ลมหวาน ป่าหนาว
9.2
เขียนโดย เพียงแสงจันทร์
วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.46 น.
42 ตอน
8 วิจารณ์
70.22K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 20.31 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) ข้าวเหนียวหมูปิ้ง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความปากกระจับได้รูปของป่าสักนั้นค่อยๆถอนริมฝีปากออกมาอย่างช้าๆเหมือนว่ากำลังบังคับใจตัวเองเป็นอย่างมากเพื่อไม่ให้บรรเลงเพลงรักในบทต่อไป..........ทุ่งธรค่อยๆลืมเปลือกตาขึ้นมามองคนที่อยู่ตรงหน้าหลังจากได้สัมผัสรสจูบที่แสนหวานชื่นและดูดดื่มจากป่าสัก ทั้งสองประสานสายตาซึ่งกันและกันต่างฝ่ายต่างจ้องเหมือนจะพยายามสื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกข้างในของหัวใจมันเหมือนมีแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่จะดึงพวกเขาให้เข้าหากันอีกครั้ง แต่ต่างคนต่างรู้ว่าคงยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมจึงจำใจต้องหักห้ามความต้องการไว้เพียงแค่นั้น
“หิวแล้ว...เย็นนี้จะกินไรดี?”
เสียงทุ่มๆของป่าสักถามออกมาหลังจากที่นั่งจ้องตากันอยู่นานสองนานภายในรถหรูที่เงียบสนิท ที่ตอนนี้จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างถนน
“อยากกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง....มึงเคยกินเปล่า??”
“อืม...ลองดูก็ได้ ท่าทางน่าจะอร่อย ว่าแต่ร้านอยู่แถวไหนอะ?”
“ป่าสักมึงนี้จริงๆเลยน่ะ หมูปิ้งข้างหอไง...ไม่เคยสังเกตเหรอ??”
“อ้าวจริงดิ...ไม่เคยรู้มาก่อน ว่ามีร้านหมูปิ้งอยู่แถวหอพักด้วย”
“โอ้ยยยมันไม่ได้เป็นร้านหรอก แค่ลุงแกเอาโต๊ะมาตั้งแล้วก็ปิ้งย่างตรงนั้นเลย เจ้านี้อร่อยนะมึง ใครไปช้าหมด อดทุกที”
“มิน่าละ กูไม่เคยเห็นสักที...สงสัยมาไม่เคยทัน งั้นก็ไปกันเลยนะเดี๋ยวไม่ทันหมูปิ้ง”
นี้เป็นครั้งแรกที่ผมมากินหมูปิ้งกับไอ้คุณหนูป่าสักหน้าหล่อ บอกตรงๆเลยครับผมนี้ทึ่งในตัวของป่าสักเอามากๆมันไม่ได้เรื่องมากอะไรเลยในการมานั่งข้างๆหอใต้ต้นไม้ที่ถือว่าเป็นร้ายขายหมูปิ้งไปในตัว มือหนึ่งถือหมูปิ้งมืออีกข้างก็ถือถุงข้าวเหนียวกินไปคุยกันไปดูเหมือนว่าคุณหนูป่าสักนักบาสสุดหล่อจะไม่เหลือมาดของความไฮโซไว้เลย ดูๆไปเขาก็เหมือนนักศึกษาทั่วไป กินข้าวเหนียวหมูปิ้งข้างทางได้ ใช้ชีวิตเหมือนนักกีฬาหอในทั่วๆไปได้ ถ้าผมไม่รู้ว่าบ้านมันรวยขนาดไหนผมก็คิดว่ามันเป็นคนธรรมดา แต่ค่ำคืนนี้มันช่างพิเศษเหลือเกิน พิเศษตรงที่มีผมกับมันนั่งกินหมูปิ้งด้วยกัน
“ขอโทษนะค่ะ นี้ใช่หมอป่าสัก เดือนคณะสัตวแพทย์มั้ยค่ะ?”
อยู่ๆก็มีเสียงของสาวสวยเดินเข้ามาทักป่าสักด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นสุดๆที่ได้เจอนักศึกษาสัตวแพทย์กังวานไพร บุญนิสากุล โดยบังเอิญ
“อ่อครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เราชื่อกิ่งนะ เป็นดาวคณะมนุษย์ปีนี้ เราโหวตให้ป่าสักด้วยนะ สำหรับตำแหน่งขวัญใจมหาชน”
“ครับ ขอบคุณนะครับ สำหรับคะแนนโหวต”
“เพื่อนๆเราทั้งคณะโหวตให้ป่าสักหมดเลยนะ เราขอถ่ายรูปด้วยได้ไหม? เมื่อตอนถ่ายรูปลงเว็บไซต์มหาลัย คนเยอะเราเลยไม่กล้าเข้าไปขอถ่ายรูปกับป่าสัก”
“ได้สิ ขอบคุณคะแนนโหวตจากเพื่อนๆกิ่งด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ กิ่งเต็มใจที่จะโหวตให้อยู่แล้ว ดีใจมากๆเลย ไม่คิดว่าจะเจอป่าสักมานั่งกินหมูปิ้งในที่แบบนี้ด้วย ป่าสักนี้ดูไม่ถือตัวเลยนะ กิ่งไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย”
“อ่อครับ แล้วนี้จะถ่ายรูปเลยไหมครับ ผมพร้อมแล้ว”
“ค่ะ....ค่ะ. นี้ๆนายเรารบกวนถ่ายรูปให้เรากับป่าสักหน่อยสิ”
จากนั้นสาวนามว่ากิ่ง เดือนคณะมนุษย์ ก็ยื่นมือถือให้กับผมทันที พอผมรับมือถือไป นางก็ได้โอกาสเกาะแขนป่าสักทันทีเลยถือโอกาสแบบเนียนๆไปในตัว ผมได้แต่ยืนมองงงๆ ว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาทำกันแบบนี้แล้วใช่ไหม???
“อ้าว นายมัวยืนเหม่ออะไรอยู่ละ ถ่ายสิ เราฉีกยิ้มนานแล้วนะ”
“อ่อๆได้ๆๆ เอ้ามองกล้องหน่อยนะ หนึ่ง สอง ซั่ม”
“ถ่ายอีกๆๆถ่ายเยอะๆเลย เราจะเอาไปอวดเพื่อนๆที่คณะ”
“เอ่อผมว่าคงน่าจะพอแล้วครับ นี้คงได้หลายรูปแล้วครับ งั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับกิ่ง เอาไว้เจอกันวันประกวดดาว-เดือนนะครับ”
ป่าสักพูดกับฝ่ายหญิงหลังจากที่สังเกตหน้าตาของทุ่งธรตอนนี้บอกบุญไม่รับเอามากๆ
“ขอบคุณนะค่ะป่าสัก เอาไว้วันประกวดดาว-เดือนมหาลัย กิ่งจะค่อยให้กำลังใจนะค่ะ แล้วเจอกันค่ะ ทักกิ่งบ้างนะค่ะ”
หลังจากพูดกับป่าสักเสร็จ สาวนามว่ากิ่งก็รับมือถือมาจากทุ่งธรไปแล้วรีบกดดูรูปจากมือถือทันที แต่ปรากฏว่ารูปที่ทุ่งธรถ่ายมาให้นั้น มันมีแต่ภาพของตัวเธอเอง หรือไม่ก็เห็นแต่เท้า แล้วแต่ละภาพก็มืดๆทั้งนั้นไม่มีรูปของป่าสักกับเธอคู่กันเลยสักรูป พอเธอเงยหน้ามาจะต่อว่าทุ่งธรที่ถ่ายภาพไม่ได้เรื่อง ก็ปรากฏว่าไม่เจอตัวเสียแล้ววว
“อ้ายยยกรี๊ดดดดดดด ทำไมรูปถึงได้เป็นแบบนี้ แล้วนี้ไอ้คนถ่ายมันหายไปไหนแล้ววว หน่อยยอย่าให้เจอนะ แม่จะด่าเช็ดเลย วานให้ช่วยถ่ายรูปแค่นี้ก็ไม่ได้เรื่อง อ้ายยยยยกรี๊ดดดดดดด มาทำกับฉันอย่างนี้ได้ไงฉันเป็นถึงดาวคณะอ้ายยยยยยยย”
พอยื่นมือถือให้กิ่ง ดาวคณะมนุษย์ที่มาขอถ่ายรูปกับป่าสักเสร็จทุ่งธรก็รีบคว้ามือป่าสักให้เดินออกมาจากร้านหมูปิ้งทันที ทำให้ป่าสักงงมากเลยว่าทำไมวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับทุ่งธร ที่จู่ๆก็มาจับมือถือแขนของตัวเขาเอง
“เกิดอะไรขึ้นเนี้ย?? อยู่ๆมาจับมือถือแขนกูแบบนี้ทุ่ง??”
“เปล่า .... แค่กูอยากกลับห้องเร็วๆแค่นั้นเอง ไม่มีอะไร”
“จริงเหรอ???? แต่กูกลับรู้สึกดีวะ ที่มึงเดินจับมือกูแบบนี้ กูชอบ”
“บ้า กูแค่ลืมตัวเว้ยยย ไม่ได้ตั้งใจจับสักหน่อยไอ้หน้าม่อ”
ผมรีบปล่อยมือป่าสักทันที แต่เจ้าตัวกลับคว้ามือผมมาจับไว้แทนโดยฉับพลัน
“กำลังฟินอยู่แล้วเชียว อยู่ๆจะมาปล่อยมือกันทำไมละวะ แต่ไม่เป็นไรหรอก มึงปล่อยแต่กูจะเป็นฝ่ายจับเอง”
พูดเสร็จป่าสักก็รีบคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้ทันที แล้วพาทุ่งธรเดินไปยังลานออกกำลังกายข้างหอพักอีกด้าน
“อ้าว ป่าสักมึงจะลากกูไปไหนวะ กูจะขึ้นห้องแล้ว”
“กูแน่นท้อง ขอเดินย่อยอาหารอีกสักหน่อยได้ไหมทุ่ง?”
“เอ่อๆตามใจมึงก็แล้วกัน แต่ตอนนี้มึงปล่อยมือกูก่อนได้ไหม กูอายคน”
“มืดแล้ว ไม่มีใครเห็นหรอก ตามมาเถอะน่า มึงอย่างเรื่องมากสิวะทุ่ง”
“มึงนี้ถูกตามใจจนเคยตัว จนติดเป็นนิสัย ชอบบังคับคนอื่นตลอด”
“กูก็แค่อยากอยู่กับมึงตามลำพังบ้าง มึงดูท้องฟ้าคืนนี้สิ ออกจะโรแมนติกจะตาย”
“คุณกังวานไพร คุณมึงแดรกข้าวเหนียวหมูปิ้งมากไปปะ เลยทำให้เพี้ยน?”
“เพี้ยนอะไร มา มานั่งนี้ดีกว่า”
จากนั้นเขาก็พาผมมานั่งตรงชิงช้าที่ตั้งอยู่ข้างๆลานออกกำลังกาย ส่วนตัวเขาก็นั่งลงข้างๆผมทันที
“ทุ่งมึงเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ยวะ?”
“พรหมลิขิตเหรอ....ไม่รู้สิ ว่าแต่มึงถามทำไมวะ?”
“กูว่าน่ะ การที่คนสองคนได้มารู้จักกัน มันคือพรหมลิขิตเป็นมติของสวรรค์แน่ๆ”
“มติของสวรรค์ไงวะ?”
“ก็การที่คนเราได้รู้จักกัน มันต้องมีความเกี่ยวพันกันมา สวรรค์เลยส่งให้ได้มาพบกันอีกไง นี้มึงไม่เคยได้ยินเหรอ?”
“นี้หมูปิ้งทำให้มึงเป็นเอามากเลยนะเว้ยป่าสัก จะพูดอะไรก็เกรงใจว่าที่นายสัตวแพทย์ของมึงในอนาคตหน่อยสิวะ”
“อ้าว มึงก็คิดดูสิ อย่างหมูปิ้งวันนี้ไง ในชีวิตกูไม่เคยได้กินอะไรแบบนี้เลยนะ แต่วันนี้กูก็ได้กิน แล้วได้มานั่งกินกับมึงด้วย ทั้งๆที่มีคนมากมายอยากให้กูไปกินข้าวเย็นด้วย แต่กูก็เลือกที่จะมากับมึง”
“เออมึงจะพูดให้กูซึ้งใช่ปะ???”
“กูพูดจริง แต่ถ้ามึงจะซาบซึ้งก็ได้นะ กูไม่ว่าหรอก”
ป่าสักพูดพร้อมกับยื่นหน้าหล่อๆของตัวเองให้เข้ามาใกล้ใบหน้าเรียวของทุ่งธรทันที ป่าสักใช้สายตาจับจ้องดวงตาของอีกฝ่ายทันที
“บ้า ใครจะไปซึ้งอะไรกับมึงวะ ปะๆๆกลับได้แล้ว กูอยากอาบน้ำวะ”
“อ้าวไม่ซึ้งแล้วทำไมหน้ามึงแดงวะ”
“หน้ากูแดงที่ไหน กูร้อนเว้ยยยย กูอยากอาบน้ำ”
“เอาน่าไม่ต้องอายหรอกซึ้งก็บอกว่าซึ้งเถอะ”
“โอ้ยยไอ้ป่าสัก มึงเอาหน้าและสายตาหื่นๆออกไปไกลๆกูหน่อยดิวะ กูร้อน”
“ ร้อนบ้าอะไรลมเย็นดีจะตาย มึงดูนั้นสิ พระจันทร์คืนนี้สวยมากเลยนะเว้ย”
ป่าสักพูดพร้อมชี้มือให้ทุ่งธรดูดวงจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวง ส่องแสงสีนวลๆสวยงามในยามค่ำคืน ทุ่งธรหันหน้าไปมองดูดวงจันทร์ตามคำบอกของ
ป่าสักทันที ด้วยความไม่ทันระวัง อยู่ๆก็มีริมฝีปากของอีกฝ่ายมาแตะเบาๆข้างแก้มของทุ่งธร
“เอ้ยย ป่าสักมึงทำบ้าอะไรเนี้ยยยย”
“เปล่า กูทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ก็เมื่อกี้มึงแอบ หอมแก้มกู”
“กูหอมแก้มมึงตอนไหน กูแค่เอาริมฝีปากกูไปแตะแก้มมึงเบาๆแค่นั้นเอง”
“นั้นแหละ แถวบ้านกูเรียกว่าหอมเว้ยยยย”
“ถ้าหอมมันต้องใช้จมูกดมด้วย ถึงจะเรียกว่าหอม มาๆเดี๋ยวกูทำให้มึงดูอีกที มึงจะได้แยกให้ถูกระหว่างหอมกับแตะเบาๆมันต่างกันตรงไหน”
“ไม่ต้องเลย มึงไม่ต้องมาหน้าม่อกับกูตอนนี้เลย มึงนี้ตลอดเลย”
“โอเค มึงดูพระจันทร์เถอะ กูไม่แกล้งแล้วววว กูอยากให้มึงดูพระจันทร์คืนนี้ ว่ามันสวยแค่ไหน คนอื่นๆต้องอิจฉามึงแน่ๆที่มีพระจันทร์กับเดือนมาส่องมึง”
“แหวะ ม่อตลอดมึง เตะเข้าประตูตัวเองตลอด”
จากนั้นทุ่งธรก็หันกลับไปมองบนท้องฟ้าอีกครั้งเพื่อจะดูพระจันทร์สีนวลงามตาอีกครั้ง ในค่ำคืนที่แสนจะพิเศษนี้ ค่ำคืนที่เขาและป่าสักได้ดูพระจันทร์ด้วยกันสองต่อสองตามลำพัง
“อืม พระจันทร์คืนนี้สวยดีเนาะ เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงแม่คิดถึงบ้านวะ”
“มึงคิดถึงแม่คิดถึงบ้านเหรอ เสาร์นี้เราไปกันไหม ไหนๆก็ไม่ได้ซ้อมกีฬาแล้ว โค้ชหยุดให้ตั้งสองวัน”
“อะไรน่ะ มึงหมายถึงว่า กูกับมึงเหรอ?? ใครจะให้มึงไปด้วยมิทราบ”
“อ้าวก็ใช่ไง กูกับมึง เราสองคนไปบ้านมึง มึงยังไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมแม่เลยนี้ตั้งแต่มาเรียนในตัวเมือง”
“เอ่อ มันก็ใช่ นี้กูยังไม่ได้กลับบ้านสักครั้งเลย ไม่รู้ว่าแม่จะเป็นไงบ้าง”
“นั้นไง เสาร์นี้เราไปกัน เดี๋ยวเอารถกูไป เราออกแต่เช้าเลย”
“โอ้ยยย บ้านกูอยู่ห่างไกลความเจริญอยู่บ้านนอกคอกนา มึงอยู่ไม่ได้หรอก จะไปให้มันลำบากทำไมวะป่าสัก..ไม่ๆกูจะกลับคนเดียว”
“อ้าว มึงก็อยู่ได้ ทำไมกูจะอยู่ไม่ได้วะ ดีเสียอีกนานๆได้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง มึงดูอย่างตอนนี้สิ ในเมืองมีแต่รถติด ห้างก็เกิดขึ้นเต็มไปหมดแล้ว ไม่เหลือความเป็นอีสานบ้านๆไว้เลย”
“มันไม่เหมือนกัน กูเกิดที่นั้น ส่วนมึงเกิดในเมืองมีทุกอย่างครบ กำพืดมันต่างกันเว้ยยย”
“ทุ่ง อาทิตย์หน้ากูก็จะประกวดเดือนแล้ว กูอยากพักบ้าง ตอนนี้กูแบกรับความหวังของคนทั้งคณะไว้กูเครียดนะให้กูไปเติมพลังก่อนจะประกวดเถอะทุ่ง”
ผมเจอไม้นี้ของป่าสักเข้าไป ทำตัวไม่ถูกเลยครับ ได้แต่มองดวงจันทร์บนฟ้ากว้าง ทำไมมันต้องใช้เสียงต่ำๆทุ่มๆอย่างนี้กับผมด้วย
“เอางี้ ถ้ามึงไม่ชินกับการพาผู้ชายหล่อๆอย่างกูเข้าบ้าน เราก็ชวนไอ้ตรีไอ้โอมไปด้วยกัน ไปหลายๆคนสนุกดี โอเคนะตามนี้เลย”
“มึงพูดซะขนาดนี้ กูมีสิทธิปฏิเสธเหรอวะ?”
“อิอิก็ไม่มีสิทธิปฏิเสธกูไง ถึงมึงไม่ยอมกูก็จะไปเหมือนเดิม มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า เรื่องอยู่เรื่องกิน กูเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย อีกอย่างเอารถไปเองจะขนอะไรจากที่นี้ไปก็ได้หมด เราเตรียมเต้นท์ไปกางนอนดีกว่าน่ะ”
“เอ่อๆๆมึงอยากจะทำอะไรมึงก็ทำเถอะ เอาที่คุณหนูสบายใจเลยครับ”
“น่ารักจังวะมึง กูขออะไรก็ได้ แบบนี้ถ้าได้เป็นแฟนรักตายเลย”
“แหวะ กูไม่ใช่แม่สาวๆพวกนั้นนะเว้ย ที่จะหลงคารมเพลย์บอยอย่างมึง โน้นๆไปเล่นมุขตรงโน้นเลย กูจะขึ้นห้องแล้ว”
พูดเสร็จทุ่งธรก็รีบลุกออกจากชิงช้าทันที แล้วรีบก้าวยาวๆไปยังหอพักโดยเร็ว
“อ้าวทุ่ง อะไรกัน พูดแค่นี้ก็อายจนไม่กล้าอยู่กับกูสองต่อสองแล้วเหรอ แล้วมึงไม่คิดละว่าเข้าห้องไปยิ่งต้องอยู่กับกูแบบลับตาคนอื่นอีก”
“ก็เอาสิ ขืนมึงทำอะไรกู กูจะร้องให้หอแตกไปเลย”
“555555กูกลัวแต่มึงจะไม่ร้องวะ อย่าเดินเร็วสิ รอกูด้วยทุ่ง ใจร้อนไปถึงไหน ยังไงคืนนี้มึงก็ต้องให้กูกอดเหมือนเดิมอยู่ดี”
“หิวแล้ว...เย็นนี้จะกินไรดี?”
เสียงทุ่มๆของป่าสักถามออกมาหลังจากที่นั่งจ้องตากันอยู่นานสองนานภายในรถหรูที่เงียบสนิท ที่ตอนนี้จอดนิ่งสนิทอยู่ข้างถนน
“อยากกินข้าวเหนียวหมูปิ้ง....มึงเคยกินเปล่า??”
“อืม...ลองดูก็ได้ ท่าทางน่าจะอร่อย ว่าแต่ร้านอยู่แถวไหนอะ?”
“ป่าสักมึงนี้จริงๆเลยน่ะ หมูปิ้งข้างหอไง...ไม่เคยสังเกตเหรอ??”
“อ้าวจริงดิ...ไม่เคยรู้มาก่อน ว่ามีร้านหมูปิ้งอยู่แถวหอพักด้วย”
“โอ้ยยยมันไม่ได้เป็นร้านหรอก แค่ลุงแกเอาโต๊ะมาตั้งแล้วก็ปิ้งย่างตรงนั้นเลย เจ้านี้อร่อยนะมึง ใครไปช้าหมด อดทุกที”
“มิน่าละ กูไม่เคยเห็นสักที...สงสัยมาไม่เคยทัน งั้นก็ไปกันเลยนะเดี๋ยวไม่ทันหมูปิ้ง”
นี้เป็นครั้งแรกที่ผมมากินหมูปิ้งกับไอ้คุณหนูป่าสักหน้าหล่อ บอกตรงๆเลยครับผมนี้ทึ่งในตัวของป่าสักเอามากๆมันไม่ได้เรื่องมากอะไรเลยในการมานั่งข้างๆหอใต้ต้นไม้ที่ถือว่าเป็นร้ายขายหมูปิ้งไปในตัว มือหนึ่งถือหมูปิ้งมืออีกข้างก็ถือถุงข้าวเหนียวกินไปคุยกันไปดูเหมือนว่าคุณหนูป่าสักนักบาสสุดหล่อจะไม่เหลือมาดของความไฮโซไว้เลย ดูๆไปเขาก็เหมือนนักศึกษาทั่วไป กินข้าวเหนียวหมูปิ้งข้างทางได้ ใช้ชีวิตเหมือนนักกีฬาหอในทั่วๆไปได้ ถ้าผมไม่รู้ว่าบ้านมันรวยขนาดไหนผมก็คิดว่ามันเป็นคนธรรมดา แต่ค่ำคืนนี้มันช่างพิเศษเหลือเกิน พิเศษตรงที่มีผมกับมันนั่งกินหมูปิ้งด้วยกัน
“ขอโทษนะค่ะ นี้ใช่หมอป่าสัก เดือนคณะสัตวแพทย์มั้ยค่ะ?”
อยู่ๆก็มีเสียงของสาวสวยเดินเข้ามาทักป่าสักด้วยท่าทางที่ดูตื่นเต้นสุดๆที่ได้เจอนักศึกษาสัตวแพทย์กังวานไพร บุญนิสากุล โดยบังเอิญ
“อ่อครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เราชื่อกิ่งนะ เป็นดาวคณะมนุษย์ปีนี้ เราโหวตให้ป่าสักด้วยนะ สำหรับตำแหน่งขวัญใจมหาชน”
“ครับ ขอบคุณนะครับ สำหรับคะแนนโหวต”
“เพื่อนๆเราทั้งคณะโหวตให้ป่าสักหมดเลยนะ เราขอถ่ายรูปด้วยได้ไหม? เมื่อตอนถ่ายรูปลงเว็บไซต์มหาลัย คนเยอะเราเลยไม่กล้าเข้าไปขอถ่ายรูปกับป่าสัก”
“ได้สิ ขอบคุณคะแนนโหวตจากเพื่อนๆกิ่งด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ กิ่งเต็มใจที่จะโหวตให้อยู่แล้ว ดีใจมากๆเลย ไม่คิดว่าจะเจอป่าสักมานั่งกินหมูปิ้งในที่แบบนี้ด้วย ป่าสักนี้ดูไม่ถือตัวเลยนะ กิ่งไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย”
“อ่อครับ แล้วนี้จะถ่ายรูปเลยไหมครับ ผมพร้อมแล้ว”
“ค่ะ....ค่ะ. นี้ๆนายเรารบกวนถ่ายรูปให้เรากับป่าสักหน่อยสิ”
จากนั้นสาวนามว่ากิ่ง เดือนคณะมนุษย์ ก็ยื่นมือถือให้กับผมทันที พอผมรับมือถือไป นางก็ได้โอกาสเกาะแขนป่าสักทันทีเลยถือโอกาสแบบเนียนๆไปในตัว ผมได้แต่ยืนมองงงๆ ว่าผู้หญิงสมัยนี้เขาทำกันแบบนี้แล้วใช่ไหม???
“อ้าว นายมัวยืนเหม่ออะไรอยู่ละ ถ่ายสิ เราฉีกยิ้มนานแล้วนะ”
“อ่อๆได้ๆๆ เอ้ามองกล้องหน่อยนะ หนึ่ง สอง ซั่ม”
“ถ่ายอีกๆๆถ่ายเยอะๆเลย เราจะเอาไปอวดเพื่อนๆที่คณะ”
“เอ่อผมว่าคงน่าจะพอแล้วครับ นี้คงได้หลายรูปแล้วครับ งั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับกิ่ง เอาไว้เจอกันวันประกวดดาว-เดือนนะครับ”
ป่าสักพูดกับฝ่ายหญิงหลังจากที่สังเกตหน้าตาของทุ่งธรตอนนี้บอกบุญไม่รับเอามากๆ
“ขอบคุณนะค่ะป่าสัก เอาไว้วันประกวดดาว-เดือนมหาลัย กิ่งจะค่อยให้กำลังใจนะค่ะ แล้วเจอกันค่ะ ทักกิ่งบ้างนะค่ะ”
หลังจากพูดกับป่าสักเสร็จ สาวนามว่ากิ่งก็รับมือถือมาจากทุ่งธรไปแล้วรีบกดดูรูปจากมือถือทันที แต่ปรากฏว่ารูปที่ทุ่งธรถ่ายมาให้นั้น มันมีแต่ภาพของตัวเธอเอง หรือไม่ก็เห็นแต่เท้า แล้วแต่ละภาพก็มืดๆทั้งนั้นไม่มีรูปของป่าสักกับเธอคู่กันเลยสักรูป พอเธอเงยหน้ามาจะต่อว่าทุ่งธรที่ถ่ายภาพไม่ได้เรื่อง ก็ปรากฏว่าไม่เจอตัวเสียแล้ววว
“อ้ายยยกรี๊ดดดดดดด ทำไมรูปถึงได้เป็นแบบนี้ แล้วนี้ไอ้คนถ่ายมันหายไปไหนแล้ววว หน่อยยอย่าให้เจอนะ แม่จะด่าเช็ดเลย วานให้ช่วยถ่ายรูปแค่นี้ก็ไม่ได้เรื่อง อ้ายยยยยกรี๊ดดดดดดด มาทำกับฉันอย่างนี้ได้ไงฉันเป็นถึงดาวคณะอ้ายยยยยยยย”
พอยื่นมือถือให้กิ่ง ดาวคณะมนุษย์ที่มาขอถ่ายรูปกับป่าสักเสร็จทุ่งธรก็รีบคว้ามือป่าสักให้เดินออกมาจากร้านหมูปิ้งทันที ทำให้ป่าสักงงมากเลยว่าทำไมวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับทุ่งธร ที่จู่ๆก็มาจับมือถือแขนของตัวเขาเอง
“เกิดอะไรขึ้นเนี้ย?? อยู่ๆมาจับมือถือแขนกูแบบนี้ทุ่ง??”
“เปล่า .... แค่กูอยากกลับห้องเร็วๆแค่นั้นเอง ไม่มีอะไร”
“จริงเหรอ???? แต่กูกลับรู้สึกดีวะ ที่มึงเดินจับมือกูแบบนี้ กูชอบ”
“บ้า กูแค่ลืมตัวเว้ยยย ไม่ได้ตั้งใจจับสักหน่อยไอ้หน้าม่อ”
ผมรีบปล่อยมือป่าสักทันที แต่เจ้าตัวกลับคว้ามือผมมาจับไว้แทนโดยฉับพลัน
“กำลังฟินอยู่แล้วเชียว อยู่ๆจะมาปล่อยมือกันทำไมละวะ แต่ไม่เป็นไรหรอก มึงปล่อยแต่กูจะเป็นฝ่ายจับเอง”
พูดเสร็จป่าสักก็รีบคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้ทันที แล้วพาทุ่งธรเดินไปยังลานออกกำลังกายข้างหอพักอีกด้าน
“อ้าว ป่าสักมึงจะลากกูไปไหนวะ กูจะขึ้นห้องแล้ว”
“กูแน่นท้อง ขอเดินย่อยอาหารอีกสักหน่อยได้ไหมทุ่ง?”
“เอ่อๆตามใจมึงก็แล้วกัน แต่ตอนนี้มึงปล่อยมือกูก่อนได้ไหม กูอายคน”
“มืดแล้ว ไม่มีใครเห็นหรอก ตามมาเถอะน่า มึงอย่างเรื่องมากสิวะทุ่ง”
“มึงนี้ถูกตามใจจนเคยตัว จนติดเป็นนิสัย ชอบบังคับคนอื่นตลอด”
“กูก็แค่อยากอยู่กับมึงตามลำพังบ้าง มึงดูท้องฟ้าคืนนี้สิ ออกจะโรแมนติกจะตาย”
“คุณกังวานไพร คุณมึงแดรกข้าวเหนียวหมูปิ้งมากไปปะ เลยทำให้เพี้ยน?”
“เพี้ยนอะไร มา มานั่งนี้ดีกว่า”
จากนั้นเขาก็พาผมมานั่งตรงชิงช้าที่ตั้งอยู่ข้างๆลานออกกำลังกาย ส่วนตัวเขาก็นั่งลงข้างๆผมทันที
“ทุ่งมึงเชื่อเรื่องพรหมลิขิตมั้ยวะ?”
“พรหมลิขิตเหรอ....ไม่รู้สิ ว่าแต่มึงถามทำไมวะ?”
“กูว่าน่ะ การที่คนสองคนได้มารู้จักกัน มันคือพรหมลิขิตเป็นมติของสวรรค์แน่ๆ”
“มติของสวรรค์ไงวะ?”
“ก็การที่คนเราได้รู้จักกัน มันต้องมีความเกี่ยวพันกันมา สวรรค์เลยส่งให้ได้มาพบกันอีกไง นี้มึงไม่เคยได้ยินเหรอ?”
“นี้หมูปิ้งทำให้มึงเป็นเอามากเลยนะเว้ยป่าสัก จะพูดอะไรก็เกรงใจว่าที่นายสัตวแพทย์ของมึงในอนาคตหน่อยสิวะ”
“อ้าว มึงก็คิดดูสิ อย่างหมูปิ้งวันนี้ไง ในชีวิตกูไม่เคยได้กินอะไรแบบนี้เลยนะ แต่วันนี้กูก็ได้กิน แล้วได้มานั่งกินกับมึงด้วย ทั้งๆที่มีคนมากมายอยากให้กูไปกินข้าวเย็นด้วย แต่กูก็เลือกที่จะมากับมึง”
“เออมึงจะพูดให้กูซึ้งใช่ปะ???”
“กูพูดจริง แต่ถ้ามึงจะซาบซึ้งก็ได้นะ กูไม่ว่าหรอก”
ป่าสักพูดพร้อมกับยื่นหน้าหล่อๆของตัวเองให้เข้ามาใกล้ใบหน้าเรียวของทุ่งธรทันที ป่าสักใช้สายตาจับจ้องดวงตาของอีกฝ่ายทันที
“บ้า ใครจะไปซึ้งอะไรกับมึงวะ ปะๆๆกลับได้แล้ว กูอยากอาบน้ำวะ”
“อ้าวไม่ซึ้งแล้วทำไมหน้ามึงแดงวะ”
“หน้ากูแดงที่ไหน กูร้อนเว้ยยยย กูอยากอาบน้ำ”
“เอาน่าไม่ต้องอายหรอกซึ้งก็บอกว่าซึ้งเถอะ”
“โอ้ยยไอ้ป่าสัก มึงเอาหน้าและสายตาหื่นๆออกไปไกลๆกูหน่อยดิวะ กูร้อน”
“ ร้อนบ้าอะไรลมเย็นดีจะตาย มึงดูนั้นสิ พระจันทร์คืนนี้สวยมากเลยนะเว้ย”
ป่าสักพูดพร้อมชี้มือให้ทุ่งธรดูดวงจันทร์ที่ใกล้จะเต็มดวง ส่องแสงสีนวลๆสวยงามในยามค่ำคืน ทุ่งธรหันหน้าไปมองดูดวงจันทร์ตามคำบอกของ
ป่าสักทันที ด้วยความไม่ทันระวัง อยู่ๆก็มีริมฝีปากของอีกฝ่ายมาแตะเบาๆข้างแก้มของทุ่งธร
“เอ้ยย ป่าสักมึงทำบ้าอะไรเนี้ยยยย”
“เปล่า กูทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ก็เมื่อกี้มึงแอบ หอมแก้มกู”
“กูหอมแก้มมึงตอนไหน กูแค่เอาริมฝีปากกูไปแตะแก้มมึงเบาๆแค่นั้นเอง”
“นั้นแหละ แถวบ้านกูเรียกว่าหอมเว้ยยยย”
“ถ้าหอมมันต้องใช้จมูกดมด้วย ถึงจะเรียกว่าหอม มาๆเดี๋ยวกูทำให้มึงดูอีกที มึงจะได้แยกให้ถูกระหว่างหอมกับแตะเบาๆมันต่างกันตรงไหน”
“ไม่ต้องเลย มึงไม่ต้องมาหน้าม่อกับกูตอนนี้เลย มึงนี้ตลอดเลย”
“โอเค มึงดูพระจันทร์เถอะ กูไม่แกล้งแล้วววว กูอยากให้มึงดูพระจันทร์คืนนี้ ว่ามันสวยแค่ไหน คนอื่นๆต้องอิจฉามึงแน่ๆที่มีพระจันทร์กับเดือนมาส่องมึง”
“แหวะ ม่อตลอดมึง เตะเข้าประตูตัวเองตลอด”
จากนั้นทุ่งธรก็หันกลับไปมองบนท้องฟ้าอีกครั้งเพื่อจะดูพระจันทร์สีนวลงามตาอีกครั้ง ในค่ำคืนที่แสนจะพิเศษนี้ ค่ำคืนที่เขาและป่าสักได้ดูพระจันทร์ด้วยกันสองต่อสองตามลำพัง
“อืม พระจันทร์คืนนี้สวยดีเนาะ เห็นแบบนี้แล้วคิดถึงแม่คิดถึงบ้านวะ”
“มึงคิดถึงแม่คิดถึงบ้านเหรอ เสาร์นี้เราไปกันไหม ไหนๆก็ไม่ได้ซ้อมกีฬาแล้ว โค้ชหยุดให้ตั้งสองวัน”
“อะไรน่ะ มึงหมายถึงว่า กูกับมึงเหรอ?? ใครจะให้มึงไปด้วยมิทราบ”
“อ้าวก็ใช่ไง กูกับมึง เราสองคนไปบ้านมึง มึงยังไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมแม่เลยนี้ตั้งแต่มาเรียนในตัวเมือง”
“เอ่อ มันก็ใช่ นี้กูยังไม่ได้กลับบ้านสักครั้งเลย ไม่รู้ว่าแม่จะเป็นไงบ้าง”
“นั้นไง เสาร์นี้เราไปกัน เดี๋ยวเอารถกูไป เราออกแต่เช้าเลย”
“โอ้ยยย บ้านกูอยู่ห่างไกลความเจริญอยู่บ้านนอกคอกนา มึงอยู่ไม่ได้หรอก จะไปให้มันลำบากทำไมวะป่าสัก..ไม่ๆกูจะกลับคนเดียว”
“อ้าว มึงก็อยู่ได้ ทำไมกูจะอยู่ไม่ได้วะ ดีเสียอีกนานๆได้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง มึงดูอย่างตอนนี้สิ ในเมืองมีแต่รถติด ห้างก็เกิดขึ้นเต็มไปหมดแล้ว ไม่เหลือความเป็นอีสานบ้านๆไว้เลย”
“มันไม่เหมือนกัน กูเกิดที่นั้น ส่วนมึงเกิดในเมืองมีทุกอย่างครบ กำพืดมันต่างกันเว้ยยย”
“ทุ่ง อาทิตย์หน้ากูก็จะประกวดเดือนแล้ว กูอยากพักบ้าง ตอนนี้กูแบกรับความหวังของคนทั้งคณะไว้กูเครียดนะให้กูไปเติมพลังก่อนจะประกวดเถอะทุ่ง”
ผมเจอไม้นี้ของป่าสักเข้าไป ทำตัวไม่ถูกเลยครับ ได้แต่มองดวงจันทร์บนฟ้ากว้าง ทำไมมันต้องใช้เสียงต่ำๆทุ่มๆอย่างนี้กับผมด้วย
“เอางี้ ถ้ามึงไม่ชินกับการพาผู้ชายหล่อๆอย่างกูเข้าบ้าน เราก็ชวนไอ้ตรีไอ้โอมไปด้วยกัน ไปหลายๆคนสนุกดี โอเคนะตามนี้เลย”
“มึงพูดซะขนาดนี้ กูมีสิทธิปฏิเสธเหรอวะ?”
“อิอิก็ไม่มีสิทธิปฏิเสธกูไง ถึงมึงไม่ยอมกูก็จะไปเหมือนเดิม มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า เรื่องอยู่เรื่องกิน กูเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย อีกอย่างเอารถไปเองจะขนอะไรจากที่นี้ไปก็ได้หมด เราเตรียมเต้นท์ไปกางนอนดีกว่าน่ะ”
“เอ่อๆๆมึงอยากจะทำอะไรมึงก็ทำเถอะ เอาที่คุณหนูสบายใจเลยครับ”
“น่ารักจังวะมึง กูขออะไรก็ได้ แบบนี้ถ้าได้เป็นแฟนรักตายเลย”
“แหวะ กูไม่ใช่แม่สาวๆพวกนั้นนะเว้ย ที่จะหลงคารมเพลย์บอยอย่างมึง โน้นๆไปเล่นมุขตรงโน้นเลย กูจะขึ้นห้องแล้ว”
พูดเสร็จทุ่งธรก็รีบลุกออกจากชิงช้าทันที แล้วรีบก้าวยาวๆไปยังหอพักโดยเร็ว
“อ้าวทุ่ง อะไรกัน พูดแค่นี้ก็อายจนไม่กล้าอยู่กับกูสองต่อสองแล้วเหรอ แล้วมึงไม่คิดละว่าเข้าห้องไปยิ่งต้องอยู่กับกูแบบลับตาคนอื่นอีก”
“ก็เอาสิ ขืนมึงทำอะไรกู กูจะร้องให้หอแตกไปเลย”
“555555กูกลัวแต่มึงจะไม่ร้องวะ อย่าเดินเร็วสิ รอกูด้วยทุ่ง ใจร้อนไปถึงไหน ยังไงคืนนี้มึงก็ต้องให้กูกอดเหมือนเดิมอยู่ดี”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ