Eternal Blood 4 Black Witch Dimension
เขียนโดย OverWrite
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 00.37 น.
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 00.10 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) เเนะนำตัว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเฮนรี่
วันพรุ่งนี้ซึ่งก็คือวันนี้ได้มาเยือน
ผมและรินนั่งเล่นอยู่ ณ สำนักงานหรืออีกชื่อที่คนเขาเรียกกันว่าประชาสัมพันธ์หมู่บ้านนักผจัญภัย
ระหว่างนั้นเจ้ารินมันก็ถอดประกอบเจ้าสิ่งที่มันเรียกว่า ‘ปืน’ ไปมาหลายรอบโดนบอกว่า มันเป็นการฝึกฝน
“แล้วตกลงของพกวนี้ใช้งานได้กี่ครั้งกันล่ะ?”
“แล้วแต่ความใหม่กับวัสดุที่ใช้สร้างแต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็ประมาณ 10 ปี ส่วนสิ่งที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดการทำลายคือเจ้าสิ่งนี้ ‘กระสุน’”
เจ้ารินหยิบสิ่งที่มันเรียกว่ากระสุนขึ้นมาให้ผมได้เห็นชัดๆ
ไอ้สิ่งที่ใช้สู้มาโดยตลอดและมีอนุภาพทำลายสูงขนาดนั้นกลับเป็นสิ่งที่มีขนาดเล็กและดูธรรมดาขนาดนี้หรือ?
แต่เมื่อปฏิเสธถึงความสามารถของมันไม่ได้แล้ว ผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องสงสัยมัน
เหตุผลที่เราสองคนมานั่งรออยู่ที่นี่ก็เพื่อรอพบกับลีน่าเพื่อถามถึงเรื่องของเปอร์เซ็นต์ที่พวกเราทั้งสองได้เข้าสู้ด้วย
เมื่อวานผมไม่ได้ถามเรื่องนี้เพราะคิดว่ามันคงเป็นเรื่องที่ดีกว่าถ้าให้รินมาฟังด้วย
เมื่อวานจึงได้แค่เงินแล้วมาแบ่งกับเขาที่นี่วันนี้
“เออจะว่าไปทำแค่ 200 อลิสเองเหรอ?”
“จะไปหวังอะไรกับแค่ก็อบลินล่ะ คิดซะว่าเราไม่ต้องเหนื่อยไปล่าเองแล้วกัน”
ใช่พวกเราไม่ได้เป็นคนจัดการเหล่าก็อบลินพวกนั้นแต่เปอร์เซ็นต์ที่ไปถึงก่อนต่างหากที่เป็นคนจัดการ เรื่องที่จะมาถามวันนี้จึงเป็น ทำไมเปอร์เซ็นต์ที่รู้ว่าเราจะไปที่ป่าอสรพิษถ้าไม่ได้รู้มาจากลีน่า อีกคำถามหนึ่งที่รินเองก็อยากจะรู้เหมือนกันก็คือ
แท้ที่จริงแล้วเปอร์เซ็นต์เลเวลเท่าไหร่
เพราะรินได้บอกมาว่าเลเวลของเขาตั้งแต่มายังโลกแห่งนี้ก็ได้ เลเวล 80 ตั้งแต่แรก
แล้วกับคนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเลเวลจะมีมากแค่ไหนกัน
นี่คือข้อสงสัยของผมและริน
อีกอย่างเราทั้งคู่โดยเฉพาะริน ต้องการข้อมูลมากที่สุดเท่าที่สามารถหาได้เพื่อออกเดินทางตามหาเพื่อนคนอื่นๆ ของเขา
มีทั้งสิ้นอีกสามคนที่มายังโลกแห่งนี้พร้อมกันกับเขา
พวกเขาทั้งสามคนนี้ต่างก็กระจัดกระจายกันไปคนละทิศคนละทาง มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่ตอนนี้มั่นใจได้ว่าคงกำลังอยู่ที่เมืองหลวงของอาณาจักรแห่งนี้
นั่นคือเอก รินจึงตัดสินใจจะไปที่นั่นก่อน ส่วนผมไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
เพราะที่ผ่านมานี่ก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด
ไม่นานหลังจากนี้เห็นทีผมคงต้องบอกลาหมู่บ้านแห่งนี้แล้ว
แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้นคงพอมีเวลาอยู่อีกสักระยะหนึ่ง
“แล้วเจ้านี่ล่ะ?”
ผมชี้ไปยังเจ้าสิ่งที่เหมือนก้อนหินที่ทำจากเหล็กโดยมีรูปทรงเป็นรูปสี่เหลี่ยม
“มันเรียกว่าระเบิดน่ะ ไว้ใช้ปาแล้วจะสร้างความเสียหายเป็นรัศมีวงกว้างสนใจสักลูกไหม?”
“ไม่ละ”
แล้วไอ้วิธีพูดเหมือนพวกชวนเชื่อนั่นมันอะไรกัน?
ระหว่างที่กำลังรอลีน่าอยู่ก็มีหลายต่อหลายเรื่องที่ผมได้ฟังจากริน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมืองแห่งปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาได้จากมา เรื่องของสิ่งที่องค์กรพยายามจะทำ เพื่อนของเขา และกางเขนแห่งแสง
เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดแล้วผมก็เข้าใจว่าภัยคุกคามในโลกที่พวกเขาอาศัยคือองค์กร กลุ่มคนผู้ทรงอำนาจที่สุดในประเทศและกำลังวางแผนทำอะไรสักอย่างที่เป็นภัยร้ายแรงกับโลกอยู่
ณ โลกที่พวกเขาได้จากมามีความคล้ายคลึงกับโลกแห่งนี้
ยกตัวอย่างเช่นเวทย์มนต์ที่โลกแห่งนั้นมีเวทย์มนต์ มีพลังแห่งศรัทธา มีพลังของปีศาจ แต่ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนคือพลังที่โลกแห่งนั้นมี ซึ่งเป็นรูปแบบของพลังที่ไม่มีในโลกแห่งนี้
นั่นก็คือ ‘พลังแห่งปาฏิหาริย์’รูปแบบพลังที่จะได้มาก็ต่อเมื่อได้พบเจอกับอันตรายจนถึงชีวิตเท่านั้น
หรือไม่อีกกรณีก็เป็นพลังที่สามารถได้ตั้งแต่เกิดแล้ว
ซึ่งพลังที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์นี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้มานาเหมือนการร่ายเวทย์หรือใช้ท่าโจมตี แต่มันใช่แรงใจในการที่จะใช้พลัง แรงใจในทีนี้มีความหมายเป็น กำลังใจของคนเราที่นอกเหนือจากแรงกาย เมื่อยิ่งใช้แรงใจมากเพื่อเป็นทุนให้สามารถใช้พลังได้ ผู้ที่ใช้มากก็อาจจะถึงตายได้
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงตาย ผู้ที่ใช้พลังมากก็ยังสามารถอ่อนแรงจนหมดสติได้
ซึ่งแตกต่างกับมานาที่ถึงจะหมดไปแต่ก็ไม่ได้สร้างผลเสียให้กับผู้ใช้
ในความเห็นของผมเวทย์มนต์จึงมีดีกว่า ถึงรินจะบอกว่าไม่จำเป็นจะต้องร่ายเวทย์ก็เถอะ
เมื่อได้ฟังผมก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า ถ้าพวกเขาที่ค่อยขัดขวางแผนขององค์กรมาโดยตลอด
การที่พวกเขาอยู่ที่นี้จะมีผลมากแคไหน รินได้ฟังก็ส่ายหน้าเล็กน้อย เพราะที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีแค่กลุ่มของเขาเท่านั้นที่ค่อยต่อสู้กับองค์ ยังมีกลุ่มที่เรียกว่า ‘โนเนม’ และ ‘กางเขนแห่งแสง’ อยู่
และจากที่ได้ฟังมาจากเปอร์เซ็นต์แล้ว การที่แม่มดซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรส่งพวกเขามายังโลกแห่งนี้ แต่ตัวเปอร์เซ็นต์กลับไม่รู้ ตอนนี้จึงเกิดเป็นข้อสงสัยว่า ตกลงแล้ว ที่จริงแล้วแม่มดต้องการอะไรจากพวกเขากัน
มันจึงได้ทิ้งข้อสงสัยว่า ตกลงแล้วแม่มดต้องการจะทำอะไรกันแน่
ซึ่งเรื่องนี้คงต้องพยายามหาคำตอบเอาทีหลัง
แล้วยังมีอีกเรื่องที่รินยังกังวลอยู่ เพราะที่จริงแล้ว กลุ่มกางเขนแห่งแสงก็เป็นศัตรูของพวกเขา ด้วยเหจุผลว่าพลังแห่ง ‘ปาฏิหาริย์’ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้ามอบให้ แต่เป็นเพียงแค่พลังนอกคอกที่ไม่สมควรจะมีอยู่บนโลก กลุ่มกางเขนแห่งแสงจึงมีเป้าหมายที่จะกำจัดผู้ใดก็ตามที่ได้ครอบครองพลังแห่ง ’ปาฏิหาริย์’ ด้วย ซึ่งเจ้าตัวบอกว่ามันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระมาก
ในตอนนี้กลุ่มของพวกเขาจึงต้องสู้กับ องค์กรและกางเขนแห่งแสงไปพร้อมๆ กัน
และขณะเดียวกันหัวหน้ากลุ่มซึ่งมีชื่อว่า ‘แมรี่’ ก็ถูกกลุ่มกางเขนแห่งแสงไล่ล่าด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอันตราย อย่างไรก็ตามรินปฏิเสธเรื่องนั้นเพราะเจ้าตัวได้เจอมากับตัวแล้วว่าเธอไม่ได้เป็นปีศาจชั่วร้ายเหมือนกับที่คนอื่นๆ กล่าวหา
แต่สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผีดูดเลือด ไม่เคยเป็นสิ่งที่ดีแม้แต่ชื่อ
พวกมันไม่ต่างอะไรจากสิ่งชั่วร้ายหรือพูดให้ถูกคือ พวกมันคือสิ่งชั่วร้าย
พวกมันคือสิ่งที่ควรจะกำจัดซะให้หายไปจากโลก
ไม่ให้เหลือ
แม้แต่เศษซาก
เพราะชะนั้นแล้ว ผมจะเป็นคนตัดสินเรื่องของเธอคนนั้นเอง ว่าอันตรายหรือไม่จริงอย่างที่รินเล่า
แต่ถ้าหากว่าไม่ได้เป็นอย่างที่รินเล่ามา
ผมคงต้องฆ่าเธอซะ…
เรื่องสำคัญหลังจากรวมกลุ่มกับเพื่อนของเขาได้จึงเป็นเรื่องของการจะกลับไปยังโลกของเขา
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงของรองเท้าส้นสูงดังเข้าใกล้มาหาเรา
“ว่าไงทั้งสองได้ยินมาว่ารอเจอฉันอยู่สินะ”
เสียงมาพร้อมกับร่างของหญิงสาววัย 23 ปี เธอก็คือลีน่าผู้ทำงานเป็นประชาสัมพันธ์หน้าเคาเตอร์
เลเวล 22
“โสด…”
“ไอ้คำว่าโสดคิดในใจก็ได้นะคะ”
“ขอโทษครับ…”
ไม่นานเราทั้งสามก็ได้มายืนคุยกันที่หน้าเคาเตอร์จุดทำงานของลีน่า
“สรุปก็คือเขาเข้ามาถามเธอเรื่องของพวกเราเหรอ?”
“ใช่ แต่ทีแรกฉันก็ไม่คิดหรอกนะว่าเขาจะเป็นคนไม่ดีน่ะ ก็เลยบอกไปหมดเลยเพราะคิดว่าเป็นคนรู้จักอีกคนของคุณเฮนรี่น่ะ”
ก็ช่วยไม่ได้นินะ
“เขาก็เลยรู้ว่าเราจะไปจัดการก็อบลินที่อยู่บนป่าสินะ อย่างนี้นี่เอง”
แต่เขาใช้วิธีไหนไปที่นั่นก่อนพวกเรากันนะ ถ้าถีบอากาศไปพวกเราก็ต้องเห็นสิ
หรือว่า…
“กล่องที่มันถืออยู่บนมือแน่ คงใช้ย้ายจุดได้ทันทีไม่ต่างอะไรจากการ ‘เทเลพอร์ต’”
รินพูดพลางกอดอกด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ผมพยักหน้าเห็นด้วยส่วนลีน่าทำหน้างงอยู่ไม่ห่าง
เรื่องนั้นไม่ต้องเล่าให้เธอฟังก็ได้ถ้าดึงเธอซึ่งไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องด้วยอาจจะเป็นอันตรายได้ รินกับผมเห็นพ้องกันในเรื่องนั้น
“อีกเรื่องหนึ่งขอถามหน่อยตกลงเปอร์เซ็นต์เลเวลเท่าไหร่กัน?”
“เลเวลของเขาเหรอคะ? เดี๋ยวนะเราได้ทำการบันทึกข้อมูลเบื้องต้นที่ครั้งที่มีการสร้างบัญชี เหมือนว่าจะ…นี่เป็นไปได้ยังไงกัน?”
ลีน่าตรวจสอบด้วยเวทย์มนต์ก็สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“คือเลเวลของเขาคนนั้นมัน…200”
“”200!!?””
เสียงที่เกิดจากอาการตกใจทำให้ทุกๆ คนต่างก็หยุดทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วหันมาทางเรา
ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็หันมามองพวกเราทั้งสาม
“””ขอโทษครับ/ค่ะ!!”””
สายลมยามเย็นพัดเข้าหาเราทั้งสอง ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเป็นจุดเริ่มต้นของค่ำคืนที่เงียบสงบและเยือกเย็น ขณะนี้ผมและเฮนรี่ก็ได้เดินมายังที่ที่ควรจะมานานแล้ว
นั่นคือจุดที่สแกนเนอร์ตก
“ต่อจากนี้คงต้องเก็บเงินออกเดินทาง คงสักระยะกว่าจะสามารถออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ ระหว่างนั้นเราสองคนก็ยังมีเรื่องให้ทำอีก คงไม่รีบร้อนใช่ไหม”
“แล้วแต่นายจะตัดสินใจเลย”
ตามนั้นแล้วเราทั้งคู่จึงตัดสินใจตั้งปาร์ตี้ขึ้น
ผมและเขากำลังจ้องมองดาบที่ถูกปักอยู่ตรงหน้า ณ จุดที่ตกนอกหมู่บ้าน
“ก็สงสัยมานานแล้วเหมือนกันว่าใครเป็นเจ้าของดาบนั้นถ้าไม่ใช่นาย”
“ฟังดูไม่ได้ตกใจเลยนะที่ฉันเป็นเจ้าของมัน”
“ก็ประมาณนั้น”
ผมก้าวเท้าเดินไปยังมันระหว่างที่เฮนรี่เดินตามหลังผมมาหยุดยืนรอ ตอนนั้นเองผมก็ยื่นมือจับไปยังด้ามดาบที่ไม่ได้สัมผัสมาได้สักพักแล้ว ทันทีที่ผมได้ดึงมันขึ้นตัวดาบก็ได้เปล่งประกายแสงแห่งปาฏิหาริย์ที่ไม่ได้เห็นมานานขึ้นสูงท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงจนส่องสว่างไปยังอากาศบนฟ้า เฮนรี่ที่ได้ยืนมองตั้งแต่แรกจนจบหยุดนิ่งอย่างพูดไม่ออกกับภาพสุดประการตาที่ได้เห็นตรงหน้า
( ว่าไงสแกนเนอร์ )
[ ยินดีต้อนรับคะ สู่พลังของคุณ ไม่สิ… ]
[ สู่ดาบของคุณค่ะ ]
ได้ยินอย่างนั้นแล้วผมจึงหันไปทางของเฮนรี่ที่ยืนรออยู่
แล้วจึงเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนที่แสงจากตัวดาบจะหายวับไปพลางนำตัวดาบมาพิงที่ไหล่
“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ฉันริน ผู้ครอบครองดาบแห่งปาฏิหาริย์”
“…ยินดีที่ได้รู้จัก”
ผมยิ้มแนะนำตัวอย่างเป็นทางการก่อนที่แสงจากตัวดาบจะหายขึ้นสู้ท้องฟ้ายามค่ำคืน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ