Secret File:Innocent Trap

8.3

เขียนโดย Elichika

วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 07.24 น.

  13 บท
  1 วิจารณ์
  14.30K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 21.42 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) Murderer - Dectective

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Chapter X Murderer – Detective

            เราจะช่วยมันได้ไหมคะ?เด็กสาวผมสีน้ำตาลยาวเอ่ยขึ้นในขณะที่เธอกำลังอุ้มลูกสุนัขตัวหนึ่งอยู่ สภาพของมันมีบาดแผลอยู่เต็มตัว

                “ต้องลองดูแล้วล่ะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดกาวสีขาวค่อยๆใช้สองแขนรับร่างลูกสุนัขตัวน้อย

                “หนูเชื่อว่ามาสเตอร์ต้องช่วยมันได้ค่ะ” เด็กสาวจ้องมองใบหน้าของชายหนุ่ม เขาถอนหายใจออกมายาวๆ

                “ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่ผู้วิเศษ ถ้ามันตายแล้วก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก แต่จะลองดู” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อยคลายความเครียดบนใบหน้าของเด็กสาว

                “เดี่ยวหนูไปเรียกปามกับทุกคนมาด้วยนะคะ เผื่อมาสเตอร์มีเรื่องให้ช่วย” เด็กสาวรีบหันหลังวิ่งจากไป

                “เดี่ยวก่อนสุนิศาไม่ต้องหรอก!” ชายหนุ่มตะโกนไล่หลังไป แต่เหมือนเด็กสาวจะไม่ได้ยิน “ให้ตายสิ ชอบทำอะไรวุ่นวายอยู่เรื่อย” ชายหนุ่มเกาหัวจนเส้นผมสีทองตัดสั้นของเขายุ่งเหยิง

                “เธอก็เป็นแบ[นี้เสมอล่ะค่ะ คุณพ่อ”

                “มาพอดีเลยเจน ช่วยอุ้มเจ้านี่ไปที่ห้องทีนะ” ชายหนุ่มส่งร่างของลูกสุนัขให้เด็กสาวผู้มาใหม่ “แล้วก็ตอนอยู่ที่โรงเรียนอย่าเรียกพ่อสิ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ

                “ค่าๆ มาสเตอร์” เด็กสาวรับลูกสุนัขแล้วเดินเข้าประตูหลังอาคารไป

                ชายหนุ่มและกลุ่มเด็กนักเรียน 5 คน กำลังมองไปที่ลูกสุนัขที่นอนอยู่บนเตียง ตอนนี้มันถูกทำแผลเรียบร้อยแล้ว

                “ฉันจะทำล่ะนะ!” ชายหนุ่มฉีดยาบางอย่างใส่ลูกสุนัข “ขอให้ได้ผลทีเถอะ” ใบหน้าของเขามีเหงื่อไหลซึมออกมา

                “มันต้องได้ผลสิ” นักเรียนชายคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น ในขณะที่นักเรียนชายหญิงคู่รักกอดกันแน่น

                เด็กสาวร่างเล็กเจ้าของเส้นผมสีดำยาวกุมมือสวดภาวนา

                ลูกสุนัขตัวน้อยค่อยๆขยับหางของมันช้าๆ ก่อนที่จะลืมตาขึ้น เสียงร้องด้วยความดีใจของเหล่านักเรียนดังขึ้น ทุกคนเผยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะออกมา

                “สำเร็จแล้ว” ชายหนุ่มอมยิ้ม ก่อนจะหันไปหาเหล่านักเรียน เด็กหนุ่มสาวโผเข้ากอดครูของตนด้วยความดีใจ นี่คงเป็นบรรยากาศอันแสนอบอุ่น พวกเขาถูกเชื่อมไว้ด้วยสายสัมพันธ์ ไม่แบ่งแยกฐานะหรือความสำเร็จ

..............................................................................................

                ร่างของเจมส์ล้มลง แจนกระชากค้อนในมือของเจมส์ออกแล้วทุบซ้ำลงไปที่หัวของเด็กหนุ่มทันที เด็กสาวปล่อยค้อนในมือลงก่อนที่ร่างของเจมส์จะแน่นิ่งไป

                “จบแล้ว...” กานต์พยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวออกมาข้างหน้า กรรณรัตวิ่งเข้ามาในห้องศิลปะ

                “นี่มัน..อะไรกัน?” เด็กสาวเจ้าของผมสีดำยาวใช้มือขวาปิดปากตัวเองเอาไว้

                แจนทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง

                “ถ่อยไปห่างๆก่อน กรรณรัต” กานต์ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆร่างของแจน เด็กสาวเจ้าของผมสั้นสีน้ำตาลค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆ สายตาของเธอกวาดมองไปรอบๆ กานต์หยุดยืนกับที่

                เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร กานต์ก็ค่อยๆเดินเข้าไปหาแจน “เดี๋ยว....อย่าเข้ามานะ”

                “เธอจำไม่ได้หรอ” กานต์หยุดเดิน

                “จำอะไร....มันเกิดอะไรขึ้น!?” แจนถอยหลังไปเล็กน้อย

                กานต์หรี่ตาลง “เธอไม่อยากจำมันหรอก”

                “หมายความว่ายังไง?” สีหน้าของแจนแสดงออกถึงความกังวล เธอเหมือนสัตว์ป่าที่กำลังระวังตัว

                “แต่ก่อนอื่น...วางมีดลงก่อนเถอะ” กานต์ยกแขนสองขึ้นแสดงเจตนาไม่ทำอะไร

                “มันมาอยู่ในมือฉันได้ยังไง...เลือด!” เด็กสาวเซถอยหลังดวงตาของเธอเปิดกว้าง กานต์ค่อยๆย่องเข้าไปหาเด็กสาว ตอนนี้เหมือนเธอจะคุมสติไม่อยู่

                ร่างของเจมส์ค่อยๆลุกขึ้นยืนช้าๆด้านหลังแจน กานต์รีบพุ่งตัวเข้าหาเด็กสาว “ข้างหลัง!”

                แจนหันกลับไปมองช้าๆ ค้อนในมือของเจมส์ฟาดลงเต็มศีรษะของแจน เลือดสีแดงสดของเด็กสาวสาดกระเด็นพร้อมๆกับร่างที่ล้มคว่ำของเธอ

                ดวงตาของกานต์เปิดกว้าง ร่างของเด็กหนุ่มยกค้อนขึ้นสูงเตรียมหวดลงมาที่กานต์

                “อย่ามัวแต่เหม่อสิ!” กรรณรัตกระโดดถีบสองขาใส่ร่างของเจมส์จากด้านข้าง เด็กหนุ่มเซล้มลง

                “ขอบคุณ” กานต์ส่ายหัว เรียกสติ

                “มันเป็นตัวอะไรกันแน่” กรรณรัตกำมีดในมือให้แน่นขึ้น

                “ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะหาคำตอบนี่ล่ะ” กานต์วิ่งออกจากห้องศิลปะไป “แต่ตอนนี้สู้มันไม่ได้หรอก”

                “ชิ” กรรณรัตรีบวิ่งตามออกไป

                “แล้วเอลลี่ล่ะ?” กานต์หันไปถามกรรณรัตที่วิ่งตามหลังมา

                “ไม่รู้ พวกเราแยกกัน”

                “อมรรัตน์กับนักฆ่าคนนั้น...คงจะยังอยู่ในอาคารนี้สินะ”

                “อ่าคงจะแบบนั้น....มีแผนไหมนักสืบ?”

                “ถ้ารวมกันสู้พวกนั้นไม่ได้แน่ คงต้องแยกกันแล้วเก็บทีล่ะคน”

                “แฟนเธอก็สู้ไม่ได้แล้วนะ ไหนนักฆ่านั้นจะเป็นมืออาชีพอีก ถ้าให้แยกกันยังไงก็จัดการมันไม่ไหวหรอก”

                “เธอก็ใช้ประสบการณ์นักเรียนของที่นี่จัดการสิ” กานต์ยิ้มมุมปาก “ยังไงซะที่ทางในอาคารนี้เธอก็รู้ดีอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ”

                “หา แต่ทางนั้นก็น่าจะรู้เหมือนกันนะ”

                “ใช้ความประมาทของทางนั้นให้เป็นประโยชน์ สำหรับพวกนั้น เราก็ไม่ต่างจากลูกไก่ในกำมือหรอก...” ทั้งสองวิ่งมาถึงทางแยก “แยกกันตรงนี้นะ”

                “แล้วเธอจะไปไหน?”

                “ถามได้ก็หนีน่ะสิ” กานต์หัวเราะเบาๆ “เดี่ยวก็เจอเองล่ะสิ่งที่เธอทำได้น่ะ กรรณรัต”

                “สิ่งที่ทำได้หรอ?” กรรณรัตหยุดยืนคิดอะไรบางอย่าง

                “สวัสดี วิ่งไปทั่วเลยนะ” บรรณารักษ์สาวเดินมาด้านหลังกรรณรัต

                “ให้เวลาคิดหน่อยไม่ได้หรือไง” เด็กสาวเหลือบตามองด้านหลัง

                “มันก็ไม่ตื่นเต้นน่ะสิ”

....................................................................................................................

                ขวานดับเพลิงถูกขว้างเป็นแนวนอน เอลลี่โยกหัวหลบใบหน้าของเด็กสาวโดนคมเฉียดๆ เลือดค่อยๆไหลจากบาดแผลที่แก้ม

                “จะหนีไปถึงเมื่อไหร่?” ปามเดินเข้าหาเอลลี่ช้าๆ

                “โยนอาวุธทิ้งแบบนี้ไม่ประมาทไปหน่อยหรอ?” เอลลี่ใช้มือขวาก้มเก็บขวานดับเพลิงที่ตกอยู่ข้างๆ

                “สภาพแบบนั้นจะใช้มันได้หรอ” ปามยังคงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “จะหมดแรงอยู่แล้วนะ”

            เอลลี่หายใจหอบถี่ใบหน้าของเธอมีเหงื่อไหลซึมออกมา

                “แม้ว่าเธอจะมีหน้าที่ปกป้องแจนแต่ฉันจะปล่อยให้ใครรู้ไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

                “ความลับนั้นมันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ” เด็กสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “สำคัญขนาดต้องฆ่าเพื่อเลยสินะ?”

                ปามหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแววตาของเธอเปลี่ยนไป เอลลี่อาศัยจังหวะนั้นง้างขวานสับลงไปที่หัวของเด็กสาวอย่างรวดเร็ว

                ปามยกแขนซ้ายขึ้นมากันได้ทัน คมขวานถูกเจาะเข้าไปในข้อมือของเธอ “มีแค่ความเร็วแต่แรงยังไม่พอนะ”

                “ฉันไม่สนใจหรอก” เอลลี่ปล่อยมือจากด้ามขวานก่อนจะกระชากมีดที่ปักอยู่ตรงไหล่ขวาของปามออกมา

                ปามรีบเอื้อมมือขวาหวังคว้าข้อมือของเอลลี่ไว้ “พลาดงั้นหรอ” ปามใช้มือดึงขวานที่คาอยู่ตรงข้อมือซ้ายออก

                “สำหรับตอนนี้ยังไงมีดก็ดีที่สุดล่ะนะ” เด็กสาวร่างเล็กหวดขวานเป็นแนวนอนใส่เอลลี่ทันที เธอม้วนตัวหลบคมขวานแล้วออกตัววิ่ง

                “หนีต่อไปเถอะ” ปามออกตัววิ่งตามไป

.................................................................................................................

                ทิวากาลค่อยๆเดินออกมาจากห้องพยาบาล เธอมองไปรอบๆตัว มีเพียงแสงไฟจากโคมด้านนอกส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง  เด็กสาวค่อยๆเดินต่อไปจนเห็นประตูห้องศิลปะที่ถูกเปิดอยู่

                “อุ๊บ!” มือปริศนาปิดปากเด็กสาวไว้ เธอรีบกรอกตาไปมอง

                “รุ่นพี่หรอ?” เอลลี่ค่อยๆปล่อยมือที่ปิดปากทิวากาลไว้

                “ปล่อยภัยดีสินะ”

                เด็กสาวเจ้าของผมยาวสีขาวค่อยๆทายาลงบนแขนของเอลลี่ ตอนนี้ทั้งสองนั่งอยู่ในห้องพยาบาล

                “เจอรึเปล่า หนูน้อยหมวกแดงของเธอ” ทิวากาลพูดโดยไม่หยุดมือ

                “อือ แต่ตอนนี้พลัดหลงกัน”

            ”แล้วเธอจะทำยังไงต่อ?”

            “ก็มีแต่ต้องหาให้เจอ”

                “หลังจากที่ช่วยหนูน้อยหมวกแดงได้แล้วเธอจะทำอะไรต่องั้นหรอ?”

                “ไม่รู้สิ”

                “ต่อสู้กับ ทุกๆคนที่จะเข้ามาฆ่าหนูน้อยหมวกแดงของเธอ ฆ่าคนพวกนั้นไปเรื่อยๆ ” ทิวากาลจ้องมองไปในดวงตาของเอลลี่

                “ก็คงต้องเป็นแบบนั้น”

                “เหมือนเครื่องจักรเลยนะ เธอน่ะ” เด็กสาวเก็บขวดยาลงในกล่อง “ลองหาดูสิ สิ่งที่เธออยากจะทำจริงๆ เลือกและตัดสินใจด้วยตัวเธอเอง” ทิวากาลลุกขึ้นยืน ความเจ็บที่ขาแล่นเข้ามา เธอเสียหลักจนล้มลง

                เอลลี่ใช้แขนรับร่างของเธอเอาไว้

                “เหมือนที่เธอ..ช่วยฉัน” เด็กสาวส่งยิ้มน้อยๆให้เอลลี่

.............................................................................................................

                ห้องจัดแสดงอยู่ในอาคารเรียนสายศิลป์ด้านในสุดปลายทางเดิน มีขนาดที่กว้างประมาณสนานบาสเก็ตบอลในร่ม ใช้สำหรับจัดแสดงงานศิลปะต่างๆของแต่ล่ะชมรม รวมทั้งของสะสมต่างๆของทางโรงเรียนและผู้บริจาค ตั้งแต่ภาพเขียนไปถึงชุดเกราะอัศวินยุคกลาง

                “ห้องจัดแสดงหรอ?” กานต์หยุดยืนหน้าประตูไม้บานใหญ่ของห้องจัดแสดง

                เสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง “เจอตัวแล้ว” ปามค่อยๆเดินลากขวานเข้ามา

                “อึดทนนานจริงๆนะ” กานต์ยิ้มหวานให้เด็กสาว “จะฆ่าฉันให้ได้เลยใช่ไหม?”

                เด็กสาวร่างเล็กพุ่งเข้าจู่โจมกานต์อย่างรวดเร็ว เธอใช้ขวานในมือขวาสับเล็งไปที่หัวของกานต์ “หมดเวลาเล่นแล้ว” กานต์เบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างแต่ก็ถูกมือซ้ายของเธอคว้าบีบคอเอาไว้

                “ฮ่า ฮ่า เอาจริงแล้วสินะ” กานต์ฝืนยิ้ม พร้อมๆกับใช้มือทั้งสองข้างจับที่แขนของเด็กสาว

                “คงปล่อยให้เธอเล่นตุกติกอีกไม่ได้แล้วล่ะ” พูดจบปามก็เหวี่ยงร่างของกานต์ด้วยแขนซ้ายข้างเดี่ยว อัดเข้ากับประตูไม้บานใหญ่ของห้องจัดแสดง

                หลังของกานต์กระแทกอย่างแรงจนประตูไม้พัง “แค่ก แค่ก แบบนี้ก็แย่สิ” กานต์ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นมา

                “มันกำลังจะจบแล้ว” เด็กสาวหวดขวานในมือไม่หยุด กานต์รีบมุดตัวหลบ ตู้กระจกที่ใส่ผลงานศิลปะมากมายแตกกระจายส่งเสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ

                กานต์ล้มลุกคลุกคลาน หนีจากคมขวาน ความรู้สึกจุกไปทั่วตัวเป็นอุปสรรคในการตั้งตัว

                “เธอจะตายอย่างไม่ทรมานถ้าหยุดวิ่งหนีเป็นหนูในท่อแบบนี้” ปามไล่กรวดเข้ามาใกล้กานต์ทุกที

                “มันยังไม่จบนะ” กานต์หยิบแผ่นจาลึกที่ตกอยู่ขว้างใส่เด็กสาว

                ปามใช้ขวานฟันแผ่นจาลึกก่อนจะมาถึงตัว “เลิกดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์สักทีเถอะ” เด็กสาวเดินหน้าต่อไป ในขณะที่หลังของกานต์ชนเข้ากับตู้กระจกด้านหลัง

                “ก็บอกว่ามันยังไม่จบไง” กานต์ใช้มือขวาทุบเข้าที่ตู้กระจกด้านหลังจนแตก

                เด็กสาวหวดเล็งไปที่ใบหน้าของกานต์ เจ้าของใบหน้าแสนสวยเอนตัวหลบก่อนจะคว้าบางอย่างด้านในตู้กระจกออกมา “เปล่าประโยชน์น่า!” เด็กสาวหวดแนวตั้งซ้ำลงไปทันที

                ‘เคร็ง!’ คมขวานถูกหยุดไว้ด้วย ดาบในมือของกานต์

                “ค่อยแฟร์หน่อย” กานต์ยิ้มมุมปาก เด็กสาวก้าวมาด้านหน้าพร้อมกับใส่แรงกดลงมา

                “ดาบนั้นช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก”

                “ใครว่าล่ะ” กานต์กดปลายดาบลงพื้นโก่งดาบดันคมขวานลงไป แล้วใช้ขาขวาถีบร่างของปามออก

                “เธอเป็นใครกันแน่?” ปามกวาดสายตาไปรอบๆ

                “นั้นน่ะสินะ”

                กานต์พุ่งตัวไปด้านหน้า เด็กสาวรีบยกขวานในมือขึ้นมาเตรียมป้องกันกานต์ตวัดดาบฟันเสยขึ้น

                ตัวด้ามกับหัวขวานขาดออกจากกัน เด็กสาวรีบกระโดดถอยหลังเพื่อทิ้งระยะห่าง “ตัดได้แบบนี้เลยหรอ” ปามขว้างด้ามขวานใส่กานต์ทันที

                “โหว คมจริงๆแหะ” กานต์โยกหัวหลบพร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปหาเด็กสาว “ขอโทษทีนะ ถ้าเธออยู่นิ่งๆจะช่วยได้มากเลย” กานต์ใช้ด้ามดาบกระทุ่งไปที่ท้องของปามก่อนจะหมุนตัวไปด้านหลังและฟันคอเด็กสาวด้วยสันดาบ

                ร่างของเด็กสาวล้มคว่ำลงกับพื้น “ขยับ...ไม่ได้” ปามพยายามยื่นแขนออกไปข้างหน้าแต่เหมือนร่างกายของเธอจะไม่ฟังคำสั่ง

                “คงต้องขอให้อยู่นิ่งๆสักพักล่ะนะ”

                กานต์เดินออกมาจากห้องจัดแสดงโดยไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองด้านใน ร่างของปามถูกมัดติดไว้กับเสากลางห้อง ดาบในมือกานต์ถูกเก็บเข้าฝักเรียบร้อย สถานการณ์ในตอนนี้ยังอยู่ในช่วงอันตราย กานต์จึงต้องนำมันติดมือมาด้วยอย่างช่วยไม่ได้

                “ง่วงจังเลยแหะ...ชักปวดหัวแล้วสิ” กานต์ค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ความเหนื่อยล้าสะสมเริ่มโถมเข้ามา “ขอพักสักหน่อยล่ะกัน” กานต์นั่งลงตรงบันไดก่อนจะเอาหัวพิงกับกำแพงแล้วหลับตา

............................................................................................

            “เอาจริงๆนะ คุณพี่สาว” กรรณรัตสูดหายใจเข้าลึกๆ “ฉันก็มีเหตุผลที่จะมาตายอยู่ที่นี่ไม่ได้เหมือนกัน”

                ทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่ตรงทางเดินเชื่อมอาคาร

                “คนทุกคนก็มีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้นล่ะ” หญิงสาวค่อยๆเดินเข้ามา

                “ฉันก็ไม่ได้อยากฆ่าใครเท่าไหร่”

                “ตรงข้ามกันเลยนะ”

                “เพราะงั้นอย่าเข้ามาเลยดีกว่านะ” กรรณรัตก้มหน้าลง

                “หรือว่านี่จะเป็น คำขอให้ไว้ชีวิตหรอ?” หญิงสาวยังคงเดินเข้ามา

                “คำเตือนต่างหาก” สิ้นเสียงของเด็กสาว ก็มีเสียงดัง ‘คลิก’

                “อะไรน่ะ” บรรณารักษ์สาวเตะเข้ากับเส้นลวดที่ถูกขึงอยู่

                “ก็เตือนแล้วนะ” กรรณรัตขว้างมีดในมือขึ้นไป

                “ก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าจะเล่นปาหี่อะไร แม่นักแสดง” หญิงสาวยิ้มมุมปาก “ว่าแต่ปาไปไหนของเธอ”

            ถังดำเพลิงสีแดงตกใส่หัวหญิงสาว เธอรีบกลิ้งตัวหลบไปด้านหน้าแต่ทว่า

                “ฉันก็บอกว่าเตือนแล้วไง” ลูกปิงปองสองลูกถูกโยนใส่หน้าของบรรณารักษ์สาว

                นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างก่อนที่ลูกปิงปองจะถูกระเบิดออก สารเคมีกระเด็นโดนใบหน้าของเธอ “นี่มันอะไร...” หญิงสาวล้มลงดิ้นกับพื้น

                “แสบดีใช่ไหมล่ะ กรดเข้มข้นกับไนโตรเจนเหลวน่ะ” กรรณรัตยืนมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอมองหญิงสาวดิ้นไปมากับพื้น “แล้วก็ มีนี่อีกนิดหน่อย” พูดจบเด็กสาวก็ขว้างขวดแอลกอฮอล์ใส่หัวบรรณารักษ์จนมันแตกออก

                “มองไม่เห็นเธอทำอะไรน่ะ!” หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืนในขณะที่ตัวเธอเปียกชุ่มไปด้วยแอลกอฮอล์

                “บ๊ายบาย” กรรณรัตดีดไม้ขีดในมือใส่หญิงสาว “รู้ไหมทำไมเธอถึงเป็นได้แค่นักฆ่า”‘พรึบ!’ เปลวไฟสีส้มลุกไหม้บนร่างของหญิงสาว “เพราะเธอมันโง่ไงล่ะ”

                หญิงสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเธอมองไม่เห็นภาพตรงหน้า มองไม่เห็นรอยยิ้มของปีศาจสาวที่เฝ้ามองเธอ

                “ฉันจะฆ่าแก...อ๊ากก!” ร่างของเธอไหม้ลงอย่างช้าๆ เธอคลานไปด้านหน้า

                “แค่นี้ไม่ทำให้ตายหรอก” กรรณรัตเปิดฝาแอลกอฮอล์อีกขวดหนึ่งออก “มันต้องเพิ่มไฟอีกหน่อย” เด็กสาวราดแอลกอฮอล์ลงที่ร่างของเธอ ไฟโหมกระหน่ำแรงขึ้นอีกครั้ง

....................................................................................................

                “นี่มันอะไรกัน” ทิวากาลมองเข้าไปภายในห้องศิลปะ

                “มีคนต่อสู้กันที่นี่หรอ” เอลลี่ค่อยๆเดินเข้าไป ลอยเลือดแห้งกรัง กระจายไปทั่วห้องศิลปะ แต่ไม่มีร่างของใครอยู่เลย

                “แบบนี้น่าจะเรียกว่าฆ่ากันเลยนะ” ทิวากาลเดินตามเข้ามาช้าๆ

                “นี่มัน” เอลลี่ก้มตัวลงเก็บมีดทำครัวที่ตกอยู่ “เหมือนกับมีดเล่มนั้น”

                “เห้ย! ไม่เอา!” เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ไกลจากที่ทั้งสองอยู่นัก เอลลี่รีบวิ่งออกไปก่อนจะมองซ้ายขวา

                ชายคนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าเธอไป เขามีผมสีเขียวและสวมชุดกาว ด้านหลังของเขามีเจมส์กำลังวิ่งตามอยู่

                “ใครก็ได้ช่วยด้วย!” ชายหนุ่มตะโกนร้องโดยไม่หยุดวิ่ง

                เอลลี่ถีบเข้าไปที่ร่างของเจมส์จากด้านข้าง ร่างนั้นกระเด็นล้มลง ทิวากาลมองตามหลังชายหนุ่มจนเขาวิ่งลับหายไปตรงทางเดิน

                “เป็นปัญหาแล้วสิ” เอลลี่กำมีดทำครัวในมือแน่น

.......................................................................................................................

                ดวงตาเบิกกว้าง กานต์สะดุ้งตื่นใบหน้ามีเหงื่อไหลซึม ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่หลับไปแต่เหมือนจะมีเสียงฝีเท้าตรงบันไดด้านล่าง

                กานต์เงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยืนเสียงเหมือนมีคนกำลังลากบางอย่าง

                “แก อยู่ที่ไหน...” เสียงแหบแห้งดังก้องมาจากด้านล่าง

                กานต์มองขึ้นไปด้านบนก็พบกับประตูไปสู่ดาดฟ้า

                “แกอยู่ที่ไหน....” เสียงนั้นใกล้เข้ามาทุกที กานต์รีบลุกเดินขึ้นบันไดไปแล้วเปิดประตูสู่ดาดฟ้า

                “เสียงนี่มัน อมรรัตน์หรอ” กานต์ส่ายหัวถี่ๆ ไล่ความง่วงซึม ก่อนจะล็อคประตูทางเข้าดาดฟ้า

                “แกอยู่..ใช่ไหม” เสียงแหบแห้งดังขึ้นอีกฝั่งของบานประตู “รอก่อนนะ...”

                ดาบสองคมถูกเสียทะลุประตูไม้ กานต์รีบถอยหลังออกจากบานประตู

                “ไม่เอาน่า...” สีหน้าของกานต์ซีดลงเล็กน้อย

                คมดาบถูกเสียบทะลุประตูซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือเล็กๆขาวซีดล่วงผ่านรูเข้ามา แล้วเปิดลูกบิด บานประตูถูกเปิดออกพร้อมๆกับร่างของปาม

                “มาจบ..เรื่องนี้...” เด็กสาวค่อยๆก้าวข้ามาพร้อมกับ ดาบยาวในมือ

                “เซเบอร์หรอ..หรือว่า” กานต์พิจารณาดาบในมือของเด็กสาว ก็นึกไปถึงดาบที่ถูกประดับไว้กับชุดเกราะอัศวินในห้องจัดแสดง

                “มาจบ..เรื่องนี้...” เสียงแหบแห้งถูกเค้นออกมาอย่างยากลำบาก แววตาของปามเหม่อลอย ผิวสีขาวซีด

                “กลับเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วสินะ” กานต์ก้มตัวลงมือขวากำฝักดาบเอาไว้ในขณะที่มือซ้ายเตรียมจะชักดาบ

“ก็ดีเหมือนกัน อมรรัตน์ มาจบเรื่องนี้กันเถอะ”

                ปามยกดาบด้วยมือข้างเดียว เธอวิ่งเข้ามาพร้อมกับฟันกวาดใส่ กานต์ชักดาบขึ้นมาป้องกันโดยที่ดาบไม่หลุดออกจากฝัก

                “แรงเยอะ..กว่าเดิมอีกนะเนี่ย” ปามใส่แรงเพิ่มจนกานต์เริ่มเสียหลัก เจ้าของใบหน้าแสนสวยหมุนตัวไปด้านหลังของเด็กสาว ก่อนจะใช้ดาบในมือฟันเข้ากลางหลังของเธอ เลือดสีแดงคล้ำค่อยๆไหลออกมาจากแผ่นหลัง

                เด็กสาวส่งเสียงแหบแห้งเหมือนกำลังพยายามจะพูดบางอย่าง เธอหันตัวกลับมาใช้หลังมือตบเข้าที่กระหม่อมซ้ายของกานต์ ความเจ็บปวดถาโถมเข้ามา เลือดสีแดงสดค่อยๆไหลจากบาดแผล

                กานต์กระโดดถ่อยออกมาก่อนจะใช้มือขวาแตะสำรวจบาดแผล “แค่ตบนะเนี่ย” กานต์สะบัดหัวแรงๆ ก่อนจะเปลี่ยนท่าจับดาบ  ย่อขาลงเล็กน้อย ปลายดาบระนาบกับพื้น

                “หยุด...มัน” ปามกระโจนเข้ามาพร้อมกับฟันลงอย่างรุนแรง

                “อ่า..หยุดมัน” กานต์พุ่งตัวไปด้านหน้าพร้อมกับใช้มือซ้ายชักดาบและฟันออกไปอย่างรวดเร็ว

                เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาจากท้องของเด็กสาว กานต์ยืนอยู่ในท่าฟันด้านหลังของเธอ เจ้าของใบหน้าแสนสวยเปลี่ยนไปถือดาบด้วยมือขวาอย่างรวดเร็วโดยให้ปลายดาบอยู่ทางสันมือ แล้วแทงกลับไปด้านหลังแบบไม่หันไปมอง

                ดาบถูกเสียบทะลุหัวใจเด็กสาว ร่างของเธอค่อยๆกระตุกเบาๆ ก่อนจะเริ่มทรงตัวไม่อยู่ กานต์ปล่อยมือจากด้าม ร่างของปามล้มคว่ำลงกับพื้น ดาบยังคงเสียบอยู่และตั้งตรงบนร่างของเธอ

                กานต์ขยี้ตาเบาๆคอนแทคเลนส์ที่ตาซ้ายค่อยๆหลุดออกมา

กานต์ก้มตัวลงพูดกับร่างของปาม “เธอจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?”

                ปามค่อยๆหันหน้ามองกานต์ “3 นาที..มั่ง” เสียงแหบแห้งตอบมาเบาๆ

                “ขนาดทะลุหัวใจไปแล้วนะ”

            “เธอ...จะเอายังไงต่อ....”

                “ฉันจะลากคอเขาออกมา คนที่ทำเรื่องบ้าๆนี่”

                “อย่าทำร้าย...เขาเลยนะ....เขาทำเพื่อ...พวกเรา”

                “ฉันไม่ได้เกลียดหรอกการรักษาชีวิตคนน่ะ แต่การจับคนที่ตายไปแล้วมาก่อเรื่อง มันไม่น่าให้อภัยที่สุด”

            “ฉันที่โดนลืมมาตลอดน่ะ...ไม่เป็นไรหรอก...ถึงจะเป็น..แค่เครื่องมือ...ก็มีความสุขแล้ว” แววตาของเด็กสาวเปลี่ยนไป

            “อมรรัตน์....”

                “สวยดีนะ...ตาของเธอน่ะ” ปามมองเข้าไปในตาของกานต์ “สีแดงของทับทิมที่สว่างไสว...ยามค่ำคืน”

                “สีตาของเธอก็เหมือนกัน” กานต์ใช้มือขวาลูบปิดตาของเด็กสาว “ราตรีสวัสดิ์ อมรรัตน์”

                เสียงนาฬิกาข้อมือของกานต์ดังขึ้น

                “คืนนี้ ใกล้จะจบแล้วสินะ” กานต์มองไปที่พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวบนท้องฟ้า นัยน์ตาสีแดงสะท้อนเข้ากับแสงจันทร์ เจ้าของใบหน้าแสนสวยหลับตาลงช้าๆก่อนจะหันหลังและมองภาพตรงหน้า

                “ช่วย...ช่วย...ด้วย” เด็กสาวผู้มีผมสั่นสีน้ำตาลเดินอย่างทุลักทุเลเข้ามา บนหัวมีเลือดแห้งลามไปถึงใบหน้า ผิวขาวซีด แววตาเหม่อลอย

                กานต์ใช้มือซ้ายจับที่ด้ามดาบเบาๆ “ขอโทษนะ เอลลี่” ก่อนจะดึงออกมาจากร่างของปาม

............................................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา