Secret File:Innocent Trap

8.3

เขียนโดย Elichika

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.

  13 บท
  1 วิจารณ์
  14.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) Broken Night

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter VIII Broken Night

            ซ่า ซ่า ซ่า สายฝนโหมกระหน่ำเทลงมาท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึมของโรงเรียนตอนกลางคืน บรรณารักษ์สาวควงมีดในมือของเธออย่างชำนาญ ก่อนจะพุ่งตัวไปด้านหน้าและแทงใส่เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาว กรรณรัตใช้มีดในมือปัดออกแล้วหมุนตัวถีบเข้าไปที่ท้องน้อยของหญิงสาว

                เธอเซถอยมาด้านหลังก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ “แบบนี้ก็แย่น่ะสิ” หญิงสาวถอดแว่นออก “ฝนตกแบบนี้คนใส่แว่นน่ะเสียเปรียบนะ” เธอยิ้มน้อยๆ

                “ทำให้เต็มที่เถอะ ใครจะตายก็เห็นๆกันอยู่” เด็กสาวพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะวิ่งเข้าไปหาหญิงสาว

                “ชัดขึ้นเยอะเลยนะ ภาพของเธอน่ะ” หญิงสาวตวัดปลายเท้าเตะน้ำขังบนพื้นใส่เด็กสาว กรรณรัตยกแขนขึ้นป้องกันก่อนที่ละอองน้ำจะเข้าตา เด็กสาวเอาแขนที่ป้องกันลง แต่ตอนนี้หญิงสาวไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว “ก็บอกว่าฉันเห็นเธอชัดขึ้นยังไงล่ะ!”

                “เสร็จกัน!” หญิงสาวโผล่มาด้านหลังเด็กสาวก่อนจะใช้มีดในมือแทงลงเล็งไปที่กลางหลัง กรรณรัตรีบพลิกตัวหลบ ทำให้โดนแค่เฉียดๆ ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่สมองของเด็กสาวความรู้สึกของมีดคมกริบที่กรีดผ่านเนื้อของเธอไป

                “แค่ถากๆสินะ” กรรณรัตรีบกระโดดถอยออกมา แต่เพราะสภาพพื้นที่เปียกแฉะทำให้เธอเสียหลัก “ประสบการณ์มันต่างกัน” หญิงสาวผุดยิ้มบนใบหน้าก่อนจะพุ่งตัวเข้ามาหาร่างของเด็กสาวที่กำลังเสียหลัก มีดในมือของเธอแทงผ่านทะลุสายฝนเล็งมาที่อกของเด็กสาว

                “ยังหรอก” กรรณรัตเอนหลังลง เธอเตะเสยขึ้นไปที่ข้อมือของหญิงสาว ก่อนจะม้วนตัวตีลังกา กลับหลัง มีดในมือหญิงสาวตกลงพื้น

                “โหว น่าสนใจ” หญิงสาวล่วงมือไปด้านหลังเธอหยิบกระบองสั้นแบบหน่วยรักษาความปลอดภัยขึ้นมา “ทางนี้ก็คงไม่ออมมือให้แล้วล่ะ” หญิงสาวผุดยิ้มที่มุมปาก

                “ทางนี้ก็เช่นกัน” กรรณรัตหยิบมีดอีกเล่มขึ้นมา “เล่มนี้พิเศษหน่อยนะขอเตือนไว้”

...............................................................................................

                เจมส์บีบไหล่ของกานต์แน่นจนมีเสียงลั่นของกระดูกดังขึ้น

                “แรงนี่มันอะไรกัน” กานต์ย่อตัวลงต่ำก่อนจะหมุนตัวจับ เจมส์ทุ่มลงกับพื้น หลังของเขากระแทกลงพื้นจังๆ กานต์ไม่ปล่อยโอกาสรีบวิ่งเข้าหาตัว ปามทันที แต่ทว่า!

            “ก็บอกแล้วนิว่าไม่ง่าย” ปามพูดโดยไม่แสดงสีหน้า มือของเจมส์จับข้อเท้าของกานต์ไว้แน่น กานต์รีบหันกลับใช้เท้าที่ว่างกระทืบลงไปที่ข้อมือของเจมส์แรงๆจนคลายออก ขวานดับเพลิงแหวกผ่านลมหวดแนวนอนเล็งมาที่หัวของกานต์จากด้านหลัง

                กานต์ก้มลงหลบขานได้อย่างฉิวเฉียด “ประมาทไปจนได้” ปามรีบเปลี่ยนท่าและหวดต่อมาทันที กานต์หมุดตัวและถีบปามออกไปก่อนที่คมขวานจะมาถึงตัว ร่างของเด็กสาวกระเด็นถอยไปก่อนจะล้มปามรีบก้มตัวลงต่ำเพื่อไม่ให้หงายหลัง

                เจมส์ค่อยๆลุกขึ้นยืน กานต์หันมองรอบตัว ปามทำท่าเตรียมจะวิ่งเข้าใส่กานต์อีกครั้ง ในขณะที่เจมส์ก็กำลังจะกระโจนเข้ามา

                “ขี้โกงนิน่า” กานต์ก้มหัวหลบขวานของปาม คมของมันเข้าปะทะกับหัวของเจมส์อย่างจัง ‘โผละ’ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็น กานต์อาศัยจังหวะนั้นถีบร่างของปามออกแล้ววิ่งตรงไปข้างหน้า ปามกระชากขวานออกจากหัวของเจมส์ เลือดสีแดงสดไหลออกมา ตอนนี้เด็กหนุ่มไม่เหลือเค้าโครงความหล่ออีกแล้ว หัวของเขาแหว่งหายไป

                “จับมัน” ปามพูดเบาๆ เจมส์รีบออกตัววิ่งตามกานต์ไป ร่างนั้นวิ่งเหมือนคนไม่มีแรงแต่ก็มีความเร็วที่สูงเลยทีเดียวเมื่อเทียบกับคนปกติ

                กานต์วิ่งหลบเข้าไปในอาคารเรียนสายศิลป์ “เสียงฝีเท้าหยุดแล้ว?” กานต์หันไปมองด้านหลังก็ไม่เห็นเจมส์อยู่ “เหมือนจะรอดแล้วสินะ แต่จะได้อีกนานแค่ไหนกันนะ” กานต์หันมองรอบๆตัว ก่อนจะเปิดประตูห้องดนตรีที่ 4 แล้วเดินเข้าไป

.......................................................................................................

                “เอาจริงหรอเนี่ย?” ทิวากาลจ้องไปที่ร่างของเด็กสาวเจ้าของผมสีทอง สภาพของเอลลี่ตอนนี้ แขนขวาของเธอเต็มไปด้วยบาดแผลมีเลือดไหลซึม และมือซ้ายถูกพันแผลห้ามเลือดอย่างหยาบๆด้วยโบว์จากชุดนักเรียน

                “จะเอาจริงได้รึยัง?” เอลลี่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยเด็กสาวจ้องมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาที่ว่างเปล่า

                “ก็ได้ยินมาเยอะเหมือนกันนะเรื่องฝีมือของเธอ คงต้องขอดูหน่อยแล้วล่ะ” คุริสึยิ้มมุมปาก มีดในมือของเขาเล็งแทงมาที่หัวใจของเอลลี่อย่างรวดเร็ว

                เอลลี่เดินเข้าหาคมมีดก่อนจะเบี่ยงตัวหลบออกด้านข้างอย่างเฉียดฉิว เด็กสาวก้าวไปข้างหน้าก่อนจะใช้มือซ้ายกระชากผ้าคลุมของชายหนุ่ม

                “ไวจริง!” ชายหนุ่มเสียหลัก เขารีบสลับมีดไปถือมือซ้าย และหันกลับมาฟันใส่เอลลี่ เด็กสาวก้มลงพร้อมกับหมุนตัวเพื่อใช้มีดในมือขวาฟันเข้าที่ข้อพับขาของชายหนุ่ม

                “ชอบใช่ไหมล่ะ เสียงกรีดร้องของเหยื่อน่ะ” ชายหนุ่มเซเล็กน้อย ดูเหมือนบาดแผลจะยังลึกไม่พอ “ฉันกับแก ใครจะล้มก่อนกัน” เอลลี่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชายหนุ่มตั้งหลักและบุกเข้าหาเอลลี่ทันที เขาสลับมือขวาซ้ายถือมีดและฟันสลับแทงอย่างรวดเร็ว

                ชายหนุ่มแสยะยิ้ม เอลลี่ค่อยๆก้าวถอยหลังและโยกหัวหลบมีดไปมาโดยที่ใบหน้าของเธอไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ก็ทำได้แค่หลบไปหลบมาไม่ใช่รึไง”

                “แกท้าเองนะ” เอลลี่ตวัดข้อมือเบาๆฟันเข้าที่เส้นเอ็นมือขวาของคุริสึ มีดในมือของชายหนุ่มหล่นลง เด็กสาวก้าวไปข้างหน้าและฟันเล็งไปที่คอของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว คุริสึใช้มือซ้ายรับมีดที่กำลังจะตกพื้นและยกมันขึ้นมากันคมมีดของเอลลี่

                คุริสึปัดมีดของเอลลี่ออก ก่อนจะก้มตัวลงพุ่งไปด้านหน้าและฟันเข้าที่ท้องของเอลลี่ เด็กสาวมุดตัวหลบไปด้านหลังของคุริสึและใช้มีดในมือแทงเข้าที่กลางหลังของชายหนุ่ม ‘ฉึก!’

                คุริสึรีบผละตัวออก “จะดีหรอ?” เอลลี่กำมีดในมือแน่น ก่อนที่แผ่นหลังของชายหนุ่มจะหลุดจากคมมีด เธอแทงคว้านหลังขึ้นไปถึงหัวไหล่ขวาของชายหนุ่มและกระชากมีดออกมา เลือดสีแดงสดสาดกระจายเปื้อนใบหน้าของเด็กสาว

                “อ่า...เจ็บจริงๆเลย” คุริสึแสยะยิ้มไหล่ขวาของเขาทรุดลงเพราะบาดแผลที่เอลลี่ทำ “แต่ก็สนุกดี”

                “แกคงรู้เหตุผลที่ฉันไม่ฆ่าแกตอนนี้สินะ?” เอลลี่ควงมีดในมือไปมา

                “ไม่รู้สิ” คุริสึยิ้มมุมปาก

                ‘ฉึก’ เอลลี่ปามีดในมือของเธอปักเข้าที่กลางฝ่ามือข้างที่ถือมีดอยู่ของคุริสึ “แค่นี้แกก็ตุกติกลำบากหน่อยล่ะ” เอลลี่ถีบเข้าไปที่ยอด อกของคุริสึ ร่างของเขากระเด็นล้มลง

                “โอ้ว...วิวดีเหมือนกันนะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก

                “หมาป่าที่แกต้องฆ่ามีใครบ้าง?”

.................................................................................................

                กานต์ค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้สำหรับเล่นเปียโน เสียงฝีเท้าผ่านหน้าห้องดนตรีไป กานต์ก้มหน้าถอนหายใจออกมา ก่อนจะเริ่มมองสำรวจไปรอบๆห้อง มีรูปภาพนักเรียนที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันต่างๆ

                “ชื่อนี้มัน...” กานต์จ้องไปที่รูปใบหนึ่ง ‘รางวัลรองชนะเลิศการแข่งขัน เปียโน ในหัวข้อ เพลงคลาสสิค

นักเรียนมัธยมปลายปี 2 นางสาว สุนิศา สมพงษ์ ปี 1995’

                เสียงเปิดประตูดังขึ้น กานต์รีบหันกลับไปมอง

                “ยังไม่กลับอีกหรอ?” แจนเดินเข้ามาก่อนจะปิดประตูเบาๆ

                “พอดีจำได้ว่าลืมของไว้น่ะ” กานต์พูดยิ้มๆ “ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่ตอนนี้ล่ะเนี่ย”

            “จริงๆแล้ว พอคิดอะไรไม่ออก ฉันก็จะแวะมาเล่นเปียโนที่ห้องนี้” แจนเดินตรงเข้ามา “เธอจะเล่นหรอ?”

                “อ่อ อืม แต่ว่าคิดไป...นี่มันก็ดึกแล้วอย่าเล่นเลยดีกว่า”

                “งั้นฉันขอเล่นหน่อยสิ”

                “ฉันว่าอย่าเลย ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาเล่นดีกว่า” กานต์ยิ้มแห้งๆ “ว่าแต่..ผู้หญิงคนนั้น เธอหน้าเหมือนเขาเลยนะ” กานต์ชี้ไปที่รูป

                “อ่อ นั้นคุณแม่ของฉันเอง” แจนลูบนิ้วลงบนคีย์เปียโนเบาๆ “ฉันจะรู้สึกสงบ เวลาที่แม่อยู่ด้วยน่ะ”

                “งั้นหรอ เพราะแบบนี้ถึงมาเล่นที่ห้องนี้สินะ” กานต์ยิ้มมุมปาก

                “อือ ฉันน่ะทำตัวไม่ค่อยถูกเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่าไหร่ เลยทำอะไรผิดพลาดบ่อยๆ” เด็กสาวมองต่ำลงด้วยแววตาแสนเศร้า “แม่ชอบดุฉันบ่อยๆ”

                “เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ เรื่องคุณแม่ของเธอน่ะ” กานต์มองออกไปนอกหน้าต่าง “ฝนยังไม่หยุดตกเลย”

            “อยากฟังจริงๆหรอ?” แจนหันมองหน้ากานต์

                “ก็เรายังมีเวลาอีกเยอะนี่นะ” กานต์ยิ้มให้แจน

                “ฉันอยู่กับแม่ตอนเด็ก” แววตาของเด็กสาวเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง

.......................................................................................................

                ตอนที่ฉันยังเด็ก แม่ฉันชอบเล่นเปียโนให้ฟังก่อนนอน เธอมักจะเล่นเพลง twinkle little star และฮัมเพลงไปด้วยจนฉันหลับไป แม่มักจะปลุกฉันด้วยกลิ่นหอมของมื้อเช้า เธอยิ้มอยู่เสมอ ฉันมีความสุขมากเวลาที่ได้อยู่กับแม่

                “ผมมารับตัวลูกสาวของนายท่านแล้วครับ” ชายฉกรรจ์ในชุดสูทสีดำมาที่บ้านของฉัน

                “หมายความว่ายังไง? ฉันจะเป็นคนเลี้ยงดูเด็กคนนี้เอง” รอยยิ้มของแม่หายไป

                “เรื่องนั้นผมอยากจะพูดคุยกับคุณนายเป็นการส่วนตัวน่ะครับ” ชายฉกรรจ์หันหน้ามาที่ฉัน เขามองหน้าฉันผ่านแว่นกันแดด สีหน้าดูเรียบเฉยไม่รู้สึกอะไร

                “เข้าใจแล้วค่ะ” แม่ก้มลงมายิ้มให้ฉัน “แจนไปเล่นในห้องก่อนนะลูกแม่ต้องคุยธุระกับคุณลุง”

                ฉันพยักหน้าให้แม่ แล้วเดินไปที่ห้อง ฉันทำทีเป็นปิดประตูห้องแล้วแอบฟังทั้งคู่คุยกันอยู่ห่างๆ

“คือว่านะครับ คุณผู้ชายไม่มีทายาทสืบสกุลกับภรรยาคนใหม่ นายหญิงแม่ของคุณชายเลยมีข้อเสนอให้กับคุณ”

                “ข้อเสนอ?”

                “ใช่ครับ เพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูเราจะส่งเงินมาให้คุณทุกๆเดือน โดยไม่ให้คุณต้องทำงาน”

                “คุณคิดจะซื้อลูกสาวฉันด้วยเงินงั้นหรอ”

            “รวมทั้ง ค่ารักษาพยาบาลโรคของคุณด้วย”

                “........”

            “เรารู้ว่าคุณป่วยเป็นลูคีเมีย อาการกำลังแย่ลงเรื่อยๆ ไหนคุณจะต้องทำงานจ่ายค่ารักษาพยาบาลและหาเลี้ยงลูกสาวอีก”

            “ฉันทำได้ค่ะ”

                “มันจะดีต่อลูกสาวคุณจริงๆหรอครับ? แม่ต้องหามทำงานหนัก จะอาการทรุดหนักเข้าวันไหนก็ไม่รู้ ยิ่งคุณหนูโตขึ้นภาระค่าใช้จ่ายของคุณก็มากขึ้น คุณอาจจะแทบไม่มีเวลาให้เธอ เธออาจจะเป็นเด็กขาดความอบอุ่นเข้าสักวันก็ได้”

            “มันก็จริงอยู่...”

                “ไม่ว่าคุณจะอยากอยู่กับเธอมากแค่ไหน แต่ผมอยากให้คุณตัดสินใจดีๆนะครับ จะเอาความสุขส่วนตัวของคุณ หรือจะเลือกอนาคตที่ดีกว่าให้ลูกสาวคุณ”

                “ฉัน...จะยังพบหน้าเธอได้ไหม?”

                “ได้สิครับ คุณหญิงกับคุณชายเธอไม่ได้กีดกันเรื่องนี้อยู่แล้ว ยังไงคุณก็เป็นแม่ของเธอ”

                “ฉัน..ตกลงค่ะ”

                หลังจากนั้น ฉันก็ต้องย้ายไปอยู่กับคุณพ่อ ในตอนนั้นฉันร้องไห้จะเป็นจะตายไม่อยากจากกับคุณแม่ ฉันไม่เข้าใจว่าแม่ต้องแบกรับอะไรไว้บ้างฉันเพียงแค่ ไม่อยากจากไปไหน ไม่อยากอยู่ห่างกับแม่

                ชีวิตความเป็นอยู่ใหม่ของฉันแปลกไป บ้านที่ใหญ่โตขึ้น อาหารดีๆ มีคนคอยรับใช้ แต่ว่า มันช่างเงียบเหงา ฉันต้องใช้เวลาปรับตัวกับสังคมใหม่ โรงเรียนใหม่ โดนดูถูกว่าเป็นลูกนอกสมรส ไม่เคยอยู่ในสายตาของพ่อและคนในบ้าน

                จนฉันเริ่มชินชากับชีวิตแบบนี้ ทุกๆคนเข้ามาเพื่อผลประโยชน์ ที่นี่ไม่มีความจริงใจอยู่เลย

                “แกจะต้องเป็นผู้สืบทอดของที่นี่ เป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูลนี้” คุณย่าพูดกับฉันในห้องทำงานของท่าน

                “ค่ะ คุณย่า”

                “แกไม่มีสิทธิ์เรียกฉันแบบนี้ เรียกท่านประธานสิ” เธอจ้องฉันด้วยสายตาเย็นชา

                “ค่ะ ท่านประธาน”

                ฉันได้รับการเรียนเรื่องมารยาทและการปกครอง ความรู้ของชนชั้นสูง ฉันต้องเดินทางไปร่วมงานปาร์ตี้และกิจกรรมต่างๆของคุณพ่อ แม้ว่าใจจริงของฉันจะไม่อยากไปแค่ไหนก็ตาม ฉันได้แต่เฝ้ารอ คุณแม่... วันที่จะได้อยู่กับเธออีกครั้ง

                จนเวลาผ่านไปหลายปี ฉันก็ได้เจอกับคุณแม่ ผู้หญิงที่ฉันรักที่สุด ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอ ตอนนี้มันก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ แม้ว่าเธอจะดูไม่แข็งแรงและผอมลงกว่าแต่ก่อนก็ตาม

                ในวันหยุดฉันมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่กับแม่

                “ที่โรงเรียนเป็นไงบ้างจ๊ะ?” พวกเรานั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหารเล็กๆในตัวเมือง

                “ก็ดีค่ะ คุณแม่ แต่เหมือนเกรดเทอมนี้จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

            “พยายามอีกหน่อยสิจ๊ะลูก คุณพ่อกับคุณย่าจะได้สบายใจ”

                “แม่จะมาเข้าใรอะไรล่ะ...” ฉันรู้สึก...ไม่ดีเลย “ความรู้สึกของหนูที่ต้องไปอยู่ที่นั้นแม่ไม่เข้าใจหรอก”

                “ใจเย็นๆก่อนสิจ๊ะลูก”

                “หนูใจเย็นแล้วนะแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ทิ้งหนูไปหนูก็ไม่ต้องมาอยู่กดดันแบบนี้หรอก!!” ฉันระเบิดอารมณ์ความกดดันที่สะสมมานานใส่แม่ ในหัวของฉันมันโล่งไปหมดทุกอย่างที่ฉันคิดมันถูกพูดออกไปโดยที่ฉันไม่สามารถควบคุมมันได้ “ทุกอย่าง..เป็นความผิดของแม่ ทุกๆอย่าง!!”

            แม่มองหน้าฉัน เธอได้แต่ยิ้มโดยที่มีน้ำตานองใบหน้า “ระบายออกมาเถอะลูก...แม่น่ะ เป็นคนเห็นแก่ตัวที่ทอดทิ้งหนูเพราะเงิน”

            “ รู้ตัวก็ดีแล้ว!! หนูน่ะเกลียดคนอย่างแม่ที่สุด!” ฉันทุบโต๊ะแรงๆก่อนจะ รีบวิ่งออกไป

                แม่ยังคงมาเยี่ยมฉันบ้างเป็นบางครั้ง ฉันได้แต่ยิ้มหัวเราะให้เธอ แต่ทุกครั้งที่เธอพยายามจะบอกอะไรกับฉัน มันทำให้ฉันหงุดหงิดทุกครั้ง

                เวลาผ่านไปจนฉันเริ่มลืมไปแล้วว่า ตัวฉันเป็นคนยังไงกันแน่?

..............................................................................................................................

                ฝนยังคงเทลงมาไม่ขาดสายส่งผลให้อากาศภายในห้องดนตรีเย็นสบาย กานต์หรี่ตาลงจ้องมองไปที่เด็กสาวตรงหน้า

                “เธอในตอนนี้ ก็คือตัวเธอนั้นล่ะ” กานต์แตะมือเบาๆบนไหล่ของเด็กสาว “เธอลืมมองสิ่งที่สำคัญที่สุดไปรึเปล่า?”

            “สิ่งที่สำคัญที่สุด?”

                “ตัวเธอเองยังไงล่ะ” กานต์ส่งยิ้มให้เธอก่อนจะเดินไปที่หน้าประตู “ฝนน่าจะไม่หยุดง่ายๆแล้วล่ะ ฝ่าไปเลยน่าจะดีกว่า”

                ‘เผล็ง!!’ คมขวานจามทะลุกระจกประตูเข้ามา กานต์เอนตัวหลบไปด้านหลังด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่ประตูจะค่อยๆถูกเปิดออกช้าๆ

                “เจอตัวแล้ว” ปามชักขวานออกมาก่อนจะเดินตรงเข้ามาหากานต์

                “ปาม....” แจนค่อยๆเดินถอยหลังช้าๆ

                “นี่ไม่ใช่เวลาจะมายืนงงนะ กรรณตะนา” กานต์คว้ามือเด็กสาวแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องดนตรีด้วยประตูอีกบาน

                “ทำไมล่ะปาม....” แจนหน้าถอดสี ใบหน้าของเธอมีเหงื่อซึมไหลออกมา เธอมองไปหากานต์ ที่กำลังจับมือพาเธอวิ่งอยู่

                “พอดีมันอธิบายยากนิดหน่อยน่ะ” กานต์พูดโดยยังวิ่งต่อไป

                แจนมองแผ่นหลังของกานต์โดยไม่พูดอะไร ‘การที่ปามไล่ฆ่ารัตติกาลแบบนี้ แสดงว่ารัตติกาลคงรู้อะไรบางอย่างเข้าแน่ๆ’ “รัตติกาล”

            “หืม?”

                “เธอเป็นคนของทางนั้นสินะ”

.........................................................................................................................

                “ก็ตามใจแกนะถ้าไม่พูดฉันก็ไม่มีอะไรต้องคุยกับแก” เอลลี่หันหลังให้คุริสึ

                “ความลับทางธุรกิจน่ะแหม” คุริสึยิ้มน้อยๆ

                “ตามใจ” เอลลี่เดินไปหาทิวากาล

                “แล้วเธอไม่ฆ่าฉันรึไง?” คุริสึค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นมาช้าๆ

                “เบื่อแล้วล่ะ” เอลลี่โยนสร้อยคอไปด้านหลังมันตกลงตรงหน้าของคุริสึ “เก็บไว้สิ ของสำคัญไม่ใช่หรอ” เด็กสาวค่อยๆพยุงร่างของทิวากาลให้ยืนขึ้นช้าๆ

                “เธอ...เอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่” คุริสึรีบเก็บสร้อยคอตรงหน้าเขาอย่างร้อนรน

                “ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่า ฉันไม่เกลียดความคิดนี้หรอกนะ แต่วันนี้จะไม่มีใครถูกฆ่าทั้งนั้น” เอลลี่พาเด็กสาวเดินออกไปจากอาคาร ทิ้งให้คุริสึนั่งมองตามหลังไปเท่านั้น

                “ไอริ...ฉันยังไม่ตาย” คุริสึกำสร้อยในมือไว้แน่น สร้อยคอล็อกเก็ตในมือของเขา มีรูปหญิงสาวคนหนึ่งอยู่

                เอลลี่ถือร่มด้วยมือขวา และใช้มือซ้ายพาดไหล่ทิวากาลเพื่อพยุงให้เธอเดินต่อไปได้

                “ผิดคาดเลยนะเธอน่ะ...” ทิวากาลส่ายหัวถี่ๆ เพราะยังคงมึนหัวจากแรงกระแทกอยู่

                “อืม” เอลลี่ยังคงมองตรงไปข้างหน้า

                “เธอจะไปไหน..”

                “ช่วยหนูน้อยหมวกแดงของฉัน”

                “เธอเป็นหมาป่าไม่ใช่หรอ?”

                “เกมนี้ไม่ได้มีผู้สร้างเพียงคนเดียว ไม่แปลกหรอกที่จะมี นายพรานและหมาป่าเป็นคนเดียวกัน”

                “แบบนี้มัน...”

            “ใช่ ผู้สร้างที่ไม่ลงรอยกันจะส่งนายพรานมาฆ่าเป้าหมายที่ต้องการโดยอ้างว่าเป็นหมาป่า”

                “หนูน้อยหมวกแดงของผู้สร้างคนหนึ่งก็อาจจะเป็นหมาป่าสำหรับผู้สร้างอีกคนหนึ่งสินะ”

            “มันก็ใช่ หมาป่าจะเป็นทั้งเป้าหมายและตัวเกะกะสำหรับผู้สร้าง หมาป่าบางคนอาจจะไม่รู้เรื่องของเกม เป็นแค่เป้าหมายที่ผู้สร้างจะฆ่า”

            “และจะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นเป้าหมายหรือตัวเกะกะ”

                “จะมีระดับไล่เรียงกัน A B C D จะบอกถึงระดับฝีมือ และเป็นตัว เกะกะ “

                “และ S ล่ะ?”

            “เป้าหมายที่ต้องกำจัด”

...................................................................................

เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาวพิงตัวอยู่ที่บันไดทางขึ้นชั้น 2 ของอาคารเรียนสายศิลป์ เธอถอดเสื้อกักออกแล้วบิดน้ำ

                “อยู่ไหนน่า คานะจัง” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นด้านบนชั้น 2 กรรณรัตรีบกระโจนหลบด้านข้างบันได “ออกมาเถอะน่า” บรรณารักษ์สาวค่อยๆก้าวลงบันไดช้าๆ

                มีดเล่มหนึ่งถูกขว้างเล็งมาที่หัวของหญิงสาว เธอเอียงตัวหลบมีดเล่มนั้นแบบสบายๆ มีดชนเข้ากับกำแพงจนมีเสียงดังก้องไปทั่วอาคาร

                “ไม่เอาแบบนี้สิ พี่สาวไม่สบายใจเลยนะ” หญิงสาวค่อยๆเดินลงมา เธอหันมองรอบๆตัวก่อนจะหยุดเดิน “มีดเล่มนั้นหายไปไหน?”

                ทันใดนั้นร่างของหญิงสาวก็โดนลากจนหลังกระแทกกับราวบันได เหมือนมีบางอย่างรัดคอเธออยู่

                “อะ..หายใจไม่ออก....ตั้งแต่เมื่อไหร่” หญิงสาวจับไปที่เส้นเอ็นที่รัดคอเธออยู่ก่อนจะพยายามกระชากมันออก ‘รึว่ามีดเล่มนั้น’

                “ถูกต้องแล้วล่ะ” กรรณรัตที่กำลังดึงเส้นเอ็นอยู่ด้านล่างข้างๆเธอ “ฉันก็แค่ปามีดผ่านหน้าเธอแล้วรอให้มันชิ่งกลับมาเท่านั้นเอง” เด็กสาวยิ้มน้อยๆ

                “มี.....เอ็นติดอยู่ที่ด้ามจริงๆด้วย...สินะ” หญิงสาวแสยะยิ้ม แม้ตอนนี้ใบหน้าของเธอจะเริ่มซีดแล้วก็ตามที

                “มีอะไรจะสั่งเสียไหม?”

                “ถ้าฉันรอดไปได้เธอตายแน่” หญิงสาวจับเส้นเอ็นที่รัดคอเธอก่อนจะใช้แรงฮึดดึงกระชากขึ้นมา

                “ไม่จริงมั่ง” คานะตัวรอยขึ้นจากพื้นเล็กน้อย เด็กสาวรีบปล่อยมีจากเส้นเอ็น

                “จะไปไหนล่ะจ๊ะ” มือของหญิงสาวคว้าเข้าที่หลังคอเสื้อของกรรณรัต เด็กสาวพยายามจะเคลื่อนตัวไปด้านหน้า หญิงสาวกระโดดลงมาทับตัวกรรณรัต ร่างของเด็กสาวล้มคว่ำลงกระแทกพื้น

                “มันหนักนะ!” กรรณรัตดิ้นไปมา

                “พี่สาวก็เตือนแล้วนะ...ว่าตายแน่!” หญิงสาวเก็บมีดที่ตกอยู่ขึ้นมาและเตรียมแทงลงไปที่คนด้านล่าง

                “ไม่เอาน่า” เด็กสาวใช้มือดันพื้นจนยกตัวหญิงสาวขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะรีบผละตัวออกมา บรรณารักษ์คว้าจับขาเด็กสาวก่อนจะกระชากแรงๆ แล้วแทงลงมีที่ท้องของกรรณรัต เด็กสาวใช้ขาอีกข้างถีบหญิงสาวออกไป

                “ดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุดเลยนะ” กรรณรัตรีบตั้งตัวขึ้นมายืนพร้อมๆกับหญิงสาว “จะดิ้นไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน” บรรณารักษ์พุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับใช้มีดในมือฟันเล็งไปที่คอเด็กสาว กรรณรัตก้มตัวหลับมีด เธอมุดเข้าในลำตัวของหญิงสาวแล้วจับทุมทันที หลังของบรรณารักษ์กระแทกพื้นอย่างแรง

                “อย่าโกรธสิคะ” กรรณรัตรีบวิ่งหนีไป

                “ฉันก็ไม่ได้เกลียดเกมไล่จับหรอกนะ” หญิงสาวรีบลุกขึ้นตามไป

.............................................................................................

                เอลลี่ค่อยๆปล่อยทิวากาลนั่งลงบนเก้าอี้ ทั้งสองอยู่ในห้องพยาบาลของอาคารเรียน

                “เธอทำแผลเองได้ใช่ไหม?” เอลลี่หยิบกล่องพยาบาลออกมาจากตู้เก็บของ

                “อืม และแผลของเธอล่ะ” ทิวากาลรับกล่องพยาบาล

                “ฉันไม่มีเวลาแล้ว”

                “ระวังตัวด้วยนะ”

                เอลลี่พยักหน้าก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป เด็กสาวเจ้าของผมสีขาวเธอมองออกไปนอกหน้าต่างภายในห้องพยาบาล ตอนนี้ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย

                เอลลี่เดินไปตามทางเดินตรงไปที่ อาคารเรียนสายศิลป์

                ‘มีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ความลับของฉัน’ เสียงที่คุ้นเคยดังเข้ามาในหัวของเอลลี่ เด็กสาวส่ายหัวแรงๆก่อนจะค่อยๆเดินต่อไป ‘เธอต้องปกป้องฉัน!’ เสียงนั้นยังดังก้องอยู่

                ‘อนาสตาเซีย เธอจะเป็นหนึ่งในผู้เล่น จงแฝงตัวอยู่ในโรงเรียน’ เด็กสาวใช้มือทั้งสองกุมศีรษะ

                ‘นี่คือหนูน้อยหมวกแดงที่เธอต้องปกป้อง ไปทำความรู้จักซะสิ’

                ‘เธอจะปกป้องฉันหรอ?’

                ค้อนปอนต์หวดเล็งมาที่หัวของเอลลี่ เธอรีบกลิ้งหลบไปด้านข้าง

                “แก..เป็นตัวอะไร?” เอลลี่จ้องไปที่ร่างของผู้มาเยือน หัวของเขาเละไปข้างหนึ่งดวงตาเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า เดินโซเซ มือขวาถือค้อนปอนต์อันใหญ่

                “อ่า.....อ่า....” ร่างนั้นส่งเสียงแหบแห้งออกมา เหมือนมันกำลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง

                “คนจากห้อง 7 ที่เข้าโรงพยาบาลไปสินะ...” เอลลี่หรี่ตามองร่างของเจมส์

                เจมส์เริ่มยกค้อนปอนต์ขึ้นด้วยมือข้างเดียวแล้วหวดใส่เอลลี่ เด็กสาวก้มตัวหลบก่อนจะกระโดดถอยหลัง

                เอลลี่ค่อยๆถอยห่างจากร่างนั้นแล้วเริ่มหันหลังวิ่ง เจมส์วิ่งตามเด็กสาวไปในทันที

.................................................................................................................

                “หมายความว่ายังไงน่ะ กรรณตะนา?”

                “เธอเป็น..”ไม่ทันพูดจบก็มีเสียงดังก้องทั่วบริเวณ เหมือนกับเสียงของคมขวานที่กำลังลากอยู่กับพื้น

                กานต์รีบเปิดประตูเข้าไปในห้องที่ใกล้ที่สุด

                “เมื่อกี้เธอว่ายังไงน่ะ กรรณตะนา?”กานต์หันไปมองแจนที่ยืนอยู่ข้างๆ

                “เปล่า”

                กานต์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมองสำรวจไปรอบๆห้อง ตอนนี้ทั้งสองอยู่ในห้อง คหกรรม

                “ยังไงก็ต้องหาทางออกไปจากอาคารให้ได้ก่อนล่ะนะ” กานต์หยิบมีดทำครัวขึ้นมาหนึ่งเล่ม

                “จะฆ่าปามงั้นหรอ?”

                “ก็บอกว่าจะออกไปจากที่นี่”กานต์ส่งมีดให้แจน “อย่างน้อยๆ มันน่าจะช่วยเธอได้นะ”

                “ฉันไม่ต้องการของแบบนี้หรอก”

                “เก็บไว้เถอะ และเธอจะรู้ว่ามันช่วยเธอได้เยอะเลย” กานต์จับมือเด็กสาวแล้ววางมีดลงไป “แต่ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่ต้องใช้มัน”กานต์เปิดประตูออกไปช้าๆ โดยไม่ลืมที่จะมองซ้ายขวา

                “เธอรู้อะไรบ้างอย่างใช่ไหม?” มีดจ่อมาที่หลังของกานต์

                “ก็ไม่มากหรอก” กานต์เหลือตามองไปด้านหลัง

                “เดินออกไป” แจนผลักกานต์ไปข้างหน้า

                “เธอไม่อยากจะหยุดมันหรอ เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่น่ะ” กานต์ค่อยๆเดินไปข้างหน้าช้าๆ

                “ไม่มีใครหยุดมันได้หรอก”

                “ฉันเชื่อว่าเราจะหยุดมันได้” กานต์หันหลังกลับไปหาแจน “วางมีดลงเถอะกรรณตะนา”

                “มันจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ” ปามเดินออกมาจากมุมบันได “และจะไม่มีใครหยุดมันได้”

                “ตั้งแต่ 15 ปีก่อน เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยสินะ?” กานต์เหลือบตามองไปที่ปาม

                “คนที่รู้มากเกินไปจะต้องตาย” ปามค่อยๆเดินลากขวานดับเพลงเข้ามา

                เด็กสาวเจ้าของผมสีทองวิ่งขึ้นบันไดมา เอลลี่หยุดมองภาพตรงหน้า

                “เหมือนกับเข้าสินะ” กานต์พูดพร้อมกับหันไปมองร่างของเจมส์ที่ค่อยๆเดินขึ้นบันไดมาช้าๆ

                กรรณรัตกระเด็นตกลงมาจากบันไดชั้นบน เด็กสาวม้วนตัวตอนลงพื้นเพื่อลดแรงกระแทก “อยู่กันครบเลยสินะ” กรรณรัตพูดพร้อมกับหันมองไปรอบๆตัว

                “อนาสตาเซีย” แจนเอ่ยขึ้นเบาๆ

                ‘ชื่อของฉันคือ....’ เสียงในหัวของเอลลี่ดังขึ้นอีกครั้ง ‘เพื่อให้เธอแฝงตัวเข้าไปที่นั้นได้โดยไม่มีปัญหาเราจะเปลี่ยนประวัติและลบความทรงจำของเธอบางส่วน เธอจะยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงที่เธอมาที่นี่’

                ‘ฉันจะบอกคีย์ในการปลดล็อคความทรงจำของเธอ เมื่อเธอได้ยินหรือว่าเห็นประโยคนี้ เธอจะค่อยๆจำเรื่องราวทั้งหมดได้’

.............................................................................................

                คุริสึนั่งพิงหลังอยู่กับประตูอาคารเขาเฝ้ามองไปที่หน้าหนังสือปกแดงที่ถูกเปิดออก

                “คำที่ใช้เปิดเผยความทรงจำของ ชิโรซากิ” คุริสึจุดบุหรี่  “ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของหนูน้อยหมวกแดงของเธอ” ชายหนุ่มมองขึ้นไปบนท้องฟ้า สายฝนค่อยๆซ่าลงช้าๆ

.....................................................................................................................................

                เมฆค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านไป พลันปรากฏดวงจันทร์ครึ่งเสี่ยวยามราตรี แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างของอาคารทอดลงบนร่างของเด็กสาวเจ้าของผมสีทอง

                “เพื่อนกันตลอดไป”

                ดวงตาของเอลลี่เบิกกว้าง ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเด็กสาว

                ‘หมาป่าที่เธอจะต้องกำจัดมีเพียงคนเดียว’ ชายลึกลับส่งการ์ดใบหนึ่งให้เอลลี่ ชื่อนั้นคือ.....

                เด็กสาวเจ้าของผมสีทองค่อยๆขยับริมฝีปากของเธอช้าๆ

                “ รัตติกาล”

            กานต์หยิบการ์ดในกระเป๋ากางเกงออกมา  

                ‘ รัตติกาล โชติวิวัฒน์ พรรณสกุล หมาป่า ระดับ S’

...................................................................................................................

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา