ห้องสามเดอะซีรี่ย์
9.0
เขียนโดย มุมฉาก
วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.
26 ตอน
0 วิจารณ์
25.52K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
19) ปาร์ตี้ปีใหม่ 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความปาร์ตี้ปีใหม่ 2
พระจันทร์ทรงกลดลอยสุงอยู่เหนือเมฆา รัศมีเหลืองนวลเปล่งความงามปนความอ่อนโยน ครั้นต้องแสงระยิบระยับจากหมู่ดาวน้อยใหญ่ ส่งผลให้สุกสกาวพราวเพริดพริ้งมากยิ่งขึ้น เปรียบเสมือนใบหน้าสาวน้อยผู้น่ารักสดใส รวมเข้ากับความดีที่เธอหมั่นสร้างสม่ำเสมอ จึงได้กลายเป็นสาวงามทั้งกายและใจแท้จริง
ขณะนี้เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่ม ของวันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม 25xx ค่ำคืนสุดท้ายก่อนย่างก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ณ.บ้านไม้สภาพกลางเก่ากลางใหม่หลังหนึ่ง บนต้นคูนขนาดใหญ่บริเวณทางเท้าริมถนน จั๊กจั่นเรไรร่ำร้องเรียกหาคู่อยู่เดียวดาย แมลงตัวน้อยหวังใจว่าจะมีสาวขี้เหงาตอบกลับ ทว่าเสียงเหน่อ ๆ ที่วิ่งเข้ามายังระบบโสตประสาท ทำให้แมลงดึกดำบรรพ์อายุมากกว่า 200 ล้านปี ถึงกับสะดุ้งพลัดหล่นพื้นถนนดังโครม ชายหนุ่มผู้น่าสงสารจากไปพร้อมความเหงา
“เจี๊ยก…!!!”
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งรัตติกาล เสียงร้องโหยหวนความดังมากกว่า 200 เดซิเบล พลันดังกระหึ่มกลบทุกเสียงในระยะ 2 กิโลเมตร นักเรียนห้องสามที่มารวมตัวในบ้านหลังนี้ พร้อมใจกันปิดหูป้องกันชีวิตเอาตัวรอด สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังใต้ถุนบ้าน ตรงนั้นเองมีหญิงสาวผิวขาวผมสั้น นั่งอยู่บนเก้าอี้ท่าทางสุขุมมีเสน่ห์ ข้างกายหล่อนมีเด็กหนุ่มสุง 185 เซนติเมตร กำลังดิ้นพล่านด้วยท่ายุงลายเมาใบกระท่อม เวลาผ่านไปอีกประมาณ 10 วินาที เขาจึงได้หยุดกระโดดแล้วทำหน้าเหวอ
“หายแล้ว…! ไม่เจ็บแล้ว วู้ปี้ ไม่เป็นอะไรแล้ววววว”
ทรงเดชแหกปากลั่นทุ่งด้วยความดีใจ พลางกระโดดสปริงข้อเท้าจนพื้นปูนแทบทรุดพัง เพื่อนทุกคนพากันถอนหายใจเฮือกโต อำนาจดีใจออกหน้าเต้นแร้งเต้นกาตามเพื่อน แล้วรอยยิ้มก็กลับคืนสู่บ้านหลังนี้
“เบา ๆ หน่อย เดี๋ยวก็ล้มหัวทิ่มอีกหรอก เกือบซวยยกห้องแล้วไหมล่ะ”
ผมห้ามปามขณะปาดเหงื่อพร้อมถอนหายใจ ทว่าคนเจ็บไม่ได้สนใจใยดีซักนิดเดียว สุดท้ายจึงหันมาหาผู้หญิงผมสั้น
“ขอบคุณพี่ตุ๋งมากครับ ไม่ได้พี่เห็นทีพวกเราจะลำบาก” ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นไหว้
“ไม่เป็นไรจ้า ทรงเดชแค่ไหล่หลุด พี่ดึงกลับก็หายแล้ว” พยาบาลสาวพูดไปยิ้มไปและรับไหว้ไป
“ไม่มีอะไรแล้ว พี่ตุ๋งกลับเลยก็ได้ครับ” คู่สนทนาออกอาการเกรงใจ
“เอ่อ…” พี่ตุ๋งดูนาฬิกาชั่วครู่ “พี่นัดไปเคาท์ดาวน์กับเพื่อนพยาบาลในเมือง แต่คงไม่ทันแล้วล่ะ”
“อุ่ย….” คราวนี้นายหัวหน้าถึงกับสะดุ้ง “ผมขอโทษอีกทีนะครับ”
“ไม่เป็นไร” อีกฝ่ายรีบโบกไม้โบกมือ “คืนนี้รถเยอะมากด่านตำรวจก็เช่นกัน พี่อยู่ฉลองที่นี่ด้วยคนได้ไหม”
“ได้สิครับ” คนพูดหันรีหันขวาง “วิทยา วิทยา…นายหาของกินให้พี่ตุ๋งด่วนเลย”
เจ้าของบ้านรีบมาต้อนรับด้วยความว่องไว ที่ว่าว่องไวนั่นคือเร็วกว่าหอยทากหน่อยเดียว แขกคนพิเศษเดินไปจัดการธุระด้วยตัวเอง นัยว่าขี้เกียจรอหรือว่าเกรงใจซักอย่างสิน่า เป็นอันว่าปัญหาของทรงเดชได้หมดสิ้นลง ถ้าไม่ได้พี่ตุ๋งก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ขืนขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการล่ะก็ ทั้งแม่ของทรงเดชและพ่อของนิตยาต้องรู้เรื่องไปด้วย
นิตยา…ใช่ เธอนั่นเองที่แอบไปรับพี่ตุ๋งจากหน้าอำเภอ วันนี้พยาบาลทุกคนต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ อย่างพี่ตุ๋งก็ต้องเข้าเวรตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึง 2 ทุ่ม เสร็จจากงานกลับมาอาบน้ำสระผมไม่ทันเรียบร้อย โดนนักเรียนม.ปลายกระชากตัวมาที่นี่ซะงั้น เป็นพยาบาลคงเหนื่อยไม่ใช่เล่น ผมครุ่นคิดขณะก้าวเท้าหาใครคนหนึ่ง
“นิด” คนโดนเรียกหันมามอง คนเรียกจึงได้พูดต่อ “ขอบใจมากนะ แล้ววันหลังเราเลี้ยงไอติม”
“เฮ้ย…! ไม่เป็นไร แต่เราชอบรสวานิลลากับช็อคโกแลตชิพ” นิตยายิ้มแป้นขณะตอบกลับ
“จัดไป 2 โบก” ผมรับมุขพลางส่งยิ้ม ก่อนถามเรื่องที่ยังค้างคาใจ “ว่าแต่นิดขโมยพี่ตุ๋งออกมาอีท่าไหน ทั้งเจ้าหน้าที่และข้าราชการยั้วเยี้ยไปหมด ช่วงหัวค่ำผู้ว่าก็มาตรวจงานด้วยนี่”
“วุ่นวายมาก” สาวผมหยักโศกยอมรับ เธอเดินออกมาหน้าชานผมจึงเดินตาม “โชดดีที่ไปถึงผู้ว่ากำลังเดินทางกลับ เลยให้อำนาจดูต้นทางส่วนเราย่องไปรับพี่ตุ๋ง ขากลับเจอด่านตำรวจด้วยนะ พี่ตุ๋งเลยอาสาขับรถให้”
ผมไม่ได้เดินทางไปรับตัวพยาบาลสาว เพราะต้องดูแลความวุ่นวายที่ผองเพื่อนร่วมกันก่อ พ่อของวิทยาจะพาทรงเดชไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งจะทำให้ความซวยมาเยือนกันโดยถ้วนหน้า นิตยาจึงตัดสินใจขับรถไปรับพี่ตุ๋ง ผมเห็นดีเห็นงามเพราะทรงเดชไม่ถึงกับแขนหัก ว่าแล้วจึงถีบอำนาจปลิวขึ้นรถเป็นเพื่อน หวังแยกหมอนี่ห่างจากมนต์ชัยคู่อริแต่ปางก่อน
พ่อของนิตยาเป็นปลัดอำเภอระดับชำนาญการพิเศษ อีกไม่นานคงขึ้นเป็นนายอำเภอที่ไหนซักแห่ง เนื่องจากอำเภอเราไม่มีนายอำเภอตัวจริงเสียงจริง ปลัดอำเภอจึงต้องทำหน้าที่รักษาการไปพลาง (ไม่รู้นานเท่าไหร่) งานหนักมากขึ้นเป็นสองเท่าตัว แต่เงินเดือนและตำแหน่งยังคงเหมือนเดิม เรื่องแปลกแต่จริงที่ผมไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นจริง
ทำไมไม่แต่งตั้งพ่อของนิตยาเป็นนายอำเภอไปเลย ?? ทั้งที่เขาก็ทำหน้าที่เหมือนนายอำเภออยู่แล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ นิตยาจะได้เรียนที่นี่จนจบมัธยมปลาย ไม่ต้องย้ายโรงเรียนเกือบทุกเทอมเหมือนที่ผ่านมา นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมไม่เคยเข้าใจ
เราสองเดินมานั่งแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน จั๊กจั่นตัวผู้เงียบเสียงไปแล้ว จึงมีแต่เสียงเพลงดังมาจากบ้านไม้ยกสุง ภายในงานเลี้ยงกลับมาคึกคักอีกครั้ง ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น วัยรุ่นเป็นแบบนี้เสมอผมคิดในใจ
“มนต์ชัยกับอำนาจก็เหลือเกิน ดีนะที่ทรงเดชแขนไม่หัก” ผมบ่นกับท้องฟ้าและพระจันทร์
“เรื่องนี้เราก็ผิด” นิตยาหันมาแลบลิ้นใส่ ดูเหมือนว่าเธอพูดเก่งกว่าเดิม “ทีแรกแค่เชียร์พอขำ ๆ ไม่นึกว่าจะเลยเถิดเป็นเรื่องใหญ่ เราไม่รู้จริง ๆ ว่ามนต์ชัยกับอำนาจเกลียดกัน”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ก็แค่…ขบเหลี่ยมลูกกำนันนิดหน่อย” ผมรีบปฎิเสธทันควัน
“ขบเหลี่ยมลูกกำนัน !!” อีกฝ่ายทวนคำพูดแล้วปล่อยก๊าก “เอ้า…ขบก็ขบ ตามใจหัวหน้าห้องหน่อย”
นิตยาหัวเราะร่วนโดยไม่ปกปิด ผมยิ้มกรุ้มกริ่มน้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี นานมากแล้วที่ปล่อยมุขแต่ไม่มีใครขำ ถ้าเป็นตลกคาเฟ่คงอดตายตั้งแต่ปีมะโว้ เคยหามุขที่คิดว่าดีที่สุดมาจัดแสดง หวังให้สาวที่หมายปองเกิดความประทับใจ ชิดชนกแค่มองด้วยหางตาหลังเล่นจบ แล้วแสยะยิ้มสยองพอเป็นพิธีเสียหนึ่งดอก ใบหน้าเฉยชาไม่ยินดียินร้ายที่ได้ประสบ สุดยอดดาวตลกจึงเลิกจัดแสดงตราบชั่วนิรันดร์
ย้อนกลับมายังเรื่องวุ่นวายอีกครั้ง แม้ผมไม่เคยบอกรายละเอียดกับทุกคนที่ถาม แต่อำนาจกับมนต์ชัยขบเหลี่ยมกันนานมากแล้ว เริ่มตั้งแต่เรียนตะกร้อในเทอมต้นมัธยม 2 ทั้งคู่มีผลการเรียนอยู่ในอันดับหนึ่งของห้อง (และของโรงเรียน) ต่างคนต่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายมีคะแนนเหนือกว่า มนต์ชัยกับอำนาจได้เกรด 4 ทุกวิชาเหมือนกัน และเล่นตะกร้อได้ห่วยแตกเหมือนกัน
อำนาจในตอนนั้นสุงแค่เพียง 145 เซนติเมตร เขาขอให้ผมช่วยซ้อมตะกร้อในทุกค่ำคืน ผลคะแนนสอบเทอมนั้นปรากฎดังนี้ อำนาจได้ตะกร้อเกรด 4 คะแนนรวม 4.0 ส่วนมนต์ชัยได้เกรด 3 คะแนนรวม 3.97 (ขณะที่ผมได้ตะกร้อเกรด 4 คะแนนรวม 3.12 อายเขาไหม) นับจากวันนั้นเป็นต้นมา มนต์ชัยกับอำนาจจึงเป็นเหตุและผลของกันและกัน
ผมแอบมองสาวน้อยหน้าใสนั่งเคียงคู่ นิตยาย้ายมาเรียนกับเราครบ 2 เดือนพอดิบพอดี จึงไม่มีทางรับรู้เรื่องราวสมัยพระเจ้าเหา เรื่องนี้จึงโทษเธอไม่ได้ซักนิดเดียว และถ้าว่ากันตามข้อเท็จจริง นิตยาดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนทุกคน ภายใต้แสงจันทร์นวลผ่องพี่มองแล้วสุขอุรา สาวน้อยมีเสน่ห์ราวกับนางในวรรณคดี แววตาเธอฉายแสงวูบวาบ ๆ ชวนค้นหา
สิ่งเดียวที่นิตยามีน้อยกว่าคนอื่น นั่นคือรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบเด็กผู้หญิง เธอไม่เงียบขรึมเหมือนช่วงแรกแล้วล่ะครับ ทว่าก็ยังพูดน้อยกว่ามาตราฐานหญิงไทย ที่มีอัตรายิงปรกติอยู่ที่ 300 คำพูดต่อนาที
“แล้วจะเอายังไงต่อ” นิตยาขยับเสื้อยีนส์สีกรมท่ากระชับขึ้น ยิ่งดึกน้ำค้างยิ่งแรงตามธรรมชาติ
“ไม่ต้องทำอะไรเลย อำนาจกับมนต์ชัยคงไม่กล้าแล้ว” ผมบอกปัดเพราะรู้ดีว่าเปล่าประโยชน์
“ไม่ใช่เรื่องนี้สิ เรื่องนั้นต่างหาก เรื่องโน้นด้วย”
คนพูดปรายตามองไปยังโรงจอดรถเพิงหมาแหงน ตรงนั้นเองเพียงตานั่งซุ่มโป่งอยู่ในมุมอับ แม่สาวคมขำไปทำอะไรตรงนั้นไม่ทราบ ทั้งยังหน้าบึ้งเหมือนวันแข่งกีฬาไม่มีผิดเพี๊ยน ผมมองตามนิตยาไปยังอีกฝั่งของตัวบ้าน ตรงโน้นเองชิดชนกนั่งหน้ามุ่ยอยู่เดียวดาย อ้าว…เมื่อครู่นี้ยังอยู่ด้วยกันตรงนี้ไม่ใช่เหรอ แล้วไปอยู่ตรงโน้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันหนอ
“เกิดอะไรขึ้น หรือว่า…สองคนนี้ผีเข้า” ขณะที่พูดพลันคิดถึงอาถรรพ์ดอกลั่นทม
“ใช่ที่ไหนล่ะ” นิตยาส่ายหัวระอาใจ “เราเห็นเพียงตากับนกนั่งแบบนั้นตั้งนานแล้ว ไม่ได้มองเลยล่ะสิ”
“โทษทีนะ เรามัวแต่วุ่นอยู่กับทรงเดช แต่…” ขณะที่พูดผมก็ยังมืนตื๊บ
“เราก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่เป็นอะไร” นิตยาตอบกลับโดยไม่รีรอ
“แล้วจะเอายังไงต่อ เราไม่รู้เหมือนกันว่าทั้งคู่เป็นอะไร” นี่ผมพูดตามไปเพื่ออะไรกัน
“ไม่รู้ก็เข้าไปถามสิคะคุณ” อีกฝ่ายจึงตอกกลับโดยไม่เกรงใจ
“เออใช่…ทำไมถึงนึกไม่ออกหว่า”
นายหัวหน้าห้องแค่นหัวเราะเป็นการกลบเกลื่อน พลางเกาหัวแกรก ๆ แสดงความไม่น่าเชื่อถือให้ปรากฎ สาวหน้าบึ้งมีสองคน ฝั่งเราก็มีสองคน ฉะนั้น…ควรแบ่งกันไปเจรจาความแบบตัวต่อตัว
“เราถามเพียงตาให้เอง นิดคุยกับนกแล้วกัน” ผมตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“นายนั่นแหละคุยกับนก เดี๋ยวเราไปคุยกับเพียงตา” แต่นิตยาดันไม่เห็นด้วย
“เอ่อ…แต่เราว่าแบบเดิมดีกว่า นิดสนิทกับนกมากกว่าเราไม่ใช่เหรอ” คนพูดเริ่มโยนบาป
“ใครนะ แอบไปร้านมินิมาร์ทกันสองคน ?”
สาวน้อยดวงตาซุกซนยิงหมัดฮุคเข้าปลายคาง ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับเข่าทรุดหมดสภาพนักศึกษา สายตาคมกริบของคนพูดจับจ้องมาที่ใบหน้า ราวกับว่าต้องการจับผิดผู้ชายโกหกเจ้าชู้ ดูเหมือนสถานการณ์จะอยู่ที่ฝ่ายเธอ
“เปล่านะไม่ได้แอบ นกอยากกินนมเปรี้ยวเลยเดินไปเป็นเพื่อน งั้นเราคุยกับนกเอง”
เพื่อน ๆ ที่น่ารักทุกคนครับ กฎในการโต้เถียงกับผู้หญิงนั้นมีอยู่ว่า จงยืนหยัดในเหตุผลตัวเองแล้วคุณจะชนะเลิศ แต่ในกรณีที่อีกฝ่ายกุมความลับของเราไว้ จงรีบทำตามแล้วเดินจากมาชักช้าอยู่ใย ผมเย็บปากตัวเองด้วยเข็มเย็บกระสอบเล่มโต พร้อมทำตามแผนนิตยาโดยไม่เกี่ยงงอน เพราะแบบนี้นี่เอง…แม่คุณถึงได้มีแววตาเป็นประกายวิบวับวอมแวม
หลังจากเอ้อระเหยลอยชายอยู่พักหนึ่ง จึงเดินมาถึงฝั่งซ้ายสุดของตัวบ้าน เป็นมุมที่ใช้จัดเก็บอุปกรณ์ทางการเกษตร ติดตั้งหลังค้าผ้าใบกันสาดแบบพับเก็บได้ ชิดชนกนั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนเพียงลำพัง ผมบอกไปแล้วนี่ >_<
“นก ชิดชนก เอ่อ…...นกนั่งทำอะไรคนเดียว เป็นอะไรหรือเปล่า”
เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในอารมณ์ไหน จึงไม่รู้ว่าควรใช้คำพูดอย่างไรไปด้วย ผู้มาใหม่เกิดอาการตะกุกตะกัก ประหนึ่งรถแข่งขาดน้ำมันเครื่องไดเกียวฝาเขียว ลูกสาวเฮียอ๋าชำเลืองมองด้วยหางตาเรียวงาม ปากรูปกระจับพอดีคำแบะลงเล็กน้อย คิ้วโก่งคันธนูผูกติดกันโดยตั้งใจ หางคิ้วซ้ายวาดโค้งกระตุกขึ้นลงตลอดเวลา พระเจ้าช่วย..!! เธอกำลังอารมณ์ไม่ดีอย่างถึงที่สุด
“เปล่า ไม่ได้เป็นไร”
ชิดชนกตอบคำถามพอเป็นพิธี ก่อนเหลียวมองผู้คนในงานเลี้ยงเช่นเคย เธอเงียบขรึมกว่าตอนสองทุ่มที่จัดว่าแย่ ก็เลยไม่รู้กันว่าน้องนางนั้นเป็นอะไรแน่ ทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ คือคาดเดากันไปตามท้องเรื่องสิครับคุณ
“ไม่ต้องห่วงเรื่องมนต์ชัยกับอำนาจหรอก คงเข็ดไปอีกนานเลย” ผมคิดถึงเรื่องนี้เป็นลำดับแรก
“เราไม่ได้เป็นห่วงสองคนนี้” น้ำเสียงคนพูดสั้นและห้วน
“ถ้าเรื่องพี่ตุ๋งสบายใจได้ เราคุยแล้วพี่เขาโอเค จะอยู่ร่วมงานโต้รุ่งกันเลยทีเดียว” นี่คือเรื่องถัดไปที่ผมนึกออก
“เราไม่ได้เป็นห่วงพี่ตุ๋ง” เธอยังคงยืนกรานด้วยโทนเสียงเช่นเคย
“ทรงเดชแค่ไหล่หลุดหายดีแล้ว งานเลี้ยงไม่ได้เสียงดังซักเท่าไหร่ พรุ่งนี้ตักบาตรพระร้อยตอน 7 โมงเช้า น้ำประปาหยุดไหลวันพุธทั้งวันนะเออ เซเว่นออกแสตมป์ใหม่แล้วรู้ยัง โว้ววววว….. นกเป็นอะไรบอกเราเถอะ”
หลังจากเล่นเกมส์เดาใจจนอับแต้ม ผมจึงอ้อนวอนพร้อมใส่ดราม่าเล็กน้อย คนอารมณ์ไม่ดีหันมาสบตาด้วย เหมือนว่าเธออยากจะยิ้มให้ แต่ฝืนเท่าไหร่ก็ยิ้มไม่ออก หลังจากเล่นเกมส์จ้องตากันอีกพักหนึ่ง ผู้มีสีหน้าเหยเกจึงได้ตอบกลับ
“ความจริงแล้วเรา เรา…เราหิวข้าว”
แม่สาวผมม้าลูบท้องน้อยโดยไม่ตั้งใจ เสียงร้องโครกครากดังขึ้นโดยไม่ตั้งใจเช่นกัน คนหิวข้าวยิ้มแฮะ ๆ ผมก็เลยจึงยิ้มแฮะ ๆ ตาม ปัดโธ่เอ๊ย…!!! เรื่องขี้ผงบังตาแท้เชียว
“เดี๋ยวเราไปตักอาหารมาให้” ผมรีบเสนอหน้าทำคะแนน
“ไม่เอาอ่ะ เหลือแต่ตำปูปลาร้า ลาบหมู ต้มยำไก่ กับขนมหวาน” ชิดชนกส่ายหัวพร้อมหรี่ตา
“มันก็ไม่เผ็ดเท่าไหร่นะ ต้มยำไก่ฝีมือพ่อวิทยาอร่อยมาก”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น” คนพูดทำหน้างุ้ม แล้วตัดสินใจบอกความลับสุดยอด “กินของหนัก ๆ กลางดึกอ้วนแย่เลย’
ชิดชนกออกอการงอแงอย่างถึงที่สุด ปากที่เคยแบะพลันแหลมขึ้นราวกับซูเนโอะ ผมจึงเข้าใจปัญหาอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋ เธอตกอยู่ในสภาวะโมโหหิวโดยสมบรูณ์แบบ หากแก้ไขไม่ถูก…ระเบิดลงกลางดึกเละเป็นโจ๊กแน่
“แบบนี้นะ เดี๋ยวเราซื้อนมเปรี้ยวกับแซนวิชมาให้ เอาอะไรอีกป่ะ”
จึงตัดสินใจปุบปับแล้วลุกขึ้น พลันหันหลังกลับ 180 องศาหน้าตรงสู่เป้าหมาย แวบหนึ่งมองเห็นพยาบาลผมสั้นผิวขาว ตักส้มตำปูปลาร้าใส่ปากตามด้วยซดต้มยำไก่เสียงดังโฮก พี่ตุ๋งผอมเพรียวหุ่นดีราวกับนางแบบ ยังสวาปามอาหารไม่เกรงใจลำใส้ใหญ่ได้เลย ครั้นจะผมให้ต่อปากต่อคำกับผู้หญิงโมโหหิว สู้ออกไปทำศึกกับเอเลี่ยนยังมีโอกาสรอดมากกว่า จึงตัดสินใจมุ่งไปยังร้านมินิมาร์ท หาของที่เธอชอบมาเยอะ ๆ หน่อย เดี๋ยวน้องนางก็อารมณ์ดีเองแหละ นี่คือเส้นทางที่สุภาพบุรุษพึงกระทำ
“ขอเกี๊ยวกุ้งกับซาลาเปาหมูสับด้วย เราไม่ได้กินมาตั้งสองวันแล้วนะ”
เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ข้างหูผมอีกครั้ง หันกลับไปมองพบชิดชนกกำลังยิ้มแฉ่ง ตกลงแม่คุณกลัวอ้วนหรือกลัวไม่อ้วนกันแน่ ก็เมื่อกี้ยังบอกไม่อยากกินของหนัก ๆ อยู่เลยนี่นา
---------------------------------------------
เวลาในปีนี้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด อีกประมาณ 20 นาทีจะเข้าสู่พุทธศักราชใหม่ แพะรับบาปตัวน้อยจำเป็นต้องเดินทางไกล ลิงแสมลูกหนุมานได้เข้ามานั่งแทนที่ หมอดูชื่อดังต่างออกมาทำนายทายทัก ว่าคนเกิดปีขาล ปีมะเส็ง ปีวอก และปีกุน จะเป็นปีที่ชงหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โชดดีที่พวกเราส่วนใหญ่เกิดปีมะโรง ไม่ต้องแก้ชงด้วยของดำ 9 อย่างให้วุ่นวายใจ แค่เรียนหนังสือกับทำกิจกรรมก็เหนื่อยจะแย่ ไหนยังเรื่องวุ่นวายที่ต้องเผชิญในแต่ละวัน รวมทั้งเรื่องของเธอคนนี้
“อร่อยจังเลยอ่ะ แต่อิ่มเสียแล้วสิเรา”
เสียงหวานสดใจเจื้อยแจ้วไพเราะเสนาะหู ราวกับนกอีมูร้องเพลงในฤดูใบไม้ผลิ ชิดชนกจัดการอาหารคาวหวานหมดเรียบ อารมณ์และจินตนาการกลับสู่ปรกติอีกครั้ง ผมจ้องมองสิ่งที่เธอยัดใส่พุงกะทิ คนกลัวอ้วนกินอาหารแบบนี้เนี่ยนะ
“ขอบคุณพี่ตุ๋งที่เลี้ยงนะคะ อะไรเอ่ยอิ่มจังตังค์อยู่ครบ”
สาวน้อยอารมณ์ดีด้วยไอติมคำโต จึงปล่อยมุขตลกคาเฟ่พร้อมทำหน้าตาทะเล้น เจ้าของกระเป๋าสตางค์ยิ้มแฉ่งตามนิสัย พยาบาลผมสั้นก็มีไอติมรสกะทิอยู่ในมือ
“ไม่เป็นไรจ้า พี่ตุ๋งอยากกินอยู่พอดี” คนพูดกัดไอติมคำเบ้อเริ่ม
“ไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ต้องขอบคุณ ขอให้พี่ตุ๋งสวยวันสวยคืนสวยปี ผู้ชายรุมรักทั่วทั้งอำเภอทั่วทั้งจังหวัด บลา บลา บลา…”
กว่าชิดชนกจะอวยพรสำเร็จเสร็จสิ้น ไอติมในมือพลันหายวับราวปาฎิหารย์ พี่ตุ๋งหัวเราะชอบอกชอบใจในคำชม แม้พูดออกตัวว่าไม่สวยไม่น่ารักไม่โน่นไม่นี่ก็ตาม (ในใจเธอคิดอะไรใครจะรู้ ) มือก็หยิบช็อคโกแลตแท่งโตขึ้นมาถือ สองสาวสองวัยแบ่งกันกินชนิดถ้อยทีถอยอาศัย ผมจ้องมองด้วยความรู้สึกนานับประการ เสี้ยวหนึ่งของความน้อยใจจึงเอ่ยปากตัดพ้อ
“ไม่คิดจะขอบคุณคนเดินไปซื้อบ้างเหรอ” แค่ได้ยินซักคำก็ยังดี
“ขอบคุณทำไม นายต้องเดินไปเติมเงินโทรศัพท์อยู่แล้ว”
แม่สาวผมม้าซัดเข้าให้หนึ่งดอก พลางแยกเขี้ยวแลบลิ้นทำตาเหล่ครบสูตร ผมนั่งเท้าคางจ้องมองช็อคโกแลตแท่งโต ที่กำลังจะลาจากโลกเพราะคนใจร้ายสองนาง ทันใดนั้นเองเหมือนมีคนสะกิดจากด้านข้าง หันกลับไปมองจึงพบใบหน้านิตยาเข้า
“ขอบใจนะ เดินตั้งไกลเหนื่อยแย่เลย นายเป็นสุภาพบุรุษมาก”
สาวน้อยผมหยักโศกพูดทีเล่นทีจริง แต่คิดว่าออกไปทางทีเล่นเสียมากกว่า ในมือคนพูดมีไอติมรสวานิลลากับช็อคโกแลตชิพ จัดซื้อจัดจ้างโดยเงินผมตามสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติคเหนือ โชดดีที่พี่ตุ๋งจ่ายค่าเกี๊ยวกุ้ง แซนวิช และซาลาเปา ไม่เช่นนั้นคงตัวเบาตลอดปีใหม่แน่ อันที่จริงค่าอาหารไม่กี่บาทหรอก บังเอิญผมซื้อของให้อาม่ากับอี๊บ๊วยไปตั้งครึ่งพัน
ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่สภาวะปรกติ อำนาจและมนต์ชัยหมดฤทธิ์เดชไปแล้ว หลังโดนพี่ตุ๋งเรียกเข้าไปเฉ่งเป็นรายบุคคล พยาบาลผมสั้นเข้าอกเข้าใจวัยรุ่นพอสมควร ทั้งมีวิธีพูดชักจูงอยู่ในระดับเมพขิงขิง ผมไม่รู้หรอกว่าพี่ตุ๋งพูดว่าอย่างไร สองหนุ่มเลือดเดือดจึงกลับมาเป็นเด็กหนุ่มผู้อ่อนโยนได้ วันหลังต้องแอบถามอำนาจเสียหน่อย
ภายในงานเลี้ยงปีใหม่กำลังคึกคัก อีกไม่นานจะเริ่มนับถอยหลังและจุดพลุ บรรยากาศโดยรวมมีแต่รอยยิ้มและความสนุกสนาน ทรงเดชหัวเราะเสียงดังกลางวงสนทนา อำนาจกับมนต์ชัยนั่งพูดคุยกระหนุงกระหนิง แม่เจ้าโว้ย..!! เกิดอาเพศกำสรวลหรืออย่างไร สองคนนี้ถึงได้ญาติดีกันราวกับเป็นคู่รัก แต่เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วนี่ ผมครุ่นคิดด้วยความปลื้มปิติ
เพื่อนผู้ชายหลายคนจุดดอกไม้ไฟอยู่บนทางเท้า เพื่อนผู้หญิงหลายคนนั่งมองดาวเพ้อเจ้อเรื่อยเปื่อย นิตยา ชิดชนก และพี่ตุ๋ง จับกลุ่มปาร์ตี้ไอติมกันอย่างเมามันส์ สายตาผมบังเอิญมาหยุดที่โรงจอดรถ ภายในหลังคาหน้าจั่วซึ่งมีรอยรั่วหลายแห่ง เพียงตาแอบมานั่งเพียงลำพังอีกแล้วสินะ นิตยาเข้าไปเจรจาความให้แล้วนี่นา ไฉนจึงทำหน้าบึ้งราวกับดาร์ธเวเดอร์ไปได้
“นิด นิตยา ตกลงเพียงตาเป็นอะไร” ผมถามเจ้าตัวโดยไม่หันมอง
“ไม่รู้เหมือนกัน” นิตยาวางแท่งไอติมในมือ “เพียงตาบอกไม่เป็นอะไร แล้วเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อน”
“แปลกจัง ?? ปรกติเพียงตาไม่เคยเป็นแบบนี้ งั้นเดี๋ยวเราไปคุยเอง”
ชิดชนกเกิดเป็นห่วงเพื่อนกระทันหัน ตามนิสัยเป็นห่วงคนอื่นเกินไปที่ไม่เคยแก้หาย จึงวางของกินพร้อมตัดสินใจปุบปับ สาวน้อยจัดเสื้อผ้าหน้าผมจนสวยเช้งก่อนลุกยืน ผมรีบลุกตามแล้วปาดเข้าไปยืนขวางทาง
“เราพอจะรู้ว่าเพียงตาเป็นอะไร ให้เราคุยเองเถอะ” นี่คือข้อเสนออย่างเป็นทางการ
“เราไม่รู้หรอกว่าเพียงตาเป็นอะไร แต่เราจะไปด้วยคน” การต่อรองจึงเกิดขึ้น
“อยู่ข้างหลังแล้วกัน ให้เราคุยจบแล้วนกค่อยพูดต่อ” ผมจึงสมยอมแต่ยอมไม่หมด
“ครับผม แล้วแต่คุณหัวหน้าห้องจะกรุณา” คนพูดยิ้มเครียด ๆ เหมือนประชด
ขบวนทูตสันติไมตรีเริ่มออกเดินทาง ผมกับชิดชนกเดินเคียงข้างอยู่หัวขบวน นิตยากับพี่ตุ๋งเดินตามมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น โรงจอดรถสร้างอยู่บนดินลูกรังอัดบดจนแน่นขนัด พื้นที่รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสกว้าง 6 เมตร ลึก 6 เมตร ผนังด้านในต่อเติมชั้นวางของขนานตามความกว้าง ตีสังกะสีปิดทั้งแผงเพื่อกันแดดและกันฝน ครอบครัวของวิทยาประกบอาชีพทำนาเป็นหลัก หัวหน้าครอบครัวสามารถซ่อมรถไถ รถอีแต๋น รถอีต๊อก และเครื่องสูบน้ำ ทำรายได้เสริมสุงกว่ารายได้หลักด้วยซ้ำไป
เพื่อนของเรานั่งหน้ามุ่ยอยู่ในมุมอับ ผมเดินเข้าหาพร้อมเก้าอี้พลาสติคสีเขียว เพียงตาแค่เหลียวมองเพียงเสี้ยววินาที สาวน้อยคมขำให้ความสนใจบริเวณใต้ถุนบ้าน ตรงนั้นเองทรงเดชกำลังพรรณนาโวหาร ละครน้ำเน่าเรื่องดาวพระศุกร์ให้เพื่อนผู้ชายฟัง น่าจะเป็นเวอร์ชั่นพิสดารหรือไงนี่แหละ วิทยาและณรงค์ฤทธิ์ถึงได้หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล
“ติดใจเรื่องการแข่งอยู่เหรอ เราว่าปล่อยวางดีกว่ามั้ย”
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาอันควร ผมยิงหมัดฮุคเข้าปลายคางเสียงดังป๊าบ ทำเอาเจ้าตัวถึงกับสะอึกเล็กน้อย แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีแหละครับ ผู้หญิงเก็บความรู้สึกได้ดีกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว เพียงตาเองก็เช่นกัน
“เราอยากเป็นอย่างวิทยาจัง นายดูสิ…หลังพาสีเหลืองคว้าแชมป์ เขาร่าเริงกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ”
ผู้แพ้การแข่งวิ่งวิบากหญิงได้เอ่ยปาก เธอรู้ว่าผมรู้เหมือนที่เธอรู้จึงรู้ว่าไม่ต้องทำเป็นว่าไม่รู้ นิตยาและชิดชนกนั้นอยู่ทีมสีฟ้า ไม่มีทางที่เพียงตาจะยอมพูดคุยเรื่องนี้ด้วย ต้องเป็นคนที่แพ้เหมือนกันและอยู่สีชมพูเหมือนกันอย่างผมคนนี้
“เพียงตาอย่ามองแค่ผู้ชนะสิ เห็นทรงเดชไหม หมอนั่นก็แพ้เหมือนพวกเรานะ”
ผมเตรียมไว้แล้วว่าควรจะพูดแบบไหน ผู้แพ้ย่อมเข้าใจหัวอกผู้แพ้ด้วยกัน และควรพูดถึงผู้แพ้ด้วยกันเท่านั้นเป็นพอ เพียงตาถอนหายใจแผ่วเบาราวกับแมว เธอเองก็คงเห็นทรงเดชอยู่ในสายตา จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายความอะไรมากมาย
“เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่ยังเสียใจที่แพ้เพราะหกล้ม แต่…มันไม่น่าเกิดขึ้นเลย”
ผู้หญิงเนี่ยนะ…เหมือนกันทุกคนไม่มีผิด เอะอะก็ “เราไม่ได้เป็นอะไรหรอก” “เปล่า ไม่มีอะไร” “เราก็แค่อย่างนั้นอย่างนี้” ผู้ชายอย่างผมฟังแล้วปวดหัวจิ๊ด จึงพยายามสรรหาคำปลอบใจเพื่อปลอบประโลม ทีแรกคิดว่าหมูตู้ไม่น่ายากซักเท่าไหร่ เอาเข้าจริงไม่ได้ผลแม้แต่น้อย เพียงตายังคงหน้ามุ่ยเหมือนห้านาทีก่อน คนที่ยืนรอพลอยเดือดเนื้อร้อนใจตาม
“เราพูดเองดีกว่า ถอยไปเกะกะ” ชิดชนกปาดเข้ามานั่งบนเก้าอี้ คนเก่าก็เลยตกกระป๋องกระทันหัน “เพียงตาฟังเราให้ดีนะ การแข่งวิ่งวิบากหญิงเพียงตาไม่ได้แพ้ แต่เป็นเพราะเพียงตาโดนโกงต่างหาก”
“โดนโกง…!! ใครโกง โกงใคร แล้วจะโกงไปทำไม” ผม นิตยา และพี่ตุ๋งตะโกนใส่พร้อมกัน
“เรานี่แหละโกง ไม่อย่างนั้นสีชมพูชนะแน่นอน”
แววตาคนพูดฉายแววความมุ่งมั่น เป็นความมุ่งมั่นเพื่อบอกว่าตัวเองโกงเนี่ยนะ เพียงตาจ้องมองอดีตคู่แข่งจนตาเหลือก ปรกติเธอทั้งตาโตและขอบตาลึกอยู่แล้ว ทว่าวันนี้ดูเหมือนนกฮูกไม่มีผิดเพี๊ยน
“หลังจากกินกล้วยเสร็จ เราดันวิ่งหกล้มเอง แล้วนกก็วิ่งแซงเข้าเส้นชัย แล้วนกจะโกงเราตรงไหน ?”
นอกจากเพียงตาจะมีสีหน้าประหลาดใจแล้ว เธอยังได้ คิด วิเคราห์ แยกแยะ เรื่องราวตามความเป็นจริงอีกด้วย ต่างจากผมที่เอาแต่ยืนตะลึงตึ๊งตึงเป็นหุ่นไล่กา แค่ได้ยินว่าชิดชนกโกงการแข่งขัน คนอย่างเธอเนี่ยนะโกง…บ้าไปแล้ว
“อันที่จริงไม่อยากพูดหรอก” ลูกสาวเฮียอ๋าทำเสียงต่ำ “แต่ก็ไม่อยากให้เพียงตาเข้าใจผิด ตอนที่เรากระโดดกินกล้วยหอม บังเอิญงับเปลือกกล้วยหล่นลงมาชิ้นหนึ่ง บังเอิญเพียงตากับพรอุมากินหมดก่อน จึงบังเอิญออกวิ่งสามขาเป็นทีมแรก บังเอิญขาขวาเพียงตาก้าวยาวเกินไป ก็เลยบัญเอิญเหยียบเปลือกกล้วยลื่มล้มลง…”
ชิดชนกเล่าเรื่องราวเป็นฉาก ๆ ผมฟังแล้วบัญเอิญอยากเป็นลมตรงนี้ แต่เหตุการณ์ยังไม่จบเธอจึงยังไม่หยุด
“เราเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กรรมการดันมองไม่เห็น เราอยากบอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กองเชียร์เร่งเร้าให้แข่งต่อ” น้ำเสียงคนพูดสุงขึ้นและสั่นนิดหน่อย ชิดชนกถอนหายใจเสียงดังมาก เธอมีใบหน้าเคร่งเครียดตามอารมณ์ “แล้วเราก็ตัดสินใจทำสิ่งเลวร้าย เพียงพราะ เพียงเพราะอยากเอาชนะเท่านั้น เพียงตา…เราขอโทษ เธอจะโกรธเราก็ได้…แต่อย่าเกลียดเราเลยนะ”
ชิดชนกกุมสองมือของอีกฝ่ายไว้อย่างแผ่วเบา ภายใต้ดวงตากลมโตฉายแววเสียใจระคนเศร้าหมอง คู่กรณียังคงงุนงงกับเรื่องราวที่ได้ยิน พลอยยืนหน้าเอ๋อไม่ตัดสินใจอะไรซักอย่าง ผมเองก็งุนงงและไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ทว่าโอกาสทองมาเยือนแล้ว ปล่อยผ่านไปคงโดนเพื่อนบ่นทั้งปีแน่ เมื่อคนมีคนชงมุขก็ต้องมีคนตบมุข นายหัวห้องหน้าตี๋จึงรีบเอ่ยปาก
“นั่นไง…!” ผู้ชายคนเดียวในกลุ่มตะโกนลั่น “เพียงตารู้แล้วสินะว่าโดนโกง เรานี้ตะหงิด ๆ ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ทำไมเธอถึงลื่นจับกบตั้งแต่เริ่มออกตัว เพราะเปลือกกล้วยของยายนกคนนี้นี่เอง”
ผมชี้มือชี้ไม้ไปยังผู้สารภาพบาป ประหนึ่งว่าเป็นยอดนักสืบจิ๋วโคนันจากเมืองเบย์กะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้นใหม่ แต่ถ้าช่วยให้เพื่อนหายจากอาการจิตตกได้ ผมเต็มใจทำให้แม้ไม่เข้าใจอะไรเลยก็ตาม
“เข้าใจแล้ว” สาวคมขำพูดเบา ๆ เหมือนเสียงกระซิบ คนที่เหลือยืนลุ้นผลแทบลืมหายใจ “เราไม่โกรธนกหรอก ถ้าเป็นเราก็คงทำเหมือนกัน ขอบใจนะที่บอกเรื่องนี้ เราสบายใจแล้วล่ะ”
ทั้งที่ผมพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาอ้อนวอน เพียงตาก็ยังนิ่งเฉยราวกับว่าเป็นปูนปั้น แต่พอชิดชนกนำเรื่องยกเมฆขึ้นมาพูด ดั๊นเชื่อคนง่ายเสียจริงนะจ๊ะเพียงตาเอ๋ย นิตยาก้าวเข้ามารวมกลุ่มนักวิ่งวิบากหญิง สาวสามดาวกระจายเริ่มเมาท์มอยกันได้อีกครั้ง ปริศนาฟ้าแลบคลี่คลายในทางที่ดี ผมถอนหายใจเบา ๆ พลันหันมาเจอพี่ตุ๋ง
พยาบาลผมสั้นพยักหน้าแล้วยิ้มให้ ก่อนหยิบพลุกระดาษแจกจ่ายสามสาวห้องสาม อีกไม่ถึงหนึ่งนาทีจะเข้าสู่ปีใหม่ ทุกคนกำลังรวมตัวอยู่บนลานปูนใต้ถุนบ้าน กลุ่มของพวกเรามาทันเวลาพอดิบพอดี อำนาจยิ้มแป้นเดินแจกพลุสายรุ้งอันเบ้อเริ่ม ผมรับมาถือแล้วทำท่าเล็งใส่พุงทรงเดช เวลาที่ทุกคนรอคอยเดินทางมาถึงแล้ว มีการนับถอยหลังพร้อมกันทั่วประเทศ
“10…9…8…7…6…5…4…3…2…1…สวัสดีปีใหม่ 25xx เย่..!!”
ไม่รู้ว่าเสียงใครดังกว่าใครในตอนนี้ ทุกคนพร้อมใจกันแหกปากราวกับโลกจะแตก บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยพลุขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง กลุ่มของผู้ชายโลดโผนโจนทะยานตามนิสัย พากันโชว์เสต๊ปแดนซ์ด้วยลีลากระหยองกระแหยง ผมเองต้องทำตามเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน พลันสบตาสาวน้อยชิดชนกโดยบังเอิญ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเธอแต่งเรื่องขึ้นเองหรือเปล่า แต่มันไม่สำคัญอะไรหรอก ในเมื่อเธอก็อยู่ตรงนี้…ส่วนผมก็อยู่ตรงนั้น
นี่คือปีแรกที่ได้ฉลองปีใหม่ด้วยกัน หวังว่าจะมีปีถัดไป ถัดไป แล้วก็ถัดไป ผมครุ่นคิดในใจขณะฉีกยิ้มให้สาว ก่อนโดนทรงเดชลากตัวไปรวมกลุ่มกับเพื่อนผู้ชาย ก็เลยไม่เห็นรอยยิ้มที่หวานที่สุดในสามโลก
---------------------------------------------
ปล.เนื่องจากว่าเป็นปีใหม่ จึงมีเรื่องวุ่นวายแค่เพียงนิดหน่อย ให้คู่พระนางได้มีความสุขซักตอนแล้วกันเน่อ J
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ