ลมหวาน ป่าหนาว
9.2
เขียนโดย เพียงแสงจันทร์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.
42 ตอน
8 วิจารณ์
70.26K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
34) สมมาน้ำ คืนเดือนเพ็ญ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“คุณพ่อ คุณแม่สวัสดีครับ”
ทุ่งธรกล่าวสวัสดีพ่อกับแม่ของป่าสักหลังจากที่เดินเข้ามายังห้องรับแขกของบ้านบุญนิสากุล
“ไหว้พระเถอะจ๊ะ เป็นไงบ้างล่ะซ้อมกีฬาเหนื่อยไหม?”
มารดาของป่าสักเป็นคนกล่าวทักทาย ก่อนจะให้แม่บ้านยกน้ำดื่มมาให้ทั้งป่าสักและทุ่งธร
“ก็ดีครับคุณแม่ ร่างกายคงชินกับการซ้อมหนักๆแล้วเลยทนได้ครับ”
ป่าสักตอบมารดาแทนทุ่งธรออกไปหลังจากที่นั่งลงข้างๆบิดาแล้ว
“ดื่มน้ำกันก่อนเถอะ มาถึงกันเหนื่อยๆจะได้สดชื่น”
“ขอบคุณครับ”
ทุ่งธรยกมือไหว้ก่อนจะรับแก้วน้ำดื่มจากมือมารดาของป่าสัก
“แล้วนี้จะอาบน้ำกันก่อนไหม?หรือจะพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยไปทานข้าวกัน”
บิดาของป่าสักซึ่งเป็นประมุขของบ้านเป็นคนกล่าวออกมาบ้างหลังจากที่เห็นว่าป่าสักและทุ่งธรนั่งพักดื่มน้ำแล้ว
“เอ่อผมว่าทานข้าวเลยดีกว่าครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมกับทุ่งจะเข้าหอไม่ทัน”
“งั้นคุณก็บอกให้แม่บ้านตั้งโต๊ะอาหารได้เลย ลูกๆจะได้ทานข้าวกันเลยน่ะ”
บิดาป่าสักหันไปบอกภรรยาทันที เพราะเกรงว่าป่าสักและทุ่งธรจะเข้าหอไม่ทันเพราะนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะทุ่มแล้ว
“เอ่อนี้ทุ่ง พอดีว่าพ่อมีเรื่องจะคุยด้วยสักเล็กน้อย เดี๋ยวเราทานข้าวไปคุยกันเลยแล้วกันนะจะได้ไม่เสียเวลา”
ผู้เป็นประมุขของบ้านหันมาสนทนากับทุ่งธรหลังจากที่เดินออกมาจากห้องรับแขกตรงไปยังห้องรับประทานอาหาร
“อ่อครับ คุณพ่อมีเรื่องอะไรจะใช้ทุ่งเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก พ่อไม่ได้มีเรื่องอะไรจะใช้ทุ่งหรอก คือว่าทางห้างของเราเขามีทุนให้กับนักศึกษาน่ะ พ่อเลยอยากให้ทุ่งเสนอขอทุ่นกับทางห้างของเรา”
“เหรอครับ ... เอ่อ คะคือ...ตะ..แต่ว่าทุ่งเป็นคนเรียนไม่เก่งนะครับคุณพ่อ แล้วจะสู้คนอื่นได้หรือครับ”
“อันนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ทางห้างของเรามีทุนหลายประเภท มีทั้งทุนเรียนดีทุนกิจกรรมทุนกีฬา ทุ่งก็เลือกส่งทุนกีฬาสิ น่าจะได้น่ะเพราะว่าเราก็เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว”
“อ่อครับ ขอบคุณครับคุณพ่อ”
ทุ่งธรยกมือไหว้ประมุขของบ้านบุญนิสากุลทันที ที่ได้รับความเมตตาจากท่าน
“ไม่ต้องไหว้พ่อหรอก พ่อเห็นว่าเราเล่นกีฬาดีก็แค่อยากสนับสนุนก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวจะให้เลขาเขาส่งเอกสารไปให้น่ะ”
“ครับ คุณพ่อ”
“เอาล่ะค่ะพ่อลูก หนูทุ่งทานข้าวกันได้แล้ว เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อนเดี๋ยวจะไม่อร่อยน่ะ มีแต่ของโปรดของตาหนูทั้งนั้นเลย ลองชิมดูน่ะจ๊ะหนูทุ่ง”
ผู้เป็นมารดาของป่าสักเอ่ยออกมาให้ทุกคนได้ทานอาหารกันหลังจากที่นั่งฟังการสนทนาของสามีและทุ่งธรแล้ว
“เอ่อจริงสิ ทุ่งเรียนศิลปะใช่ไหม?”
อยู่ๆพ่อของป่าสักก็เอ่ยออกมาหลังจากที่นั่งทานอาหารเย็นไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว
“ครับคุณพ่อ”
“ดีเลย ถ้าทุ่งว่างๆก็มาดูงานที่ห้างเราได้น่ะ พอดีว่าช่วงนี้ทางห้างจัดกิจกรรมลอยกระทงที่ลานชั้นหนึ่งของห้าง จะได้ดูงานไปในตัวด้วย ถ้าว่างๆก็ให้ป่าสักพามาแล้วกันนะทุ่ง”
“ได้ครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมจะพาทุ่งเขาไปดูงานที่ห้างของเราก็แล้วกันครับ”
ป่าสักตอบบิดาไปด้วยความยินดี ที่ผู้เป็นประมุขของบ้านไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจทุ่งธร ซึ้งยังสนับสนุนให้ทุ่งธรได้เรียนรู้งานอีกด้วย
“ครับ ยังไงถ้าทุ่งว่างจากซ้อมกีฬาแล้วทุ่งจะมาช่วยงานที่ห้างครับคุณพ่อคุณแม่”
ทุ่งธรกล่าวตอบรับบิดาและมารดาของป่าสักไปหลังจากได้ฟังคำชวนของอีกฝ่าย
“ดีจ๊ะ แม่ก็ว่าดีน่ะ จะได้เรียนรู้งานไปในตัว เผื่อว่าจบออกมาแล้วไม่อยากเป็นครูอยากจะมาทำงานที่ห้างของเราก็จะได้ช่วยกันดูแลน่ะพ่อน่ะ”
“แล้วแก่ว่าไงละตาหนู เห็นด้วยไหมที่พ่อจะให้ทุ่งธรเขามาช่วยงานฝ่ายศิลป์ที่ห้างของเรา”
“ครับ ตามแต่คุณพ่อคุณแม่เห็นสมควรเถอะครับ ผมขอทำหน้าที่เป็นคนขับรถรับส่งก็พอ”
“เอ่อเจ้านี้มันร้าย ไม่คิดจะช่วยงานพ่อกับแม่เลยน่ะ คุณว่าไหม?”
บิดาของป่าสักหันไปแซวลูกชายทันที ทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานเป็นกันเอง
หลังจากกลับมาจากทานอาหารค่ำที่บ้านของป่าสักแล้ว ทั้งทุ่งธรและป่าสักก็กลับมาถึงหอพักเกือบไม่ทันเวลาเข้าหอ
“ไอ้ทุ่งไวๆสิว่ะมึงทำไรอยู่ลงจากรถได้แล้ว เดี๋ยวลุงยามปิดประตูหน้าหอก่อนนะเว้ยมึง?”
ป่าสักเร่งทุ่งธรทันทีหลังจากลงจากรถยนต์ส่วนตัวของเขาแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่เห็นทีท่าว่าจะลงจากรถเลย
“เอ่อๆรู้แล้ว กูแน่นท้องว่ะ อึดอัดไปหมดเลยสงสัยจะแดรกข้าวเย็นเยอะไปหน่อย”
“ข้าวบ้านกูอร่อยล่ะสิ?”
“อืมก็อร่อยน่ะ ไม่ค่อยได้กินแบบนี้เท่าไรเลย”
“เดี๋ยววันหลังจะพาไปกินบ่อยๆแล้วกัน”
“ไม่ไหวหรอก ขืนไปบ่อยๆมีหวังพุงกูออกแน่ๆเลย”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงมึงก็น่ารักเสมอแหละ”
ในระหว่างที่ป่าสักและทุ่งธรกำลังยืนคุยกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงของยามเฝ้าหน้าประตูหอพักทักขึ้นมาอย่างเสียงดัง
“อ้าว พวกเองสองคนจะยืนคุยกันอีกนานไหมว่ะ ถ้าไม่เข้าหอลุงจะได้ปิดประตูเลย มัวแต่ยืนจ้องตากันอยู่นั้นแหละ”
“ครับๆลุง เข้าสิครับ ขืนไม่เข้าหอพักตอนนี้มีหวังโดนตัดคะแนนพอดี”
“เอ่อก็รู้นี่ว่าจะถูกตัดคะแนนความประพฤติ แต่ก็ยังกลับเข้าหอดึกอีกน่ะ”
“อิอิพอดีมีธุระนิดหน่อยนะครับลุง ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ลุงรอ”
“เอ่อไม่เป็นไรหรอก พวกเองสองคนนานๆจะเข้าหอผิดเวลาสักที คราวนี้ลุงให้อภัย แต่คราวหลังไม่ได้แล้วน่ะเว้ย จะมัวมายืนจ้องตากันเป็นปลากัดไม่ได้แล้วนะ”
“ขอบคุณครับลุง”
ทั้งป่าสักและทุ่งธรรีบยกมือไหว้ลุงยามประจำหอพักนักกีฬาทันที ก่อนจะรีบพากันวิ่งขึ้นหอพักไปอย่างรวดเร็ว
“อ้าวไอ้เชี่ยป่าสักไอ้เชี่ยทุ่ง นี้พวกเองไปไหนมาว่ะถึงไปกลับเข้าหอดึกอย่างงี้?”
เสียงของตรีภพทักขึ้นมาในระหว่างที่ป่าสักและทุ่งธรกำลังเดินขึ้นบันไดจากชั้นหนึ่งมายังชั้นสอง
“เอ่อ คือกูกับทุ่งไปกินข้าวที่บ้านมาว่ะ..แล้วนี้มึงจะไปไหนว่ะตรี?”
ป่าสักตอบคำถามของเพื่อนพร้อมกับถามตรีภพกลับไปทันทีเพราะว่ากำลังเดินสวนทางกับตรีภพที่จะลงบันไดไปนั้นเอง
“อ่อพาเมียไปแดกข้าวมานี้เองถึงได้กลับดึก....อะไรน่ะ เมื่อกี้มึงว่าไปแดกข้าวที่ไหนว่ะป่าสัก”
ตรีภพถามกลับอีกครั้งแบบไม่เชื่อหูตัวเอง
“กูบอกมึงว่าไปกินข้าวเย็นที่บ้านมา”
“โอ้ววว นี้พวกมึงเปิดตัวกันแล้วเหรอว่ะ?”
“ไอ้ห่า กูไปกินข้าวเฉยๆเว้ย คิดไปได้ไกลน่ะมึงเชี่ยตรี”
“นั้นแน่ไม่ต้องมาปิดเพื่อนปิดฝูงเลยนะมึง ก้าวหน้าไปเยอะน่ะเว้ย”
“ก้าวนงก้าวหน้าเชี่ยไรว่ะ แค่ไปแดกข้าวเท่านั้น”
ทุ่งธรเป็นคนสวนตรีภพขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมลดราวาศอก
“ให้มันจริงเถอะไอ้ทุ่ง แล้วทำไมมึงถึงหน้าแด๋งแดงว่ะ”
“เชี่ยตรี กูรีบมามันก็ต้องเหนื่อยมันต้องแดงเป็นธรรมดาสิ”
“เหรอจ๊ะ เพิ่งรู้นะเนี้ย 55555”
ตรีภพหัวเราะออกมาอย่างชมอกชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อนทั้งสองคน
“เอ่อเรื่องของพวกกู แล้วนี้มึงจะไปไหนว่ะ?”
ป่าสักถามตรีภพย้ำมาอีกครั้งหลังจากที่ยังไม่ได้คำตอบว่าดึกดื่นป่านนี้ตรีภพจะลงไปไหน
“อ่อพอดีกูจะไปยืมชีสที่ห้องไอ้ตั้มที่ห้อง107น่ะ ช่วงนี้กูเรียนไม่ค่อยทันเลยจะไปขอชีสมันมาอ่านสักหน่อย”
“มึงเรียนไม่ค่อยทัน มัวไปทำไรอยู่ว่ะ?”
“เปล่า คือช่วงนี้กูงานเยอะไปหน่อย แถมมีแลปอีกด้วย”
“จริงเหรอว่ะ ให้มันแน่เถอะ กูได้ข่าวว่ามึงไปหอนอกแถวๆหลังมอบ่อยๆ”
“ไอ้เชี่ย มึงอย่ามั่ว”
“อืม สงสัยกูจะตาฝาดไปเองจริงๆนั้นแหละ เอ่อทุ่งช่วงนี้ไอ้โอมมันไปเรียนไหวเปล่าว่ะ”
ป่าสักตอบตรีภพออกไปแล้วก็หันมาถามทุ่งธรต่อทันทีด้วยสายตามีเลศนัย
“ไอ้โอมเหรอ ช่วงนี้กูก็เห็นมันเพลียๆน่ะ ไม่รู้มันไปทำไรมาว่ะ หลับในห้องตลอดเลย”
“55555นั้นไง กูว่าแล้ว”
“ไอ้เชี่ยป่าสัก มึงหุบปากไปเลยนะเว้ย กูไม่คุยกับพวกมึงแล้ว”
เสียงตรีภพร้องออกมาอย่างร้อนตัวทันที จากนั้นตรีภพก็รีบเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อป่าสัก มึงไปเห็นไอ้ตรีอยู่หอไอ้โอมตอนไหนว่ะ”
ทุ่งธรถามป่าสักออกไปหลังจากที่ตรีภพเดินจากไปแล้วเขาและป่าสักก็เดินขึ้นมาชั้นสาม
“เปล่า กูไม่ได้เห็นว่าพวกมันอยู่หอด้วยกันหรอก แค่กูเดาไปเฉยๆแต่มันก็เห็นผลจริงๆ”
“อ่อ มึงนี้หมาป่าจริงๆเลย”
“555มึงพึงจะรู้เหรอ ว่ากูเป็นหมาป่า”
“ก็เอ่อสิ พึงรู้ตอนนี้แหละว่ามึงมันเจ้าเล่ห์เพทุบายตัวพ่อ”
“ถ้ากูไม่พูดแบบนั้น จะได้รู้ความจริงเหรอว่ะ ว่าพวกมันกำลังคบกันอยู่”
“เอ่อมันก็จริงอย่างมึงว่า ไอ้เชี่ยตรีก็ปิดเงียบ ไอ้เชี่ยโอมก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย ไอ้พวกนี้ปิดกูสะมิดเลย”
“มึงเห็นฝีมือกูยังล่ะทีนี้”
“เอ่อมึงเก่ง จิ้งจอกยังเรียกพ่อ”
“คืนนี้แหละมันจะได้เห็นฤทธิ์ที่แท้จริงของหมาป่าเจ้าเล่ห์ รับรองลูกแกะอย่างมึงหนีกูไม่พ้นหรอก”
“ไอ้บ้ามึงไปม่อไกลๆเลย อย่ามาบ้ากามแถวนี้น่ะเว้ยยยยยยยย”
ทุ่งธรพูดจบก็รีบเปิดประตูเข้าห้องไปทันที ปล่อยให้อีกฝ่ายได้แต่ยืนมองตามหลังไปด้วยความขบขันในความระมัดระวังของอีกฝ่าย
ช่วงบ่ายวันต่อมา ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าโรงปั้นของภาคศิลป์ก็ยังเป็นที่อาศัยหลบร้อน หลบฝนของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งเหมือนเช่นเคย
“เอ้ยพวกมึง เย็นนี้ใครจะไปลอยกระทงบ้างว่ะ”
เสียงเจไดร้องถามเพื่อนๆในเอกทันทีที่มาถึงใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าโรงปั้น
“ต้องไปสิแก เพราะงานนี้พวกเราต้องไปให้กำลังใจไอ้ปูนิ่มกันทั้งห้องเลยนะเว้ย”
“เออจริงด้วยสิ เย็นนี้สิน่ะที่มันต้องขึ้นเวทีประกวดนางนพมาศ”
เสียงไอซ์ร้องออกมา เพราะมัวแต่นั่งเขียนงานส่งอาจารย์เมื่อคาบที่แล้วอยู่ เพราะช่วงนี้งานเยอะจนล้นมือ
“กูว่าจะเป็นนางนพมาศหรือจะเป็นหมูแดดเดียวก็ไม่รู้ว่ะ กูนี้แยกไม่ออกจริงๆเลย”
เสียงเจไดยังพูดมาต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าปูนิ่มจะไม่ได้อยู่ในวงสนทนาด้วยก็ตามแต่
“แกก็พูดเกินไปแล้วน่ะเจได ไอ้ปูมันไม่ได้อ้วนสักหน่อย แค่มันอวบระยะสุดท้ายแค่นั้นเองอิอิอิ”
เสียงของไอ้เปาเสริมทัพขึ้นมาทันที รัวเป็นกลองชุดเลยที่เดียว
“5555555”
“แสดงว่าปีนี้ห้องเรามีขึ้นเวทีสองคนเหรอว่ะ?”
เสียงเปิ้ลเพื่อนอีกคนถามออกมา เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องไปให้กำลังใจเพื่อนในห้องเรียน
“อืมใช่ ก็มีไอ้โอม ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ส่วนปูนิ่ม นางขึ้นเวทีไปชิงมงกุฎ”
“กูว่ามันจะไปชิงมงหรือไปสิงร่างพิธีกรก็ไม่รู้ว่ะ?”
เสียงเจไดดังมาอีกครั้ง คราวนี้เล่นเอาเพื่อนๆที่นั่งรอมวงกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ถึงกับกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ
“เครๆพวกมึง งั้นเย็นนี้เจอกันทุ่มตรง ที่เวทีประกวดนางนพมาศนะเว้ย”
ผมร้องบอกเพื่อนๆทันทีก่อนที่จะรีบกลับหอเพื่อนเตรียมตัวไปซ้อมกีฬาเช่นเดิม ถึงแม้ว่าเย็นนี้ทางสภาองค์การนักศึกษาจะจัดงานประเพณีลอยกระทงขึ้นก็ตาม แต่นักกีฬาที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ต้องมาซ้อมเป็นปกติ ส่วนป่าสักรายนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะมีตำแหน่งขวัญใจมหาชนค้ำคออยู่ต้องไปเตรียมตัวตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว ส่วนผมเดี๋ยวซ้อมเสร็จแล้วค่อยไปเจอเพื่อนๆตามนัดแล้วกัน
เย็นวันนี้ทางมหาวิทยาลัยจัดงานวันลอยกระทงขึ้นที่บึงบ้านไร่ ของคณะเกษตรศาสตร์ ใช้ชื่องานว่า “สมมาน้ำ คืนเดือนเพ็ญ” นักศึกษาต่างก็ตื่นเต้นเพราะว่าประเพณีลอยกระทงนั้นนอกจากจะเป็นประเพณีที่ขอขมาต่อพระแม่คงคาแล้วยังมีการประกวด นางนพมาศ ซึ้งนักศึกษาแต่ละคณะก็จะมีการส่งตัวแทนเข้าร่วมประกวดหรือนักศึกษาหญิงคนไหนมั่นใจในตัวเองก็สามารถส่งตัวเองเข้าประกวดได้เหมือนเช่นปูนิ่มเพื่อนๆของทุ่งธร ซึ่งทางองค์การนักศึกษาจัดขึ้น ในปีนี้ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานก็หนีไม่พ้นดาว-เดือนมหาวิทยาลัยแก่นนครนั้นเอง และไฮไลท์สำคัญคือผู้ที่ได้ตำแหน่งนางนพมาศประจำปีจะได้ลอยกระทงคู่กับ ขวัญใจมหาชน นั้นก็คือ ป่าสัก กังวานไพร ซึ้งก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นที่หมายปองของสาวๆในรั้วมหาวิทยาลัยไม่แพ้ตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยอย่างโอม ศักดิ์พินิจเลย ซึ้งในค่ำคืนนี้ทั้งป่าสักและโอมต่างก็ได้เปลี่ยนโฉมตัวเองย้อนยุคไปราวๆต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้ทั้งสองดูหล่อไปอีกแบบเลยทีเดียว
“ไอซ์ แกมาถึงนานแล้วเหรอว่ะ?”
“เปล่าหรอก ฉันก็เพิ่งจะมาก่อนหน้าแกไม่ถึงสิบนาทีเลย”
“แล้วนี้เพื่อนๆมาคบกันยัง?”
“ยังเลยแก พวกไอ้เจไดพวกมันไปม่อสาวๆฝั่งท่าน้ำลอยกระทงตรงโน้นไง”
“อ้าว นี้พวกมันไปลอยกระทงกันแล้วเหรอว่ะ?”
“อืม ก็ใครจะรอไหว คนเขาก็ไปเดินดูโน้นนี้นั้นดีกว่า เพราะที่เวทีกลางตรงนี้กว่างานจะเริ่มก็สองสามทุ่มเลย”
“เอ่อแกแล้วเห็นไอ้โอมบ้างเปล่าว่ะ”
“ใครจะไปเห็น โอมเขาต้องเตรียมตัวเป็นพิธีกรอยู่หลังเวทีมั้ง?”
“นั้นไง ไอ้โอมขึ้นเวทีมาแล้ว คงได้เวลาแล้วแน่ๆแก”
จากนั้นงาน”สมมาน้ำคืนเดือนเพ็ญ”ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ การประกวดนางนพมาศปีนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คนมาร่วมงานคับคั่งบริเวณบึงบ้านไร่คณะเกษตรศาสตร์ เพราะต่างก็พากันมาให้กำลังใจนางนพมาศที่เข้าร่วมประกวดและมาร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง ขอขมาต่อแม่คงคา ทุ่งธรและเพื่อนๆยืนดูการประกวดนางนพมาศจนรู้ผลเป็นที่เรียบร้อยถึงแยกย้ายกันไปลอยกระทงบางคนที่ลอยเสร็จแล้วก็กลับ ส่วนทุ่งธรนั้นเขาต้องมายืนรอใครบางคนที่ท่าน้ำอีกฝั่งของบริเวณจัดงานเพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีคนมาลอยกระทงกัน
“แก แน่ใจน่ะว่าไม่ใช้ฉันไปส่ง?”
ไอซ์ถามทุ่งธรออกมาหลังจากที่เดินมาหยุดตรงท่าน้ำอีกฝั่งของงาน
“ไม่อะ ฉันอยู่ได้ ไม่เป็นหรอกแก ขอบใจมากนะไอซ์”
“แกโอเคเปล่าว่ะทุ่ง”
“โอเคสิ ทำไมแกถามแบบนั้นว่ะไอซ์”
“อ้าวก็ใครจะไปรู้ ก็ฉันเห็นแกเหม่อๆตั้งแต่ตอนที่เห็นขวัญใจมหาชนไปลอยกระทงกับนางนพมาศปีนี้แล้ว”
“บ้าเหรอ นั้นมันงานเขาป่ะว่ะแก อีกอย่างก็ไม่เกี่ยวกับฉันเลย”
“ให้มันจริงเถอะ ร้องไห้มา อย่ามาให้ฉันปลอบใจก็แล้วกันนะย่ะ”
“ไม่มีทางหรอกฉันแยกแยะออก”
“นี้แสดงว่ายอมรับแล้วเหรอ?”
“โอ้ยยไอซ์แกจะมาจับผิดไรว่ะ”
“ก็ฉันเป็นห่วงแกไงเพื่อน”
“ แกดูนี้สิ เขาส่งไลน์มาบอกให้ฉันมารอที่ท่าน้ำ แกสบายใจได้”
ทุ่งธรพูดพร้อมส่งมือถือให้เพื่อนดูไลน์ที่ป่าสักส่งมาให้ก่อนจะไปลอยกระทงกับนางนพมาศปีนี้
“อุ๊ต๊ะ เริ่ดน่ะคร้า มั่นหน้ามั่นโหนกมากๆเลย”
“แน่นอน อิอิอิ”
“งั้นฉันไม่อยู่เป็นกางแล้วกันแก ฉันไปน่ะ”
“เครแก ขับรถดีๆน่ะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ภาค”
“บายๆ”
หลังจากที่ไอซ์กลับไปแล้วทุ่งธร ก็ยืนดูกระทงต่างๆที่ผู้คนได้นำมาลอยก่อนหน้านี้แล้ว บางอันก็ไฟดับแล้ว บางอันก็เพิ่งจะหลุดจากมือของคนที่มาลอยกระทงกัน บางคนก็มาคนเดียวบางคนก็มาเป็นคู่ๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงไฟจากกระทงเต็มท้องน้ำไปหมด สงสัยแสงไฟจากเทียนในกระทงจะแข่งกับแสงจันทร์วันเพ็ญแน่ๆ
“รอนานไม๊มึง?”
เสียงป่าสักทักขึ้นด้านหลังพร้อมกับกระทงใบสวยที่ถือไว้กับมือ เขาค่อยๆเดินมาหาทุ่งธรที่ยืนรออยู่ท่าน้ำแล้ว
“อ้าว ไม่เปลี่ยนชุดล่ะ?”
ผมร้องทักป่าสักออกไป หลังจากที่เห็นเขายังอยู่ในชุดเดิมที่ใส่อยู่บนเวที
“ไม่ล่ะ กูกลัวว่ามึงจะรอนาน เลยรีบมา”
“ไม่นานหรอก เพิ่งจะแยกกับเพื่อนๆเมื่อกี้เอง”
“ไม่เอา เดี๋ยวมึงแอบไปลอยกระทงกับคนอื่น”
“บ้าแล้ว คิดได้ไง ใครจะเป็นเหมือนมึง เป็นไงล่ะได้ลอยกระทงกับนางนพมาศปีนี้ยิ้มแก้มแทบแตกเลยน่ะ”
“โอ้ยยฮึฮึ พูดแบบนี้หึงเหรอ?”
“ใครหึง กูพูดความจริง”
“ความจริงคือกู ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ใจกูไม่เคยคิดอยากจะลอยกับใครเลยนอกจาก...มึงคนเดียว”
“แหวะ ปากหวานจนเลี่ยน พูดบ่อยละสิท่า กูไม่ใช่สาวๆพวกนั้นน่ะ”
“สาวๆที่ไหน แล้วก็พูดบ่อยที่ไหน ก็เพิ่งมาถึงเอง จะลอยกระทงก่อนหรือจะให้กูชิมปากก่อนล่ะ?พูดแบบนี้”
“โอ้ยยยม่อตลอดเลย”
“อืมงั้นก็ลอยกันเถอะ คนอื่นเขาลอยกันหมดแล้ว จะได้รีบกลับไปชิมปากกันที่ห้อง”
“บ้าแล้วมึง...”
ป่าสักเอ่ยชวนทุ่งธรลอยกระทงที่เขาเตรียมมา จากนั้นทั้งคู่กระอธิฐานก่อนจะปล่อยกระทงลงสู่บึงบ้านไร่
“เอ่อ ทุ่งมึงอธิฐานว่าอะไรว่ะ เห็นนิ่งเป็นนานสองนาน”
“แล้วมึงล่ะ?”
“กูถามก่อน ก็ตอบมาก่อนสิ ว่าอธิฐานเรื่องไร?”
“ไม่บอก....”
ทุ่งธรกล่าวสวัสดีพ่อกับแม่ของป่าสักหลังจากที่เดินเข้ามายังห้องรับแขกของบ้านบุญนิสากุล
“ไหว้พระเถอะจ๊ะ เป็นไงบ้างล่ะซ้อมกีฬาเหนื่อยไหม?”
มารดาของป่าสักเป็นคนกล่าวทักทาย ก่อนจะให้แม่บ้านยกน้ำดื่มมาให้ทั้งป่าสักและทุ่งธร
“ก็ดีครับคุณแม่ ร่างกายคงชินกับการซ้อมหนักๆแล้วเลยทนได้ครับ”
ป่าสักตอบมารดาแทนทุ่งธรออกไปหลังจากที่นั่งลงข้างๆบิดาแล้ว
“ดื่มน้ำกันก่อนเถอะ มาถึงกันเหนื่อยๆจะได้สดชื่น”
“ขอบคุณครับ”
ทุ่งธรยกมือไหว้ก่อนจะรับแก้วน้ำดื่มจากมือมารดาของป่าสัก
“แล้วนี้จะอาบน้ำกันก่อนไหม?หรือจะพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยไปทานข้าวกัน”
บิดาของป่าสักซึ่งเป็นประมุขของบ้านเป็นคนกล่าวออกมาบ้างหลังจากที่เห็นว่าป่าสักและทุ่งธรนั่งพักดื่มน้ำแล้ว
“เอ่อผมว่าทานข้าวเลยดีกว่าครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมกับทุ่งจะเข้าหอไม่ทัน”
“งั้นคุณก็บอกให้แม่บ้านตั้งโต๊ะอาหารได้เลย ลูกๆจะได้ทานข้าวกันเลยน่ะ”
บิดาป่าสักหันไปบอกภรรยาทันที เพราะเกรงว่าป่าสักและทุ่งธรจะเข้าหอไม่ทันเพราะนี้ก็เป็นเวลาเกือบจะทุ่มแล้ว
“เอ่อนี้ทุ่ง พอดีว่าพ่อมีเรื่องจะคุยด้วยสักเล็กน้อย เดี๋ยวเราทานข้าวไปคุยกันเลยแล้วกันนะจะได้ไม่เสียเวลา”
ผู้เป็นประมุขของบ้านหันมาสนทนากับทุ่งธรหลังจากที่เดินออกมาจากห้องรับแขกตรงไปยังห้องรับประทานอาหาร
“อ่อครับ คุณพ่อมีเรื่องอะไรจะใช้ทุ่งเหรอครับ?”
“เปล่าหรอก พ่อไม่ได้มีเรื่องอะไรจะใช้ทุ่งหรอก คือว่าทางห้างของเราเขามีทุนให้กับนักศึกษาน่ะ พ่อเลยอยากให้ทุ่งเสนอขอทุ่นกับทางห้างของเรา”
“เหรอครับ ... เอ่อ คะคือ...ตะ..แต่ว่าทุ่งเป็นคนเรียนไม่เก่งนะครับคุณพ่อ แล้วจะสู้คนอื่นได้หรือครับ”
“อันนั้นไม่ต้องห่วงหรอก ทางห้างของเรามีทุนหลายประเภท มีทั้งทุนเรียนดีทุนกิจกรรมทุนกีฬา ทุ่งก็เลือกส่งทุนกีฬาสิ น่าจะได้น่ะเพราะว่าเราก็เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว”
“อ่อครับ ขอบคุณครับคุณพ่อ”
ทุ่งธรยกมือไหว้ประมุขของบ้านบุญนิสากุลทันที ที่ได้รับความเมตตาจากท่าน
“ไม่ต้องไหว้พ่อหรอก พ่อเห็นว่าเราเล่นกีฬาดีก็แค่อยากสนับสนุนก็เท่านั้นเอง เดี๋ยวจะให้เลขาเขาส่งเอกสารไปให้น่ะ”
“ครับ คุณพ่อ”
“เอาล่ะค่ะพ่อลูก หนูทุ่งทานข้าวกันได้แล้ว เดี๋ยวอาหารจะเย็นเสียก่อนเดี๋ยวจะไม่อร่อยน่ะ มีแต่ของโปรดของตาหนูทั้งนั้นเลย ลองชิมดูน่ะจ๊ะหนูทุ่ง”
ผู้เป็นมารดาของป่าสักเอ่ยออกมาให้ทุกคนได้ทานอาหารกันหลังจากที่นั่งฟังการสนทนาของสามีและทุ่งธรแล้ว
“เอ่อจริงสิ ทุ่งเรียนศิลปะใช่ไหม?”
อยู่ๆพ่อของป่าสักก็เอ่ยออกมาหลังจากที่นั่งทานอาหารเย็นไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว
“ครับคุณพ่อ”
“ดีเลย ถ้าทุ่งว่างๆก็มาดูงานที่ห้างเราได้น่ะ พอดีว่าช่วงนี้ทางห้างจัดกิจกรรมลอยกระทงที่ลานชั้นหนึ่งของห้าง จะได้ดูงานไปในตัวด้วย ถ้าว่างๆก็ให้ป่าสักพามาแล้วกันนะทุ่ง”
“ได้ครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมจะพาทุ่งเขาไปดูงานที่ห้างของเราก็แล้วกันครับ”
ป่าสักตอบบิดาไปด้วยความยินดี ที่ผู้เป็นประมุขของบ้านไม่มีทีท่าว่าจะรังเกียจทุ่งธร ซึ้งยังสนับสนุนให้ทุ่งธรได้เรียนรู้งานอีกด้วย
“ครับ ยังไงถ้าทุ่งว่างจากซ้อมกีฬาแล้วทุ่งจะมาช่วยงานที่ห้างครับคุณพ่อคุณแม่”
ทุ่งธรกล่าวตอบรับบิดาและมารดาของป่าสักไปหลังจากได้ฟังคำชวนของอีกฝ่าย
“ดีจ๊ะ แม่ก็ว่าดีน่ะ จะได้เรียนรู้งานไปในตัว เผื่อว่าจบออกมาแล้วไม่อยากเป็นครูอยากจะมาทำงานที่ห้างของเราก็จะได้ช่วยกันดูแลน่ะพ่อน่ะ”
“แล้วแก่ว่าไงละตาหนู เห็นด้วยไหมที่พ่อจะให้ทุ่งธรเขามาช่วยงานฝ่ายศิลป์ที่ห้างของเรา”
“ครับ ตามแต่คุณพ่อคุณแม่เห็นสมควรเถอะครับ ผมขอทำหน้าที่เป็นคนขับรถรับส่งก็พอ”
“เอ่อเจ้านี้มันร้าย ไม่คิดจะช่วยงานพ่อกับแม่เลยน่ะ คุณว่าไหม?”
บิดาของป่าสักหันไปแซวลูกชายทันที ทำให้บรรยากาศในโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนานเป็นกันเอง
หลังจากกลับมาจากทานอาหารค่ำที่บ้านของป่าสักแล้ว ทั้งทุ่งธรและป่าสักก็กลับมาถึงหอพักเกือบไม่ทันเวลาเข้าหอ
“ไอ้ทุ่งไวๆสิว่ะมึงทำไรอยู่ลงจากรถได้แล้ว เดี๋ยวลุงยามปิดประตูหน้าหอก่อนนะเว้ยมึง?”
ป่าสักเร่งทุ่งธรทันทีหลังจากลงจากรถยนต์ส่วนตัวของเขาแล้ว แต่อีกฝ่ายยังไม่เห็นทีท่าว่าจะลงจากรถเลย
“เอ่อๆรู้แล้ว กูแน่นท้องว่ะ อึดอัดไปหมดเลยสงสัยจะแดรกข้าวเย็นเยอะไปหน่อย”
“ข้าวบ้านกูอร่อยล่ะสิ?”
“อืมก็อร่อยน่ะ ไม่ค่อยได้กินแบบนี้เท่าไรเลย”
“เดี๋ยววันหลังจะพาไปกินบ่อยๆแล้วกัน”
“ไม่ไหวหรอก ขืนไปบ่อยๆมีหวังพุงกูออกแน่ๆเลย”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงมึงก็น่ารักเสมอแหละ”
ในระหว่างที่ป่าสักและทุ่งธรกำลังยืนคุยกันอยู่นั้น จู่ๆก็มีเสียงของยามเฝ้าหน้าประตูหอพักทักขึ้นมาอย่างเสียงดัง
“อ้าว พวกเองสองคนจะยืนคุยกันอีกนานไหมว่ะ ถ้าไม่เข้าหอลุงจะได้ปิดประตูเลย มัวแต่ยืนจ้องตากันอยู่นั้นแหละ”
“ครับๆลุง เข้าสิครับ ขืนไม่เข้าหอพักตอนนี้มีหวังโดนตัดคะแนนพอดี”
“เอ่อก็รู้นี่ว่าจะถูกตัดคะแนนความประพฤติ แต่ก็ยังกลับเข้าหอดึกอีกน่ะ”
“อิอิพอดีมีธุระนิดหน่อยนะครับลุง ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ลุงรอ”
“เอ่อไม่เป็นไรหรอก พวกเองสองคนนานๆจะเข้าหอผิดเวลาสักที คราวนี้ลุงให้อภัย แต่คราวหลังไม่ได้แล้วน่ะเว้ย จะมัวมายืนจ้องตากันเป็นปลากัดไม่ได้แล้วนะ”
“ขอบคุณครับลุง”
ทั้งป่าสักและทุ่งธรรีบยกมือไหว้ลุงยามประจำหอพักนักกีฬาทันที ก่อนจะรีบพากันวิ่งขึ้นหอพักไปอย่างรวดเร็ว
“อ้าวไอ้เชี่ยป่าสักไอ้เชี่ยทุ่ง นี้พวกเองไปไหนมาว่ะถึงไปกลับเข้าหอดึกอย่างงี้?”
เสียงของตรีภพทักขึ้นมาในระหว่างที่ป่าสักและทุ่งธรกำลังเดินขึ้นบันไดจากชั้นหนึ่งมายังชั้นสอง
“เอ่อ คือกูกับทุ่งไปกินข้าวที่บ้านมาว่ะ..แล้วนี้มึงจะไปไหนว่ะตรี?”
ป่าสักตอบคำถามของเพื่อนพร้อมกับถามตรีภพกลับไปทันทีเพราะว่ากำลังเดินสวนทางกับตรีภพที่จะลงบันไดไปนั้นเอง
“อ่อพาเมียไปแดกข้าวมานี้เองถึงได้กลับดึก....อะไรน่ะ เมื่อกี้มึงว่าไปแดกข้าวที่ไหนว่ะป่าสัก”
ตรีภพถามกลับอีกครั้งแบบไม่เชื่อหูตัวเอง
“กูบอกมึงว่าไปกินข้าวเย็นที่บ้านมา”
“โอ้ววว นี้พวกมึงเปิดตัวกันแล้วเหรอว่ะ?”
“ไอ้ห่า กูไปกินข้าวเฉยๆเว้ย คิดไปได้ไกลน่ะมึงเชี่ยตรี”
“นั้นแน่ไม่ต้องมาปิดเพื่อนปิดฝูงเลยนะมึง ก้าวหน้าไปเยอะน่ะเว้ย”
“ก้าวนงก้าวหน้าเชี่ยไรว่ะ แค่ไปแดกข้าวเท่านั้น”
ทุ่งธรเป็นคนสวนตรีภพขึ้นมาบ้าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมลดราวาศอก
“ให้มันจริงเถอะไอ้ทุ่ง แล้วทำไมมึงถึงหน้าแด๋งแดงว่ะ”
“เชี่ยตรี กูรีบมามันก็ต้องเหนื่อยมันต้องแดงเป็นธรรมดาสิ”
“เหรอจ๊ะ เพิ่งรู้นะเนี้ย 55555”
ตรีภพหัวเราะออกมาอย่างชมอกชอบใจที่ได้แกล้งเพื่อนทั้งสองคน
“เอ่อเรื่องของพวกกู แล้วนี้มึงจะไปไหนว่ะ?”
ป่าสักถามตรีภพย้ำมาอีกครั้งหลังจากที่ยังไม่ได้คำตอบว่าดึกดื่นป่านนี้ตรีภพจะลงไปไหน
“อ่อพอดีกูจะไปยืมชีสที่ห้องไอ้ตั้มที่ห้อง107น่ะ ช่วงนี้กูเรียนไม่ค่อยทันเลยจะไปขอชีสมันมาอ่านสักหน่อย”
“มึงเรียนไม่ค่อยทัน มัวไปทำไรอยู่ว่ะ?”
“เปล่า คือช่วงนี้กูงานเยอะไปหน่อย แถมมีแลปอีกด้วย”
“จริงเหรอว่ะ ให้มันแน่เถอะ กูได้ข่าวว่ามึงไปหอนอกแถวๆหลังมอบ่อยๆ”
“ไอ้เชี่ย มึงอย่ามั่ว”
“อืม สงสัยกูจะตาฝาดไปเองจริงๆนั้นแหละ เอ่อทุ่งช่วงนี้ไอ้โอมมันไปเรียนไหวเปล่าว่ะ”
ป่าสักตอบตรีภพออกไปแล้วก็หันมาถามทุ่งธรต่อทันทีด้วยสายตามีเลศนัย
“ไอ้โอมเหรอ ช่วงนี้กูก็เห็นมันเพลียๆน่ะ ไม่รู้มันไปทำไรมาว่ะ หลับในห้องตลอดเลย”
“55555นั้นไง กูว่าแล้ว”
“ไอ้เชี่ยป่าสัก มึงหุบปากไปเลยนะเว้ย กูไม่คุยกับพวกมึงแล้ว”
เสียงตรีภพร้องออกมาอย่างร้อนตัวทันที จากนั้นตรีภพก็รีบเดินลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“เอ่อป่าสัก มึงไปเห็นไอ้ตรีอยู่หอไอ้โอมตอนไหนว่ะ”
ทุ่งธรถามป่าสักออกไปหลังจากที่ตรีภพเดินจากไปแล้วเขาและป่าสักก็เดินขึ้นมาชั้นสาม
“เปล่า กูไม่ได้เห็นว่าพวกมันอยู่หอด้วยกันหรอก แค่กูเดาไปเฉยๆแต่มันก็เห็นผลจริงๆ”
“อ่อ มึงนี้หมาป่าจริงๆเลย”
“555มึงพึงจะรู้เหรอ ว่ากูเป็นหมาป่า”
“ก็เอ่อสิ พึงรู้ตอนนี้แหละว่ามึงมันเจ้าเล่ห์เพทุบายตัวพ่อ”
“ถ้ากูไม่พูดแบบนั้น จะได้รู้ความจริงเหรอว่ะ ว่าพวกมันกำลังคบกันอยู่”
“เอ่อมันก็จริงอย่างมึงว่า ไอ้เชี่ยตรีก็ปิดเงียบ ไอ้เชี่ยโอมก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย ไอ้พวกนี้ปิดกูสะมิดเลย”
“มึงเห็นฝีมือกูยังล่ะทีนี้”
“เอ่อมึงเก่ง จิ้งจอกยังเรียกพ่อ”
“คืนนี้แหละมันจะได้เห็นฤทธิ์ที่แท้จริงของหมาป่าเจ้าเล่ห์ รับรองลูกแกะอย่างมึงหนีกูไม่พ้นหรอก”
“ไอ้บ้ามึงไปม่อไกลๆเลย อย่ามาบ้ากามแถวนี้น่ะเว้ยยยยยยยย”
ทุ่งธรพูดจบก็รีบเปิดประตูเข้าห้องไปทันที ปล่อยให้อีกฝ่ายได้แต่ยืนมองตามหลังไปด้วยความขบขันในความระมัดระวังของอีกฝ่าย
ช่วงบ่ายวันต่อมา ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าโรงปั้นของภาคศิลป์ก็ยังเป็นที่อาศัยหลบร้อน หลบฝนของนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งเหมือนเช่นเคย
“เอ้ยพวกมึง เย็นนี้ใครจะไปลอยกระทงบ้างว่ะ”
เสียงเจไดร้องถามเพื่อนๆในเอกทันทีที่มาถึงใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าโรงปั้น
“ต้องไปสิแก เพราะงานนี้พวกเราต้องไปให้กำลังใจไอ้ปูนิ่มกันทั้งห้องเลยนะเว้ย”
“เออจริงด้วยสิ เย็นนี้สิน่ะที่มันต้องขึ้นเวทีประกวดนางนพมาศ”
เสียงไอซ์ร้องออกมา เพราะมัวแต่นั่งเขียนงานส่งอาจารย์เมื่อคาบที่แล้วอยู่ เพราะช่วงนี้งานเยอะจนล้นมือ
“กูว่าจะเป็นนางนพมาศหรือจะเป็นหมูแดดเดียวก็ไม่รู้ว่ะ กูนี้แยกไม่ออกจริงๆเลย”
เสียงเจไดยังพูดมาต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าปูนิ่มจะไม่ได้อยู่ในวงสนทนาด้วยก็ตามแต่
“แกก็พูดเกินไปแล้วน่ะเจได ไอ้ปูมันไม่ได้อ้วนสักหน่อย แค่มันอวบระยะสุดท้ายแค่นั้นเองอิอิอิ”
เสียงของไอ้เปาเสริมทัพขึ้นมาทันที รัวเป็นกลองชุดเลยที่เดียว
“5555555”
“แสดงว่าปีนี้ห้องเรามีขึ้นเวทีสองคนเหรอว่ะ?”
เสียงเปิ้ลเพื่อนอีกคนถามออกมา เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าต้องไปให้กำลังใจเพื่อนในห้องเรียน
“อืมใช่ ก็มีไอ้โอม ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ส่วนปูนิ่ม นางขึ้นเวทีไปชิงมงกุฎ”
“กูว่ามันจะไปชิงมงหรือไปสิงร่างพิธีกรก็ไม่รู้ว่ะ?”
เสียงเจไดดังมาอีกครั้ง คราวนี้เล่นเอาเพื่อนๆที่นั่งรอมวงกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ถึงกับกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่จริงๆ
“เครๆพวกมึง งั้นเย็นนี้เจอกันทุ่มตรง ที่เวทีประกวดนางนพมาศนะเว้ย”
ผมร้องบอกเพื่อนๆทันทีก่อนที่จะรีบกลับหอเพื่อนเตรียมตัวไปซ้อมกีฬาเช่นเดิม ถึงแม้ว่าเย็นนี้ทางสภาองค์การนักศึกษาจะจัดงานประเพณีลอยกระทงขึ้นก็ตาม แต่นักกีฬาที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ต้องมาซ้อมเป็นปกติ ส่วนป่าสักรายนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะมีตำแหน่งขวัญใจมหาชนค้ำคออยู่ต้องไปเตรียมตัวตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว ส่วนผมเดี๋ยวซ้อมเสร็จแล้วค่อยไปเจอเพื่อนๆตามนัดแล้วกัน
เย็นวันนี้ทางมหาวิทยาลัยจัดงานวันลอยกระทงขึ้นที่บึงบ้านไร่ ของคณะเกษตรศาสตร์ ใช้ชื่องานว่า “สมมาน้ำ คืนเดือนเพ็ญ” นักศึกษาต่างก็ตื่นเต้นเพราะว่าประเพณีลอยกระทงนั้นนอกจากจะเป็นประเพณีที่ขอขมาต่อพระแม่คงคาแล้วยังมีการประกวด นางนพมาศ ซึ้งนักศึกษาแต่ละคณะก็จะมีการส่งตัวแทนเข้าร่วมประกวดหรือนักศึกษาหญิงคนไหนมั่นใจในตัวเองก็สามารถส่งตัวเองเข้าประกวดได้เหมือนเช่นปูนิ่มเพื่อนๆของทุ่งธร ซึ่งทางองค์การนักศึกษาจัดขึ้น ในปีนี้ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นพิธีกรในงานก็หนีไม่พ้นดาว-เดือนมหาวิทยาลัยแก่นนครนั้นเอง และไฮไลท์สำคัญคือผู้ที่ได้ตำแหน่งนางนพมาศประจำปีจะได้ลอยกระทงคู่กับ ขวัญใจมหาชน นั้นก็คือ ป่าสัก กังวานไพร ซึ้งก็ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นที่หมายปองของสาวๆในรั้วมหาวิทยาลัยไม่แพ้ตำแหน่งเดือนมหาวิทยาลัยอย่างโอม ศักดิ์พินิจเลย ซึ้งในค่ำคืนนี้ทั้งป่าสักและโอมต่างก็ได้เปลี่ยนโฉมตัวเองย้อนยุคไปราวๆต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ทำให้ทั้งสองดูหล่อไปอีกแบบเลยทีเดียว
“ไอซ์ แกมาถึงนานแล้วเหรอว่ะ?”
“เปล่าหรอก ฉันก็เพิ่งจะมาก่อนหน้าแกไม่ถึงสิบนาทีเลย”
“แล้วนี้เพื่อนๆมาคบกันยัง?”
“ยังเลยแก พวกไอ้เจไดพวกมันไปม่อสาวๆฝั่งท่าน้ำลอยกระทงตรงโน้นไง”
“อ้าว นี้พวกมันไปลอยกระทงกันแล้วเหรอว่ะ?”
“อืม ก็ใครจะรอไหว คนเขาก็ไปเดินดูโน้นนี้นั้นดีกว่า เพราะที่เวทีกลางตรงนี้กว่างานจะเริ่มก็สองสามทุ่มเลย”
“เอ่อแกแล้วเห็นไอ้โอมบ้างเปล่าว่ะ”
“ใครจะไปเห็น โอมเขาต้องเตรียมตัวเป็นพิธีกรอยู่หลังเวทีมั้ง?”
“นั้นไง ไอ้โอมขึ้นเวทีมาแล้ว คงได้เวลาแล้วแน่ๆแก”
จากนั้นงาน”สมมาน้ำคืนเดือนเพ็ญ”ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ การประกวดนางนพมาศปีนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน คนมาร่วมงานคับคั่งบริเวณบึงบ้านไร่คณะเกษตรศาสตร์ เพราะต่างก็พากันมาให้กำลังใจนางนพมาศที่เข้าร่วมประกวดและมาร่วมสืบสานประเพณีลอยกระทง ขอขมาต่อแม่คงคา ทุ่งธรและเพื่อนๆยืนดูการประกวดนางนพมาศจนรู้ผลเป็นที่เรียบร้อยถึงแยกย้ายกันไปลอยกระทงบางคนที่ลอยเสร็จแล้วก็กลับ ส่วนทุ่งธรนั้นเขาต้องมายืนรอใครบางคนที่ท่าน้ำอีกฝั่งของบริเวณจัดงานเพราะแถวนี้ไม่ค่อยมีคนมาลอยกระทงกัน
“แก แน่ใจน่ะว่าไม่ใช้ฉันไปส่ง?”
ไอซ์ถามทุ่งธรออกมาหลังจากที่เดินมาหยุดตรงท่าน้ำอีกฝั่งของงาน
“ไม่อะ ฉันอยู่ได้ ไม่เป็นหรอกแก ขอบใจมากนะไอซ์”
“แกโอเคเปล่าว่ะทุ่ง”
“โอเคสิ ทำไมแกถามแบบนั้นว่ะไอซ์”
“อ้าวก็ใครจะไปรู้ ก็ฉันเห็นแกเหม่อๆตั้งแต่ตอนที่เห็นขวัญใจมหาชนไปลอยกระทงกับนางนพมาศปีนี้แล้ว”
“บ้าเหรอ นั้นมันงานเขาป่ะว่ะแก อีกอย่างก็ไม่เกี่ยวกับฉันเลย”
“ให้มันจริงเถอะ ร้องไห้มา อย่ามาให้ฉันปลอบใจก็แล้วกันนะย่ะ”
“ไม่มีทางหรอกฉันแยกแยะออก”
“นี้แสดงว่ายอมรับแล้วเหรอ?”
“โอ้ยยไอซ์แกจะมาจับผิดไรว่ะ”
“ก็ฉันเป็นห่วงแกไงเพื่อน”
“ แกดูนี้สิ เขาส่งไลน์มาบอกให้ฉันมารอที่ท่าน้ำ แกสบายใจได้”
ทุ่งธรพูดพร้อมส่งมือถือให้เพื่อนดูไลน์ที่ป่าสักส่งมาให้ก่อนจะไปลอยกระทงกับนางนพมาศปีนี้
“อุ๊ต๊ะ เริ่ดน่ะคร้า มั่นหน้ามั่นโหนกมากๆเลย”
“แน่นอน อิอิอิ”
“งั้นฉันไม่อยู่เป็นกางแล้วกันแก ฉันไปน่ะ”
“เครแก ขับรถดีๆน่ะ เจอกันพรุ่งนี้ที่ภาค”
“บายๆ”
หลังจากที่ไอซ์กลับไปแล้วทุ่งธร ก็ยืนดูกระทงต่างๆที่ผู้คนได้นำมาลอยก่อนหน้านี้แล้ว บางอันก็ไฟดับแล้ว บางอันก็เพิ่งจะหลุดจากมือของคนที่มาลอยกระทงกัน บางคนก็มาคนเดียวบางคนก็มาเป็นคู่ๆ มองไปทางไหนก็เห็นแต่แสงไฟจากกระทงเต็มท้องน้ำไปหมด สงสัยแสงไฟจากเทียนในกระทงจะแข่งกับแสงจันทร์วันเพ็ญแน่ๆ
“รอนานไม๊มึง?”
เสียงป่าสักทักขึ้นด้านหลังพร้อมกับกระทงใบสวยที่ถือไว้กับมือ เขาค่อยๆเดินมาหาทุ่งธรที่ยืนรออยู่ท่าน้ำแล้ว
“อ้าว ไม่เปลี่ยนชุดล่ะ?”
ผมร้องทักป่าสักออกไป หลังจากที่เห็นเขายังอยู่ในชุดเดิมที่ใส่อยู่บนเวที
“ไม่ล่ะ กูกลัวว่ามึงจะรอนาน เลยรีบมา”
“ไม่นานหรอก เพิ่งจะแยกกับเพื่อนๆเมื่อกี้เอง”
“ไม่เอา เดี๋ยวมึงแอบไปลอยกระทงกับคนอื่น”
“บ้าแล้ว คิดได้ไง ใครจะเป็นเหมือนมึง เป็นไงล่ะได้ลอยกระทงกับนางนพมาศปีนี้ยิ้มแก้มแทบแตกเลยน่ะ”
“โอ้ยยฮึฮึ พูดแบบนี้หึงเหรอ?”
“ใครหึง กูพูดความจริง”
“ความจริงคือกู ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย ใจกูไม่เคยคิดอยากจะลอยกับใครเลยนอกจาก...มึงคนเดียว”
“แหวะ ปากหวานจนเลี่ยน พูดบ่อยละสิท่า กูไม่ใช่สาวๆพวกนั้นน่ะ”
“สาวๆที่ไหน แล้วก็พูดบ่อยที่ไหน ก็เพิ่งมาถึงเอง จะลอยกระทงก่อนหรือจะให้กูชิมปากก่อนล่ะ?พูดแบบนี้”
“โอ้ยยยม่อตลอดเลย”
“อืมงั้นก็ลอยกันเถอะ คนอื่นเขาลอยกันหมดแล้ว จะได้รีบกลับไปชิมปากกันที่ห้อง”
“บ้าแล้วมึง...”
ป่าสักเอ่ยชวนทุ่งธรลอยกระทงที่เขาเตรียมมา จากนั้นทั้งคู่กระอธิฐานก่อนจะปล่อยกระทงลงสู่บึงบ้านไร่
“เอ่อ ทุ่งมึงอธิฐานว่าอะไรว่ะ เห็นนิ่งเป็นนานสองนาน”
“แล้วมึงล่ะ?”
“กูถามก่อน ก็ตอบมาก่อนสิ ว่าอธิฐานเรื่องไร?”
“ไม่บอก....”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ