ห้องสามเดอะซีรี่ย์
9.0
เขียนโดย มุมฉาก
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.
26 ตอน
0 วิจารณ์
25.48K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
23) ความรักของเปเป้ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความรักของเปเป้ 2
วันเสาร์ที่สองของปีเดินทางมาถึงแล้ว ขณะสองมือวุ่นวายอยู่กับไข่ดาวสองฟองบนจาน ผมก็เกิดติดคอจนต้องดื่มน้ำตามสองอึก เสียงสนทนาสองแม่ลูกคู่หนึ่งลอยเข้าหู ระดับความดังเท่ากับหรือมากกว่าสองร้อยเดซิเบล คงเป็นเพราะสองหูอยู่ห่างพวกเธอเพียงสองก้าว สองเสียงเจื๊อยแจ๊วลอยผ่านเก้าอี้พลาสติกสองตัว
“ไปเล่นกับเฮียปอนะปาย แม่ทำอาหารให้ลูกค้าอยู่”
“ปายจะไม่ไปไหนทั้งสิ้น จนกว่าจะได้ลิปสติกสีแดง”
“ตัวเท่านี้แต่งหน้าทาปากไปทำมั๊ย แก่แดดแก่ลมใหญ่แล้วเรา”
“ปายอยู่ ป.1 แล้วนะแม่ จะให้ปายหน้าสดไปโรงเรียนเหรอ ไม่ย๊อมมม..!!”
ขณะแอบฟังสองแม่ลูกเจรจาต้าอ่วย แม่ค้าสวมทองสองบาทได้หันมามองโต๊ะสอง ข้ามหัวเพื่อนชายสองคนที่นั่งร่วมวงไพบูลย์ เป้าหมายก็คือนายหัวหน้าห้องสอง เอ๊ย..! ห้องสามคนนี้ ผมรู้จักแม่ลูกสองชื่อน้าแอนตั้งแต่สองขวบ
“บอกน้องปายให้น้าแอนหน่อย เป็นเด็กเป็นเล็กใครเขาทาลิปสติกกัน”
แม่ค้าตัวเล็กพูดเสร็จจึงเริ่มเช็ดเหงื่อ หล่อนกำลังผัดสปาเก๊ดตี้ขี้เมาทะเลอย่างดุเดือด กลิ่นฉุน ๆ ของเครื่องปรุงลอยเข้าใกล้โต๊ะพวกเรา กระทั่งอำนาจเริ่มจามเสียงดังไม่เกรงใจใคร ผมเขมือบคะน้าหมูกรอบไข่ดาวพลางครุ่นคิด เพื่อนคนนี้ไม่กินเผ็ด พริกสองเม็ดน้ำตาไหล ไม่ชอบใบกะเพรา ไม่เอากระเทียม แล้วพ่อคุณจะสั่งสปาเก๊ตตี้ขี้เมาเพื่อ ???
ผม อำนาจ และทรงเดช นั่งทานอาหารอยู่ในร้านผัดไทยเจ๊แอน ตึกสองชั้นสีโอรสหลังคาสีส้มอิฐค่อนข้างใหม่ ทาสีขาวแซมบริเวณขอบหน้าต่างและคานตึก ชั้นสองเป็นระเบียงยาวกั้นด้วยเสาสแตนเลสสะท้อนแสง มีหน้าต่างสองบานกับประตูสีขาวเข้าห้องนอน เลยจากห้องนั้นหลังคาจะเริ่มเอียงลง 15 องศา กระทั่งสิ้นสุดบริเวณระเบียงด้านท้าย ถัดไปเป็นอาคารห้องเช่าสุงสองชั้นจำนวน 10 ห้อง ทาสีฟ้าสดแซมสีขาวทอดยาวในทางลึก มีที่จอดรถอยู่ด้านในสุด มีกล้องวงจรปิดประมาณ 10 ตัว และมีศาลพระภูมิขนาดใหญ่ใหญ่ เปิดบริการได้ครึ่งปีมีคนมาเช่าทุกห้อง ร้านผัดไทยจึงมีลูกค้าประจำมากกว่า 20 ราย
บริเวณหน้าตึกติดตั้งหลังคาเมทัลชีท ค้ำยันด้วยเสาเหล็กโดยนายช่างโตและนายช่างอัม สมาชิกแก๊งค์สามหื่นนั่งทานอาหารภายใต้หลังคา ลมหนาวกลางเดือนมกราพัดผ่านสะท้านทรวง ผมควรแทะไข่ดาวด้วยความสุขกายสบายใจ ถ้าไม่บังเอิญเกิดสงครามภายในต่อหน้าต่อตา หลังฝ่ายคุณแม่ได้โยนบทพูดมาให้นั้น ฝ่ายคุณลูกได้หันมามองรวดเร็วปานกามนิตหนุ่ม
“ปายโตเป็นสาวแล้วนะ”สายตาแม่คุณเหมือนอยากมีเรื่อง ผมรีบหดตัวเล็กลงในบัดดล “ลิปสติกแท่งเดียวซื้อให้ไม่ได้เหรอ พัชรินทร์ใส่น้ำหอมชานเอลมาโรงเรียนทุกวัน สิริยุพาก็ใส่เฟิร์สบราของสะบินเอ ปายไม่มีอะไรเลยซักอย่าง..!!”
สาวน้อยชื่อปายค้อนขวับเข้าให้เสียหนึ่งดอก ดวงตาเขียวปั๊ดเชิดหน้ามองฟ้ายืนหลังตรงแหนว ชัดเลย…น้ำเสียงประชดประชันแบบนี้ ใบหน้าบูดบึ้งเหมือนขนมจีนค้างปีแบบนี้ ชิดชนกใช้ไฟฉายย่อส่วนปลอมตัวมาร้อยเปอร์เซนต์
“น้าแอนซื้อให้หลานซักแท่งเถอะ พรุ่งนี้มีตลาดนัดที่อิตาเลี่ยน…นะครับ”
ผมตัดสินใจเลือกข้างฝ่ายคุณลูก เนื่องจากเล็งเห็นภัยร้ายที่กำลังคืบคลาน พลางนึกขำขันความแก่แดดแก่ลมของเด็ก น้ำหอมชานเอลก็คือชาแนลนั่นแหละ ส่วนเฟิร์สบราของสะบินเอก็คือซาบีน่านั่นเอง ทุกวันอาทิตย์ช่วงบ่ายยาวไปจนถึงหัวค่ำ บริเวณหน้าแคมป์คนงานบริษัทอิตาเลี่ยนไทย จะมีพ่อค้าแม่ค้ามากมายตั้งร้านขายของ ลิปสติกก็ดี น้ำหอมก็ดี หรือเฟิร์สบราก็ดี เป็นเพียงของเล่นราคาถูกไม่มีอันตราย เด็กต่างจังหวัดก็ประมาณนี้แหละ มีตลาดนัดกับร้าน 20 บาททุกอย่างเป็นจุดรวมพล
เสียงล้งเล้งภายในร้านเงียบลงเสียที น้องปายยิ้มแป้นจ้องมองแท็ปเล็ตเครื่องโปรด น้าแอนใจอ่อนยอมซื้อลิปสติกสีแดง แลกกับทำการบ้านให้เสร็จภายในเย็นนี้ (แล้วจะเสร็จมั้ย) อาหารในจานผมหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งไข่ดาวฟองที่สองที่ได้รับจากใครคนหนึ่ง จึงนั่งชมนกชมไม้ฟังเพื่อน ๆ พูดคุย
“ถามจริงยายหัวฟู เธอจะตามพวกเรามาทำไม เกะกะไม่มีสิ้นสุด กลับบ้านไป๊ !”
อำนาจเคี้ยวสปาเก๊ดตี้ขี้เมาทะเลไปเช็ดเหงื่อไป เขาเผ็ดจนหน้าแดงตาแดงควันออกหูได้เลย ทว่าหมอนี่ก็ยังปากเสียไม่เคยเปลี่ยน เจ้าตัวเหลียวมองโต๊ะสามภายใต้หลังคาเดียวกัน มีลูกค้านั่งอยู่เพียงคนเดียวชื่อนางสาวนิตยา
“ไม่รู้จะไปไหนนี่นา” สาวน้อยดวงตาซุกซนตอบสั้น ๆ
“ไปงานวันเด็กกับพ่อเธอสิ ในเมืองมีรถถังด้วยนะ เดินตามพวกเราต้อย ๆ เพื่ออาร๊าย” นายสี่ตาช่วยหาที่ไปให้
“แล้วทำไมนายไม่ไปกับพ่อ แอบดูเพื่อนจีบสาวเพื่ออาร๊าย”
นิตยาใช้คำพูดเจ้าตัวเป็นการเอาคืน เจ้าของคำพูดถึงกับสะอึกอาหารติดคอ วันเสาร์ที่สองของทุกปีตรงกับวันเด็ก พวกเราจะต้องไปร่วมงานที่โรงเรียนอยู่เสมอ แต่ปีนี้ขึ้นมัธยมปลายไม่โดนบังคับก็เลยไม่ไป นิตยาอยากรู้อยากเห็นจึงขอตามมา ส่วนชิดชนกแม่สาวผมม้าต้องอยู่บ้าน ช่วงนี้ร้านเจ๊จ๋าพาณิชย์มีลูกค้าแน่นขนัด ยาวไปจนถึงตรุษจีนช่วงปลายเดือนโน่น
ถนนฝั่งตรงข้ามเยื้องซ้ายมือประมาณ 15 เมตร เป็นที่ตั้งร้านอาหารสุดยิกชื่อร้านน้องเดียคาเฟ่ สร้างเป็นอาคารชั้นเดียวรูปทรงสี่เหลี่ยมทั่วไป ติดกระจกใสยาวจรดห้องครัวด้านท้ายอาคาร ลูกค้าเดินผ่านลานจอดรถโรยด้วยหินเกล็ด จะพบซุ้มประตูขนาดเล็กเป็นไม้เลื้อยพุ่มหนา ถัดจากซุ้มประตูก็คือสนามหญ้าเขียวขจี ดอกไม้นานาชนิดแข่งกันผลิบานอวดชาวโลก วางเก้าอี้ตัวใหญ่ใกล้ตุ๊กตาเป็ดผูกผ้าพันคอ ทางเข้าอาคารมีที่ว่างอยู่ประมาณหนึ่ง ตั้งโซฟาสีเหลืองสดตัดสีส้มของตัวอาคาร บนโซฟามีตุ๊กตาหมีขนาดเท่าสาวไทยมาตราฐาน เป็นมุมโปรดที่ลูกค้าชอบมาถ่ายภาพเพื่อเช็ดอิน
อาหารร้านนี้ราคาสมเหตุสมผล แต่ก็ยังแพงสำหรับเด็กมัธยมปลายอยู่ดี วิทยากับปูเปรี้ยวมาถึงแล้วและเข้าไปแล้ว นั่งอยู่มุมซ้ายถูกบดบังด้วยรูปปั้นกามเทพ อาหารที่อยู่บนโต๊ะมีจำนวน 3 อย่าง เครื่องดื่มฝ่ายชายเป็นน้ำลิ้นจี่กุหลาบ เครื่องดื่มฝ่ายสาวเป็นน้ำมะนาวโรยใบสะระแหน่ นี่คือข้อมูลที่ได้รับจากฝีมือทรงเดช วันนี้พ่อคุณแต่งตัวหล่อเหลาผิดปรกติ กระแดะสวมกางเกงยีนส์ขาเดฟเสียด้วย ไม่ใช่นัดเดทของเอ็งนะเฟ้ยเพื่อนเกลอ
หลังมื้อกลางวันผ่านพ้นสะดวกโยธิน เด็กทะโมนทั้งหลายเริ่มมีพลังมากกว่าเดิม ข้างร้านผัดไทยมีอาคารหลังคาเพิงหมาแหงน ยาวสี่เมตรครึ่งลึกสามเมตรและสุงสองเมตรครึ่ง ติดตั้งเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ และตู้บุญเติมออนไลน์เรียงกันเป็นตับ จึงชวนทุกคนไปนั่งคอยบริเวณนั้นแทน เนื่องจากเริ่มมีลูกค้าทยอยเข้าภายมาในร้าน
“อีกครึ่งชัวโมงกลับบ้านแล้วนะ นิดไปหานกมั้ย เดี๋ยวเราขี่จักรยานไปส่ง”
ผมพูดลอย ๆ กับเพื่อนที่เดินไปเดินมา ก่อนหันไปมองเจ้าของไข่ดาวฟองที่สอง สาวผมหยักโศกพยักหน้ายิ้มมุมปาก เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าเธอตกลงค่ะ พวกเรารู้จักนิสัยใจคอกันมากขึ้น นิตยาเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตอง เพื่อนว่ายังไงเธอก็ว่ายังงั้น ไม่มีสะดุ้งสะงอนเหมือนลูกสาวเฮียอ๋า ออกจะขี้เหงาเนื่องจากพ่องานยุ่ง แต่เวลาพะบู๊ขึ้นมา…บอกเลยผู้ชายยังอาย
ขณะที่ทรงเดชกำลังแงะตู้บุญเติมออนไลน์อยู่นั้น พลันปรากฎความเคลื่อนไหวหน้าร้านน้องเดียคาเฟ่ วิทยาเพื่อนเราเดินข้ามถนนขนาดสองเลนครึ่ง ผ่านต้นคูนสุงใหญ่ตรงเข้าใกล้ทีล่ะก้าว สามหนุ่มสามมุมลุกขึ้นยืนโดยพร้อมเพรียง สามความคิด สามสมอง ของเราทั้งสาม แสดงออกผ่านดวงตาสามคู่
ทรงเดชเอาแต่คิดถึงแม่สาวปูเปรี้ยว หรือว่าเธออยากชวนเขาร่วมทานอาหารด้วย ฝ่ายนายอำนาจกำลังนึกหมั่นใส้เพื่อน เขาไม่เคยตามก้นคนที่อืดอาดยืดยาด วันนี้ดันโดนแซงเรื่องหญิงไปไกลลิบ ส่วนผมคิดถึงเรื่องที่ไม่น่าจะคิดเป็นเรื่อง สั่งอาหารแพง ๆ ตั้งหลายจาน ไหนจะเครื่องดื่มแก้วล่ะ 45 บาท หวังว่าเพื่อนคงไม่ยืมเงินกระมังครับ
“ทุกคน เรามีเรื่องอยากไหว้วาน ปูเปรี้ยวต้องการความช่วยเหลือ”
เดินมาถึงปุ๊บวิทยาก็ตรงเข้าประเด็นปั๊บ ไม่มีทักทายหรืออารัมภบทให้เสียเวลา สงสัยเพื่อนคงรีบกลับไปคุยกับสาว ผมคิดในใจก่อนขยับปากเพื่อพูดคุย ทว่าทรงเดชไวกว่าเศษเสี้ยววินาที จึงพูดออกมาก่อนทิ้งให้ผมอ้าปากค้าง
“ได้เลย อะไร ที่ไหน ยังไง เมื่อไหร่ ขอแค่เพื่อน (จริง ๆ คือปูเปรี้ยว) ต้องการ พวกเรายินดีสุดขั้วหัวใจ”
พ่อยอดนักบาสตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ พลางกอดคอนัวเนียเพื่อนชายผู้เพิ่งมาใหม่ นิตยาชายตามองหางคิ้วผูกเป็นปม อำนาจร้องเฮ้ยคำเดียวพร้อมทำหน้าเหวอใส่ ส่วนกระผมผู้อ้าปากค้างตั้งแต่แรกนั้น ก็ยังคงอ้าปากค้างเหมือนเดิมทุกประการ ปูเปรี้ยวต้องการความช่วยเหลือเรื่องอะไร ไม่ทันได้ถามดันตอบตกลงเสียแล้ว นายทรงเดชหูดำเอ๊ยยย..!!!
---------------------------------------------
“…ทำไมเป็นคนแบบนี้ ทำไมยังทำแบบนี้ ใจเราเหลือแค่นี้ ให้เขาไปทำไม
ใจเรามีเพียงเท่านี้ ดูแลใครคงไม่ไหว เก็บเถอะเก็บมันไว้ เช็ดน้ำตาให้ตัวเอง…”
บทเพลง “ทำไมจึงทำแบบนี้” ของนิโคล เทริโอ ดังกระหึ่มทั่วพื้นที่ตึกแถวขนาดสองคูหา ผู้ขับร้องเป็นเด็กหนุ่มผู้ชอบดูละครน้ำเน่า เสียงเหน่อ ๆ ของเขาบาดลึกหัวใจสื่อความหมายชัดเจน นี่ยังไม่นับลีลาท่าทางประกอบเพลงนะครับ
“หยุดร้องเสียทีเถอะ แล้วกรุณาขยับก้นมายกถังแก๊สให้หน่อย เพราะนายคนเดียวแท้ ๆ เลยทรงเดช”
นายอำนาจยืนฟังเพลงใกล้กันกับผม หมอไม่ได้เข้าใจอารมณ์นักร้องซักนิดเดียว ทั้งยังตะโกนห้ามเสียงดังเพื่อขัดคอ แล้วนั่งบนพื้นซึ่งเต็มไปด้วยอะไรต่อมิอะไร ทรงเดชบ่นอุบเดินเข้าหาใบหน้าบูดบึ้ง เพื่อหยิบถังแก๊สแล้วจากไปตามเส้นทาง
ทำไมทรงเดชถึงไม่โวยวายใส่อำนาจ แล้วพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ เรื่องราวทั้งหมดเป็นแบบนี้ครับ ป้าของปูเปรี้ยวตัดสินใจย้ายร้านไปที่อื่น ข้าวของบางส่วนหล่อนไม่อยากเอาไปด้วย ป่ะป๊าของปูเปรี้ยวเลยให้รถมาขนกลับร้าน ทว่าไม่มีคนงานพวกเราก็เลยถึงคราวซวย สมาชิกแก๊งค์สามหื่นเหงื่อแตกซิกน้ำตาท่วมจอ หลังช่วยกันยกของกินเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
“ช่วยหน่อยนะ ปูเปรี้ยวคือรักแรกและรักเดียว…ถือว่าเราขอ”
นี่คือประโยคเด็ดที่ได้รับจากนายวิทยา เป็นคำขอที่ใครหน้าไหนจะกล้าบอกปัด ผมยกอิฐมวลเบาขึ้นรถพลางท่องคาถา “เพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อนช่วยเพื่อน” กระทั่งหมดแรงจึงได้ชวนทุกคนนั่งพัก น้ำดงน้ำดื่มซักขวดก็ไม่มีเตรียมพร้อม เดือดร้อนนิตยาต้องเดินตากแดดหัวฟู เพื่อนสาวคนนี้ยังช่วยขนของอยู่พักใหญ่ ก่อนโดนผมไล่ให้ไปนั่งคุยกับปูเปรี้ยว
“เรื่องเหนื่อยนี่พอทนไหว แต่หมั่นใส้เปเป้รูปหล่อเหลือเกิน ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย”
ถึงไร้เรี่ยวแต่แรงอำนาจก็อดไม่ได้ จึงรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อสวดเพื่อน เป็นจริงอย่างที่นายคนนี้ว่ามา วิทยาผู้ทำอะไรชักช้าไม่ทันใคร วันนี้เขาช่างดูเลวร้ายยิ่งกว่าทุกวัน แค่ยกเก้าอี้พับตัวเดียวไปวางบนรถหกล้อ พ่อคุณแวะคุยกับสาวเสียเวลาไปอีก 10 นาที ผมเข้าใจนะว่าเพื่อนกำลังตกอยู่ในหลุมรัก ทว่าเพื่อนของเพื่อนกำลังตกอยู่ในหลุมนรกเนี่ยสิ
“เอาน่า…นี่ก็เสร็จแล้วไง นายคงไม่เข้าใจคนที่มีความรัก” ผมพยายามไกล่เกลี่ยและแอบเข้าข้าง
“แล้วนายเข้าใจ…ว่างั้นเถอะ” อำนาจย้อนคำกลับด้วยหมั่นใส้ ก่อนหันไปประชดใส่เพื่อนอีกคน “ว่ายังไงล่ะครับ พ่อดอนฮวนทรงเดชไอ้เปรตเอ๋ย เพื่อนวิทยาของคุณขยันทำงานเหลือเกิ๊นนน…”
“เป้น่ะไม่เท่าไหร่ เป็นเราก็คงทำเหมือนกัน แต่แม่สาวปูเปรี้ยวเนี่ยสิ…พูดแล้วมันเจ็บจิ๊ด”
เจ้าชายหมีน้อยซึ่งมีสภาพลูกหมาตกน้ำ ได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าดูชมขมขื่นใจ ทรงเดชขยับตัวท่อนล่างค่อนข้างลำบาก กางเกงยีนส์ขาเดฟตัวเก่งเล่นงานเข้าให้แล้ว กระทั่งสบายเนื้อสบายตัวจึงได้คุยต่อ
“พวกนายรู้ไหม ปูเปรี้ยวนั่งคุยอยู่กับนิตยา” ผมและอำนาจพยักหน้า คนพูดจึงว่าต่อไป
“พวกนายรู้ไหม ปูเปรี้ยวคุยอะไรกับนิตยา” ผมและอำนาจส่ายหน้า คนพูดจึงว่าต่อไป
“พวกนายรู้ไหม ปูเปรี้ยวคุยเรื่องนายหรั่งกับนิตยา” ผมและอำนาจทำคอเอียง คนพูดจึงว่าต่อไป
“ไม่ใช่คุยอย่างเดียวนะ ยังเอารูปขี้เหร่ของมันออกมาดูกันอีก สุมหัวหัวเราะคิกคักไม่เกรงใจซักนิด ทำแบบนี้มันหยามกันเกินไป ไม่รักษาน้ำใจของเราบ้างเลย เอาขี้หมามาปาหน้าเลยดีกว่า เดี๋ยวเราจะยุให้นายเป้เลิกกับปูเปรี้ยว ..!!”
คนพูดชี้มือไปที่สองสาวสองสไตล์ แววตาน้ำเสียงแสดงความผิดหวังที่สุด ผมและอำนาจต่างใช้สองมือกุมขมับ พลางถอนหายใจและอยากหายตัวไปจากโลกนี้ พี่หรั่งเป็นคนที่ทรงเดชไม่ชอบมากที่สุด ผู้หญิงมักกรี๊ดหมอนั่นเท่ากับหรือมากกว่าเขา แน่นอนว่าการเลือกตั้งทรงเดชไม่เลือกเบอร์สอง รวมทั้งเราสองคนที่เป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิท แต่ทว่า…คุณทรงเดชครับ คุณเพื่อนกรุณาแยกแยะหน่อย มันใช่เวลาที่จะมาขึ้นเรื่องพี่หรั่งมั้ย..!!
-----------------------------------------------------------
รถหกล้อเคลื่อนตัวเดินทางจากไป หลานเจ้าของตึกปิดประตูลงกลอนอย่างดี ปูเปรี้ยวยังคงหน้าใสไม่มีเหงื่อซักหยด แต่วิทยาก็ยังหมั่นใช้ผ้าสะอาดซับใบหน้า ปล่อยให้เพื่อนสามคนหน้ามันเป็นปาท่องโก๋ สิวหนุ่มเริ่มโผล่กี่เม็ดแล้วล่ะเนี่ย
“ไปดูยูทูปบ้านเราดีกว่า ตากแอร์เย็น ๆ ให้หายเหนื่อย แล้วค่อยหาอะไรกระแทกปาก”
อำนาจบ่นอุบขยับแข้งขยับขาไม่ออก ได้ชวนไปคลีนิคพ่อซึ่งวันนี้หยุดให้บริการ ทุกคนไม่มีความเห็นแต่อยากทำตาม ไปไหนก็ได้ขอให้ได้ไปก็แล้วกัน ทว่าพวกเราไม่ทันได้เดินไปไหน สาวน้อยโรงเรียนนานาชาติยืนจังก้าขวางทางอยู่
“ไม่ได้ ยังกลับบ้านกันไม่ได้ ปูเปรี้ยวจะพาทุกคนไปเลี้ยงข้าวก่อน ร้านเดิมที่เปเป้พาไปก็แล้วกัน มีหมีตัวเบ้อเริ่มด้วยนะ อาหารเครื่องดื่มอร่อยทุกอย่างเลย แล้วพวกเราค่อยถ่ายรูปลงเฟสด้วยกัน…ดีป่ะล่ะ”
คราวนี้เองที่ทรงเดชต้องทำคอเอียง เขาไม่เชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากปูเปรี้ยว อำนาจกับนิตยาว่าไงว่าตามกันอยู่แล้ว ส่วนผมน่ะหรือครับ…ร้อยวันพันปีจะมีผู้สาวขาวโอโม่เลี้ยงอาหาร แล้วผมจะกล้าปฎิเสธเธอคนนี้ได้อย่างไร
“พวกแกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ถ้าข้าไม่ได้บอกให้ไป…เข้าใจป่ะล่ะ”
ทันใดนั้นเองมีเสียงทุ้ม ๆ จากผู้บ่าวคนหนึ่ง ดังกระหึ่มด้านหลังปูเปรี้ยวและนายเปเป้ เธอเบิ่งตาโตรีบหันขวับกลับไปมอง แล้วเกิดอาการผงะถอยมาหลบด้านหลังนิตยา
“พี่เน่ห์” ปูเปรี้ยวเอ่ยสั้น ๆ แล้วเงียบเสียง เหมือนว่าเธอหวาดกลัวคนที่คุยด้วย
“จริงแท้แน่นอน…พี่เน่ห์เอง ไม่เจอกันนานเลยนะ น้องซาร่าแม่ยอดยาหยี”
ผู้มาใหม่กล่าวทักทายอย่างเป็นทางการ น้ำเสียงปนความทุกข์ระทม น้อยใจ และโกรธแค้น พี่เน่ห์ของซาร่ารูปร่างสุงใหญ่หุ่นนักกีฬา แต่งตัวเหมือนเด็กฮิปฮอปโครงหน้าเหมือนเด็กป๊อกแป๊ก ลักษณะโดยรวมไม่ต่างไปจากนักเลงยากูซ่า ด้านหลังเขาปรากฎเด็กหนุ่มร่างท้วมนายหนึ่ง สวมเสื้อหนังสีดำกางเกงยีนส์ขาเดฟสีอ่อน หมอนี่ปากเจ่อพอประมาณ...ดั้งจมูกก็เช่นกัน
“ใครคือซาร่า ปูเปรี้ยวใช่ไหม” ทั้งที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่อำนาจก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“คงใช่แหละ เธออาจมีหลายชื่อก็ได้มั้ง” ผมกระซิบตอบพลางช่วยแก้ต่าง
“คนบ้าอะไรมีหลายชื่อ เราว่านะ…นายคนนี้ต้องโดนเธอคนนั้นหลอกหัวปั่นเหมือนเพื่อนเราคนโน้น”
ทรงเดชเข้ามาสุมหัวกระซิบกระซาบ คำพูดหมอนี่ทำเพื่อนหัวปั่นยิ่งกว่าปูเปรี้ยว คราวใดที่เราทั้งสามจับกลุ่มนินทาคนอื่น ก็มักจะหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบกาย และคราวนี้เองก็ไม่ต่างไปจากทุกคราว กระทั่งใครบางคนทนดูต่อไปไม่ไหว
“เฮ้ย..!! สนใจพี่หน่อย เตะลูกน้องโชว์ซักดอกเลยดีมั้ย”
พี่เน่ห์นั่นเองที่เป็นคนพูดขัด เขาทำตาดุใส่จนทุกคนกลัวหัวหด รวมถึงเด็กหนุ่มร่างท้วมที่มาด้วยกัน
“เข้าเรื่องเลยดีกว่า ซาร่า…กลับมาเป็นแฟนพี่เน่ห์อย่างเดิมเถอะ แม่ยอดยาหยีของพี่”
เน่ห์ วัดดาวเสด็จ เริ่มต้นเจรจาความอย่างเป็นทางการ ทุกคนอ้าปากค้างจ้องหน้าเขาสลับหน้าคู่สนทนา ปูเปรี้ยวเลือกแฟนได้เหมาะสมกันเหลือเกิน ใช้คำว่ากุ๊ยยังบรรรยายภาพนายคนนี้ไม่ดีเท่า
“พี่เน่ห์กลับไปเถอะ เราไม่มีอะไรต้องคุยกัน” ปูเปรี้ยวหน้าเจื่อนขณะตอบกลับ
“แล้วถ้าพี่ไม่กลับล่ะจ๊ะ น้องสาวจะว่าอย่างไร” คนพูดเอียงคอ 15 องศาประหนึ่งดาวร้ายหนังไทย
“มันก็ต้องมีเรื่องกันสิวะ”
ทรงเดชได้ยินได้ฟังเรื่องราวมากพอ เขาจะไม่อดทนกับความเสียมารยาทของผู้มาใหม่ นายคนนี้ดันทำรุ่มร่ามกับปูเปรี้ยว (เอ็งก็ทำเหมือนกันแหละ) เลือดในกายเด็กหนุ่มเดือดพล่านโดยไม่รู้ตัว ทว่ายังมีอีกเรื่องที่ทรงเดชไม่รู้ตัว นั่นคือพวกเราทุกคนไร้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรง นี่ยังไม่นับข้อจำกัดเด็กหนุ่มคนนี้ ที่จะทำให้ทรงเดชตีต่อยกับใครไม่ได้
“ปากดี” พี่เน่ห์หันไปมองลูกน้อง “เอ็งช่วยเลาะฟันมันให้ข้าที และถ้าไม่อยากมือเปื้อนเลือด ก็ใช้เครื่องทุ่นแรงสิวะ”
เด็กหนุ่มร่างท้วมพยักหน้ารับรู้คำสั่ง พร้อมก้าวเท้ามุ่งมั่นยืนจังก้าท้าลมฝน มหาสงครามเอเชียบูรพากำลังจะเริ่ม ผม อำนาจ ทรงเดช ตั้งค่ายกลแปดทิศของจูกัดเหลียง เพราะมีแค่สามคนจึงต้องแบ่งกันไปคนล่ะทิศคนล่ะทาง
ความจริงพวกเรานั้นกลัวจนตัวสั่น ครั้นจะให้หนีทั้งที่ปูเปรี้ยวจ้องมองอยู่ ให้เอาขี้หมามาปาหน้าเลยดีกว่า จึงต้องสู้ตายให้โลกรู้เรายอดขุนพล คนสวมเสื้อหนังแสยะยิ้มเดินเข้าใกล้ นายคนนี้มีอาการสั่นเหมือนกัน แต่สั่นเฉพาะบริเวณบั้นท้ายกลมกลึง ลูกน้องพี่เน่ห์ใช้มือขวาล้วงไปยังบั้นท้าย หรือว่าหมอนี่…หมอนี่จะใช้เครื่องทุ่นแรงตามคำแนะนำ
เลวมาก..!! ไอ้ ไอ้ ไอ้ ไอ้…ไอ้ตุ๊ดเอ๊ย !! เอ็งมันไม่ใช่ลูกผู้ชายตัวจริง สามต่อหนึ่งก็ยุติธรรมดีอยู่แล้ว
“ครับ…วันนี้เลยเหรอ ได้ครับ แค่นี้นะครับ”
สิ่งที่เด็กหนุ่มร่างท้วมหยิบออกมานั้น คือโทรศัพท์มือถือไอโฟนสีชมพู หลังคุยจบพ่อคุณจึงหันไปมองลูกพี่
“พี่เน่ห์ครับ ผมขอเวลานอกห้านาที” ลูกน้องกล่าวเปิดหัว
“มันใช่เวลามั้ย ซัดพวกมันให้น่วมก่อน” ลูกพี่ดันไม่เห็นด้วย
“แต่มันสำคัญมาก ผมต้องพูดเดี๋ยวนี้” ลูกน้องยังคงยืนกราน
“งั้นก็ได้ พูดจบแล้วไปอัดมันต่อ” ลูกพี่ตอบกลับแบบเซ็ง ๆ
“ผมขอลาออกจากแก๊งค์ครับ…พี่เน่ห์”
ค่ายกลจูกัดเหลียงพังทลายไม่เป็นท่า ทุกคนที่ได้ยินต่างสะดุ้งโหยงเป็นตลกคาเฟ่ ผมทำฝาโอ่งหล่นใส่พื้นเสียงดังผ่างงง..!! ในหัวเต็มไปด้วยความแปลกใจ ตกใจ และไม่เข้าใจ ฝ่ายพี่เน่ห์ก็มีอาการแปลกใจ ตกใจ และไม่เข้าใจไม่แพ้กัน
“เอ็งจะมาบ้าอะไรตอนนี้ ไปอัดพวกมันให้เสร็จก่อน ค่อยยื่นใบลาออก” น้ำเสียงเจ้าตัวยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ผมไม่ว่าง ทางโน้นให้รีบไปกรอกใบสมัคร” คนตอบมีน้ำเสียงเรียบง่าย
“ทางไหน ..!! เอ็งไปสมัครแก๊งค์ไหนเอาไว้วะ” คนถามเริ่มมีหางเสียง
“แก๊งค์พี่ต๋อย โคกกระต่าย ครับพี่”
“แก๊งค์ไอ้ต๋อยเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว ! คิดยังไงถึงอยากไปอยู่กับมัน เอ็งนี่มันไฝ่ต่ำแท้เชียว”
เน่ห์ วัดดาวเสด็จ ตะโกนเสียงดังใบหน้าแดงก่ำ พร้อมขยับเข้าหาอดีตลูกน้องที่พึ่งแปรพักตร์ ร่างสองร่างเข้าใกล้กันระยะประชิด นายหัวหน้าแก๊งค์ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาใช้หน้าผากตัวเองแตะหน้าผากลูกน้องเก่า แล้วเริ่มหลับตาท่องคาถาอะไรซักอย่าง การเป็นจิ๊กโก๋คืออะไรที่สุดลึกลับ ดึงดูดใจ และน่าค้นหา ผมจ้องมองเหตุการณ์ด้วยความประทับใจ
“ถ้าเอ็งต้องการแบบนั้น ข้าก็ขออวยพรให้เอ็งโชดดี”
อดีตลูกพี่ถอยห่างออกมายืนโด่เด่ กล่าวคำอำลาอดีตลูกน้องผู้ชอบดื่มโค๊ก เด็กหนุ่มร่างท้วมดูลังเลใจนิดนึง ส่งสายตาอาลัยอาวรณ์อีกนึดนึง ถอนหายใจเบา ๆ ซักครั้งนึง แล้วตัดสินใจหันหลังขวับไม่กลับคืน
“หยุดก่อน.!” เน่ห์ วัดดาวเสด็จ ตะโกนเรียก “ข้าถามอะไรซักอย่าง เอ็งชื่ออะไรวะ”
นี่คือคำถามหรือมุขขยี้ซ้ำกันแน่ ผมอยากทำท่าสะดุ้งเป็นตลกคาเฟ่อีกรอบ หัวหน้าแก๊งค์ภาษาอะไร ลูกน้องคนเดียวยังจำชื่อไม่ได้ ผมรู้ดีว่าคนโดนถามน้อยใจแค่ไหน ทว่าเจ้าตัวยังเก็บอาการได้เช่นเคย เขายิ้มมุมปากตอบกลับน้ำเสียงปรกติ
“จำชื่อผมไว้นะพี่เน่ห์” คนพูดเว้นระยะเพื่อเรียกเรทติ้ง “ผมชื่อ หน่อง…หน่อง ทับกวาง”
หน่อง ทับกวาง จากไปแล้วตามทางเดิน บทดราม่าขยี้ใจได้สิ้นสุดลง กลับเข้าสู่บทบู๊ล้างผาญอีกครั้ง พี่เน่ห์รู้สึกโมโหอย่างถึงที่สุด เขาโดนปูเปรี้ยวทอดทิ้ง สังคมทอดทิ้ง กระทั่งลูกน้องคนเดียวก็ยังทอดทิ้ง หัวหน้าแก๊งค์ถอดเสื้อตัวเองทันควัน ร่างท่อนบนเปลือยเปล่ามีรอยสักเต็มไปหมด คู่อริเห็นเข้าตกใจมือไม้อ่อน เด็กหนุ่มสามคนกอดกันกลมประหนึ่งลูกบอล
ปฎิบัติการจิตวิทยาได้ผลเป็นอย่างดี คนถอดเสื้อหัวเราะเสียงดังด้วยความสะใจ ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้าใกล้คู่ปรปักษ์ ซึ่งไม่ทำอะไรเลยนอกจากพร่ำร้องเรียกหาแม่ ทันใดนั้นเองนิตยาซึ่งยืนคุมเชิงอยู่ ได้ปรี่เข้าขวางไม่ให้เพื่อนชายโดนรังแก แววตาสาวน้อยประหนึ่งแม่ไก่หวงลูกเจี๊ยบ เห็นแล้วรู้สึกประทับใจ อบอุ่นใจ และซาบซึ้งใจจนบอกไม่ถูก
เดี๋ยวก่อนนะ ..!!! พวกเราเป็นผู้ชาย ตัวเท่าหมีควายกินก็เก่ง แต่ให้ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวคอยคุ้มหัว เนี่ยนะ…??
ผมตัดสินใจก้าวเท้าจากคอมฟอร์ทโซน เป็นไงเป็นกันแต่จะไม่ขอเป็นคนขี้ขลาด ปากก็ตะโกนบอกให้นิตยาหลบไปก่อน หูก็ฟังเสียงทรงเดชร่ำร้องให้กลับไปรวมกลุ่ม นายหัวหน้าห้องไม่ทันสนใจสิ่งรอบตัว จึงไม่ทันเห็นหมัดซ้ายลอยปะทะใบหน้า คนโดนต่อยยืนงงพร้อมความสับสน คนปล่อยหมัดจึงได้กระทำซ้ำให้ดูอีกครั้ง
“นี่…เขาเรียกว่า หมัดแย๊บ”
เน่ห์ วัดดาวเสด็จทำท่าออกหมัดซ้ายเช่นเคย เด็กหนุ่มหน้าตี๋รีบยกสองมือขึ้นกัน เขาจึงต่อยหมัดขวาเข้ากลางลำตัว
“นี่…เขาเรียกว่า หมัดทะลวงใส้”
เน่ห์ วัดดาวเสด็จ ทำท่าออกหมัดขวาเช่นเคย เด็กหนุ่มหน้าตี๋รีบใช้สองมือปิดลำตัว เขาจึงเสยหมัดขวาเข้าที่ปลายคาง
“นี่…เขาเรียกว่า หมัดอัปเปอร์คัท”
สุดยอดจิ๊กโก๋สอนเชิงมวยได้เพียงสามกระบวนท่า คู่ต่อสู้ก็ดันเข่าทรุดก้นกระแทกพื้น เขาส่ายหัวไปมาให้กับความอ่อนหัด แล้วคิดในใจว่าโชดดีที่ชิงลงมือก่อน ไอ้สองคนที่เหลือล้วนปอดแหกตาขาวทั้งสิ้น
ทว่าพี่เน่ห์คาดการณ์ผิด ทรงเดชเห็นเพื่อนรักโดนรังแกจึงโผเข้าใส่ อำนาจก็ลุกขึ้นสู้เช่นกัน แต่เขาเป็นคนตัวเล็กจึงต้องหาตัวช่วยเสียก่อน ผมเห็นความพยายามของเพื่อนทั้งสอง บังเกิดความปลาบปลื้มน้ำตาไหลพราก
…ทรงเดชไม่เคยทิ้งผม อำนาจไม่เคยทิ้งผม พวกเราไม่เคยทิ้งกัน…
การต่อสู้ระหว่างทรงเดชกับพี่เน่ห์ วัดจากขนาดน่าจะสูสีตัดสินด้วยภาพถ่าย ทว่าทรงเดชนั้นไม่มีเรี่ยวแรง ไม่ได้เป็นจิ๊กโก๋อกหัก ไม่มีลายสักนินจาฮาโตริ และประการสำคัญที่สุดก็คือ ที่นี่ไม่ใช่สนามบาสแต่เป็นข้างถนน เขาคือสุดยอดนักกีฬาของโรงเรียน แต่เมื่อเขาไม่ได้สวมยูนิฟอร์มและไม่ได้อยู่ในสนาม เขาก็เป็นแค่เด็กมัธยมผู้เก่งแต่ปาก
ฝ่ายตรงข้ามแค่คอยจับตาการเคลื่อนไหว แล้วหลบการโจมตีครั้งแรกของเพื่อนผม จากนั้นจึงเป็นการเอาคืนอย่างสะสม อดีตแฟนเก่าปูเปรี้ยวเตะขวาน่องซ้ายคู่ต่อสู้ ทรงเดชร้องเจี๊ยกดวงตาเบิ่งโตด้วยความบาดเจ็บ
“นี่…เขาเรียกว่า เตะเจาะยาง”
เน่ห์ วัดดาวเสด็จทำท่าเตะขวาอีกครั้ง เด็กหนุ่มเสียงเหน่อรีบยกขาซ้ายหนี เขาจึงเตะซ้ายบริเวณข้อเท้าขวาแทน มีเสียงช้างล้มดังสนั่นตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง สุดยอดนักกีฬาโรงเรียนเราพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
“นี่…เขาเรียกว่า เณรกวาดลาน”
เณรผู้ชอบกวาดลานดีใจได้เพียงครู่เดียว ก็ต้องเต้นแรงเต้นการาวกับอยู่ในคอนเสิร์ต อำนาจระดมเขวี้ยงสิ่งของที่อยู่ในมือ น้ำเต้าหู้ถุงน้อยลอยปะทะใบหน้าดังโครม ตามมาด้วยเสียงเยาะเย้ยจากคนปา ผู้ไม่รู้เลยว่ากระสุนตัวเองนั้นหมดแล้ว
เน่ห์ วัดดาวเสด็จ เช็ดใบหน้าตัวเองให้สะอาด เขารู้สึกโมโหมากที่โดนรังแกอยู่ฝ่ายเดียว ทำไมหมอนี่ไม่แบ่งน้ำเต้าหู้ให้เขาบ้าง มันไม่ยุติธรรมซักนิดเดียวนะ จึงต้องเอาคืนชนิดทบต้นทบดอก ว่าแล้วเขาก็ย่างสามขุมตรงเข้าไปหา
“แม่จ๋าหนูกลัว” มือปาน้ำเต้าหูสะดุดขาตัวเองหกล้ม “ทุกคนช่วยด้วย เราไม่ไหวแล้วนะ”
อำนาจกรีดร้องสุดเสียงด้วยความหวาดกลัว เขาหนีมาจำนนหน้าตึกแถวของป้าปูเปรี้ยว ระหว่างที่รอว่าจะโดนเล่นงานท่าไหน นิตยาซึ่งยืนคุมเชิงจนเมื่อยเต็มที ได้ปรี่เข้าขวางไม่ให้เพื่อนชายโดนรังแก คราวนี้ไม่มีเลยห้ามปรามเธอ
“คิดว่าตัวเองเป็นจีจ้าญานินหรืออย่างไร พี่เน่ห์แอบใฝ่ฝันมานาน ว่าอยากต่อยสาวสวยซักครั้งในชีวิต”
จิ๊กโก๋อกหักเผยความลับที่อยู่ในใจ แล้วพุ่งเข้าใส่พร้อมแย็บซ้ายเร็วฟ้าผ่า นิตยาเอี้ยวตัวหลบเพียงนิดเดียว หมัดซ้ายเฉี่ยวปลายจมูกเส้นยาแดงผ่าแปด คนต่อยพลาดหมุนตัวกลับเพื่อโจมตีซ้ำ สาวผมหยักโศกย่อเข่าซ้ายลงเล็กน้อย ยกเข่าขวาขึ้นสุง เหยียดขาขวาออกเต็มแรง เธอส่งกำลังจากสะโพกและต้นขา ใช้หลังเท้าฟาดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว ฝ่ายตรงข้ามยกมือซ้ายกันได้จวนเจียน ปรากฎเสียงดัง “ผลั๊วะ” ได้ยินทั่วท้องถนน ร่างอันใหญ่โตเซถลาดั่งนกปีกหัก มือซ้ายชายหนุ่มเริ่มชาไปทั้งแถบ
“นี่…เขาเรียกว่า เตะด้านหน้า”
สาวน้อยดวงตาซุกซนประกาศชื่อท่าโจมตี สามหนุ่มสามมุมอ้าปากค้าด้วยตกตะลึง แต่คนที่ตกตะลึงมากที่สุดก็คือพี่เน่ห์ แทบไม่อยากเชื่อว่าเขาจะโดนผู้หญิงรังแก จิ๊กโก๋อกหักพุ่งตัวเข้าใส่ความเร็วสุงสุด เขาจะแกล้งปล่อยหมัดแย๊บซ้ายแย๊บขวาเป็นการหลอกล่อ แล้วใช้หมัดเคาน์เตอร์ที่มีชื่อเสียงเพื่อปิดเกมส์
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องผองเพื่อนชาย นิตยาใบหน้าเรียบเฉยยืนท้าทายมัจจุราช กระทั่งคู่ต่อสู้ก้าวเท้าซ้ายเงื้อหมัดขวา เธอจึงได้หันสีข้างสปิงข้อเท้าสุงระดับศรีษะ ฝ่าเท้าน้อย ๆ จิ้มเข้าที่กึ่งจมูกกึ่งปาก คนโดนจิ้มเซถลาไปทางด้านหลัง ผมบังเอิญมองเห็นช๊อตนี้เข้าอย่างจัง พี่เน่ห์น่าจะเหม็นไปอีกสองอาทิตย์ เพราะยายนิดเพิ่งเหยียบขี้หมาหน้าร้านป้าปูเปรี้ยว
“นี่…เขาเรียกว่า เตะกลับหลัง”
เน่ห์ วัดดาวเสด็จ เดินทางมาถึงจุดตกอับในที่สุด เขากำลังจะแพ้คู่ต่อสู้หน้าตาน่ารักน่าชัง ต้องรีบแก้เกมส์ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ร่างสุงใหญ่พุ่งใส่คู่อริชนิดปุบปับ แล้วส่ายสะโพกโยกซ้ายโยกขวากระทั่งจับทางไม่ถูก แค่เพียงไม่นานเขาได้มายืนด้านหลังของเธอ ต่อให้น้องสาวเตะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่น้องสาวเตะพี่จากทางด้านหลังไม่ได้
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องผองเพื่อนชาย นิตยาใบหน้าเรียบเฉยคราวนี้หลับตาด้วย ทันทีที่คู่ต่อสู้ใช้ฝ่ามือล๊อคต้นคอ เธอก็ใช้มือซ้ายจับมือข้างนั้นไว้แน่นหนา มือขวาล้วงจับบริเวณต้นแขนล่ำบึ๊ก ขาขวาถีบขาขวาอีกฝ่ายให้เสียหลัก พลันโน้มตัวไปด้านหน้าสุดกำลัง ด้วยแรงเหวี่ยงและแรงดึงดูด ด้วยน้ำหนักตัวจากคู่อริ และด้วยวิธีการที่ถูกต้องแม่นยำ จิ๊กโก๋อกหักลอยคว้างลงไปแหมะอยู่ที่พื้น ปรากฎเสียงดัง “ป๊าบบ.!!” ตามมาด้วยฝุ่นตลบอบอวล ทว่าคราวนี้นิตยาไม่ได้พูดอะไรเลย
เน่ห์ วัดดาวเสด็จ นอนหงายอ้าซ่าอยู่ริมถนนใหญ่ เขาพ่ายแพ้ในการตีต่อยกับเด็กผู้หญิง และกำลังจะหมดสติในอีกไม่กี่อึดใจ ชายหนุ่มก้มมองหน้าอกด้านซ้ายเป็นครั้งท้ายสุด ตรงนั้นเองโดเรมี่ตัวจิ๋วกำลังยิ้มแฉ่งชูมือหรา เจ้าของรอยสักเผลอยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว เขารวบรวมพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ ส่งเสียงครางหงิง ๆ เหมือนลูกหมาเพิ่งหย่านม
“นี่…เขาเรียกว่า เซโออิ (ทุ่มข้ามหัวไหล่)” คนพูดกะอักเลือดแต่ฝืนพูดต่อ “อิ อิ อิ อิ อิป อิป…อิปป้ง”
------------------------------------------------------------
โรงพักตำรวจวันเสาร์ที่สองของปีนี้ ค่อนข้างเงียบเหงาเหมือนหัวใจไอ้หนุ่มรักคุด กำลังพลส่วนใหญ่ถูกส่งไปประจำที่โรงเรียน เพื่อบังคับใช้กฎจราจรและดูแลความปลอดภัย บนโรงพักมีแค่ร้อยเวรที่เพิ่งหย่านม กับจ่าแก่ ๆ ผู้มีประสบการณ์แพรวพราว ตำรวจสองนายเล่นเกมส์ไลน์เรนเจอร์ฆ่าเวลา กระทั่งบ่ายสามโมงจึงได้ประสบเหตุวุ่นวาย
คดีวัยรุ่นตบตีกันแย่งชิงสาว ฝ่ายหนึ่งเป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลาย อีกฝ่ายเป็นไอ้หนุ่มฮิปฮอปหน้าคล้ายเด็กป๊อกแป๊ก เนื่องจากผู้ปกครองนักเรียนไม่มีใครว่าง จึงมีผู้ปกครองจิตอาสาทำหน้าที่แทน ร้อยตำรวจตรีวชิระศักดิ์ค่อนข้างสับสน แต่จ่าสิบเอกวีระยุทธนั่งยันนอนยันว่าทำได้ เพราะไม่อยากเสียเวลาในการเล่นเกมส์ จ่ายุทธว่าไงหมวดชิจึงว่าตามกัน
“โอ๊ยย..!!! เบามือหน่อยสิ มันเจ็บมากเลยนะ”
ผู้ร้องโหยหวนก็คือผมนายหัวหน้าห้อง พลางใช้มือขวาลูบคลำตาขวาซึ่งบวมนิดหน่อย มันไม่ได้เจ็บไม่ได้แสบไม่ได้คันอะไรหรอก ถ้าไม่ได้บังเอิญว่าคนทำแผลไม่ได้ชื่อชิดชนก โอกาสแบบนี้ไม่ได้จะมีทุกวันนี่นา
“นายก็อยู่เฉย ๆ สิ โวยวายเป็นเด็กผู้หญิงไปได้ อำนาจกับทรงเดชยังไม่ร้องซักแอะ”
ชิดชนกพร่ำบ่นไปบรรจงทำแผลไป สาวผมม้าตากลมเดินทางมาที่โรงพัก พร้อมกับเฮียอ๋าผู้เป็นบิดาของเธอ และเป็นผู้ปกครองจิตอาสาพวกเราทุกคน พ่อนิตยาและพ่ออำนาจไม่อยู่ซักคน และถ้าบอกอาม่าคงได้โดนลูกถีบขาคู่
“ก็มันเจ็บนี่นา จะให้ร้องเป็นเพลงหรือไง” เพื่อนชายต่อปากต่อคำไม่เลิก
“มันน่าโดนต่อยให้ปากแตกยับ เห็นพูดเก่งแบบนี้นะนิด เอาเข้าจริงปอดแหกตาขาว” คนทำแผลสาปส่งซะงั้น
“แต่เขาวิ่งเข้าใส่คนแรกเลยนะนก” นิตยาพูดเชียร์เล็กน้อย อีกฝ่ายส่ายหัวจนผมปลิวสยาย
“ก็ว่าไป…โดนเพื่อนถีบออกจากกลุ่มหรือเปล่า โชดดีพ่อเราไม่ไปส่องพระ ไม่อย่างนั้นได้อยู่โรงพักทั้งคืนแน่”
ชิดชนกชี้ไม้ชี้มือไปยังผู้เป็นบิดา ผมรู้เฮียอ๋าไม่อยากมาที่นี่หรอก ทว่าเขาต้องการชัยชนะเหนือโรงเรียนเสาร์ห้า เฮียใช้คู่อริตลอดกาลเป็นผอ.อยู่ที่นั่น และเพื่อนผมคือความหวังเดียวของทีมบาส พวกเราทุกคนจึงโชดดีที่มีทรงเดช
ผลการชกต่อยของทุกฝ่ายปรากฎดังนี้ ผมตาบวมคางบวมปากเจ่อพอประมาณ อำนาจลื่นล้มเจ็บก้นกบนิดหน่อย ทรงเดชกลายเป็นเป๋ห่าวเหมือนพี่ชายปูเปรี้ยว นิตยาไม่เป็นอะไรเลย ส่วน เน่ห์ วัดดาวเสด็จ นั่งปากบวมจมูกบวมอยู่ในมุ้งสายบัว รอความช่วยเหลือจากอดีตลูกน้องชื่อหน่อง ทับกวาง จิ๊กโก๋อกหักไม่พูดไม่จาซักประโยค อาจเหม็นขี้หมารองเท้านิตยากระมังครับ
“ไม่มีอะไรแล้ว นกกลับบ้านเถอะ” ผมออกปากด้วยเกรงใจเฮียอ๋า ก่อนเหลียวมองเพื่อนอีกคน “แล้วนิดไปไหนต่อ”
“นิดกลับพร้อมเรา คืนนี้นอนบ้านเราด้วย จะได้ช่วยฝึกสอนวิชากังฟูวัดเส้าหลิน ย๊ากกก…!!”
ชิดชนกเริ่มปล่อยมุขฮาตามถนัด พลางยิ้มสดใสให้ทุกคนบนโรงพัก ผมแอบมองนิตยาสุดแสนละอายใจ เธอเก่งเหลือเกินที่ล้มคู่อริโดยไม่เสียเหงื่อ ขณะที่เพื่อนชายเป็นแค่เพียงตัวถ่วง ถึงไม่มีพวกเรานิดก็เอาตัวรอดได้สบาย
“สอนเราด้วยคน นิดคงไม่รู้ตัวสินะ…ว่านิดทั้งสวย น่ารัก คิกขุ นิสัยดี และใจดีที่สุดในสามโลก”
อำนาจรีบเสนอหน้าเข้ามายุ่งเกี่ยว เขาอยากเป็นท่าเตะกลับหลังเพราะมันเท่ห์มาก หมอจึงชมคู่อริที่ปรกติไม่กินเส้นกัน นิตยาจ้องหน้ากลับไม่มีสะทกสะท้าน ดวงตาซุกซนซ่อนความน่ากลัวอยู่ภายใน เจ้าของดวงตาใช้คำพูดจากใจถึงใจ
“เรียกอาจารย์หรือยัง…เด็กน้อย”
ทรงเดชแหกปากหัวเราะเสียงดังสนั่น ก่อนเดินขาเป๋จากไปเพื่อดื่มน้ำ อำนาจใบหน้าบูดบึ้งเดินกระแทกส้นเท้าตามไป เพื่อป้องกันการเกิดเหตุอันไม่พึ่งประสงค์ ผมรีบพาสองสาวไปส่งในที่ที่ควรจะส่ง รถกระบะสีเขียวหลังคาสุงวิ่งจากไปอย่างเชื่องช้า ผู้มาส่งถอนหายใจแล้วพลันสะดุ้งเฮือก เมื่อพบหน้าใครคนหนึ่งยืนหน้าเจื่อนอยู่หน้าโรงพัก
“พี่เน่ห์ไม่ใช่แฟนเก่าปูเปรี้ยว ปูเปรี้ยวให้สัญญากับป๊ะป๋าไว้ว่า ปูเปรี้ยวจะไม่มีแฟนจนกว่าจะเรียนจบ”
ไม่รู้ทำไมเธอถึงเลือกที่จะคุยกับผม ความจริงควรบอกนายวิทยาไม่ใช่เหรอ แต่ในเมื่อเธออยากพูดผมก็ไม่อยากขัด จึงพากันไปนั่งหลบแดดใต้โรงพักนั่นแหละ ถึงเวลาออกโรงของแม่สาวปืนกลหกลำกล้อง
“พี่เน่ห์เป็นประธานนักเรียนปีที่แล้ว ส่วนปูเปรี้ยวเป็นดรัมเมเยอร์ก็เลยรู้จักกัน เขาเข้ามาจีบแต่ปูเปรี้ยวไม่เล่นด้วย ก็ยังตามตื้อและเรียกปูเปรี้ยวว่าน้องซาร่ายอดยาหยี ไม่รู้พี่เน่ห์ไปได้ข้อมูลมาจากไหน ว่าปูเปรี้ยวชอบโดเรมี่ก็เลยไปสัก”
คนพูดถอนหายใจเสียงดังพอประมาณ ผมคิดทบทวนแต่ไม่กล้าฟันธงแม้แต่เรื่องเดียว
“ปูเปรี้ยวดีใจที่ได้เจอเปเป้อีกครั้ง เราเป็นเพื่อนกันมานาน…และจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป ต้องขอโทษเรื่องขนของร้านป้าปูเปรี้ยวด้วย ทีแรกคุยกับเปเป้ให้ช่วยหาคนงานให้หน่อย แต่เปเป้บอกว่าเพื่อนเขายินดีช่วยเหลือ ปูเปรี้ยวเลยเอาเงินค่าจ้างมาเลี้ยงอาหารแทน ดันเจอพี่เน่ห์เสียก่อนวุ่นวายไปหมด ปูเปรี้ยวต้องขอโทษจริง ๆ ขอแก้ตัวโอกาสหน้าแล้วกัน”
คนพูดเปิดซองจดหมายในมือ ภายในซองมีแบงค์สีม่วงอยู่สามใบ มิตซูบิชิ มิราจ สีแดงวิ่งมาจอดหน้าโรงพัก คนขับเป็นอาตี๋หน้าจืดชื่อนายปีโป้ น้องสาวคนสวยกล่าวอำลาก่อนก้าวขึ้นรถ เมื่อสองพี่น้องเดินทางจากไปแล้ว อำนาจ ทรงเดช และวิทยา เดินออกมาจากโรงพักพร้อมกัน เห็นเข้าจึงเริ่มสงสัยบางสิ่งบางอย่าง ระหว่างเกิดเรื่องวิทยาหายหัวไปไหน ..??
“เป้ อย่าว่าเราคิดเล็กคิดน้อยเลยนะ ถามอะไรหน่อยสิ”
ครั้นอดรนทนต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจเปิดปากเพื่อสอบถาม วิทยาพยักหน้าแต่ไม่หันมอง สายตาเอาแต่จับจ้องโทรศัพท์ตัวเอง อำนาจรีบเข้าใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เป็นไงเป็นกันผมต้องไม่กลัวเพื่อนโกรธ
“พระเจ้าจอร์ท! ของดีมาอีกแล้ว” ทรงเดชทำตาเหลือกขณะอุทาน เขาคงเห็นอะไรซักอย่างเข้า
“ปูเปรี้ยวลืมของล่ะมั้ง” ผมคิดถึงโบว์สีชมพูบนโต๊ะร้อยเวร
“ไม่ใช่เธอคนนั้นซักหน่อย แต่เป็นเธอคนโน้นต่างหาก”
คำพูดยอดนักบาสเรียกความสนใจได้ดี อำนาจเหลียวมองแล้วทำหน้าเหวอน้ำลายไหล ผมก็เลยรีบหมุนตัวกลับไปบ้าง เพื่อพบอะไรบางอย่างที่ทั้งขาวโมโม่ หุ่นบะลั๊กกั๊ก แถมยังแต่งตัวได้น่าหวาดเสียว หากจ้องมองเธอครบห้านาทีเมื่อไหร่ เลือดกำเดาไหลหมดตัวเสียชีวิตคาที่ แม่สาวสายเดี่ยวส่งยิ้มให้ใครคนหนึ่ง ทั้งที่ไม่อยากคิดเข้าตัวเอง…แต่เธอส่งยิ้มให้ผมแน่นวล
“แบรี่….แบรี่ใช่มั้ย เดี๋ยวนี้ลืมต๊อกแต๊กแล้วสินะ คนใจร้าย คนใจดำ คนอะไรหล่อจัง”
ต๊อกแต๊กเดินยักย้ายส่ายสะโพกเข้าใกล้ เธอพูดกับวิทยาแต่จ้องหน้าผมตาเป็นมัน อำนาจกับทรงเดชจ้องมองสิ่งที่กำลังเด้งดึ๋ง ผมไม่รู้หรอกว่าเพื่อนคิดอะไรอยู่ในใจ แต่สิ่งที่ผมคิดอะไรในใจอยู่ก็คือ เหมือนว่าตัวเองกำลังจะงานเข้า
“เด็กโรงเรียนประทีปวิทยาคม หุ่นดี ไม่รุงรัง บ้าผู้ชาย เคยคุยกันแต่ไม่คลิก” คนพูดดูหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง “เรานัดกับนิหน่าไว้สี่โมงเย็น ช่วยรับหน้าทางนี้ให้ที นิหน่าคือรักแท้และรักเดียว…ถือว่าเราขอ”
คำพูดของวิทยาชัดเจนแจ่มแจ๋วที่สุด หมอนี่พูดช้าและพูดยานรับรองไม่ตกประเด็น ผมมองหน้าเพื่อนอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก ที่เคยปรามาสว่าเป็นไอ้คล้าวจากท้องทุ่งบางกะปิ แท้จริงเขาคือคาสซาโนว่าดินแดนไกลปืนเที่ยง
ต้องหนี ..!! นี่คือสิ่งที่โพล่งขึ้นมาในหัวสมอง วิทยาเหนือชั้นเกินไปสำหรับพวกเรา เขาดูลึกลับและมีข้อกังขายิ่งกว่าปูเปรี้ยว ผมเอื้อมมือสะกิดอำนาจเป็นการบอกกล่าว เพื่อพบว่าฝั่งขวามือไม่มีใครเลย ทรงเดชก็หายตัวไปด้วยอีกคน หรือว่าทั้งคู่…ใส่เกียร์หมาวิ่งหนีจากไปแล้ว
“ต๊อกแต๊กชอบผู้ชายขาวตี๋ เดี๋ยวแนะนำให้รู้จัก รับรองจะติดใจ”
วิทยา หรือเป้ หรือเปเป้ หรือแบรี่ หรืออะไรก็ตาม ได้กล่าวปิดประเด็นพร้อมจับมือคนคุยด้วย ผมพยายามอย่างสุดกำลังที่จะหลบหนี แต่ข้อมือวิทยาช่างแข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กไหล แม่สาวต๊อกแต๊กตรงเข้าประกบแนบสนิท ลมหายใจสาวสายเดี่ยวฟืดฟัดแถวต้นคอ อะไรซักอย่างคล้ายลูกโป่งใหญ่เท่าหัวเด็ก เบียดเสียดแผ่นหลังรวมทั้งท่อนแขนขวา
…ทรงเดชไม่เคยทิ้งผม อำนาจไม่เคยทิ้งผม พวกเราไม่เคยทิ้งกัน…
------------------------------------------------------------
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ