปียว่าเองเออเอง ตั้งท่าจะวางเหล็กจารลงบนใบลาน
“ใช่ซะที่ไหนล่ะ” มะแมรีบขัด เขาดึงเหล็กจารออกจากมือเธอไปถือไว้เอง “ข้ายังพูดไม่จบเสียหน่อย”
“แล้วมันยังไงล่ะ” ราธีถามขึ้นบ้าง ถึงจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินมาดูใกล้ๆ แต่แววตาเต็มไปด้วยความกระหายใคร่รู้ “ตกลงนางสิ้นใจเพราะอะไรกันแน่”
“ดูเผินๆ อาจจะเป็นเพราะโดนทำร้ายที่ศีรษะ แต่ไม่มีอะไรเล็ดลอดสายตาอันเฉียบคมของข้าไปได้” หนุ่มผมทองเสยผมอย่างวางมาด
“อย่าเฉไฉน่า” นักสืบตบเข้าให้ที่ท้ายทอยจนหน้ามะแมแทบคว่ำลงไปจุมพิตกับร่างไร้วิญญาณ เพื่อเอาตัวรอด เขาจึงต้องยันตัวเองไว้ด้วยมือทั้งสอง และมือข้างหนึ่งก็ไปเกี่ยวเข้ากับเกาะอกที่ถลกลงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เฮ้ย!” เด็กหนุ่มหันขวับไปข้างหลังแทบไม่ทัน “ขะ...ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”
“มะแม!” ร้อยเปียร้องเรียกชื่ออีกฝ่าย
“ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ตั้งใจไงล่ะ รีบดึงมัน...”
“มะแม หันกลับมา เร็วเข้า!”
คำสั่งประกาศิตที่ออกมาจากปากสาวผู้มีอำนาจ ทำให้นักชันสูตรไม่มีทางเลือก นอกเสียจากทำตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย แน่นอนว่าเขาเคยชินแล้วกับการเห็นร่างอันเปลือยเปล่าของศพ แต่ไม่ใช่ต่อหน้าคนอื่น เพราะเวลามีคนมาจ้องตอนที่กำลังทำงานกับศพน่ะ มันช่างเป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยจริงๆ
ใบหน้าค่อยๆ หันกลับไปจนมองเห็นภาพตรงหน้า สิ่งที่เห็นคือรอยโบ๋บริเวณกลางหน้าอกระหว่างเต้านมทั้งสอง ที่กินพื้นที่ลึกลงไปจนเห็นหลอดลมยาว แต่หลอดลมนั้น แทนที่จะเป็นสีขาวตามสีของกระดูก มันกลับกลายเป็นสีดำสนิทดูน่าขนพองสยองเกล้า
“ว่าแล้วเชียว” มะแมงึมงำ
“อะไรหรือ เกิดอะไรขึ้น!” ราธีร้องถามอย่างร้อนรน เขาผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้ง พยายามชะเง้อมองเหตุการณ์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากทั้งคู่บังไว้จนมิด
“ดูจากปากที่อ้าค้างไว้ ตาที่เหลือกขึ้น ประกอบกับมือที่จับอยู่ที่คอก่อนหมดลมหายใจ และที่สำคัญที่สุด รอยไหม้ตรงหน้าอกที่ลึกลงไปถึงหลอดลม สรุปได้อย่างเดียวว่า...” นักชันสูตรชี้นอแรดสีดำปลายส้มไปที่ร่างไร้วิญญาณ “เขาถูกวางยาพิษ”
“ยาพิษ!?” ร้อยเปียและราธีทวนขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่นักสืบจะถือโอกาสดึงเหล็กจารคืนมา และตั้งหน้าตั้งตาบันทึกทุกเหตุการณ์ลงไปอย่างละเอียดยิบ
“พอจะบอกได้ไหมว่าเป็นยาพิษชนิดไหน” ร้อยเปียซักต่อ มือข้างขวายังคงลากผ่านใบลานไปมาอย่างมุมานะ
“ถ้าเป็นไปตามที่ข้าคิด” มือใหญ่ล้วงเข้าไปในปากผู้ตาย มุมปากกระตุกขึ้นเมื่อสัมผัสบางอย่างเข้า “ของที่ถูกวางยา จะยังอยู่ในสภาพดีถึงดีมาก”
มะแมดึงวัตถุต้องสงสัยออกมา เขาแบมือออก เผยให้เห็นของเกือบเหลวสีแดง ที่ยังคงสภาพเม็ดเล็กๆ ไว้อยู่ ใช่แล้ว มันคือหมากที่สะไบกินก่อนเสียชีวิตลง ยาพิษต้องถูกใส่ไว้ในนั้นไม่ผิดแน่
แต่ว่ายังไงกันล่ะ?!
“ผู้ตายคงมีนิสัยกินหมากที่ตำแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าหมากนี่ยังไม่ถูกเคี้ยวมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่า แค่กัดทีสองทีพิษก็ออกฤทธิ์จนทำให้ถึงฆาต และในพุฒภารา มีพิษแค่ชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำได้” เด็กหนุ่มอธิบายอย่างผู้รู้ “พิษจาก...”
“รากสำแลง” ราธีแทรก จริงๆ เธอไม่แปลกใจที่เขารู้เรื่องนี้
เพราะยังไง ราธีก็เป็นผู้ต้องสงสัย ที่น่าสงสัยมากที่สุดสำหรับเธอ จนเกือบแน่ใจว่าเป็นเขาที่ฆ่าสะไบเองกับมือ
“รู้ดีจริงนะ” ร้อยเปียประชดเหมือนกำลังจะบอกกลายๆ ว่าเขาเป็นฆาตกร พัสดีหนุ่มขยับเปลือกตาถี่ๆ ก่อนจะหลบสายตาไปที่อื่น สร้างความน่าสงสัยให้กับร้อยเปียอีกเท่าตัว
แววตานั้น บ่งบอกว่าเขามีบางอย่างปิดบังเธออยู่ และครั้งนี้เป็นคราวของเธอ ที่จะหาหลักฐานมายืนยันในสิ่งที่ตนคิด น่าสนุกดีนี่...
“แต่ยังไงก็ยังต้องตรวจสอบก่อนว่าสารพิษในท้องเป็นตัวเดียวกับในหมากหรือเปล่า บางทีนี่อาจจะเป็นกลลวงของคนร้ายก็ได้” มะแมว่าต่อ พลางดึงเกาะอกขึ้นมาปิดหน้าอกไว้อย่างเดิม “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าคงต้องขออนุญาตให้คนของข้ามายกศพไปตอนนี้เลย”
“เดี๋ยว” ราธีห้ามไว้ก่อน รู้สึกตะขิดตะขวงใจแปลกๆ “คนของเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
หนุ่มหน้าละอ่อนเกาหัวอย่างไม่เข้าใจในคำถามประหลาด “ก็ขี่ควายมาน่ะสิ ถามได้”
“ไม่ใช่แบบนั้น” นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบผ่านคนทั้งสองอย่างรู้เท่าทัน “สะไบจ้างพวกเจ้าทั้งสองคนมาสินะ”
ห้องทั้งห้องที่เคยมีเสียงพูดคุย บัดนี้มันเงียบเป็นเป่าสาก ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนั้นด้วยการยืนนิ่งไม่เอ่ยปากสักแอะ เอาแต่จ้องกันไปมาเหมือนอยากจะถามความเห็น คงจะดีหากสามารถสื่อสารกันผ่านโทรจิตได้
“ทั้งนักสืบและนักชันสูตร มาอยู่ในงานเดียวกันแบบนี้ ดูจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ” ราธีกล่าวต่ออย่างมีเหตุผล เขาหันไปคาดคั้นกับมะแม “นางเตรียมตัวตายไว้แล้วใช่หรือเปล่า”
ความจริงของคดีนี้ยิ่งทำให้ราธีรู้สึกแย่ ทั้งๆ ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นภายใต้จมูกของเขาแท้ๆ แต่ก็ยังไม่นึกเอะใจ มิหนำซ้ำยังปล่อยให้เลยเถิดจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ถึงเหตุผลที่เธอตั้งใจจะบีบคอเขาตายเสียที เพราะสะไบรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตายวันนี้ และคงกะจะให้เขาตายไปพร้อมกับเธอ
‘ในโลกนี้เจ้าอาจจะไม่ได้รักข้า แต่หลังจากนี้ มันก็ไม่แน่’
ประโยคที่แฝงไปด้วยความหมายนั้นก่อนที่เธอจะลงมือ ในที่สุด เขาก็เข้าใจมันอย่างถ่องแท้
“พวกเจ้ามันอสรพิษ” พัสดีหนุ่มกำมือแน่นด้วยความรู้สึกเคียดแค้นต่อคนสองคนที่ไม่คิดจะหยุดยั้งการฆาตกรรม ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ามันจะต้องเกิดขึ้น
นักสืบสาวมองนักชันสูตรอย่างครุ่นคิด นั่นสินะ ทำไมเธอถึงไม่ฉุกคิด ว่าทำไมมะแมถึงมาอยู่ที่นี่พร้อมกับหน่วยงาน ในเวลาที่เหมาะเจาะแบบนี้ คนที่เตรียมการมาดีที่สุด เห็นจะเป็นตัวผู้ตายเอง...
“อย่าเหมารวมซี่ นางแค่เขียนจดหมายมาบอกว่า คืนนี้อาจจะมีเหตุนองเลือดเท่านั้นแหละ ใครจะไปคิดเล่า ว่าจะเป็นตัวนางเองที่จากไปแบบนี้” มะแมโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันควัน “ถ้าจะมีใครสักคนที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าเพื่อน ก็น่าจะเป็น...” เขาบุ้ยใบ้มาทางหญิงสาวคนเดียวในกระโจม “นักสืบที่นางจ้างมาช่วยไขคดีมิใช่หรือ”
สองหนุ่มหันมาขอคำตอบจากเธอ ร้อยเปียสูดหายใจเข้าปอดอย่างเตรียมใจรับผลของการกระทำ
“ใช่ นางจ้างข้ามาจับคนร้ายในคดีนี้”
ราธีปรี่เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว สองมือเขย่าตัวเธอเหมือนต้องการให้คายความจริงออกมาให้หมด ดวงตาสวยคู่นั้นแลดูมีน้ำโหและหม่นหมองในเวลาเดียวกัน น้ำใสๆ เอ่อขึ้นที่เบ้าของชายผู้อ่อนโยน
“หมายความว่าเจ้ารู้อยู่แล้วน่ะหรือว่านางจะตาย” สุรเสียงไร้เรี่ยงแรงราวกับคนใกล้จะสิ้นลม และแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มอย่างไม่คิดจะควบคุม “เจ้ารู้อยู่แล้ว แต่ไม่คิดจะปกป้อง นั่นมันชีวิตคนทั้งคนนะ จิตใจเจ้ามันทำด้วยอะไรกันแน่”
มะแมยืนดูภาพน่าสลดใจด้วยความสงบพลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย หญิงแกร่งนามร้อยเปีย ถึงจะมีชื่อเสียงเรื่องความบุ่มบ่ามและเลือดเย็น แต่จะถึงขนาดปล่อยให้คนทั้งคนตายไปโดยไม่ทำอะไรเลยอย่างนั้นหรือ ส่วนเจ้าพัสดีหนุ่มนั่น เขาพอจะดูออกอยู่ว่าไม่ได้มีใจให้กับเจ้าสาวที่จากไป ดังนั้นจึงไม่แน่ใจ ว่าที่เห็นอยู่เป็นเพียงการแสดง หรือมันออกมาจากใจจริงกันแน่
แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง จะมีจริงๆ น่ะหรือ บุรุษที่จิตใจเปราะบางเพียงนี้น่ะ
“การคุ้มครองชีวิตคนอื่นไม่ใช่หน้าที่ของนักสืบ” ปากหนักไม่ยอมพูดความจริงออกไป แต่ทั้งนี้ก็เพราะเธอไม่ต้องการให้เขาเห็นถึงความอ่อนไหว “มิเช่นนั้นแล้วจะมีทหารไว้คอยอารักขาคนอื่นทำไมกัน”
“มันไม่ใช่เรื่องของหน้าที่” ราธีท้วงขึ้นทันที มุมปากที่เคยเชิดขึ้นเหมือนยิ้มอยู่ตลอดคว่ำลง “มันเป็นเรื่องของจิตสำนึก...ที่เจ้าไม่มี”
“อย่าทำปากมากไปหน่อยเลย ราธี” ร้อยเปียติติง แกล้งทำเป็นปัดฝุ่นออกจากไหล่ของคนตัวสูงกว่าด้วยท่าทางกวนประสาท “อย่าลืมว่าเจ้าก็ยังเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย”
ชายผู้เลอโฉมไม่ตอบโต้ใดๆ เขาปัดมือเรียวออกจากบ่าอย่างไม่ใยดี มะแมกระแอมสองสามทีเพื่อทำลายบรรยากาศมาคุให้สิ้นซาก เขาเดินไปกอดคอชายที่อายุมากกว่าพร้อมกระซิบบางอย่างที่ข้างหู
“ข้าปลอบคนไม่ค่อยเก่งหรอก แต่จะบอกอะไรให้เอาบุญ” เจ้าตัววาดไม้วาดมือโฆษณาเต็มที่ “สตรีน่ะมีเยอะแยะ นางคนนี้ก็ไม่ได้สวยโดดเด่นอะไรอยู่แล้วนี่ หาใหม่เถอะ ของงามๆ กว่านี้น่ะ กระจายอยู่ทั่วพุฒภารา ให้ข้าหาให้สักคนก็ยังได้”
“เก็บไว้เชยชมคนเดียวเถอะ หญิงที่งามแต่ภายนอกพวกนั้นน่ะ” พัสดีหนุ่มกระซิบกลับด้วยเสียงซังกะตาย เนื่องจากไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเล่น
นักชันสูตรหัวเราะในลำคอ แววตาซุนซนเหล่มองคนแก่กว่าอย่างค่อนแคะ “แล้วอย่าให้ข้าเห็นว่าเจ้าไปพัวพันกับหญิงงามพวกนั้นก็แล้วกัน พ่อจะหัวเราะให้ฟันหัก” ว่าเสร็จก็ตะโกนเรียกพรรคพวกให้เข้ามาสะสางงานให้เสร็จ “เอาล่ะ เข้ามาได้!”
ไม่ทันขาดคำ ผู้ชายสามคนก็เข้ามาพร้อมอุปกรณ์บางอย่าง เป็นด้ามไม้ยาวสองด้ามที่มีด้ามจับแลดูทนทาน เมื่อถึงร่างที่นอนแน่นิ่ง ผู้ช่วยคนหนึ่งก็จับไม้ด้ามหนึ่งไว้ตามแนวยาว ปล่อยให้อีกด้ามหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง และก็หยุดลงด้วยกับการกระชากของผ้าซึ่งยึดไม้ทั้งสองไว้ ดูเผินๆ คล้ายม้วนกระดาษขนาดใหญ่
“ยกเบาๆ ล่ะ นี่เป็นของมีค่า เปรียบดั่งหัวใจของการไขคดีเลยนะ” มะแมวางท่าสั่งสมุน ก่อนจะออกแรงยกตรงส่วนศีรษะของศพไปพร้อมกับผู้ช่วยอีกคนหนึ่งที่หิ้วส่วนขา
สะไบที่ไร้วิญญาณถูกวางลงบนเปลที่มีชายสองคนช่วยกันพยุงด้ามจับไว้คนละข้าง น้ำหนักที่ถูกทิ้งไปส่งผลให้เปลอ่อนยวบลง แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของสมุนทั้งสอง ศพจึงยังอยู่รอดปลอดภัยบนเปลผ้าอย่างไม่เสียหายเลยสักนิด
“ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวจะส่งสารไปแล้วกัน หรือถ้าอยากได้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว โรงชำแหละข้าอยู่ไม่ไกลจากตำหนักแห่งบางมฤค ถามคนแถวนั้นเอาก็ได้” มะแมหันไปฉีกยิ้มให้กับคนที่เสียใจที่สุดในกระโจม “ส่วนเจ้า ขอให้โชคดีกับชีวิตโสด”
ไม่นานนัก ศพก็ถูกหามออกไปจากที่เกิดเหตุ บรรยากาศชวนวิ่งหนีกลับมาอีกครั้งเมื่ออริต้องอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“คดีนี้ คิดไว้หรือยังว่าจะให้ใครเป็นแพะ” ราธีเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน คำถามที่ฟังดูเหมือนต้องการหาเรื่องมากกว่าคำตอบ “หวังว่าคงไม่ใช่ข้าหรอกนะ”
“ข้าไม่ทำคดีนี้” ร้อยเปียตอบปัด เธอยื่นใบลานที่จดรูปคดีทั้งหมดให้ราธี
“ถ้าเจ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ”
“จะใครซะอีกที่ฉลาดพอจะทำ ถ้าไม่ใช่เจ้า”
“นี่เจ้ากำลังประชดข้าอยู่หรือ” พัสดีหนุ่มกอดอกแน่น
“เปล่าเลย ราธี ข้าเปล่าประชด” นักสืบสาวก้าวเท้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น “จับตัวคนร้ายในคดีนี้ให้ได้ และข้า...” นัยน์ตาสีดำจ้องอริตรงๆ อย่างจริงจังผสมท้าทาย “จะยอมมอบตัวตามที่เจ้าต้องการ”
-----------------------------------------------------------------------------------
เกือบอาทิตย์เลยว่ะ ไม่ได้ตั้งใจจะหายไปขนาดนี้นะ พอดีมันเพลียร่างเฉยๆ ยกโทษให้ด้วยก๊าบบบ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ