Secret File:Innocent Trap

8.3

เขียนโดย Elichika

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.

  13 บท
  1 วิจารณ์
  14.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) On the Case

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Chapter IX On the Case
            เคยมีเรื่องเล่า ศาสนจักรลับทำหน้าที่รับใช้วาติกันมาหลายชั่วอายุคน พวกเขาถูกเรียกว่า Parallel (เส้นขนาน)
                Parallel เป็น องค์กรที่คอยทำหน้าที่ควบคุมดูแลความสงบและทำงานเบื้องหลังให้วาติกัน แต่ก็มีรับงานสังหารบุคคลหรือคอยคุ้มกันตามแต่ผู้ว่าจ้าง
                พวกเขาแฝงตัวอยู่ตามที่ต่างๆ คุณจะไม่สามารถหาพวกเขาเจอได้ แต่พวกเขาจะเข้าไปหาคุณเอง
                ขายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวสีดำ ใส่หมวกทรงสูงปิดบังใบหน้าเอาไว้“มีอะไรให้รับใช้ มิสเตอร์”
                “ฉันต้องการนายพราน”
                “หูน้อยหมวกแดงรึ ตอนนี้มือดีของเราว่างอยู่พอดีเลย มิสเตอร์”
                “ค่าตอบแทนเป็นแบบเดิมสินะ”
                “ถูกต้องแล้ว มิสเตอร์”
                ณ โบสถ์แห่งหนึ่งสร้างจากไม้ท่าทางเก่าแก่ ประตูถูกเปิดออกพร้อมๆกับร่างของชายหนุ่มเขาเดินเข้ามาด้านใน และหยุดลงด้านหลังเด็กสาวในชุดคลุมเธอกำลังสวดภาวนาอยู่
                “อนาสตาเซีย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา
                เด็กสาวลืมตาขึ้นก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลัง
                “เรามีภารกิจให้ท่าน” เด็กสาวก้มหน้ารับ โดยไม่พูดตอบ มันไม่สำคัญว่าจะเพราะอะไร สายตาของเธอบอกเพียง เมื่อไหร่ ที่ไหน และใคร “อีกสามเดือน เซนต์ฟิโอเร่” ชายหนุ่มวางการ์ดลงข้างๆตัวเด็กสาวก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
.......................................................................................................
                “Parallel” รัตติกาลเอ่ยขึ้นท่ามกลางบรรยากาศเงียบเชียบภายในอาคาร ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไรมีเพียงสายตาที่กรอกมองไปมารอบๆตัวเองเท่านั้น
                “ รู้มากกว่าที่คิดนะ” แจนกำมีดในมือแน่นขึ้น
                “อย่าทำหน้าซีเรียสกันสิ เรามาสรุปเรื่องราวทั้งหมดก่อนดีไหม?” กานต์ยิ้มมุมปาก “คดีการตายอย่างปริศนาของมาสเตอร์ เจมส์ สมิธเมื่อ 15 ปีก่อน เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างลับๆของนักเรียนทุน”
                “มาสเตอร์เจมส์งั้นหรอ?” ปามเหลือบมองใบหน้ากานต์
                “จริงๆแล้วมาสเตอร์เจมส์คนนั้นคงยังไม่ตายหรอก ถ้าดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอแล้วก็ เจมส์เอ่อ...หมายถึงหมอนั้นล่ะนะ” กานต์มองสลับระหว่างปามกับร่างของเจมส์ที่ยังคงยืนนิ่ง
                “หมายความว่ายังไง?” แววตาของแจนเปลี่ยนไปเล็กน้อย
                “ในห้องเคมี ที่มาสเตอร์คุริสึเป็นคนรับผิดชอบ มีเอกสารที่พูดถึงการทดลองอย่างลับๆของมาสเตอร์เจมส์” กานต์มองไปที่ร่างของเจมส์ “เกี่ยวกับเรื่องชุบชีวิตคนตาย และเธอก็คงเป็นหนึ่งในตัวทดลองของเขา ใช่ไหม อมรรัตน์”
            “รู้ไปถึงขนาดนั้นเลย” ปามจับขวานในมือให้กระชับ
                “ดูจากลักษณะทางกายภาพที่ไม่เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อ 15 ปีก่อน ของเธอ ก็เลยลองพูดส่งๆดูน่ะไม่คิดว่าจะถูกด้วย” กานต์หัวเราะเบาๆ “เรื่องนี้น่ะ ฉันรู้หมดแล้วล่ะ ที่มาที่ไปของมัน”
                “หืม นักสืบน้อยจะไขคดีงั้นหรอ? ถึงจะไม่เกี่ยวกับฉันแต่ก็ดูน่าสนุกดีนะ” บรรณารักษ์สาวค่อยๆเดินลงมาจากด้านบนบันได
                “สรุปคือเธอเป็นคนของทางนั้นจริงๆสินะ?” แจนกดมีดที่จ่อหลังกานต์ไว้
                “ว่าแต่ทางนั้นมันคืออะไรล่ะเนี่ย?” กานต์เหลือบมองไปที่แจน
                “คนที่จะมาฆ่าฉันไง”
                “ไม่ใช่หรอกเกมหนูน้อยหมวกแดงของพวกเธอ ฉันไม่ได้เข้าร่วมอะไรด้วยหรอกนะ” กานต์ถอนหายใจยาวๆ “ฉันก็แค่คนที่มาหาความจริงเรื่อง คดีเมื่อ 15 ปีก่อนเท่านั้นเอง”
                “แล้วทำไมชื่อนายถึงไปอยู่ในการ์ดได้ล่ะ?” แจนกำมีดให้แน่นขึ้น
                “ถ้าดูจาก เอลลี่ที่เป็นนายพราน เธอที่มีคำปลดล็อคความทรงจำของเอลลี่” แจนจ้องเข้าไปในตาของกานต์ “ถ้าจะถามว่ารู้ได้ยังไง วันที่ฉันอยู่ในห้องของเอลลี่น่ะ ฉันลองสำรวจหาพวกเครื่องดักฟังไม่ก็กล้องที่ซ่อนอยู่ จนไปเจอเข้ากับการ์ดที่มีรูปตัวเองอยู่นี่ล่ะ ฉันก็รู้ทันทีว่า เอลลี่เป็นผู้ร่วมเกมนี้และต้องฆ่าฉันเข้าสักวัน แต่เหมือนเธอจะไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย ฉันเลยคิดว่าเธอน่าจะจำไม่ได้ซะมากกว่า ก็เลยแอบขโมยการ์ดมา หนังสือปกแดงของปลอมที่ฉันให้เธอไปน่ะ”
                “เธอกำลังจะบอกอะไร?” แจนยังคงจ้องไปในตาของกานต์
                “ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นหนูน้อยหมวกแดงน่ะ กรรณตะนะ แต่พอมาเห็นเอลลี่ตอนนี้เข้า ฉันก็รู้ทันทีว่าทำไมเธอถึงได้เขียนคำที่เอาไว้ปลดล็อคความทรงจำของเอลลี่ลงในสมุดปกแดงเล่มปลอมที่ฉันให้”
                “จริงๆฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม?” เอลลี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
                “ก็กรรณตะนากับอมรรัตน์ แอบดูเธออยู่ห่างๆ คงไปเห็นว่าเธอกำลังอ่านหนังสือปกแดงที่ฉันช่วยให้แปลที่สวนหลังอาคารวันนั้น กรรณตะนาเธอคงคิดว่าเอลลี่คงจะเริ่มสืบหาความจริงของคดีเมื่อ 15 ปีก่อน เธอเลยเขียนคำปลดล็อคลงไป โดยหวังว่าเอลลี่จะมาตามหาหนังสือในห้องสมุดใช่ไหมล่ะ ที่เธอไม่บอกเอลลี่ไปตรงๆตั้งแต่แรก คงเพราะยังไม่มีการเคลื่อนไหวของใคร ถ้าเป็นไปได้เธอคงไม่อยากให้มีการฆ่าฟันกันเกิดขึ้นสินะ?” กานต์ส่งยิ้มให้แจน “และนั้นก็เป็นเหตุผลเดียวที่ฉันไม่แย่งมีดจากมือเธอตอนนี้”
                “อย่าปากเก่งดีกว่านะ ฉันจะฆ่าเธอเมื่อไหร่ก็ได้ บอกมาให้หมดเรื่องที่เธอรู้” แจนกดมีดให้แทงลงไปที่หลังกานต์เบาๆ
                “ก็ตามนั้นล่ะ เอลลี่ที่อ่านข้อความของเธอก็เลย รีบตรงมาหาเธอ เพราะคงเดาว่าเธอน่าจะอยู่กับฉัน” กานต์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันที่เป็นหมาป่าล่ะนะ....อ่อ เธอสงสัยที่ชื่อฉันไปอยู่ในการ์ดใช่ไหม ถ้าเอลลี่เป็นนายพราน และเธอเป็นหนูน้อยหมวกแดง แสดงว่ามีคนสร้างที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ และคนๆนั้นคงจะรู้ว่าฉันจะมาหาความจริงที่นี่ และมันก็ง่ายมากเลย เพราะกลัวว่าฉันจะเปิดเผยความจริงของเรื่องเมื่อ 15 ปีก่อน ก็เลยให้เอลลี่มาปิดปากฉัน ส่วนตัวตนของหนูน้อยหมวกแดงอย่างเธอ ผู้สร้างคงไม่อยากให้เธอตายล่ะมั่ง เพราะถ้าหนูน้อยหมวกแดงตายนายพรานก็แพ้เหมือนกัน พอคิดได้แบบนี้แล้วผู้สร้างน่าจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเธอและไม่อยากให้เธอตาย คงเป็นพ่อของเธอนั้นล่ะผู้สร้างน่ะ”
                “มันก็แค่การคาดเดาเท่านั้นล่ะ” แจนหลบตาลง
                “เธอรู้ดีที่สุดอยู่แล้วกรรณตะนา” กานต์หลับตาลง “แต่ก็อาจจะมีเรื่องหนึ่งที่เธอไม่รู้ เกี่ยวกับแม่ของเธอ”
                “แม่...ทำไม?”
                “ก็ไม่ทำไมหรอก เธอไม่เคยสงสัยบ้างหรอ เหตุผลจริงๆที่ พ่อกับแม่ของเธอ ไม่ได้อยู่ด้วยกันคืออะไร”
                ”เธอรู้งั้นหรอ?”
                “ก็พอจะเดาได้ล่ะนะ และมันก็เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้ อมรรัตน์เป็นแบบนี้ด้วย”
                “หยุดเถอะรัตติกาล ฉันประมาทไปหน่อย ไม่คิดว่านายจะสืบจนรู้ไปถึงขนาดนี้” ปามค่อยๆเดินตรงเข้ามา
                “ไม่นะปาม ฉันอยากรู้เรื่องที่เกิดขึ้น...เรื่องของเธอด้วย”แจนส่งสายตาห้ามเด็กสาวร่างเล็ก
                “เธอไม่จำเป็นต้องรู้ แจน” ปามจ้องไปที่กานต์พร้อมกับเดินเข้ามาเรื่อยๆ
                “ฉันต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้น อย่าเข้ามานะปาม!” แจนอ้าแขนทั้งสองข้างบังกานต์เอาไว้
                “ไม่จำเป็นต้องมีคนรู้เรื่องนั้นอีก ต่อให้เป็นเธอก็ตาม” ปามยกขวานในมือขึ้น
                “ฉันคงปล่อยให้เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอก” เอลลี่ใช้มือขวาจับที่ด้ามขวานของปาม “เธอเป็นหนูน้อยหมวกแดงของฉัน”  เด็กสาวเจ้าของผมสีทองจ้องเขม่งไปที่ปาม
                “ก็ว่าแล้วว่า มันคงไม่ง่าย” ปามพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่ค้อนในมือของเจมส์จะหวดใส่เอลลี่จากด้านหลัง
                เอลลี่เบี่ยงตัวหลบทันอย่างเฉียดฉิว “จริงๆแล้ว เรื่องทั้งหมดฉันก็รู้นะ” กรรณรัตที่เงียบอยู่นานยกมือขึ้นเธอยิ้มให้ปามอย่างเป็นมิตร ปามหันกลับไปจ้องกรรณรัตตาไม่กระพริบ
                “แหม จะดีหรอจ๊ะ แค่พี่สาวยังเอาไม่อยู่เลยนะ?” บรรณารักษ์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
                กานต์อาศัยจังหวะที่ทุกคนไม่ให้ความสนใจ “วิ่งล่ะจ้า!” กานต์รีบวิ่งหนีออกมา
                “ เดี่ยวก่อนสิ!!” แจนวิ่งตามกานต์ไปอย่างรวดเร็ว
            “ไม่มีประโยชน์ที่จะไปไล่พวกนั้นตอนนี้” ปามหันหน้ากลับมามองที่เอลลี่และกรรณรัต “เธอจะเอายังไงบรรณารักษ์?”
            “ฉันก็มีเป้าหมายของฉันอยู่นะ” หญิงสาวส่งยิ้มให้ปามก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาและมองไปที่กรรณรัต
                “งั้นเราก็เป็นเพื่อนกันสินะ” ปามพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
                “แค่ตอนนี้ล่ะนะ” หญิงสาวแทงใส่กรรณรัตทันที เด็กสาวเจ้าของผมสีดำรีบเบี่ยงตัวหลบก่อนจะค่อยๆเดินถอยหลังไปทางเอลลี่
                ในขณะที่เอลลี่ก็ค่อยๆเดินถอยหลังออกห่างจากปามและเจมส์ เด็กสาวทั้งสองถอยมาจนหลังชนกัน
                “เธอติดหนี้ฉันแล้วนะ” กรรณรัตยิ้มโดยที่ใบหน้ายังคงมีเหงื่อไหล่ซึมออกมา
                “หนี้ที่เธอชวยเพิ่มศตรูอีกคนน่ะหรอ?” เอลลี่ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
                “เป็นนักฆ่าด้วยนะ” กรรณรัตยิ้มหวานให้เอลลี่
                “แหมๆ ไม่คิดว่าจะได้มาฆ่าคนของ Parallel เลยนะเนี่ย” หญิงสาวเลียริมฝีปาก
                “ตอนนี้เราโดนล้อมแล้วนะ” เอลลี่กรอกตามองไปรอบๆ
                “มันง่ายจะตายไป” กรรณรัตยิ้ม “เธอจัดการผู้หญิงคนนี้ส่วนฉันจะถ่วงเวลาสองคนนั้นไว้ให้” กรรณรัตกระซิบเบาๆ
                “ฉันบาดเจ็บและไม่มีอาวุธ เธอจะให้ฉันที่อยู่ในสภาพนี้ไปสู้กับนักฆ่ามืออาชีพงั้นหรอ และอีกอย่างผู้ชายคนนั้นมีแรงเยอะมากเขาไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด ถ้าเรื่องที่รัตติกาลพูดเป็นความจริง อมรรัตน์ ที่อยู่ด้วยก็คงจะมีความสามรถไม่ต่างจากผู้ชายคนนั้น”
                “คิดเข้าสิ” กรรณรัตเบียดตัวเข้ามา
                “เธอก็แค่ส่งมีดมาให้ฉัน คงพอจะทำอะไรได้บ้าง”
                “เหลือเล่มเดียว ถ้าฉันให้เธอแล้วฉันจะใช้อะไรล่ะ”
                “ก็ไม่ต้องใช้ไง” เอลลี่ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
                “สมองเธอมันคงไปเลี้ยงไขมันสองก้อนนั้นมากเกินไปสินะ” กรรณรัตยิ้มน้อยๆ
                “แต่ฉันก็ภูมิใจที่ไม่ได้กระดานเหมือนเธอ” เอลลี่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย
                “เธอว่าอะไรนะ” กรรณรัตคิ้วขมวดจนติดกัน
                “กระดานไง” ปามกับเจมส์ และ นักฆ่าสาว ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ทั้งสองมากขึ้น
                “ยัยวัวนมไม่มีสมอง!” กรรณรัตตะโกนขึ้นพร้อมกับหันหลังและกระโดดถีบไปกลางอกของเจมส์จนล้มลง
                “กระดานไม่มีประโยชน์” พรอ้มๆกับกรรณรัตเอลลี่ก็หันหลังกลับหมุนตัวถีบไปที่อกบรรณรักษ์สาว หญิงสาวยกแขนขึ้นมาป้องกันได้ทัน
                ปามยกขวานในมือขึ้นแล้ววิ่งเข้าใส่เด็กสาวทั้งสอง พร้อมๆกับนักฆ่าสาวเธอเอาแขนลงกำมีดหลวมๆและพุ่งตัวเข้าไป
                เด็กสาวทั้งสองส่งมือให้กัน พวกเธอจับมือกันและกันและดึงเข้าหาตัวก่อนจะหมุนตัวสลับตำแหน่งกัน   
 เอลลี่และกรรณรัตเตะจระเข้ฟาดหางพร้อมกัน
                บรรณรักษ์สาวโดนเข้าไปที่ก้านคอเต็มๆ ร่างของเธอหมุนเกลี่ยวกลางอากาศมีดที่กำไว้หลวมๆหลุดมือก่อนจะล้มคว่ำลงกับพื้น ในขณะที่ปามโดนเข้าจังๆที่ใบหน้า หัวของเด็กสาวร่างเล็กสะบัด ไปด้านหลังก่อนที่ร่างของเธอจะกระเด็นล้มลงไป
กรรณรัตใช้เท้าเตะมีดที่ตกอยู่ขึ้นมาแล้วใช้มือรับไว้ “เอ้า!” เด็กสาวส่งมีดให้เอลลี่
“อาจจะเป็นกระดานที่มีประโยชน์ขึ้นมาหน่อยก็ได้นะ” เอลลี่รับมีด
“เป็นคำชมรึเปล่ายัยวัวนม”
................................................................................................................
“ฝนหยุดแล้วหรอ” เด็กสาวผู้มีผมสีขาววางกล่องพยาบาลไว้ข้างๆตัว เธอนั่งอยู่บนเตียง ผ้าพันแผลสีขาวถูกพันไว้รอบๆข้อเท้า บนใบหน้ามีพลาสเตอร์แผ่นใหญ่แปะอยู่ที่แก้ม
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มคิดอะไรบางอย่าง ‘เกมหนูน้อยหมวกแดงจะเกี่ยวกับการหายตัวไปของนักเรียนทุนหรือเปล่านะ? ถ้าคิดเรื่องที่โรงเรียนนี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของตำรวจการที่จะดำเนินเกมบ้าๆนี่ก็คงเป็นไปได้อยู่ ยังไงซะมันก็เป็นเรื่องของคนรวยที่ปิดปากตำรวจได้ แล้วมีเหตุผลอะไรล่ะที่จะต้องตามฆ่านักเรียนทุน หรือว่าเกมนี้จะไม่เกี่ยวกับนักเรียนทุนกันนะ?’
เสียงเปิดประตูห้องพยาบาลดังขึ้น เด็กสาวรีบมุดตัวหลบใต้ผ้าห่ม เสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ๆกับเธอ
“เอ๋ อยู่ไหนนะ” เสียงพูดพึมพำดังขึ้นพร้อมกับเสียงเปิดตู้ยาใกล้ๆ “เจอแล้ว” พูดจบเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆห่างออกไป
ทิวากาลค่อยๆเปิดผ้าห่มดู คนตรงหน้าเธอสวมชุดกาวสีขาว ร่างนั้นเปิดประตูห้องพยาบาลแล้วเดินออกไปโดยไม่ลืมที่จะปิดประตู เด็กสาวรีบมองตรงไปที่ตู้ยาทันที
เธอค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ อาการเจ็บที่ข้อเท้ายังคงอยู่ เด็กสาวค่อยๆเดินไปที่ตู้ยาแล้วเปิดออก “เจล..ล้างมือ?” ทิวากาลมองห่อเจลล้างมือที่ถูกแกะออก
...........................................................................................................
“ตามสองคนนั้นไป” ปามพูดออกคำสั่งกับร่างของเจมส์ที่กำลังนอนอยู่
ร่างของเจมส์ค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ เอลลี่รีบกระโจนเข้ามาหวังจะใช้มีดในมือแทงไปที่ร่างของเจมส์ แต่ทว่า
“ฉันแค่คนเดียวก็พอ” ปามใช้ขวานในมือบล็อกมีดเอาไว้ “รีบตามไปสิ!”
ร่างของเจมส์เริ่มออกตัววิ่งไปอย่างทุลักทุเล
“ดูเหมือนจะเป็นปัญหาแล้วนะ?” กรรณรัตตะโกนขึ้นในขณะที่เธอกำลังหลบการโจมตีของบรรณารักษ์สาว
“หลีกไป!” เอลลี่พยายามแทงใส่ปาม แต่เด็กสาวก็กันไว้ได้
“จะเก่งแค่ไหนแต่ถ้าร่างกายเป็นแบบนี้ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” ปามใช้ด้ามขวานปัดมีดของเอลลี่
“ก็บอกให้หลีกไปไงล่ะ!” เอลลี่แทงเข้าไปที่หัวไหล่ข้างขวาของปามอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากหัวไหล่เด็กสาว แต่สีหน้าของเธอยังนิ่งสงบอยู่
“ร่างกายเป็นแบบนี้แล้วยังทำได้ขนาดนี้ หึหึ” ปามแสยะยิ้มก่อนจะใช้มือขวาจับข้อมือเอลลี่ไว้ “แต่มันก็ยังไม่มีประโยชน์” ปามยกขวานขึ้นแล้วสับลงมาเล็งที่หัวของเอลลี่
เอลลี่ใช้มือซ้ายที่บาดเจ็บจับข้อมือของปามไว้ก่อนที่คมขวานจะมาถึงตัว เลือดค่อยๆซึมออกมาจากมือของเธอ
“คิดว่าจะสู้แรงฉันได้หรอ?” ปามบีบข้อมือเอลลี่แรงๆ ในขณะที่กดขวานอีกมือด้วย
เอลลี่พยายามเกร็งแขนทั้งสองข้างไว้ ก่อนจะปล่อยมือออกจากมีดแล้วกระชากแขนขวากลับจนหลุดจากการจับของปาม “ฉันก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น” เด็กสาวเจ้าของผมสีทองหมุนตัวและจับปามทุมทันที
ปามหลังกระแทกพื้นอย่างจังแต่สีหนาก็ยังคงนิ่งอยู่ “มันเป็นเรื่องโง่มาตั้งแต่แรกแล้วที่เธอ คิดจะฆ่าฉันด้วยมีดปลอกผลไม้นั้น”
“แสดงว่าเธอก็ตายได้เหมือนกันสินะ”เอลลี่ถอยออกมาจากปาม
“ไม่สนุกเลย” หญิงสาวถีบร่างของกรรณรัตล้มลง
“ ไม่เอาน่าฉันยังไม่แพ้สักหน่อย” กรรณรัตยิ้มมุมปาก
“เดี่ยวมันก็จบแล้วล่ะ ฉันจะบีบคอเธอให้ตายเลย” หญิงสาวแสยะยิ้ม ก่อนจะกระโดนขึ้นคร่อมบนตัวกรรณรัต
เอลลี่หมุนตัวถีบไปที่ร่างของหญิงสาว “ไม่มีประโยชน์จริงๆนะเธอเนี่ย” บรรณารักษ์ใช้มือรับเท้าของเอลลี่ก่อนจะม้วนตัวไปด้านหลัง
“หันหลังให้ฉันแบบนี้ก็แย่สิ” ขวานฟาดกวาดเล็งไปที่คอของเอลลี่
“แบบนี้ไม่ดีแน่” เอลลี่ก้มหัวหลบคมขวานทันอย่างเฉียดฉิวก่อนจะใช้มือขวากระชากกรรณรัตขึ้นมา “แยกกันก่อนเถอะ”
กรรณรัตพยักหน้าตอบรับ ทั้งสองผละออกจากกันแล้ววิ่งแยกไปคนล่ะทาง
..............................................................................................................
กานต์วิ่งลงบันไดมาพร้อมๆกับแจนที่วิ่งตามลงมาติดๆ
“ยังไม่เลิกตามอีกหรอเนี่ย” กานต์วิ่งต่อไปที่ทางเดินชั้น 2
“ หยุดหนีแล้วบอกความจริงกับฉันมานะ!” แจนวิ่งตามต่อ
กานต์วิ่งผ่านหัวมุมทางแยกไปก็เห็นห้องที่เปิดทิ้งไว้อยู่ “ห้องศิลปะหรอ” กานต์รีบตรงเข้าไปในห้องศิลปะทันทีโดยไม่ลืมที่จะปิดประตู
“ไปไหนแล้วนะ” แจนวิ่งมาถึงหัวมุม เธอหันซ้ายขวา ก็ไม่พบร่างของกานต์
กานต์สำรวจรอบๆตัว “น่าจะพอถ่วงเวลาได้บ้างสินะ” กานต์นั่งพักหายใจอยู่บนเก้าอี้
“เจอแล้ว” แจนเปิดประตูเข้ามา “บอกทุกอย่างที่เธอรู้มา” เด็กสาวยกมีดในมือขึ้นชี้ไปที่กานต์
“เธอไม่กลัวฉันบ้างหรอ?” กานต์เหลือบตามองไปที่แจน “ถ้าถึงขนาดต้องจ้าง Parallel มาฆ่าฉัน เธอไม่คิดบ้างหรอว่าแค่มีดทำครัวในมือของเธอจะทำอะไรฉันได้”
“โดนแทงเข้าไปก็ตายได้เหมือนกัน” แววตาของแจนเปลี่ยนไป
“ก่อนอื่นก็ระวังข้างหลังเธอ” เจมส์โผล่มาด้านหลังแจนเขายกค้อนในมือขึ้นเตรียมหวดลงมา“หมอบลง!!” กานต์ตะโกนพร้อมกับโยนเก้าอี้ในมือไป
“เดี่ยว...”แจนไม่ทันพูดจบเด็กสาวรีบก้มตัวลงทันที เก้าอี้ลอยปะทะเข้ากับใบหน้าของเจมส์อย่างจัง
แจนรีบวิ่งมาทางกานต์ ในขณะที่เจมส์ก็ค่อยๆก้าวตามเข้ามา
“จะโยนอะไรมาก็บอกก่อนสิ!” แจนถลึงตาใส่กานต์ ก่อนจะหันกลับไปมองเจมส์ที่ก้าวเข้ามาช้าๆ
เธอคุ้นๆหน้าเขาบ้างไหม กรรณตะนา” กานต์พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยสายตามองตรงไปที่เจมส์
“โอ้ย...” แจนเอามือทั้งสองกุมศีรษะเอาไว้ ความทรงจำค่อยๆไหลเข้ามาในหัวของเด็กสาว “ฉันปวดหัว...”
“เหมือนจะมีอะไรต่อจริงๆด้วยสินะ”
........................................................................................................................
หลายวันก่อน ที่ตึกเรียนบริเวณใกล้ๆ ห้องปฏิบัติการเคมี
                “อะไรวะเนี่ย...” เจมส์หน้าถอดสีเมื่อเห็นร่างคน 4 ร่างนอนอยู่บนเตียง แต่ล่ะคนมีผิวขาวซีดไร้ลมหายใจ
                “เห็นแล้วสินะ” ปามเดินเข้ามา
                “คนพวกนี้ตายแล้ว?” เจมส์หันไปมองปาม
                “ใช่ และนายจะต้องเป็นเหมือนพวกเขา” ปามหยิบมีดบนชั้นวางของใกล้ๆเตียงขึ้นมา
                “เดี่ยวสิ ไม่ตลกเลยนะ” เจมส์เดินถอยหลังไปช้าๆ “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
                “ปามฉันเจอแล้ว” แจนวิ่งเข้ามาด้านในห้อง
                “ออกไปซะ แจน” ปามพูดโดยไม่หันไปมอง
                เจมส์ยกถาดที่ที่ใส่อุปกรณ์ผ้าตัดไว้ แล้วโยนใส่ปาม
                “ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะดิ้นรน” ปามปัดถาดที่ถูกโยนมาด้วยแขนซ้าย
                “อย่าเข้ามานะ!” เจมส์ล็อคคอแจนเอาไว้ “ถ้าเข้ามาล่ะก็ฉันไม่รู้ด้วยนะ!” เด็กหนุ่มจ่อเข็มฉีดยาที่คอของแจน
                “คิดว่าทำแบบนี้แล้วจะรอดไปได้หรอ” ปามพุ่งตัวเข้าหาเจมส์ทันที
                “โถ่ เว้ย!” แจนดิ้นไปมาเจมส์เสียหลักเล็กน้อย เข็มในมือเขาแทงลงไปที่คอของเด็กสาวผมสั้น
                ดวงตาของแจนเบิกกว้าง ยาในหลอดค่อยๆถูกฉีดเข้ามา
                “ฉัน..ไม่ได้ตั้งใจนะ” เจมส์หน้าถอดสีก่อนจะรีบผละตัวออกจากแจน
                “ไม่ให้หนีได้หรอก!” ปามแทงเล็งไปที่ท้องเจมส์ มีดผ่าตัดเสียบทะลุท้องของเด็กหนุ่ม เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากบาดแผล
                “อ๊าก!” เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะชกไปที่หน้าของปาม
                ปามชักมีดออกมาจากตัวของเด็กหนุ่มแล้วแทงกลับไปไม่หยุด ”ตายซะ!”
                “ไม่...ฉันต้องไม่ตาย!!!” เจมส์ถีบร่างของเด็กสาวออกไป ก่อนจะเริ่มหันหลังวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล เลือดสีแดงสดไหลไปตามทางบอกตำแหน่งของเด็กหนุ่ม
                ปามรีบวิ่งไล่ตามไปทันที ทิ้งให้แจนนั่งอยู่ในห้องเพียงลำพัง ใบหน้าของเด็กสาวเริ่มซีด เหงื่อตามตัวเริ่มไหล
                “อั๊ก...” แจนล้มตัวลงดิ้นกันพื้น ความรู้สึกเจ็บเหมือนร่างจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เธอค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นมาแล้วเดินออกจากห้อง
                ใบหน้าของเจมส์เริ่มซีดลง เขาค่อยๆลากร่างกายหนักๆไปตามทางเดิน ในขณะที่ปามก็ใกล้ถึงตัวเขาแล้ว เด็กหนุ่มรีบก้าวยาวๆจนไปตันอยู่ที่หน้าต่าง
                “ตายซะเถอะ!” ปามพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับมีดในมือ
                เจมส์เอนตัวไปด้านหลัง เขาจับข้อมือของปามใส่แรงทั้งหมดเท่าที่มีเพื่อหยุดเธอเอาไว้ ด้วยแรงส่งของเด็กสาวหลังของเจมส์กระแทกเข้ากับกระจกหน้าต่างจนแตก ร่างของเด็กหนุ่มล่วงลงมาจากชั้น 2 ลงไปในพุ่มไม้
            “นั้นใคร” เสียงคนจากด้านล่างดังขึ้น ปามรีบหลบตัวแอบข้างๆหน้าต่าง
                “ฉัน...ต้องไม่ตาย” เจมส์ตะเกียดตะกายออกมาจากพุ่มไม้
                “มีคนเจ็บค่ะ!” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำตะโกนขึ้น “นายไปโดนอะไรมาเนี่ย” กรรณรัตรีบตรงเข้าไปหาเจมส์
                “ที่ห้องปฏิบัติ..เคมี มีศพอยู่....” เจมส์แค้นเสียงพูดเบาๆก่อนจะล้มลงไป
                หน่วยรักษาความปลอดภัยรีบตรงเข้ามาหาเจมส์ “เรียกรถพยาบาลด่วน มีคนโดนแทงบาดเจ็บสาหัส” ชายหนุ่มวิทยุบอกคนที่เหลือ “หนูออกไปก่อนเลย เดี่ยวตรงนี้พวกฉันจัดการเอง” ชายหนุ่มหันมาไล่กรรณรัต เด็กสาวพยักหน้าและหันหลังเดินไป
                แจนค่อยๆพยุงร่างของตัวเองเดินลงบันไดมาช้าๆ ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามาหนักขึ้นเรื่อยๆ จนสติของเธอเริ่มเลือนราง ก่อนที่ร่างของเด็กสาวจะล้มลงตกจากบันได
...............................................................................................................
            “ทำไม..ฉันถึงจำไม่ได้” ดวงตาของแจนเบิกกว้าง “ยานั้น ฉันโดนฉีดยานั้นแล้ว”
                เจมส์หวดค้อนลงมาใส่ทั้งสอง กานต์รีบผลักแจนให้พ้นระยะ“อย่ามัวแต่เหม่อสิ!”
                แจนล้มลงนอนคว่ำกับพื้น เจมส์หันมาหากานต์ “ฉัน...ฉัน ปวดหัว” เด็กสาวค่อยๆลุกขึ้นช้าๆ เธอใช้มีซ้ายกุมศีรษะเอาไว้
                “ยาที่เธอโดนฉีดเข้าไป อาจจะเกี่ยวกับสภาพแบบนี้ของเจมส์ก็ได้สินะ” กานต์เบี่ยงตัวหลบค้อนที่หวดลงมา “ถ้าไม่มีความเจ็บปวด ไม่รู้จักตายแบบนี้ มือเปล่าคงทำอะไรไม่ได้”
                แจนค่อยๆเดินช้าๆมาทางร่างของเจมส์ มีดทำครัวถูกยกขึ้นสูงก่อนจะแทงใส่หัวไหล่ของเจมส์
                “เดี่ยวก่อนสิ...แบบนี้” กานต์มองภาพตรงหน้าก่อนจะถอยหลังมา
                แจนใช้มีดทำครัวในมือแทงลงไปที่ร่างของเจมส์ไม่หยุด เลือดสีแดงสดสาดกระจายไปทั่วห้องศิลปะ
                เจมส์หันกลับไปตบหลังมือใส่แจน ร่างของเด็กสาวกระเด็นล้มลง เด็กหนุ่มรีบหวดค้อนลงใส่ร่างแจนทันที แต่ทว่าแจนพุ่งตัวขึ้นมาแล้วแทงเข้าไปที่ร่างของเจมส์ได้ก่อน
                “นี่มัน...” กานต์จ้องมองภาพตรงหน้า ภาพของทั้งสองที่เข้าต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง “นี่มันจะบ้ากันไปใหญ่แล้ว”กานต์ถอยจนหลังติดกำแพง
                เลือดสาดกระจายไปทั่วบริเวณ กานต์ยังคงจ้องมองไปที่ทั้งสองโดยไม่ละสายตา ทั้งสองที่ไม่มีความเจ็บปวด พวกเขาต่อสู้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย ใช่แล้วมันคือ..
                ‘การต่อสู้ของคนตาย’
........................................................................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา