The Slaying Shadow
เขียนโดย AiPie
วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.19 น.
แก้ไขเมื่อ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่ ๓ เรามาตายด้วยกันเถอะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓
เรามาตายด้วยกันเถอะ
ภายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งบางชลาลัยที่เต็มไปด้วยบ้านหลังจ้อยติดกันหลายหลัง ต่างเป็นชายคาที่ทั้งเก่าและโทรม ผู้คนพลุกพล่านอยู่ด้านนอกเต็มไปหมด เสียงพูดคุยจอแจดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ สาเหตุที่หมู่บ้านแห่งนี้ดูหนาแน่นผิดปกติ เพราะวันนี้เป็นวันสำคัญของคู่บ่าวสาวคู่หนึ่งซึ่งกำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมาย
หญิงสาวผู้อยู่ในชุดกางเกงยาวและเสื้อตัวหลวมหันซ้ายทีขวาที สายตาสอดส่องหาเป้าหมาย และในที่สุดมันก็หยุดลงที่กระโจมขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ที่ซึ่งเป็นสถานที่เก็บตัวของฝ่ายหญิง และเป็นดังด่านสุดท้ายของการทำพิธี หรือที่เรียกว่า ‘ประตูทอง’ เธอกระชับหมวกสานใบโตที่สวมอยู่ให้บดบังโฉมหน้า เพื่อไม่ให้ใครจดจำหน้าตาอันเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งพุฒภาราได้ เท้าทั้งสองเริ่มก้าวเดินไปตามทาง แต่ก่อนที่จะได้เปิดกระโจมเข้าไป เธอก็โดนดักไว้โดยใครบางคน
“แขกในงานก็ต้องอยู่ข้างนอกซี่”
หญิงแกร่งตวัดตามองผู้มาขัดจังหวะ เขาเป็นชายร่างสูงชะลูดในชุดผ้าไหมสีเข้มดูมีราคา ดวงตาหรี่เล็กจับจ้องมาที่เธอเป็นประกายราวกับเด็กทารกที่เพิ่งเคยเห็นของเล่นเป็นครั้งแรก ใบหน้าไม่ได้มีอะไรโดดเด่นจนต้องเหลียวกลับมามองเป็นรอบที่สอง เปลือกตาไม่มีชั้นบวกกับสันจมูกที่ออกจะแบนราบ ทำให้เขาดูเป็นชายหน้าตาธรรมดาที่หาได้ทั่วไป แต่สิ่งที่เพิ่มเสน่ห์ให้กับคนๆ นี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากเขี้ยวแหลมที่โผล่พ้นเหงือกออกมา เขี้ยวสองเขี้ยวที่ดูแวบแรกให้ความรู้สึกขี้เล่น แต่เมื่อมองนานๆ เข้า ก็รับรู้ได้ถึงความสมบุกสมบัน
และสิ่งที่สะดุดตาที่สุด เห็นจะเป็นเรือนผมสีทองที่เธอแน่ใจว่าเคยเห็นมาก่อนแล้วเมื่อไม่นานมานี้
“ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้าสาวก่อนเริ่มพิธี” ร้อยเปียดัดเสียงให้ต่ำลง หวังให้เขาจำเธอไม่ได้ เธอชะเง้อมองข้างในกระโจม พลางจับหมวกไว้หลวมๆ อย่างหวาดๆ ว่าอีกฝ่ายจะเห็นหน้า ม่านลูกไม้ที่กั้นทางเข้าไว้ ปิดกั้นทัศนียภาพจนไม่อาจมองทะลุเข้าไปได้ชัดเจน
“เรื่องที่ว่า เจ้าต้องเข้าไปคุยในฐานะอะไรล่ะ” สีหน้าของหนุ่มน้อยดูกระหายใคร่รู้และหยั่งเชิงในเวลาเดียวกัน “ฐานะเพื่อน พี่สาว คนรู้จัก หรือ...ฐานะนักสืบ”
สาวน้อยปรายตามองอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา “จำข้าได้ด้วยหรือ”
“จำได้ซี่ เจ้าน่ะจำง่ายจะตาย ต่อให้หาโอ่งมาคลุมหน้า ข้าก็จำได้” ชายปริศนากล่าวทีเล่นทีจริง “รู้หรือเปล่า แถวบ้านข้า เขาเรียกเจ้าว่า ‘นักแต่งเรื่องตอแหล’”
“แถวบ้านเจ้าน่ะ มีเจ้าอยู่คนเดียวสินะ” นักสืบสวนกลับอย่างรู้ทัน
“ฮ่าๆๆ” หนุ่มหน้าละอ่อนหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ “ว้า รู้ทันแบบนี้ก็หมดสนุกสิ” เขายกมือปาดน้ำตาที่เอ่อล้นจากความตลกขบขัน “แต่จริงๆ แล้วมันเป็นคำชมนะ ก็แหม เวลาเจ้าไขคดีน่ะมันเหมือนกำลังเล่านิทานเลยนี่นา มันก็แค่น่าสนใจมากจนฟังดูเหมือนเรื่องตอแหลแค่นั้นเอง ข้าชมเจ้าอยู่จริงๆ” เขายกมือขึ้นแสดงความบริสุทธิ์ใจ
“สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่เนี่ย แถวบ้านข้าเขาเรียก ตบหัว...” ร้อยเปียตบเข้าที่หน้าผากของอีกฝ่ายจนเจ้าตัวแทบหงายหลัง “แล้วลูบหลัง” มือเล็กไล่ลงมาที่ไหล่กว้าง ก่อนจะบีบมันเต็มแรง
“โอ๊ยยยยยยย!” หนุ่มขี้เล่นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดพลางคลำไหล่ตัวเองป้อยๆ “ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้นี่”
“ถือเป็นการทักทายในแบบฉบับของข้าก็แล้วกัน” นัยน์ตาสีดำจ้องอีกฝ่ายอย่างหยอกเย้า “อ้อ แล้วก็แถวบ้านข้าน่ะ ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียวหรอกนะ”
ผู้ขัดจังหวะขำยกใหญ่ให้กับคำประชดประชันแสนเจ็บแสบ หนุ่มอารมณ์ดีไม่ได้มีท่าทีโกรธ ในทางกลับกัน แววตาซุกซนพราววับอย่างถูกใจกับบทสนทนาติดตลกที่แฝงไว้ด้วยสาระนี้
“ไม่คิดจะถามชื่อเสียงเรียงนามกันหน่อยรึ ไหนๆ ก็ทักทายเสียข้าน่วมขนาดนี้แล้ว”
“อ้อ นั่นสินะ” ร้อยเปียดีดนิ้วดังเปราะเหมือนเพิ่งคิดอะไรออก “ปล่อยให้เจ้ารอเก้อมาครั้งหนึ่งแล้ว”
“เจ้าต่างหากล่ะที่รอ เพราะเจ้าเป็นคนถามชื่อข้าเองตั้งแต่ครั้งที่แล้ว” หนุ่มน้อยขยิบตาให้หนึ่งที ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้นเล็กน้อย “ไหนๆ เราก็ทำงานวงการเดียวกัน ข้าคิดว่ารู้จักกันไว้คงไม่เสียหลาย” เจ้าตัวเว้นช่วงนิดหน่อย เขายืดอกอย่างวางท่า “ข้าชื่อมะแม เป็นนัก...”
“ร้อยเปีย!”
จู่ๆ บุคคลที่อยากจะเจอมากที่สุดเมื่อสักครู่ ก็โผล่มาในจังหวะที่อยากเจอน้อยที่สุด เด็กสาวคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาจากม่านโปร่งแสง ถึงแม้ผมเผ้าจะถูกรวบเก็บไว้อย่างดี และใบหน้าจะถูกเติมแต่งด้วยเครื่องสำอาง แต่ก็ไม่อาจกลบเบ้าตาลึกจากการอดนอนได้มิด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เจ้าหล่อนคือเจ้าสาวของงาน หรือนายจ้างของร้อยเปียนั่นเอง
“ทำไมไม่เข้ามาล่ะ ข้ารออยู่” สาวเจ้าทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างรำคาญใจ
“ขอโทษที” ร้อยเปียปรายตามองชายหน้าละอ่อน “พอดีมีแมลงหวี่ตัวหนึ่งมาขวางทางข้าไว้”
เจ้าสาวขมวดคิ้วอย่างนึกฉงน แต่เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะถามไถ่เรื่องไร้สาระ ในขณะที่ ‘แมลงหวี่’ ตัวนั้นได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ กลับมา
“เข้ามาสิ” สาวน้อยกวักมือเรียก ก่อนจะหายเข้าไปในกระโจม
หญิงแกร่งหันไปหาชายผู้เกือบจะแนะนำตัวเสร็จ “เวลาข้ามีไม่มาก แต่หากเราทำงานในวงการเดียวกันจริง นี่คงไม่ได้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราเจอกัน”
“แน่นอน ดูจากรูปการณ์แล้ว คงอีกไม่นานเกินรอ” มะแมฉีกยิ้มอย่างมีเลศนัย โดยเฉพาะเมื่อเขี้ยวน้อยๆ โผล่ออกมาทักทาย
หวังว่าคงไม่มีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั่นหรอกนะ...
ร้อยเปียแหวกม่านเข้าไปด้านใน แสงที่ไม่สามารถสาดส่องเข้ามาได้มากทำให้พื้นที่เล็กๆ นี้ มืดกว่าด้านนอก โชคดีที่ยังมีตะเกียงวางอยู่สองจุดช่วยให้มองเห็นอะไรได้ถนัดตาขึ้น ภายในกระโจมค่อนข้างแคบ แต่ก็มีพื้นที่มากพอจะวางโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งซึ่งมีพานสามใบตั้งอยู่
พานใบแรก มีใบพลูสีเขียวกับเหลืองม้วนไว้ปนกันหลายใบ พานใบที่สอง เต็มไปด้วยผลหมากที่ถูกเจียนและผ่าแบ่งออกเป็นเสี้ยวๆ ไม่ต่ำกว่าสิบผล และพานใบสุดท้าย มีเส้นสีน้ำตาลคล้ายกากมะพร้าวหรือ ‘ยาฝอย’ ที่มีไว้เพื่อกินแกล้มกับหมาก ขดตัวขยุกขยุยกันเป็นก้อน ข้างกันเป็นปูนแดงที่ถูกใส่แยกไว้ในถ้วยเล็กๆ และที่ขาดไปไม่ได้ คือครกขนาดกำลังพอดีมือที่ใช้สำหรับตำหมาก มันยังอยู่ในสภาพดีถึงดีมาก คาดว่าคงเป็นของที่ได้มาใหม่
“นั่งก่อนสิ” สะไบผายมือให้แขกคนสำคัญนั่งลง ในขณะที่ตนเอื้อมมือไปหยิบใบพลูมาหนึ่งใบ
“หญิงที่เคี้ยวหมากก่อนเข้าพิธี เห็นทีคงไม่งามเท่าไหร่” นักสืบเตือนด้วยความหวังดี พร้อมกับหย่อนตัวลงนั่งที่พื้นตามคำเชิญ
“ช่างข้าเถอะ” เด็กสาวตอบปัด ทำหน้าขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด “ข้าจ้างเจ้ามาช่วยข้า ไม่ได้ให้มาขัด”
นางเป็นผู้หญิงเอาแต่ใจ ร้อยเปียสรุปสั้นๆ ปากเจ้ากรรมขยับออกเหมือนอยากจะพูดบางอย่าง แต่แล้วมันก็ปิดลง เธอเม้มริมฝีปากแน่น พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้มีอิทธิพลเหนือหน้าที่ สิ่งที่เธอต้องการคือเบี้ย ไม่ใช่ความเคารพจากผู้ว่าจ้าง ดังนั้น ต่อให้เธอถูกหรือหล่อนผิดเพียงใด ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะต่อล้อต่อเถียง
หญิงสาวถอดหมวกใบใหญ่ที่ใช้อำพรางตัวออกจากหัว ผมเปียที่ซ่อนไว้ภายในหมวกจึงหล่นลงมาตามแรงโน้มถ่วง
“จะจ้างข้าทำอะไรก็ว่ามา” เธอตัดสินใจถามอย่างไม่รอช้า
สะไบ นายจ้างจากตระกูลร่ำรวยดูเป็นกังวลเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มือที่กำลังใช้พู่กันทาปูนแดงลงบนใบพลูชะงักลงทันที สาวเจ้ามีอาการเหม่อลอยนิดหน่อย แต่แล้วก็รวบรวมสติกลับมาได้ หล่อนวางพู่กันลงในถ้วยเล็ก และหยิบหมากเสี้ยวหนึ่งมาวางไว้บนใบสีเขียว ก่อนจะห่อมันอย่างช่ำชองและยื่นมันให้กับแขก
ร้อยเปียไหวตัวเล็กน้อย “ข้าไม่เคี้ยวหมาก” เธอปฏิเสธที่จะรับมัน “แต่ก็ขอบใจเจ้ามาก เชิญเจ้าตามสบายเถอะ”
“หมู่นี้ข้ารู้สึกเหมือนมีคนกำลังปองร้าย” นายจ้างเอ่ยพลางตำหมากที่ใส่ลงไปในครก
เป็นที่รู้กันว่าหมากสามารถทานได้สองแบบ แบบแรกคือการห่อแล้วกินเลย แต่สำหรับคนที่มีอายุมากแล้ว ส่วนมากจะนิยมนำมาตำก่อนเพื่อให้ละเอียดและง่ายต่อการเคี้ยว อย่างไรก็ดี ยังมีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยที่ชอบตำหมากกินทั้งที่ยังมีฟันแข็งแรง อาจเพราะเนื้อสัมผัสที่ต่างกันนั่นเอง หมากไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้กลืนลงกระเพาะเหมือนอาหารทั่วไป แต่เป็นเพียงของที่มีไว้เคี้ยวเล่นเท่านั้น พอรสชาติเริ่มหายไปก็จะคายออก ปริมาณหมากที่เคี้ยวต่อวัน ขึ้นอยู่กับอาการเสพติดของแต่ละคน บางคนแค่เคี้ยวให้หายอยาก ในขณะที่บางคนติดจนต้องหามาเคี้ยวทั้งวัน และเนื่องด้วยราคาที่ไม่ได้แพง มันจึงกลายเป็นของที่คนทุกระดับสามารถหาซื้อได้อย่างแพร่หลาย
กลิ่นฝาดของผลหมากผสมกับสมุนไพรอ่อนๆ ของตัวใบพลู เริ่มลอยมาแตะจมูก อาจเป็นกลิ่นโปรดของใครหลายๆ คน หากแต่มันเป็นกลิ่นที่ชวนวิงเวียนยิ่งนักสำหรับร้อยเปีย สาวผมเปียยกมือขึ้นปิดจมูกอย่างไม่อาจทนอีกต่อไป พร้อมกับเขยิบตัวออกมาให้ห่างจากโต๊ะตัวนั้น
“อะไรทำให้เจ้ารู้สึกเช่นนั้น”
“เมื่อสามเดือนก่อน ระหว่างที่ข้ากำลังเดินทางออกจากบางชลาลัย มีคนยิงธนูมาทางข้า” สะไบกล่าวด้วยเสียงอันสั่นเครือ “โชคดีที่มันไม่โดนข้า แต่ไปโดนกระบือที่เป็นพาหนะข้าแทน”
มือเรียวเลื่อนลงมาลูบคางอย่างเก็บงำความคิด “แค่นั้นไม่ถือเป็นการปองร้ายหรอก อาจจะเป็นธนูที่ยิงพลาดจากที่อื่นมาก็ได้”
“ทีแรกข้าก็คิดเช่นนั้น” ดวงหน้าคล้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเมื่อเล่าถึงเหตุการณ์รอดตายที่เคยเกิดขึ้นกับตน “แต่แล้วเหตุการณ์เดิมก็เกิดขึ้นอีกสองครั้งด้วยกัน”
“สองครั้ง!” นักสืบสาวโพล่งเสียงดัง ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีเงื่อนงำมากกว่าที่คิดไว้ “นั่นมันหมายจะเอาชีวิตกันชัดๆ”
“ลางสังหรณ์ข้าบอกว่าวันนี้ เขาจะลงมืออีกครั้ง” สะไบเริ่มตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
ร้อยเปียกอดอกมองสภาพที่ดูไม่เหมือนเจ้าสาวของบุคคลร่วมห้องอย่างพินิจพิเคราะห์ “ถ้าเช่นนั้นก็ควรจะจ้างทหารมาอารักขาเสียจะดีกว่า” เธอออกความเห็นอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเป็นนักสืบนะ มิใช่...”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้ามาอารักขาข้า” สะไบแทรกขึ้น ตวัดตามองเธออย่างแสดงความเป็นนาย
นักสืบกำมือแน่น เธอสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อควบคุมอารมณ์โทสะ “แล้วต้องการอะไร”
“ถ้าข้าจะตายวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาหยุดมันได้” แววตาของเด็กสาวแลดูแข็งกร้าวและหม่นหมองในเวลาเดียวกัน “แต่ที่ข้าเรียกเจ้ามา เพราะเผื่อข้าต้องจากโลกนี้ไปจริงๆ อย่างน้อยก็ยังมีนักสืบอยู่ในเหตุการณ์ และเจ้าจะต้องหาฆาตกรคนนั้นได้แน่”
นัยน์ตาสีดำเหลือบมองคู่สนทนาอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน การที่สาวเจ้ารู้ว่ากำลังจะตายแต่ไม่คิดจะหนีจากมัน ก็ไม่ต่างจากการฆ่าตัวตายทางอ้อม บางทีหล่อนอาจจะมีเรื่องไม่สบายใจจนอยากจะจากโลกนี้ไป แต่ถ้าอย่างนั้นแล้ว จะเข้าเรือนไปทำไมกัน และที่สำคัญ พิธีกำลังจะเริ่มในอีกไม่ช้านี้แล้วด้วย
“ยังไงเสียข้าก็อยู่ดูโลกนี้อีกได้ไม่นานอยู่แล้ว” น้ำใสๆ รื้นขึ้นที่เบ้าอย่างกลั้นไม่อยู่ “จะวันนี้หรือพรุ่งนี้ก็ต้องไปอยู่ดี”
“แต่ถึงแม้จะแค่หนึ่งวินาทีบนโลกนี้ มันก็คุ้มไม่ใช่หรือ หากใช้มันกับคนที่เจ้ารัก”สำหรับร้อยเปียสิ่งที่ยากที่สุดคือการใช้คำพูดหวานซึ้ง แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอควรทำในเวลานี้
สะไบเงยหน้าขึ้นและค้างไว้อย่างนั้นอยู่นานสองนาน หล่อนไม่ยอมแม้จะหลับตาลง ด้วยกลัวว่าน้ำตาไหลจะลงมาอาบแก้ม “สุขของข้า แต่ทุกข์ของเขาน่ะหรือ”
ความเงียบบังเกิดขึ้น คนหนึ่งจมดิ่งอยู่กับความคิดของตน ส่วนอีกคนกำลังสงสัยในทุกเรื่องที่ได้ยิน แต่ไม่อยากเอ่ยปากถาม เพราะเกรงว่าจะโดนหาว่าสอดรู้สอดเห็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง ร้อยเปียจึงเปลี่ยนไปถามในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
“เจ้าสงสัยใครบ้างหรือเปล่า” ว่าถึงตรงนี้ สาวผมเปียก็หยิบใบลานที่ตีเส้นเตรียมไว้และเหล็กจารออกมา พร้อมจะบันทึกคำให้การจากเหยื่อทุกเมื่อ
“ทุกคนน่าสงสัยไปหมดนั่นแหละ” เจ้าสาวตอบโดยไม่ได้หยุดคิดเลยด้วยซ้ำ หล่อนกัดฟันแน่นอย่างเคียดแค้น “ไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัว”
นอแรดขนาดจิ๋วสีดำที่มีปลายสีส้มถูกจับไว้แน่นโดยผู้เป็นเจ้าของ เหล็กจารปลายแหลมโผล่ออกมาจากปลายนออีกทีหนึ่ง ร้อยเปียลากมันลงไปบนแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอย่างระวังมือที่สุด เกิดเป็นตัวหนังสือที่เรียงกันอย่างไม่เป็นระเบียบนักจารึกอยู่บนใบลาน
“แล้วเจ้าบ่าวของเจ้าล่ะ” ผู้ได้รับการว่าจ้างถามต่อไป ทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากเส้นจาร
“ไม่ใช่เขา!” สะไบแย้งขึ้นทันที “ยังไงก็ไม่ใช่เขา”
“ทำไมถึงได้มั่น...”
“เขาเป็นคนจิตใจดี” สุรเสียงฟังดูหนักแน่นมากกว่าครั้งใด “ถ้าไม่มีเพราะเขา ข้าอาจจะอยู่ไม่ได้ถึงทุกวันนี้ด้วยซ้ำไป”
“เหรียญมีสองด้านเสมอ” ร้อยเปียอดไม่ได้ที่จะขัด “นั่นอาจจะเป็นแค่เปลือกนอกของเขาก็ได้ ใครจะไปรู้”
“ข้ารู้!” คุณหนูกระแทกเสียงใส่อย่างเริ่มมีน้ำโห
“ถ้าเยี่ยงนั้นแล้วเขาจะยอมเข้าเรือนกับเจ้าทำไมกัน หากเขาไม่ได้พิศวาสในตัวเจ้า” นักสืบตั้งคำถาม เป็นคำถามที่ไม่ได้ตั้งใจจะถาม เพราะไม่อยากเสียมารยาท แต่ในเมื่อคู่สนทนาไม่รู้จักคำว่ามารยาท ก็ไม่จำเป็นต้องแยแสเรื่องขี้ปะติ๋วนี้อีกต่อไป
“ข้าไม่เคยพูดว่าเขาไม่รักข้า” สะไบเถียงข้างๆ คูๆ
“ใครจะไปรักผู้หญิงเอาแต่ใจที่คิดว่าโลกหมุนรอบตัวเองลง” ร้อยเปียเน้นคำว่า ‘เอาแต่ใจ’ โดยหวังให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวบ้าง “ดูปราดเดียวก็รู้ว่าเขาไม่ได้รักเจ้า และความหมายของประโยคที่เจ้าพูดว่า สุขของเจ้า แต่ทุกข์ของเขา ก็เพราะเขาต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่ได้รักยังไงล่ะ”
เด็กสาวถลึงตามองร้อยเปียราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ร่างเล็กเริ่มสั่นเทิ้มอย่างคนโกรธจัด นักสืบสาวจ้องกลับอย่างไม่เกรงกลัว เบี้ยก็ยังไม่ได้จ่าย และยังจะมาทำตัวมากความ ที่เธอทนมาได้นานเพียงนี้โดยไม่ลงไม้ลงมือก็นับว่าดีมากแล้ว เพราะหากไม่ติดว่าหล่อนเป็นนายจ้างที่ต้องคอยจ่ายเบี้ย เธอสาบานว่าจะสั่งสอนให้หลาบจำไปจนวันตาย
และถึงแม้สะไบจะมีน้ำโหมากกว่าร้อยเปีย แต่แววตาอาฆาตที่ส่งผ่านไปยังเจ้าหล่อน ทุเลาให้ความโกรธลดลงอย่างน่าประหลาด แทนที่ด้วยความรู้สึกผวาเพียงแค่เพราะสบเข้ากับนัยน์ตาสีดำที่ฉายแววร้ายกาจคู่นั้น
“ตกลง” สาวน้อยยอมจำนนต่อการเจรจาในครั้งนี้ หล่อนเอื้อมมือไปหยิบถุงผ้าที่วางอยู่บนพื้นใกล้ตัว และยื่นมันให้กับเธออย่างไม่เต็มใจนัก “ในนี้มีเบี้ยอยู่สามพันกะโหลก หวังว่าคงพอสำหรับค่าตัวนักสืบอันดับต้นๆ อย่างเจ้า” (1 กะโหลก เท่ากับ 15 บาท)
ร้อยเปียรับมาอย่างไม่ลังเล มันหนักพอจะทำให้แขนอ่อนยวบลง แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่ลืมที่จะแหวกถุงดูเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าด้านในเป็นสิ่งที่ตนต้องการจริงๆ มิใช่หินกรวดอย่างที่เคยโดนแหกตามา เมื่อเห็นกระดูกทรงวงกลมซึ่งเป็นส่วนข้อต่อของลิงป่าที่หายากเป็นจำนวนมากถูกบรรจุอยู่ในถุงแล้ว รอยยิ้มแรกของวันจึงปรากฏขึ้นที่ดวงหน้า
ค่อยคุ้มค่ากับน้ำลายที่เสียไปหน่อย!
“ไม่ว่าเจ้าจะตายหรือไม่ ข้าจะหาตัวคนที่พยายามฆ่าเจ้าให้เจอจงได้” ร้อยเปียยกนิ้วก้อยขึ้นมาเป็นเชิงบอกว่าจะทำตามที่สัญญา “ด้วยเกียรติของนักสืบ”
ร่างสูงหันหลังให้บุคคลที่ไม่อยากเจอหน้าอีก เธอพาตัวเองมาถึงหน้าม่าน แต่แล้วฝีเท้าก็หยุดลง
“แน่ใจหรือว่าหากต้องตายวันนี้ เจ้าพร้อมจะไปจริงๆ” หญิงกล้าถามเป็นครั้งสุดท้าย
“ข้าตอบคำถามนั้นไปแล้ว” สะไบทำใจแข็งตอบอย่างตัดพ้อ ขณะใช้ช้อนทองแดงตักหมากที่ตำไว้นานแล้วเข้าปาก
ร้อยเปียถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เธอมั่นใจว่าภายใต้ความแข็งกระด้างนั้น สาวน้อยยังหลงเหลือความเปราะบางอยู่ เธอเชื่อว่าไม่มีมนุษย์หน้าไหนอยากตายจริงๆ หรอก พวกเขาแค่หมดสิ้นหนทางในการใช้ชีวิตแล้วเท่านั้น และถึงแม้เธอจะเคยพรากชีวิตคนไปไม่น้อย การจะปล่อยให้คนบริสุทธิ์ตายไปต่อหน้าต่อตาก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี
แต่ในเมื่อเจ้าหล่อนตัดสินใจแล้ว คนนอกอย่างเธอก็ควรจะเคารพมัน...
เจ้าบ่าวของงานสำคัญมองภาพตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ มันสะท้อนให้เห็นชายร่างไม่สูงนักในชุดราคาแพงซึ่งเป็นชุดที่เตรียมไว้สำหรับเข้าพิธี โจงกระเบนสีน้ำเงินเข้มยาวถึงระดับเข่า ผ้าห่มสีเดียวกันขนาดไม่สั้นไม่ยาวคล้องคอไว้ ปล่อยชายทั้งสองด้านไปข้างหลัง ส่วนด้านบนเป็นเสื้อคอกลมแขนยาวสีขาวสะอาดตา ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือก็เพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น
“ฉีดเครื่องหอมหน่อยไหม” เด็กสาวที่กำลังจะกลายเป็นคู่ชีวิตของเขาในอีกไม่ช้าเอ่ยถาม เธอโผล่มาจากด้านหลังพร้อมกับขวดน้ำหอมทรงกลมที่บรรจุของเหลวสีขาวขุ่น
“ว่าจะบอกให้เจ้าหยิบให้อยู่พอดี” ชายหนุ่มเอื้อมมือไป หวังจะหยิบขวดใบนั้นมาจากมือเล็ก แต่มันดันขยับหนีเสียก่อน
“ให้ข้าได้ทำอะไรเพื่อเจ้าบ้างเถอะ” น้ำเสียงส่อแววสุขปนเศร้าอย่างน่าประหลาด
“เอาสิ” เจ้าบ่าวไม่ได้ปฏิเสธคำขอจาก ‘คนที่ควรรัก’ เขายกแขนทั้งสองขึ้นเพื่อบอกว่าพร้อมแล้วสำหรับการประทินเครื่องหอม
สะไบยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างพึงพอใจ เธอค่อยๆ ไล่ไปตามจุดต่างๆ บนร่างกายของ ‘ว่าที่สามี’ ละอองน้ำพ่นออกมาจากปากขวดเมื่อถูกบีบตรงหัวฉีด ไม่นาน กลิ่นอ่อนๆ ที่สกัดจากดอกไม้หลายชนิดก็ติดอยู่บนตัว เขาส่องดูสภาพตัวเองอีกรอบ ครั้งนี้หมุนไปหมุนมาอย่างคนเจ้าระเบียบ
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเข้าเรือนกับข้า”
คำถามที่ทำเอาชายหนุ่มผงะเล็กน้อย เขามองภาพ ‘ว่าที่ภรรยา’ ผ่านกระจกและเห็นว่าเธอมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“พิธีจะเริ่มในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้วนะ” เขาชี้แจงด้วยเสียงที่ฟังดูเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย “ข้าจะไม่มั่นใจได้อย่างไร”
“ข้ารักเจ้า”
คำบอกรักที่จู่ๆ ก็ออกมาจากริมฝีปากบางอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้เจ้าบ่าวนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า
“ขอบใจเจ้ามาก” แววตาบ่งบอกถึงความซาบซึ้งจากใจจริง “ข้าจะตอบแทนมันอย่างดีที่สุด ข้าสัญญา”
“ตอบแทนมันด้วยความรักไม่ได้หรือ”
ในเวลานั้นเองที่ชายหนุ่มหลบสายตาอย่างช่วยไม่ได้ และเด็กสาวรู้ในทันทีถึงคำตอบที่ถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยก็กระจ่างชัด บรรยากาศภายในกระโจมเปลี่ยนจากความหอมหวานเป็นตึงเครียดในฉับพลัน แต่ชายผู้มองโลกในแง่ดียังคงยิ้มรับสถานการณ์ มือใหญ่แตะลงที่ศีรษะของคนตัวเตี้ยกว่าด้วยความเอ็นดู
“ได้สิ ข้าจะดูแลเจ้าไม่ต่างจากพี่ชายคนหนึ่ง”
ผลั๊วะ!
ใบหน้าขาวสะบัดไปตามแรงตบ ความชาบังเกิดขึ้นตรงบริเวณที่โดนทำร้าย เจ้าบ่าวกุมใบหน้าของตนไว้ด้วยความเจ็บปวด
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้ารักข้าเหมือนน้องสาว!”
น้ำตาหยดสุดท้ายไหลออกจากเบ้า น้ำตาที่อัดแน่นไปด้วยหลากหลายความรู้สึก ทั้งโกรธ กลัว เสียใจ และสุข แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมาจากสาเหตุเดียวกัน คือการไม่ได้รับความรักจากคนที่ตนหลงรัก เด็กสาวได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บปวด ในขณะที่ชายหนุ่มยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาไม่แม้แต่จะสบตาคนที่มอบความเจ็บปวดให้ เพราะเขากลัวว่าหากได้เห็นใบหน้านั้น เขาจะเปลี่ยนใจไม่อยากอยู่กับเธออีก
“ข้าต้องไปแล้ว” เขาบอกด้วยเสียงเรียบเฉยที่ไร้ซึ่งความรู้สึกโดยสิ้นเชิง “รอข้าอยู่ในนี้ เดี๋ยวขบวนขันหมากมาถึงประตูทองแล้วจะเรียก”
แต่สาวน้อยไม่เชื่อฟัง เธอรีบรั้งชายเสื้อสีขาวไว้ด้วยแรงทั้งหมดที่มี ก่อนจะโผเข้ากอดจากด้านหลัง
“สะไบ!” หนุ่มผู้โดนลวนลามเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างตื่นๆ ดวงตาเบิ่งออกกว้างด้วยความตระหนก “ปล่อยข้าเถิด”
“ไม่ปล่อย” สะไบยืนกรานเสียงแข็ง
“ข้าต้องไปแล้ว”
ยิ่งบุรุษพยายามแกะมือน้อยออกจากเอวมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากการหล่นลงไปในโคลนดูด เสียแต่ว่าในสถานการณ์นี้ ไม่ว่าเขาจะมีสติแค่ไหน ก็คงไม่อาจสลัดสาวเจ้าให้พ้นตัวได้
“เจ้าไม่ได้รักข้าใช่หรือไม่” คำถามเดิมถูกถามขึ้นอีกครั้ง เป็นคำถามที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงจะตอบมาโดยตลอด เพราะรู้ดีว่าคำตอบมันจะทำร้ายจิตใจคนฟัง
“พอเถอะ” ชายหนุ่มขอร้องอย่างเหนื่อยอ่อน “เจ้าจะถามให้เจ็บปวดไปทำไมกัน”
ในที่สุดมือเล็กก็ยอมปล่อยออกจากเอว แต่แล้วเขาก็ต้องสะดุ้งเมื่อมันมาหยุดอยู่ที่คอแทน
“ในโลกนี้เจ้าอาจจะไม่ได้รักข้า แต่หลังจากนี้ มันก็ไม่แน่” เสียงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นปนพิศวาส “เรามาตายด้วยกันเถอะ!”
ยังไม่ทันได้เปิดปากพูดสักแอะ เจ้าบ่าวก็รู้สึกถึงแรบบีบที่คอ มันทั้งรัดทั้งทึ้งจนทำให้ยากแก่การหายใจ เขารีบคว้ามืออีกฝ่ายไว้และพยายามแกะมันออกอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ เลือดที่สูบฉีดขึ้นหน้ามากกว่าปกติส่งผลให้ใบหน้าขาวกลายเป็นแดงขึ้นอย่างน่ากลัว ปากบางขยับหมายจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาแม้แต่นิด เขาตะเกียกตะกายอยู่ตรงนั้น ปากอ้าเปิดออกเพื่อรับอากาศเข้าปอดที่ขาดมาสักพัก
และถ้าขาดอากาศหายใจนานกว่านี้ เขาก็จะตาย!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ขายาวซึ่งเป็นอวัยวะที่ได้รับอิสระมากที่สุดในตอนนี้จึงเริ่มทำหน้าที่ของมันตามสัญชาตญาณ มันส่งแรงเตะไปยังผู้ประสงค์ร้ายสุดแรงอย่างไม่มีทางเลือก
ผลั่ก!
ร่างบางกระเด็นไปโดนโต๊ะที่ตั้งพานไว้สามใบ ก่อนจะเซไปโดนแจกันแก้วใบใหญ่ที่วางประดับไว้ที่มุมหนึ่ง แจกันที่ทำจากเครื่องปั้นดินเผาโอนไปเอนมา บุรุษผู้ลงมือทำเรื่องร้ายแรงวิ่งไปที่เกิดเหตุอย่างว่องไว แต่เหมือนจะไม่ทันการณ์
ปั่ก
วัตถุสีน้ำตาลตกลงมาใส่หัวคนที่นอนแน่นิ่งอยู่ข้างล่างอย่างจัง ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ มาแทบเท้าชายหนุ่มที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ก้าว เสียแต่ว่ามันไม่ได้มาในสภาพที่สมบูรณ์แบบดังเดิม ที่ด้านหนึ่งของแจกันมีของเหลวสีแดงติดอยู่ เขามองร่างที่นอนไม่ไหวติงตรงหน้าด้วยหัวใจที่วูบหาย ปากอ้าค้างอย่างตกใจเมื่อสบเข้ากับรอยแผลเหวอะบริเวณหน้าผากของเด็กสาว มือไม้สั่นระริกอย่างอกสั่นขวัญแขวนกับภาพที่เห็น
นี่เขา...กลายเป็นฆาตกรไปแล้วหรือ!
โฮ ฮี้ว~
เอ้ามาละเว้ย เอ้ามาละเว้ย
ช่วย ไม่ช่วย ช่วย ไม่ช่วย
เอ๋ยมาละวา เอ๋ยมาละวา
ช่วย ไม่ช่วย ช่วย ไม่ช่วย
มาแต่ของเขา
ช่วย ไม่ช่วย ช่วย ไม่ช่วย
ของเราก็ไม่มา~
ช่วย ไม่ช่วย ช่วย ไม่ช่วย
เสียงขบวนแห่ดังผสานกันกับเสียงในความคิด มันตีกันยุ่งจนรู้สึกร้าวไปทั้งหัว ถึงแม้ว่าจะผ่านไปนานสักแค่ไหนก็ยังหาบทสรุปไม่ได้
‘อยากตายนักก็ปล่อยไปสิ จะไปสนใจทำไม เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเจ้าเลยสักนิด!’ เสียงที่หนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ฟังดูมากเล่ห์และชั่วร้าย
‘แต่เจ้าจะปล่อยให้คนๆ หนึ่งตายไป ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดอย่างนั้นหรือ มันไม่ยุติธรรมเลยนะ’ อีกเสียงเป็นเสียงอันใสซื่อ น้ำเสียงลากยาวเหมือนกำลังกล่อมเด็กให้เข้าสู่นิทรา
‘หุบปากมอมๆ นั่นซะ จะริถามหาความยุติธรรมอะไรจากสตรีที่พรากชีวิตคนเพื่อความอยู่รอดกัน’
‘แม้แต่นักโทษที่ติดคุกยังกลับตัวได้ เหตุใดคนที่ยังมีโอกาสกลับตัว จะไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง’
‘เจ้าก็ได้ยินนี่ นางบอกเองว่าต่อให้ไม่ใช่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้อยู่ดี ปล่อยไปเสีย ยังไงซะก็ได้เบี้ยมาแล้ว จะเป็นจะตาย หาใช่เรื่องของเจ้าไม่’
‘แต่เจ้าพูดเองนี่ ว่าต่อให้เป็นอีกแค่วินาทีเดียว ก็มีค่า หากใช้มันกับคนที่นางรัก’
‘ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ฆาตกรรมก็คือการกระทำผิดอยู่ดี’
ตาคู่ดำลืมขึ้นพร้อมกับขาที่ลงมายันกับพื้นด้วยความตกใจ เสียงสุดท้ายนั้น ไม่ได้มาจากจิตใต้สำนึก มันเป็นเสียงนุ่มลึกที่เธอยังจำได้ดี เป็นสิ่งที่ชายคนหนึ่งได้กล่าวกับเธอไว้เมื่อวันก่อน
แต่เพราะเหตุใดมันถึงได้ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!?
ดูเหมือนคำพูดนั้นจะมีอิทธิพลต่อเธอไม่น้อยเลยทีเดียว
ฆาตกรรมเป็นการกระทำผิด มันไม่ใช่ความรู้ใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่เคยมีใครพร่ำสอน แต่เพราะเหตุผลบางอย่าง เธอไม่อาจกำจัดภาพของชายผู้นั้นที่พูดประโยคนี้กับเธอได้ หรือบางทีอาจเป็นสีหน้าที่ดูใสซื่อนั่นมากกว่าที่รู้สึกติดใจ หากมองข้ามความเป็นคนหน้าตาดีไป สิ่งที่สะกดเธอมากที่สุด คือความจริงใจที่หาได้ยากจากโลกใบนี้
เขาเป็นกระจกที่สะท้อนตัวตนอีกด้านหนึ่งของเธอให้เห็น เขาเป็นทุกสิ่งที่ขัดแย้งกับเธอสุดขั้ว และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม เขาถึงตามหลอกหลอนจนถึงตอนนี้
จากตรงนี้เธอเห็นขบวนขันหมากหยุดลงที่หน้าประตูเงิน คาดว่าเจ้าบ่าวคงกำลังจ่ายเบี้ยส่วนหนึ่งให้ผู้เฝ้าประตูเพื่อผ่านด่านเข้าไป มันเป็นสินน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากฝ่ายชายที่ควรแสดงต่อฝ่ายหญิงผ่านการทำพิธี ขายาวก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เธอต้องเข้าไปข้างในกระโจมนั้นอย่างเร็วที่สุด เพราะร้อยเปียได้ตัดสินใจแล้ว...
ว่าเธอจะช่วยชีวิตเจ้าสาวของวันนี้...
เป็นการตัดสินใจที่ดูไม่เหมาะสมกับเป็นนักฆ่ามือฉมังสักนิด แต่ยังไงเสีย เหรียญมีสองด้านเสมอ และนี่อาจเป็นอีกด้านหนึ่ง ที่ไม่ค่อยได้ปรากฏตัวออกมาให้เห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี
ทั้งหมดนี้ เป็นความผิดของพ่อสุภาพบุรุษฉุดไม่อยู่ ที่เที่ยวปรากฏมาฉุดมารร้ายในตัวให้มอดลง ดังลมที่พัดผ่านมา และถึงแม้มันจะเป็นเพียงลมเอื่อยๆ แต่ก็ทำให้ดวงไฟที่ลุกโชนอย่างเธอ สั่นไหวได้ไม่ยากเย็น
การเข้าไปในสภาพนี้คงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก เพราะบัดนี้ขบวนกำลังเดินมาจนเกือบถึงที่หมายสุดท้าย ซึ่งก็คือประตูทอง นักสืบจึงเปลี่ยนเป้าหมาย ขายาวเดินเข้าไปในซอยเปลี่ยว สายตาสืบเสาะหาสิ่งมีชีวิตภายในอาณาบริเวณ และเมื่อแน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตเดียวที่เห็นเธอในตอนนี้คือไก่ที่กำลังร้องกระต๊ากแข่งกับเสียงแห่ขบวน แผนที่วางไว้จึงเริ่มขึ้น
มือเรียวแตะลงบนกำแพงไม้ของบ้านหลังหนึ่ง ดวงตาพริ้มหลับลงทำสมาธิ เสียงที่เคยดังค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ จังหวะหายใจเข้าออกตามคำท่องในใจ ‘ยุบหนอ พองหนอ ยุบหนอ พองหนอ’ ไม่นาน รอบตัวก็มีเพียงความเงียบ ร้อยเปียท่องต่อ ‘ร่างหนอ ข้าต้องใช้เจ้าหนอ จงมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันเถิดหนอ’
เมื่อนัยน์ตาสีดำลืมขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ายังคงเป็นกำแพงไม้สีน้ำตาล หากแต่ไม่ใช่ของบ้านหลังเดิม แต่เป็นอีกบ้านที่อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งดูเหมือนไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ เพราะแค่กลับหลังหันก็จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน แต่ถ้าไม่ได้หันหลังล่ะ? หมายความว่าเธอย้ายทิศทางบ้านได้อย่างนั้นหรือ
เปล่าเลย คำตอบที่แท้จริงคือ ร้อยเปียได้กลายเป็นเงา ซึ่งฝังอยู่กับกำแพงบ้านไม้ที่สัมผัสเมื่อครู่ต่างหาก!
ใช่แล้ว ร้อยเปีย ไม่ได้เป็นเพียง นักฆ่าในคราบนักสืบ แต่เหตุผลที่เธอทำการฆาตกรรมได้อย่างแนบเนียนและแยบยล ก็เพราะเธอแปลงร่างเป็นเงาได้!
เงามืดขยับร่างอันเบาหวิวไปตามกำแพงบ้านนั้น บ้านนี้ บางทีก็ลงไปเดินบนพื้นในแนวราบลงกับพื้น มันผ่านต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่า ก่อนจะหยุดลงตรงกระโจมเล็ก เงาฉกรรจ์แทรกตัวผ่านผ้าบางเข้าไปจากด้านข้าง มันหันไปเผชิญหน้ากับบุคคลที่ปั่นหัวเธอมาตลอดทั้งวัน
“ข้ามาเพื่อช่วยเจ้า”
ในเวลาเดียวกันนั้น ขบวนขันหมากที่นำโดยเจ้าบ่าวของงาน เพิ่งผ่านพ้นผู้เฝ้าประตูทองมา หลังให้สินน้ำใจไปหลายกะโหลก
“สะไบ”
เขาเอ่ยเรียกเจ้าสาวในกระโจม เสียแต่ว่าไม่มีการตอบรับใดๆ
“สะไบ”
ชายหนุ่มขานเรียกด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม แต่ก็ยังไร้ซึ่งการตอบรับ
“สะไบ!”
ครั้งนี้มันดังไปถึงผู้คนที่อยู่ปลายขบวน พวกเขาทั้งหมดยืนลุ้นกันอยู่พักใหญ่ เนื่องจากตามธรรมเนียมแล้ว หากฝ่ายหญิงไม่ตอบรับ นั่นหมายถึงการปฏิเสธกลายๆ แขกหลายคนเริ่มแสดงสีหน้าหงิกงอเพราะต้องทนยืนตากแดด หลายคนเดินออกไปจากขบวนเป็นที่เรียบร้อย
เจ้าบ่าวถอนหายใจหนึ่งทีอย่างเหนื่อยอ่อน และเมื่อเท้าทั้งสองกำลังจะหันหลังกลับ มือหนึ่งก็โผล่ออกมาจากม่านลูกไม้ วางแหมะอยู่บนหมอนสีทองที่ตระเตรียมไว้บนพื้นอย่างพอดิบพอดี เรียกขวัญกำลังใจของทั้งเขาและบรรดาแขกให้กลับมามีหวังอีกครั้ง หนุ่มผู้ใจเย็นได้ทีรีบหยิบแหวนวงสีเงินออกมาจากด้านในเสื้อ ก่อนจะบรรจงสวมมันลงไปบนนิ้วนางข้างซ้าย ทันใดนั้นเอง เขาก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ
มือนี่มันเย็นเกินไป เย็นเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่!
เพื่อความมั่นใจ มือใหญ่กระชากม่านออกอย่างแรง และสิ่งที่เห็นสร้างความตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด!
เสียงวี๊ดว๊ายกระตู้วู้เป็นของหญิงผู้เฝ้าประตูทองทั้งสองที่เห็นเหตุการณ์ก่อนใครเพื่อน ภาพตรงหน้าคือสะไบที่นอนคว่ำอยู่กับพื้น ตาเหลือกขึ้นด้วยความกลัวสุดขีด มือข้างหนึ่งกุมอยู่ที่คอ ใบหน้าซีดเซียวไร้เลือดฝาด สีหน้าแลดูทุกข์ทรมานจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เจ้าบ่าวถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างตื่นตระหนก แต่คนที่ตกใจยิ่งกว่าใครทั้งปวง คือเงาดำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ
เพราะเจ้าบ่าวของงานนี้ ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็น...
ราธี!!
-----------------------------------------------------------------------------------
ปอลิง. นักเขียนไม่อยู่บ้านสามวัน (ตั้งแต่ อาทิตย์ 22 oct 17 - อังคาร 24 oct 17) ถ้าอัพจากมือถือได้ จะพยายาม ถ้าไม่ได้ เจอกันหลังวันอังคาร บัยยย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ