ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  26.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

24) เสือพบสิงห์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสือพบสิงห์

          “…เรี่ยมเร้เรไร อ๊ะถูกใจถูกใจจริงๆ ผู้หญิงอะไร ยิ่งมองยิ่งมีเสน่ห์

          อยากได้เป็นแฟน แทนความว้าเหว่ ถ้าเธอโอเค ก็เรี่ยมเร้เรไร…”

          ช่วงเวลาพักเที่ยงของนักเรียนมัธยมปลาย เดินทางเข้าสู่ครึ่งหลังของคาบแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย บางส่วนเตะบอล เตะตะกร้อ ตีปิงปองเพื่อฆ่าเวลา บางส่วนเดินงุด ๆ กลับห้องเรียนตัวเอง บางส่วนจับกลุ่มพูดคุยใต้ร่มใม้ใบหญ้า แต่ก็ยังมีนักเรียนอีกพอสมควร เอ้อระเหยลอยชายอยู่หน้าชามก๋วยเตี๋ยว สายตาจับจ้องไปยังด้านหน้าเรือนเพาะชำ อาคารชั้นเดียวเพิงหมาแหงนหลังคาสังกะสี ตั้งอยู่ติดแปลงเกษตรนักเรียน ม.ต้น เยื้องโรงอาหารหลังคามุงจากเพียงนิดเดียว

          บริเวณด้านหน้าสุดสถานที่ดังกล่าว มีนักเรียนชายหญิงประมาณ 7-8 คน พากันเต้นระบำโยกย้ายส่ายสะโพกเป็นที่หนุกหนาน อยู่บนรถอีแต๋นเปิดประทุนชื่อน้องตุ๊กติ๊ก รถคันนี้ติดตั้งเครื่องเสียงพร้อมลำโพงดอกใหญ่ มักใช้เปิดเพลงประจำโรงเรียนที่น่าเบื่อหน่าย ทว่าวันนี้ดันเป็นบทเพลง “เรี่ยมเร้เรไร” ของ กุ้ง สุธิราช วงศ์เทวัญ ดังกระหึ่มได้ยินไปถึงหน้าเสาธง

          ไม่ใช่พวกเขาแอบทำกันเองนะครับ ได้รับอนุญาติจากผอ.ยอดรักผู้มีเคราแพะเป็นสัญลักษณ์ โดยการนำของเด็กหนุ่มหน้าตาดีรูปร่างสุงโปร่ง ซึ่งทุกคนรู้จักกันในฉายา “หรั่งผมแดง” ซึ่งเป็นนักฟุตบอลทีมโรงเรียนระดับดารา ซึ่งเป็นผู้สมัครประธานนักเรียนหมายเลข 2 ซึ่งเป็นผู้มีคะแนนนำคู่แข่งสองช่วงตัว และซึ่งเป็นผู้ตีระนาดเอกอย่างเมามันส์

          “…รูปร่างหน้าตา ดูงามสง่าดั่งราวกับหงส์ ใครเห็นเป็นหลง กลับบ้านไม่ถูกมาตั้งกี่ราย

          เต่ง เตง เตง เต่ง เตง เต่ง เตง เต๊ง เต่ง เตง เตง เต่ง เตง…”

          เสียงกรีดร้องเหล่านักเรียนหญิงดังกระหึ่ม เมื่อคนตีระนาดเปลี่ยนมาเต้นท่าแมงกุ๊ดจี่ขี่ควายเฒ่า เห็นแล้วรู้สึกปวดตับยังไงพิกล ยึกยึก..ยักยัก..เดินหน้า..ถอยหลัง…ทำปากพะงาบ..พะงาบ สุดท้ายก็ยิ้มฟันสวยเป็นท่าจบ นี่ถ้าไม่หล่อจริงโดนโห่ไล่ไปนานแล้ว บังเอิญว่าคนที่ทำดั๊นนน….หล่อจริงเนี่ยสิ นี่คือสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดตับ

           ผม อำนาจ และทรงเดช ยืนเท้าคางอยู่บนระเบียงหน้าห้องเรียนประจำ ตรงข้ามอาคารสามคือเรือนเพาะชำพอดิบพอดี จึงได้เห็นการแสดงพอดิบพอดีไปด้วย เพื่อน ๆ ทุกคนคงรู้สึกแปลกใจ ผมขอเป็นนักสืบคินดะอิจิเฉลยความจริง นี่คือการหาเสียงผู้สมัครประธานนักเรียนคนใหม่ หมายเลข 1 คือพี่มาโนชประเดิมสนามตั้งแต่วันศุกร์ พี่คนนี้เรียนเก่ง นิสัยก็ดี อยู่ห้องคิงส์ ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย บังเอิญพี่มาโนชดันพูดไม่เก่ง ไม่รู้จักการเข้าสังคม เป็นหนอนหนังสือตัวพ่อ เอะอะกางตำราตอบ เอะอะบอกให้ถามอากู๋ เอะอะบอกให้ดูเดอะว๊อยส์ แล้วใครจะเลือกเบอร์ 1 กันล่ะคุ๊ณณณ…

          ส่วนใหญ่ทุกปีคนที่ได้เป็นประธานนักเรียน ถ้าไม่เรียนเก่ง นิสัยดี มีคนรู้จักมาก ก็ต้องโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่ง พี่หรั่งเคยเป็นนักร้องวงลูกทุ่งโรงเรียน ครั้นขึ้น ม.ปลายได้ผันตัวไปเป็นนักฟุตบอล เขามีความสามารถมากมายหลายด้าน หน้าตาดี ผิวพรรณดี มีสัมมาคาราวะ พูดเก่งราวกับเป็นนักพูดอาชีพ พักเที่ยงวันจันทร์ถึงคิวของหมายเลข 2 ก็รู้นะ…ว่าพี่หรั่งจะไม่หาเสียงเหมือนคู่แข่ง แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เจออะไรแบบนี้

          “วู้…เมื่อไหร่จะเงียบเสียงเสียที ที่นี่โรงเรียนนะครับไม่ใช่ร้านลาบ”

          ทรงเดชตะเบงสุดเสียงส่งไปยังเรือนเพาะชำ ทำเพื่อนทุกคนหูดับกันแทบยกห้อง ทว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ…กลุ่มผู้หาเสียงไม่ได้ยินอะไรเลย โดยเฉพาะท่านว่าที่ประธานนักเรียน ยังคงร้องเพลง ตีระนาด เต้นท่ายึกยัก รวมทั้งยิ้มฟันสวยเป็นท่าจบ

          “งั้น ๆ แหละ” คนตะโกนหันมามองเพื่อน “เสียงระนาดจากแผ่นซีดีชัด ๆ อย่างหมอนี่ตีเองไม่ได้ร๊อกกก…”

          น้ำเสียงทรงเดชแสดงความริษยาสุดขีด รวมไปถึงแววตา ภาษากาย การแสดงออก และอาการคิ้วกระตุก ผมกับอำนาจแอบพยักหน้าให้กัน รู้เลยว่าเพื่อนอยู่ในสถานะการณ์เช่นไร ถ้าทำได้โดยไม่โดนอาจารย์สมพิศลงโทษ หมอคงเขวี้ยงปะทัดยักษ์ใส่กลางวงไปแล้ว บังเอิญห้องเราไม่เหลือคะแนนจิตพิสัยให้ตัด ยอดชายทรงเดชก็เลยไม่มีฤทธิ์เดชเหมือนชื่อ

          “เราก็ว่าจากแผ่นซีดี แต่ทำไมพี่แก…ทำได้เหมือนเด๊ะเลยน่อ”

          ผมต้องเอ่ยแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ทางนี้ก็เพื่อนรัก ทางนั้นก็ความจริง รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแผ่นซีดีคาราโอเกะ มีแค่เสียงกลอง ตะโพน ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง แต่ไม่มีเสียงนักร้องรวมทั้งระนาดเอก พี่หรั่งร้องและตีด้วยตัวเองจริงแท้แน่นอน อำนาจก็รู้ ทรงเดชก็รู้ ทุกคนในห้องก็รู้ แต่ผมก็ยังรู้อีกว่าเพื่อนเราไม่ชอบหมอนี่ ไม่ชอบมาแต่ไหนแต่ไร ปัจจุบันไม่ชอบ อนาคตไม่มีวันชอบ การแสดงจำอวดของพี่หรั่งในวันนี้ ถือเป็นการตบหน้าทรงเดชถึงในห้องน้ำ

          “จบเสียที เพลงอะไรห่วยชะมัด” เจ้าชายหมีน้อยบ่นอุบ พลันอ้าปากหาวเป็นดาวเป็นเดือน “นอนซักตื่นดีกว่า ตอนเย็นซ้อมบาสต่ออีก คืนนี้มีดาวพระศุกร์ตอนแรกเสียด้วย สองทุ่มตรงอย่าลืมนะทุกคน”

          คนติดละครก้าวเดินไปยังท้ายห้อง ทรุดตัวลงแล้วเริ่มหลับบนโต๊ะตัวเอง ทิ้งให้ผมกับอำนาจยืนแหง่วอยู่ที่ระเบียง อ้อ…อันที่จริงมีชิดชนกด้วยอีกคน แม่สาวผมม้าย่องมาตอนไหนไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเธอยืนแหมะข้างกายแล้ว

          “ทรงเดชเป็นเมนส์หรือเปล่า โวยวายเสียงดังใส่พี่หรั่ง แล้วก็เดินไปนอนหน้าตาเฉย” ผู้มาใหม่เอ่ยปากถาม

          “เรื่องนี้ยาวมาก ต้องใช้เวลาเล่าทั้งชีวิต นกมีให้เรามั้ยล่ะ” ผมก็เลยหยอดเข้าให้เสียหนึ่งดอก

          “แหวะ.!! น้ำเน่าไปมั้ยล่ะ สองทุ่มตรงอย่าลืมดูดาวพระศุกร์นะคะอาเดียว” อำนาจก็เลยแขวะเข้าให้เสียหนึ่งดอก

          “พูดเล่นกันอยู่ได้ นี่เราถามจริง” ชิดชนกเริ่มมีหางเสียง

          “เอ่อ….” ผมปาดเหงื่อบริเวณท้ายทอย ก่อนตัดสินใจพูดความจริงครึ่งเดียว “ไม่มีอะไรหรอกนก ทรงเดชคงยังไม่หายเจ็บขา ก็เลยงอแงไม่อยากไปซ้อมบาส หมอนี่ชอบพาลใส่เพื่อนเป็นประจำ เธอก็เห็นอยู่ทุกวี่วันไม่ใช่เหรอ”

          “เรื่องนี้เรารู้ แต่ที่เราถามก็คือ ทำไมทรงเดชโวยวายใส่พี่หรั่ง”

ผู้หญิงนะผู้หญิง ผมได้รางวัลนักเรียนดีเด่นเธอแกล้งลืม แต่พอเรื่องแบบนี้…ดั๊นจำเก่งจริงนะแม่คุณ ให้มันได้แบบนี้สิ

          “เรื่องมันยาวนะ ตั้งใจฟังแล้วกัน” คนพูดกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจพูดความจริงอีกหนึ่งในสี่ “เทอมก่อนทรงเดชเล่นฟุตบอลทีมโรงเรียน อาจารย์วิบูลย์จับเล่นหน้าคู่กับพี่หรั่ง ทั้งคู่แย่งกันยิงประตูเพื่อเป็นดาวซัลโว ก็เลยมีอาการศรกินไม่กินกัน นับแต่บัดนั้น กระทั่งบัดโน้น มาถึงบัดนี้ เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้แล พระราชธิดาโปรดทรงพระเข้าใจ ชะเอิงเอย”

          “เชิญเสด็จพี่กระโจ๊เผี่ยว รับยาช่องสามด้วยนะเพคะ” สาวน้อยดวงตากลมโตช่วยต่อมุข

          “ของเก่ายังเหวยไม่หมดเลย เจี๊ยก..!!!” เสด็จพี่ตามน้ำทันควัน

          เราสามคนต่างสะดุ้งเป็นตลกคาเฟ่ ด้วยว่าอุตส่าห์ชงมุขมาให้แล้วนี่นา ชิดชนกเป็นคนน่ารักแบบนี้แหละ เธอจึงได้เป็นขวัญใจผู้ชายทั้งห้อง ยกเว้นก็เพียงอำนาจเพื่อนรักสี่ตา ผู้เป็นโจทย์เก่าเคยมีคดีความกันมาก่อน

          “แหม…เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว เจอหนุ่มแล้วลืมเพื่อนเลยนะยายหูกาง ยืนหัวโด่อยู่โน่นไง”

          เด็กหนุ่มมีสิวประปรายเริ่มแดกดัน พลางพยักหน้าไปยังรถอีแต๋นชื่อน้องตุ๊กติ๊ก นอกจากบรรดาสมาชิกทีมพี่หรั่ง ยังได้ปรากฎสาวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูนางหนึ่ง ทำตัวเกะกะปะปนอยู่บนรถดังกล่าว เธอก็คือนักเรียนหญิงห้องสามชื่อนิตยา

          “อำนาจ…นายนี่ปากเสียจริง ๆ เลย ทำไมเราจะจำนิดไม่ได้ ไม่งั้นจะมายืนดูตรงนี้เหรอ”

          ชิดชนกเปลี่ยนโหมดอารมณ์กระทันหัน ทำเอาผมเส้นกระตุกไม่รู้ตัว เราสามคนจ้องมองคนน่ารักที่สุดในกลุ่ม ยืนทำตัวเกะกะปะปนอยู่บนรถอีแต๋น ทำไมนิตยาถึงไปช่วยพี่หรั่งหาเสียง ใครตอบได้ผมเลี้ยงไอติมกระทิสดร้านเจ๊เซี๊ยม

          “เพื่อนรักหายไปทั้งคน ดั๊นไม่รู้อะไรซักอย่าง วันก่อนยายนิดนอนบ้านเธอไม่ใช่เหรอ”

          อำนาจยังคงพูดแขวะไม่หยุดปาก พร้อมโยนระเบิดลูกเบ้อเริ่มให้อีกฝ่าย ทำเอาชิดชนกโมโหควันออกหู

          “พ่อนิดมารับตอนสองทุ่มย่ะ วันนั้นที่ร้านยุ่งมาก กลับมาเราก็ทำงานแทบไม่ได้คุยกัน จำไม่ได้เหรอ…ว่าใครบางคนร้องหาแม่อยู่บนโรงพัก เราต้องเสียเวลาไปประกันตัวออกมา ถ้ารู้ว่าปากเสียแบบนี้นะ แม่จับส่งเรือนจำบางขวางหมดยกแผง”

          ลูกสาวเฮียอ๋าใส่กลับมาเป็นฉาก ๆ เล่นเอาอีกฝ่ายโต้เถียงอะไรไม่ถูก นายหัวหน้าห้องรีบทำตัวเล็กในบัดดล ด้วยว่าตนเป็นวัวสันหลังแหวะเช่นกัน สถานะการณ์ชุลมุนวุ่นวายมาก ทั้งเรื่องเรียน เรื่องแข่งบาส เรื่องเพื่อน รวมทั้งเรื่องไม่เป็นเรื่อง

          “ไม่รู้ล่ะ เธอเป็นเพื่อนสนิทของยายหัวฟู ฉะนั้นเธอต้องรับผิดชอบ ตามกลับมาด้วยล่ะ”

          ครั้นเห็นว่าตัวเองเถียงต่อไม่ไหว อำนาจจึงใส่เกียร์หมาจากไปกระทันหัน ทิ้งให้ผมยืนเคว้งคว้างอยู่เพียงลำพัง โดยมีระเบิดลูกโตชื่อชิดชนกเคียงข้างกาย อันที่จริงผมชอบที่จะอยู่เคียงคู่เธอ ถ้าไม่มีเรื่องวุ่นวายขายปลาช่อนเกิดขึ้น

          ระนาดเอกเงียบเสียงลงแล้ว ผู้สมัครหมายเลข 2 กำลังเจี๊อยแจ๊วออดอ้อนแม่ยก นิตยายืนยิ้มสยองอยู่ที่เดิมบนรถอีแต๋น ชิดชนกจ้องเพื่อนสาวชนิดตาแทบไม่กระพริบ สาวน้อยยืนนิ่งไม่พูดไม่จา แสดงความเป็นกังวลอย่างชัดเจน อาการเป็นห่วงเพื่อนมากเกินไปน่าจะกำเริบ ทุกครั้งที่เธอเป็นเช่นนี้ก็มักจะแสดงออกเช่นนี้ คนยืนข้างกันพลอยเป็นกังวลตามไปด้วย

          “นกคิดอะไรอยู่ บอกเราได้มั้ย” ครั้นเห็นว่าเงียบมากเกินไป ผมจึงเปิดปากชวนสาวคุย

          “เรากำลัวคิดว่า…” คนพูดชะงักไปครู่หนึ่ง “เรากำลังคิดว่า วงนี้ขาดคนตีฉิ่งหรือเปล่า”

          “เจี๊ยก..!!!”

          นายหัวหน้าห้องสะดุ้งโหยงเกือบตกอาคาร โชดดีใช้มือเกาะเสาได้อย่างจวนเจียน ลืมสนิทใจไปเลย นอกจากเป็นห่วงเพื่อนมากเกินเหตุแล้ว คุณเธอยังชอบอำหน้าตายอยู่บ่อยครั้ง เจอมุขทะลึ่งดอกนี้เข้าให้…พลาดท่าเสียทีแล้วสิเรา

          “ล้อเล่นน่า” คนอยากตีฉิ่งรีบเฉลย “เห็นนายหน้าเครียดเลยเอาเสียหน่อย กับคนอื่นไม่กล้าเล่นมุขนี้หรอก”

          “ครับผม เรารู้ว่านกแกล้งอำ แต่มุขโบราณมากเลย” คนฟังแก้ตัวน้ำขุ่น ๆ เธอเห็นด้วยเหรอว่าผมหน้าเครียด

          “แต่ก็ได้ผลนี่นา” ชิดชนกหันมามองแล้วยิ้มให้ “นายไม่รู้เลยเหรอ ทำไมนิดถึงช่วยพี่หรั่งหาเสียง”

          “ก็…เห็นแค่วันศุกร์พี่หรั่งเข้ามาคุยกับนิด แต่ไม่รู้คุยอะไรกันเนี่ยสิ” ผมพยายามคิดทบทวน

          “เราก็รู้แค่นี้แหละ ช่วงนี้ที่ร้านวุ่นวายมาก กว่าจะเสร็จงานเกือบสองทุ่มทุกคืน นี่ยังทำรายงานชีวะไม่เสร็จเลย”

          ชิดชนกถอนหายใจโดยไม่ปิดบัง เธอหันไปมองบนรถอีแต๋นอีกครั้ง การหาเสียงเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด อีก 5 นาทีจะหมดเวลาพักกลางวัน ได้เวลาที่ลิเกหลงโรงต้องปิดฉาก และได้เวลาที่ผมต้องเผชิญปัญหาเรื่องใหม่

          “นายเป็นหัวหน้าห้องช่วยถามให้หน่อย”

          คนพูดปรายตามมองเพื่อนร่วมห้อง เมื่อผมมองตามจึงพบบุคคลซึ่งเป็นต้นเรื่อง นิตยาสาวน้อยดวงตาซุกซน เดินทอดน่องมาที่อาคารสามแต่เพียงลำพัง ทุกครั้งที่ชิดชนกต้องการความช่วยเหลือ ก็มักจะยกเรื่องตำแหน่งมาอ้างอิงอยู่เสมอ ผมเองเคยเจ็บมาเยอะ หกล้มมาเยอะ ผ่านอะไรมาก็เยอะ รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไร นายหัวห้องพูดสวนโดยฉับพลัน

                              “ได้สิ เดี๋ยวนิดกลับมาเราถามให้เอง”

          รู้ทั้งรู้ว่าในบึงน้ำมีจระเข้ร้าย ผมก็ยังกระโดดเข้าใส่ด้วยความยินดี ผลลัพท์ก็คือ สาวเจ้าฉีกยิ้มหวานหยด

          “ไม่ใช่แค่ถาม ต้องดึงนิดออกจากทีมพี่หรั่งด้วย นะ นะ นะ เรารู้ว่านายทำได้”

          แววตาชิดชนกใสแป๋วราวกับลูกแก้ว สาวน้อยกระพริบตาถี่ ๆ เพิ่มความแอ๊บแบ๊วมากขึ้น ผมแอบถอนหายใจน้ำเสียงเบาหวิว ยายคนนี้ทำหน้าตาแบบนี้ทีไร รับรองเกิดเรื่องใหญ่ตามมาทุกที แล้วผมมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ

                    “งั้นเอางี้” คนพูดชำเลืองมองด้านหลัง พลันสะดุ้งเฮือกสีหน้าไม่สู้ดี “ช่วงนี้ทีมบาสลงแข่งบ่อยครั้ง เดี๋ยวเราชวนนิดให้มาด้วยกัน เราไปพบอาจารย์สมพิศก่อนนะ ลืมไปเลยว่าเคยมีนัด”

          คนพูดรีบสิ้นสุดการเจรจา แล้วก้าวเท้าสวบ ๆ ลงบันไดขวามือตัวอาคาร ชิดชนกคงแปลกใจพอสมควร ที่อีกฝ่ายนั้นจากไปอย่างเร่งด่วน เธอตะโกนถามทว่าผมไม่ตอบคำถาม ก้มหน้ามองพื้นหาหอยหาปูไปเรื่อยเปื่อย

          ใครหน้าไหนจะทนยืนอยู่ได้ เมื่อเห็นวิทยา หรือเป้ หรือเปเป้ หรืออะไรก็ตาม เดินยิ้มกรุ้มกริ่มเข้าหาจากด้านหลัง กว่าผมจะเอาตัวรอดจากน้องต๊อกแต๊กสำเร็จ เล่นเอาหมดเรี่ยวแรงเลือดกำเดาไหลเจิ่งนอง คิดถึงวันนั้นทีไร…รู้สึกสยิวกิ้วทุกที

                ------------------------------------------------------------

                    การแข่งบาสนัดที่สองผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผม อำนาจ และทรง เดช นั่งเบียดเสียดท้ายรถกระบะสีบอร์นเงินติดตราโรงเรียน เพราะต้องขนนักกีฬารวมทั้งสมาชิกทุกคนในทีม ก็เลยต้องติดหลังคาทรงสุงพร้อมเบาะยาวสามแถว อาจารย์วิบูลย์เป็นพลขับตามปรกติ พี่ป๊อบกับตันทีมนั่งคู่กันเป็นเนวิเกเตอร์ ภายในแค๊ปกระบะเป็นกีฬาตัวจริงทั้งหมด ที่สนิทหน่อยก็คือพี่อุ้มเล่นการ์ดตัวจ่าย ส่วนตัวสำรองรวมทั้งอุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ วางระเกะระกะรับแอร์ธรรมชาติใต้หลังคาอลูมิเนี่ยม

          ถึงได้เป็นนักกีฬาตัวจริงระดับดารา ทรงเดชซึ่งอยู่ ม.4 ก็ต้องนั่งหลังข้างตัวสำรองคนอื่น วันนี้ทีมเราได้มาเยือนทีมป๊อกแป๊ก การแข่งขันเริ่มเวลา 11:30 จึงได้โดดเรียนกันหลายคาบ ทีมป๊อกแป๊กเก่งกว่าทีมเซนต์ พอลแฮรี่ ประมาณสองเสาไฟ แต่เทียบกับทีมเรายังสู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง อาจารย์วิบูลย์ให้ทรงเดชลงเล่นควอเตอร์ท้ายสุด เพื่อออมแรง ออมฝีมือ รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ เจ้าตัวแสดงทีท่าไม่ค่อยพอใจซักเท่าไหร่ แม้ทีมเราจะชนะด้วยคะแนน 107 ต่อ 54 ก็เถอะ

          สิ้นสุดการแข่งต้องรีบกลับมาเรียนต่อ น่าจะทันสองคาบสุดท้ายถ้าคนขับไม่หลับใน รถกระบะวิ่งผ่านสถานีรถไฟบ้านป๊อกแป๊ก หัวรถจักรสีเหลืองตุ่นหมายเลข 4206 ลากจุงตู้ขบวนสินค้ามุ่งไปยังดินแดนอีสานใต้ ผมเหลียวมองฝั่งมือขวาซึ่งเป็นลำคลอง อันที่จริงมันคือแม่น้ำที่ทั้งแคบและตื้นเขิน เพราะเป็นหน้าหนาวจึงมีน้ำน้อยตามธรรมชาติ นกกายางตัวใหญ่บินผ่านระยะค่อนข้างต่ำ ปีกที่กางแทบไม่ขยับแต่ก็ยังร่อนสุงไม่ร่วงหล่น บางครั้งผมอยากมีอิสระเหมือนกับนก จะได้บินไปดูบ้านเก่าที่วิทยาเคยอยู่ รวมทั้งบ้านปูเปรี้ยวสาวโรงเรียนนานาชาติ อาหมวยตาโตพูดเก่งยิ้มเก่งขาวโอโม่

          กระทั่งรถวิ่งผ่านป้ายต้อนรับเข้าสู่ป๊อกแป๊ก แม่น้ำสีเหลืองขุ่นพลันหายวับไปจากสายตา ปรากฎเป็นท้องไร่ท้องนาตลอดทั่วสองฝั่ง แต่ทว่าไม่มีชาวนา ไม่มีรถไถ รวมทั้งไม่มีควายเขาโง้ง เนื่องจากได้ผ่านฤดูเก็บเกี่ยวมานานแล้ว คนพื้นที่ไม่นิยมปลูกพืชหลังนาข้าว (ถั่วลิสง ข้าวโพด กะหล่ำปลี หรือต้นหอม) จึงได้เห็นดอกหญ้าสีขาวไกลลิบสุดลูกหูลูกตา

          อีกประมาณห้ากิโลเมตรจะถึงโรงเรียน หลังได้นั่งหลับนกตลอดเส้นทาง ทรงเดชจึงเริ่มลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก ยอดนักบาสซัดขนมปังเว้ยเฮ้ยหมดสองแถว ตามด้วยนมสดพร่องมันเนยสองขวดลิตร แล้วเสร็จจึงเริ่มชวนผองเพื่อนพูดคุย

          “ไหนบอกจะชวนยายนิดมาด้วยไง” เริ่มต้นคำถามแรกสุด ก็หางานให้เพื่อนเสียแล้ว

          “เราชวนแล้ว แต่นิดไม่มา” ผมก็เลยแก้ตัวเท่านั้นเอง

          “ชวนยังไงไม่มา บอกแล้วให้เราไปชวนเอง” ทรงเดชยังคงข้องใจไม่หาย

          “ยายหัวฟูติดใจพี่หรั่งล่ะมั้ง” อำนาจก็เลยช่วยใส่ไฟสมทบ

          “นี่ก็พูดเกินไป เก็บปากไว้กินขนมเถอะ” ผมต้องรีบปรามเพื่อนตัวแสบ แล้วอธิบายความให้ชัดขึ้น “เมื่อวานตอนเย็นเราชวนนิดให้มากับทีมบาส เธอบอกว่ารับปากพี่หรั่งจะช่วยหาเสียง และเธอไม่รู้ว่าจะมาด้วยเพื่ออะไร ตอนนั้นเราหาเหตุผลดี ๆ ไม่ได้ ก็เลยต้องปล่อยแม่เสือเข้าป่าไปก่อน ตอนนี้คิดออกแล้วล่ะ กลับไปจะลองคุยอีกครั้ง”

          “ยายนิดก็เหลือเกินจริง ๆ ทำอะไรไม่ปรึกษาเพื่อนฝูง หมอนั่นเจ้าชู้จะตายชัก ไม่น่าไว้ใจซักนิดเดียว”

          ทรงเดชยังคงบ่นอุบไม่หยุดปาก สลับกับอำนาจที่กินขนมโก๋พูดไม่ออก ผมพอเข้าใจความรู้สึกของนิตยา ผู้หญิงคนนี้ไม่มีวันผิดคำพูดตัวเอง ความรู้สึกของทรงเดชผมก็เข้าใจ เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ฉันใด ทรงเดชกับพี่หรั่งอยู่ใกล้กันไม่ได้ฉันนั้น เรื่องราวทั้งหมดมาจากการแข่งฟุตบอลเทอมที่แล้ว

          อย่างที่รู้กันว่าเพื่อนผมเล่นกีฬาเก่งทุกอย่าง รวมทั้งฟุตบอลที่เขามีสไตล์ “โยนไปข้างหน้า แล้วตามไปฆ่ามัน” ทรงเดชว่างงานเพราะเทอมก่อนไม่มีบาสแข่ง จึงโดนอาจารย์วิบูลย์จับไปเล่นศูนย์หน้า พี่หรั่งคนเก่าก็เลยต้องโยกไปเล่นปีก เพราะเขาตัวเล็กกว่า แรงปะทะน้อยกว่า รวมทั้งบ้าพลังน้อยกว่า ปีนี้ไม่มีการแข่งขันฟุตบอลระดับจังหวัด เนื่องจากจัดสองปีครั้งสลับกับแข่งบาสนั่นเอง ผอ.ยอดรักก็เลยส่งทีมเข้าร่วมรายการ “หนองควายโซ คัพ” ไม่ได้หวังผลนอกจากเสริมสร้างความคุ้นเคย ทว่าทีมเราก็ยังฝ่าฟันเข้าสู่รอบชิง คู่แข่งก็คือทีมโรงเรียนประทีปวิทยาคม

          ทีมเราเอาชนะด้วยคะแนน 10 ประตูต่อ 6 เพื่อน ๆ อ่านกันไม่ผิดหรอกครับ…สิบประตูต่อหก ตอนนั้นทรงเดชกับพี่หรั่งนำดาวซัลโวร่วมกัน พวกเขาไม่ต้องการแบ่งรางวัลชิ้นสำคัญ ใครคนหนึ่งต้องได้มันไปครอบครอง ใครอีกคนต้องกินแห้วกระป๋องตลอดชีพ ทีมเราได้ลูกโทษที่จุดโทษในวินาทีสุดท้าย คงเดากันถูกล่ะสิ..สองคนนี้แย่งกันเองว่าใครจะเป็นคนยิง

          ทว่าท้ายสุดไม่มีใครได้ยิงลูกโทษ เพราะมัวแต่เป่ายิ๊งฉุบแย่งลูกบอลกันอยู่ กรรมการหมั่นใส้เป่าหมดเวลาหน้าตาเฉย ทรงเดชกับพี่หรั่งจึงไม่คุยกันอีกต่อไป นี่คือความจริงที่เหลืออีกหนึ่งในสี่ ที่ผมไม่เคยบอกชิดชนกหรือใครหน้าไหน

          มัวแต่คุยโม้ถึงอดีตเพลินไปหน่อย รถกระบะสีบอร์นเงินวิ่งมาถึงโรงเรียนแล้ว อาจารย์วิบูลย์เลือกที่จะเข้าประตูสอง (ปรกติไม่เปิดให้คนนอกผ่าน) สนามบาสขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยอัฒจันทร์กึ่งถาวร ตั้งตระหง่านซ้ายมือติดต้นก้ามปูและต้นหูกวาง ผมมัวแต่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีตกาล ซึ่งทำให้ปัจจุบันพบเจอกับความวุ่นวาย แล้วก็พลันสะดุ้งเฮือกแทบตกรถ

          รถวิ่งผ่านสนามบาส สนามฟุตบอล รวมทั้งหอประชุม กระทั่งมาจอดหน้าอาคารคหกรรมฝั่งซ้ายมือ มองไปทางขวาพบอาคารเรียนสุงสามชั้น ห้องเรียนพวกเราอยู่ชั้นสองซ้ายสุดตัวอาคาร ตรงนั้นเองมีบันไดทางขึ้นด้านข้าง รวมทั้งคุกส่วนตัวชื่อกวนตาดาโม (ยังจำกันได้มั้ย) ที่เชิงบันไดปรากฎนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายใช้สองมือประคองฝ่ายสาวที่ดูอิดโรย ซีนนี้แหละครับที่ทำให้พวกเราช๊อคซินิม่า บังเอิญว่านักเรียนชายคนนั้นก็คือพี่หรั่ง และบังเอิญว่านักเรียนหญิงคนนั้นก็คือนิตยา

          “ไอ้ผัด ไอ้เตี้ย ไอ้…! @#$&*()_+_(&”

          ยอดนักบาสอุทานคำหยาบโดยไม่รู้ตัว เขากระโดดลงสู่พื้นทั้งที่รถยังจอดไม่สนิท ผมกับอำนาจกระโดดตามพร้อมวิ่งไล่กวด แซงนักกีฬาทีมบาสที่วิ่งตามมาด้วย แต่ไม่มีทางเร็วกว่าสุดยอดนักกีฬาของอำเภอ ทรงเดชวิ่งมาถึงเชิงบันไดอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มรีบเอาตัวเองเข้าแทรกกลาง แล้วกระชากสาวน้อยนิตยามาอยู่ด้านหลัง เพื่อนสาวของเราปลิวตามมือราวปุยนุ่น

          “นายทำอะไรเพื่อนเรา มันจะมากไปหน่อยแล้ว .!!”

          กว่าผมกับอำนาจวิ่งตามมาจนทันกัน ทรงเดชกับพี่หรั่งก็ยืนจ้องหน้าจ้องตาอยากมีเรื่อง นิตยาซึ่งมีท่าทีอ่อนเพลียอย่างชัดเจน ได้พยายามห้ามปรามไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวาย

          “ทรงเดชกลับห้องเถอะ ตะโกนเสียงดังเราอายเขา” เสียงของเธอแผ่วเบาตามอาการ

          “เธอจะอายอะไรยายนิด หมอนี่ต้องอายมากกว่า” คนโดนห้ามไม่มีทีท่าโอนอ่อน ทรงเดชแหกปากดังกว่าเดิม “ถือดีอะไรมาจับมือลูกสาวชาวบ้าน ที่นีมันในโรงเรียนนะครับคุณ ทำอะไรกรุณาให้เกียรติเพื่อนผมด้วย”

          “เอ...พี่ก็ให้เกียรติน้องนิดตลอดเวลานะ มีแต่เรานี่แหละ…ที่ไม่ให้เกียรติเพื่อน” ว่าที่ประธานนักเรียนย้อนเข้าให้

          “ไม่ต้องมาทำเป็นสำบัดสำนวน ทุกคนเห็นอยู่ว่านายจับมือเพื่อนเรา”

          “พี่หรั่งแค่ช่วยประคองเฉย ๆ พอดีเราปวดท้อง พี่เขาเลยพาไปหาหมอ” นิตยาแก้ต่างน้ำเสียงเบาหวิว

          “แค่ปวดท้องทำไมต้องจับมือ ฉวยโอกาสหรือเปล่า” เพื่อนเราเอียงคอพูดราวกับดาวร้าย พลางพยักหน้าไปยังไทยมุงเข้มแข็ง “นิดไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น มีพยานรู้เห็นเป็นทีมบาสทั้งทีม พูดความจริงออกมาดัง ๆ ว่าหมอนี่ทำอะไรเธอ”

          “บอกแล้วไงว่าเราปวดท้อง ปวดท้องเมนส์โว้ย ..!!”

          เมื่อเพื่อนบอกให้เธอกล้าพูดเธอก็เลยกล้าพูด นิตยาตะโกนเสียงแหลมแปดหลอดดังสนั่น ทุกคนบนอาคารสามพากันหยุดเรียน โผล่หัวมาที่ระเบียงจ้องมองคนปวดท้องเมนส์ ขณะที่พวกเรายืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก พลันเห็นชิดชนกกระโดดลงมาจากอาคาร ตามติดมาด้วยมนต์ชัย เพียงตา วิทยา รวมทั้งณรงค์ฤทธิ์ ผมตัดสินใจลากนิตยาออกจากสนามรบ ส่งต่อให้ผองเพื่อนที่มาสมทบ แล้วกลับไปเป็นกรรมการห้ามมวยคู่หยุดโลก

“ใจเย็นไว้ก่อนทรงเดช พี่หรั่งด้วยนะครับ ผมว่าเรื่องนี้เราต้องคุยกัน”

          “พี่น่ะไม่มีอะไรหรอก แค่พาน้องนิดมาส่งที่ห้อง บอกเพื่อนน้องดีกว่า ซ่าส์เป็นหมาบ้าแบบนี้ ระวังตัวไว้บ้างก็ดี”

          คำพูดพี่หรั่งทำเอาสมรภูมิเดือดพล่าน นักบาสหลายคนแสดงอาการไม่พอใจ ส่วนเพื่อนผมน่ะเหรอ..อยากกระโจนเข้าใส่ราวกับวัวติดยาแก้ไอ ดีว่าได้มนต์ชัยกับวิทยาเข้ามาช่วยกัน ลำพังแค่ผมกับอำนาจคงต้านไม่ไหว

          “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกครับ ผมหมายถึงเรื่อง…นิดช่วยพี่หาเสียง”

          ไหน ๆ เรื่องก็มาดำเนินมาถึงขั้นนี้ จึงตัดสินใจเคลียร์หน้าเสื่อให้หมดสิ้น ผมเหลียวมองคนกลางผู้แสนโชดร้าย สาวน้อยผมหยักโศกอาการไม่สู้ดี เธอคงปวดแถวท้องน้อยลามมาถึงต้นขา เวียนหัว ปวดหัว และหงุดหงิด แต่คิดว่าไม่ถึงกับอาเจียน นิตยาเป็นเพื่อนสาวที่เข้มแข็งที่สุดในห้อง ยกเว้นวันนั้นของเดือนซึ่งก็คือวันนี้ของเดือน

          “ผมไม่รู้นะ…ว่าพี่คุยอะไรกับนิดไว้บ้าง แต่ผมอยากให้พี่ปล่อยตัวนิดออกจากทีมเลือกตั้ง”

          เห็นนิตยาอยู่ในอ้อมแขนชิดชนกและเพียงตา ผมตัดสินใจว่าเป็นไงก็เป็นกัน ว่าที่ประธานนักเรียนส่ายหัวปฎิเสธ

          “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก การหาเสียงยังไม่จบเลย ไว้ซักวัน…วันพุธหน้าได้ไหมล่ะ”

          “แต่ทีมพี่คะแนนทิ้งห่างคู่แข่งมาก ไม่มีเพื่อนผมก็ชนะขาดอยู่แล้ว นิดเองก็ดันเกิดไม่สบาย เธอควรได้พักไม่ใช่ตากแดดหัวแดง ผมรู้ว่าพี่ลำบากใจ แต่อยากให้พี่คิดให้รอบคอบอีกซักครั้ง พรุ่งนี้ค่อยมาบอกก็ได้ พวกผมจะรอ”

          ไม่ว่าเราจะเดินหมากอย่างไรก็ตาม ควรเหลือที่ว่างให้อีกฝ่ายได้ร่นถอย ผมใช้อาการป่วยของเพื่อนมาต่อรอง ทางนั้นต้องยอมสิโรราบเป็นแน่แท้ ให้เวลาพวกเขาได้ถอนตัวอย่างเท่ห์ ๆ แค่นี้คงไม่เป็นไรกระมังครับ

          “น้องฟังพี่ให้ดีนะ” ผู้สมัครหมายเลข 2 เปิดปากตัวเอง หลังใช้เวลาจัดแต่งทรงผมเกือบสองนาที “คะแนนทีมพี่นำโด่งก็จริง แต่คะแนนส่วนใหญ่มาจากนักเรียนหญิง น้องนิดช่วยเรื่องนี้ได้ดีมาก นับตั้งแต่ได้เธอเข้ามาร่วมทีม นักเรียนชายสนใจการเลือกตั้งมากกว่าเดิม ถึงจะแค่อยากดูคนน่ารักก็ตาม แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ”

          พี่หรั่งเปลี่ยนอิริยาบทตัวเองอีกครั้ง พลางชายตามองนักเรียนทุกคนบนตึกสาม ซึ่งยังคงคงเกาะติดเหตุการณ์เหนียวแน่นราวตีนตุ๊กแก จะมีการเลือกตั้งช่วงพักเที่ยงวันพฤหัสหน้า วันศุกร์ตอนเย็นจะเป็นการประกาศผล ส่งมอบตำแหน่งตอนสิ้นเดือน ประธานนักเรียนคนใหม่จะได้ขึ้นกล่าวอำลารุ่นพี่ เขาจะมาพลาดกะอีแค่ตรงนี้ไม่ได้…ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

          “น้องเป็นหัวหน้าห้องก็น่าจะรู้ ว่าพวกผู้ชายเอาแต่ทำตัวไร้สาระ ที่พี่ดึงน้องนิดมาช่วยหาเสียงนั้น หวังปูทางให้เธอลงเลือกตั้งปีหน้า แต่ในเมื่อเจ้าตัวดันเกิดแอคซิเดน พี่จะให้น้องนิดหยุดพักสองวัน อาทิตย์หน้าค่อยมาช่วยดีมั้ย”

          “พูดขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ปล่อยนิดออกจากทีมเดี๋ยวนี้ !!”

          ครั้นเห็นนายหัวหน้าห้องเจรจาความไม่สำเร็จ ทรงเดชจึงยิ่งร้อนใจยิ่งกว่าเก่า เขาก็เลยพูดแทรกกลางกระทันหัน เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย เพราะพี่หรั่งซึ่งมีท่าทีโอนอ่อนลง จะไม่ยอมโอนอ่อนให้กับโจทย์เก่าอย่างแน่แท้

          “แล้วถ้าหากทางพี่ไม่ยอม ทางน้องจะว่าอย่างไร” คนพูดจิกตามองน่าหมั่นใส้

          “มันก็ต้องมีเรื่องกันสิวะ ..!!”

          คำพูดดังกล่าวไม่เป็นคำความจริงนะครับ ทรงเดชคงอยากตะโกนคำนี้มาก แล้วจัดการคู่อริด้วยท่าฟิกเกอร์โฟร์เลคล๊อค ทว่าเจ้าตัวไม่ได้ทำตามความต้องการ เขาอยู่ท่ามกลางสายตาผองเพื่อนทั้งห้อง จ้องมองมาที่เขาด้วยความหวังและความฝัน คะแนนจิตพิสัยห้องเราไม่เหลือแล้ว ที่หายไปส่วนใหญ่ก็มาจากเขาเนี่ยแหละ ถ้าวันนี้เขากล้ามีเรื่องแม้เพียงนิดเดียว ทุกคนจะถูกลงโทษช่วงปิดเทอมฤดูร้อน นั่นจะทำให้ทุกคนต้องเสียใจ และคนที่ต้องเสียใจมากที่สุด…ก็คือทรงเดช

          ยากที่จะอธิบายเป็นตัวหนังสือ ผู้ชายมักทำตัวไร้สาระหน้าทุกคน แต่แอบทำดียามที่ไม่มีใครเห็นหัว ผมรู้ดีว่าเพื่อนคิดอะไรในใจ แต่ไม่รู้เลยว่าเขาจะแก้ปัญหาอย่างไร กระทั่งนาทีนี้เอง…ผมจึงได้รู้ใจเพื่อนรักมากกว่าเดิม

          “ผมไม่ว่าอะไรหรอก แค่อยากถามพี่หรั่งว่า…ผมต้องทำอะไรบ้าง พี่ถึงจะยอมปล่อยนิดออกจากทีม”

          ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง..!! ทรงเดชผู้แข็งแกร่งที่สุดในสามโลก ทรงเดชผู้ไม่ยอมถอยให้กับหน้าไหน ทรงเดชผู้เชื่อมั่นในพลังของตัวเอง เขาถึงกับยอมเรียกคู่อริคนสำคัญว่า “พี่” ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่คาดฝันว่าจะได้ยินซักครั้ง

          ที่ตกตะลึงไม่แพ้กันนั่นคือทีมบาสทั้งทีม พี่ป๊อบและพี่อุ้มยืนทำตาโตคิ้วผูกเป็นปม อาจารย์วิบูลย์ซึ่งเพิ่งเดินมาสมทบ ถึงจะสนิทสนมกับทรงเดชมากก็เถอะ แต่เขาจะไม่มีวันทรยศอาชีพตัวเอง ถ้าทรงเดชเป็นคนเปิดฉากหาเรื่อง เขาจะหักคะแนนห้องสามแม้ไม่อยากทำ ครั้นได้ยินได้ฟังคำพูดของศิษย์รัก อาจารย์พละจึงยืนอ้าปากหวอน้ำลายไหลย้อย

          ผมรีบหันกลับไปมองพี่หรั่งอีกครั้ง เขามีท่าทีประหลาดใจกึ่งได้ใจ ถ้าเป็นที่อื่นผู้ชายคนนี้คงถล่มไม่เลี้ยง บังเอิญว่าอยู่ท่ามกลางสายตาสามร้อยกว่าคู่ จะพูดหรือทำอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี อาจไม่ส่งผลต่อการเลือกตั้งอาทิตย์หน้า แต่ส่งผลต่อการเป็นประธานนักเรียนทั้งปี หลังทบทวนเรื่องราวอย่างรอบคอบ ผู้สมัครหมายเลข 2 จึงได้เอื้อนเอ่ย

          ”พี่เข้าใจความรู้สึกของพวกน้อง แต่อยากให้น้องเข้าใจความรู้สึกของพี่ด้วย” คนพูดหันไปทำหน้าหล่อใส่สาว “พี่ให้น้องนิดเข้าร่วมทีมเหมือนคนอื่น เธอต้องทำตามกฎเหมือนคนอื่นไม่มีละเว้น ถ้าอยู่ดี ๆ พี่ให้น้องนิดออกจากทีมโดยไม่มีเหตุผล แล้วพี่จะบอกกับคนที่เหลือว่าอย่างไร…เพราะเพื่อนน้องนิดอยากให้น้องนิดออกพี่ก็เลยให้ออก แบบนี้ไม่ดีมั้ง”

          คำอธิบายความของพี่หรั่งฟังดูเข้าที ทำให้เขาดูดีขึ้นและทำให้เราดูแย่ลง เจ้าตัวรู้ดีจึงรีบปล่อยมุขตามขยี้

                    “น้องครับ ถ้าน้องอยากให้น้องนิดออกจากทีม น้องต้องหาทางออกที่เหมาะสมให้พี่ด้วย”

          คราวนี้เจ้าตัวหันมาพูดคุยกับผม เห็นว่าเป็นหัวหน้าห้องหรือไงเนี่ยแหละ หาทางออกที่เหมาะสมให้กับทุกฝ่าย จริงสิ…นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่ทันคิดถึงมาก่อน ไม่ใช่แค่หาที่ว่างให้อีกฝ่ายถอยร่น เขาต้องมีอากาศหายใจใช้ชีวิตตามปรกติ

          “เตะลูกโทษแข่งกันเป็นไง เดี๋ยวผมไปขอพี่วินัยมาเป็นผู้รักษาประตู”

          ขณะที่ผมยืนเกาหัวแกรก ๆ จนรังแคร่วง อำนาจยืนครุ่นคิดจนสิวหัวช้างเริ่มโผล่ ทรงเดชซึ่งเรียนไม่เก่งแต่ดันคิดออก ยิงลูกโทษแข่งกันเป็นอะไรที่ดีมาก ฝ่ายไหนชนะได้นิตยาไปครอบครอง ฝั่งนั้นเป็นนักฟุตบอลฝีมือดีคงไม่ปฎิเสธ

          “พี่ขอปฎิเสธ” นักฟุตบอลฝีมือดีส่ายหัวไปมา สร้างความประหลาดใจอย่างถึงที่สุด

          “แต่พี่ว่าแบบนี้ยุติธรรมแล้ว หรั่งเป็นถึงศูนย์หน้าทีมโรงเรียน จะมากลัวอะไรกับทรงเดช”

          พี่ป๊อบกับตันทีมบาสเกตบอล เกิดอาการคันปากจนทนไม่ไหว เขาจึงรีบพูดแทรกเข้ามา ด้วยว่าตนเป็นรุ่นพี่ทั้งสองฝ่าย

          “ไม่ได้ครับพี่ป๊อบ แข่งยิงลูกโทษฝั่งผมคงชนะขาด เอาวิธีอื่นที่พวกน้อง ๆ พอสู้ได้ดีกว่า”

          ว่าที่ประธานนักเรียนมักมีเหตุผลอยู่เสมอ และเป็นเหตุผลช่วยสนับสนุนตัวเองทุกครั้ง ผมเริ่มสงสัยว่าพี่หรั่งกลัวยิงลูกโทษหรือเปล่า ไม่เคยเห็นเขาอาสายิงลูกโทษเลยซักครั้ง นอกจากวันที่แย่งกับทรงเดชวันนั้นวันเดียว

          “พี่เสนอมาเลยดีกว่า ผมสู้ได้ทุกอย่าง” ทรงเดชเริ่มจะทนต่อไปไม่ไหว

          “ก็นะ…อะไรดีล่ะ”ฝ่ายตรงข้ามเล่นตัวเล็กน้อย ชายตามองเล็กน้อย จีบปากดัดเสียงเล็กน้อย “เดี๋ยวพี่พูดแล้วน้องเลือกแล้วกัน โต้วาที ทำอาหาร ร้องเพลง แต่งกลอน เต้นประกอบจังหวะ หรือจะเอายาก ๆ ประเภท ลำตัด ลิเก หนังตะลุง”

          “ผมเลือกลิเก..!!” ทรงเดชตะโกนลั่นทุ่ง

          “ไม่ได้..!!” เพื่อนทุกคนตะโกนคัดค้าน

          “ได้..!!” เจ้าตัวยังคงยืนยันเสียงแข็ง

          “ไม่ได้..!!” เพื่อนทุกคนยืนยันเสียงแข็งเช่นกัน

          “ทุกคนหยุด..!!” คนพูดหันไปดุเพื่อน “บอกว่าได้ก็ได้สิ คนอย่างทรงเดชทำได้ทุกอย่าง”

          ทรงเดชใช้มือดันหน้ามนต์ชัย มนต์ชัยล้มใส่วิทยา วิทยาล้มใส่อำนาจ แล้วอำนาจก็ล้มใส่ผม นักเรียนชายห้องสามกองแหมะอยู่ที่พื้น ทำได้แค่เพียงชำเลืองมองอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสิงห์เหนือเสือใต้

          “ผมขอท้าแข่งลิเก ถ้าผมชนะนิดต้องออกจากทีม แต่ถ้าแพ้...ทุกคนเรียกผมว่า “ไอ้ลูกเจี๊ยบ” ได้เลย ตกลงป่ะ”

          ไม่รู้เพื่อนเราเอาความมั่นใจมาจากไหน จึงกล้าท้าทายในสิ่งที่เขาไม่รู้จักเลย และที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พ่อของพี่หรั่งเคยเป็นพระเอกลิเกมาก่อน พวกเราทุกคนไม่ได้เดินเข้าสู่ทางตัน แต่เดินเข้าสู่เขาวงกตที่ดันไม่มีทางออก

          “ตกลงตามนี้ พี่ป๊อบเป็นพยานด้วยนะครับ” คนพูดหันมามองพวกเรา “พวกน้องล้างปากรอได้เลย งานนี้พี่จัดเต็ม”

          ลูกชายพระเอกลิเกยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ เขาผละออกมาแล้วยิ้มฟันสวยเป็นท่าจบ ก่อนเดินจากไปพร้อมโบกไม้โบกมือตลอดทาง เขาได้รับชัยชนะในการปะทะครั้งแรก และเขาจะทุ่มสุดตัวเพื่อเอาชนะขั้นเด็ดขาด

          ผมหมดเรี่ยวแรงนั่งจุมปุ๊กอยู่บนพื้นหญ้า พลางหันไปมองกลุ่มเพื่อนสาวทั้งสาม นิตยานั่งอยู่บนขั้นบันไดคู่กับเพียงตา ทั้งคู่ใบหน้าขาวซีดเผือกราวกับผีดูดเลือด ชิดชนกปรี่เข้ามาคุยกับทรงเดช สบตากันเธอแสดงทีท่าเข้าใจและเห็นใจ

          อำนาจกับมนต์ชัยเริ่มท่องชื่อใหม่ของทรงเดช ทั้งคู่มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม…ว่าจะทำได้สำเร็จภายในอาทิตย์หน้า

                ------------------------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา