Eternal Blood 4 Black Witch Dimension
เขียนโดย OverWrite
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 00.37 น.
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 00.10 น. โดย เจ้าของนิยาย
7) ก่อนหน้านี้เเละต่อจากนี้
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความที่เนินเขาแห่งนี้
เกิดแสงสว่างขึ้นติดต่อกันเป็นอนุภาพทำลายล้างขนาดเล็ก ยิงขึ้นไปบนฟ้าแล้วตกลงมารวมกันเป็นกลุ่มก้อนของพลังงานจำนวนมาก
ในกลุ่มก้อนของพลังงานเหล่านั้น
ประกอบไปด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
กำลังหมุนวนไปมาสลับที่กันอยู่ในลักษณะของรูปทรงลูกแก้วใสๆ
ถึงแม้ว่าการส่งพลังเพื่อควบคุมธาตุเหล่านั้นให้ลอยตัวสลับที่กัน โดยไม่ทำให้มันเสียสมดุลจนเกิดการระเบิดตัวออกของพลังจะเป็นเรื่องยาก
แต่วางใจได้เลย…
เพราะพวกมันกำลังถูกควบคุมโดยฝ่ามือทั้งสองข้างของผมที่ค่อยบังคับมันให้ไม่หลุดออกไปนอกขอบเขต
“ยังหรอก…”
ผมส่งพลังเข้าไปยังลูกแก้วทั้งสี่มากขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ทีนี้การควบคุมพวกมันให้ลอยกลางอากาศและหมุนสลับที่โดยไม่ชนกันก็จะยากขึ้นไปอีก
แต่นั้นยังไม่พอหรอก
เมื่อสามารถควบคุมการไหลเวียนของพลังที่อยู่ในลูกแก้วธาตุทั้งสี่ได้แล้วขนาดของมันจึงใหญ่โตขึ้น ผมเห็นดังนั้นจึงเริ่มขั้นตอนถัดไป
ผมประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันแล้วเพ่งสมาธิไปที่พวกมัน
ตอนนั้นเองที่ลูกแก้วทั้งสี่ได้รวมตัวกันเกิดเป็นแสงสีขาวสว่างไสว
ผมดึงมันลงมาดูใกล้ๆ ให้แน่ใจว่าสำเร็จแล้ว
“มันต้องอย่างนี้สิ! ได้แล้ว! ท่าไม้ตายที่ฉันคิดค้นขึ้น ในที่สุดก็สำเร็จ!”
พลังงานมหาศาลจากมานาของผมรวมตัวกันเป็นอนุภาพสีขาวสว่างที่ไม่หยุดกระพริบ
“แล้วฉันจะตั้งชื่อแกว่าอะไรดีนะ เจ้าท่าไม้ตายใหม่ของฉัน เอาเป็นแสงพิชิตมารมั้ยนะ? ไม่สิๆ ดูยังไงชอบกล ต้องเท่ๆสิ ใช่ๆ งั้นเอาเป็นลำแสงพิชิตมาร เดี๋ยวนะมันก็ไม่ต่างกันสิ ไม่เอาๆ ต้องเท่ๆ”
ระหว่างที่ผมกำลังคิดชื่อท่าให้มันอยู่จู่ๆ มันก็กระพริบเร็วขึ้น
“ไม่สิ กระพริบตลอดเวลาแบบนี้ ถ้างั้นก็ต้องตั้งชื่อที่มันใกล้เคียงกันหน่อยสินะ งั้นเอาเป็น”
“แสงกระพริบ-l”
จังหวะนั้นเอง แรงระเบิดจากแสงก็ได้อัดหน้าผมไป
เมื่อถึงตอนบ่าย ผมเปิดประตูร้านเหล้าขาประจำเข้ามา
“เอ้า กลับมาแล้วเหรอเฮนรี่”
เฮนรี่นั้นชื่อผมเอง พ่อแม่ผมตั้งมันให้ผม บอกว่าเพราะจะทำให้ผมโชคดี
แต่พอผมดำเนินชีวิตมาได้ 10 ปี ตั้งแต่เกิดก็ไม่คิดว่ามันจะช่วยอะไรเลยนะ?
“กลับมาแล้วลุงโจนาธาน”
ผมพูดพลางเดินไปนั่งลงที่ประจำของผมแล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง
“ผมขอน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดของร้านลุงแล้วกันนะ”
“ไอ้น้ำผลไม้ร้านนี้มันก็มีแค่น้ำส้มนั่นแหละ ถ้างั้นเอาน้ำส้มนะ”
พูดเสร็จลุงแกก็เดินไปหยิบมันจากในชั้นมาเสิร์ฟผม
ก็อยากจะถามมานานแล้วเหมือนกันว่าทำไมร้านเหล้ามันถึงได้มีน้ำส้มขาย แต่ช่างมันเถอะ
“จะว่าไปแล้ว เฮนรี่แกได้ข่าวเกี่ยวกับผู้ที่มาจากต่างโลกบ้างไหม?”
ผู้ที่มาจากต่างโลก?
“ผู้ที่มาจากต่างโลกหมายถึงผู้ที่มาจากต่างโลกจริงๆ เหรอ?”
“แล้วมันจะมีความหมายอย่างอื่นอีกไหมล่ะ ก็ประมาณนั้นแหละ”
“ไม่ล่ะลุง ช่วยบอกหน่อยสิ บอกมาเร็วๆ เลยนะ เร็วๆ!”
“ใจเย็นก่อนสิ ข้ารู้ว่าแกตื่นเต้นเพราะมันมีคนที่มาจากอีกโลกหนึ่ง เหมือนในนิยายที่แกอ่าน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย”
“แล้วทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ?”
ผมพูดพลางวางแก้วน้ำส้มที่ยังดื่มไม่หมด ลุงโจนาธานเกาค้างสองสามครั้งแล้วจึงพูดขึ้นอย่างสงสัย
“ก่อนอื่น…แกไปทำอะไรมากันถึงยังไม่รู้ข่าว ว่าเถอะทำไมเสื้อผ้าแกถึงดูสกปรกนัก?”
“ออ…พอดีฉันไปฝึกเวทย์มนต์บนเนินเขา หรือว่าจะได้ยิน…”
“ไม่หรอกๆ ถ้าเป็นเสียงระเบิดจากเนินเขา ข้าไม่ได้ยินหรอก”
“เมื่อกี้หมายความว่าได้ยินใช่ไหม?”
คิ้วข้างขวาของคนแก่กระตุกไปทีหนึ่ง
“ไม่หรอกๆ เนอะๆ พวกเจ้าได้ยินไหม?”
ลุงโจนาธานหันไปถามแขกคนข้างๆ แต่ไม่รู้ทำไมแขกคนอื่นๆ ก็ตอบมาพร้อมๆ กัน
“ไม่ได้ยินเลยยยยยยยย”
“ลุงกระทืบคนนี้ต้องจ่ายค่าเสียหายเท่าไหร่นะ?”
“อย่าเลยดีกว่า ข้าขี้เกียจไปประกันตัวเจ้า”
“แล้วเรื่องผู้ที่มาจากต่างโลกล่ะลุง?”
“เออใช่เกือบลืมไปเลย มีข่าวมาว่าพบคนแต่งตัวแปลกๆ แถมมีพลังระดับจอมเวทชั้นสูงเลยนะ ข้าอยากเจอจริงๆ เลย อยากรู้ว่าจะเป็นคนยังไง แต่ในข่าวกลับบอกว่าพวกมันเป็นตัวอันตรายที่ทั้งป่าเถื่อนและไร้ความเป็นมนุษย์ศีลธรรม”
“อ้าวแล้วเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน?”
“เพราะเจ้าคนแรกที่เจอมันกลับทำลายกำแพงเมืองหลวงไปน่ะ”
“ทำลายกำแพงเมืองหลวง!”
“อย่าพูดเสียงดังสิ”
“แล้วคนที่มาจากต่างโลกคนนั้นล่ะ?”
“ไม่มีข่าวคราวอะไรเพิ่มเข้ามา ก็สำหรับตอนนี้น่ะนะ แต่จะเตือนเอาไว้ก่อนถ้าเจ้าไปเจอสักคนล่ะก็ระวังตัวไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย”
“แค่คนเดี๋ยวเหรอ ผู้มาจากต่างโลกน่ะ?”
ลุงแกส่ายหน้าซ้ายขวา
“ไม่น่าใช่ เห็นเล่าๆ ต่อๆ กันมาว่ามีมากกว่าหนึ่งคนแต่อาจเป็นแค่ข่าวลือ ที่ยืนยันได้แล้วก็มีเพียงแค่คนเดียว เป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้า แต่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งขนาดที่ว่าไม่มีใครสามารถทำอันตรายได้เลย”
“ขนาดนั้นเลย?”
“ก็ อย่างน้อยก็โดนตั้งค่าหัว 300 ล้านอลิสแล้ว แถบมีคำเตือนว่า ‘อันตรายอย่าได้เข้าใกล้ถ้ายังรักชีวิต’ ด้วย”
“เยอะเอาเรื่องเลยนะนั่น”
แต่มีเขียวว่าอันตรายด้วย เป็นค่าหัวที่แปลกดีนะ
“แล้วเจ้าคนคนนั้นยังอยู่ที่เมืองหลวงสินะ น่าสนใจจริงๆ”
“แต่ข้าว่าอันตรายมากกว่า ถึงเจ้าจะแข็งแกร่งแต่ก็อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวเลยจะดีกว่า ตกลงเอ็งเข้าใจใช่ไหม?”
ผมฟังพลางดื่มน้ำส้มที่เหลือจนหมด
“ไม่อะ ไม่สน”
“ข้าโง่มันบ้าเองที่คิดว่าแกจะเข้าใจ ว่าแล้วแกนี่ก็เริ่มที่จะเหมือนอาจารย์ของแกแล้วนะเฮนรี่ ไม่ลองไปเรียนต่อแล้วไปเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนสอนเวทมนต์ล่ะ ท่าจะรุ่งนะข้าว่า”
“ไม่ล่ะลุง ฉันอยากจะเป็นนักผจัญภัย”
“เป็นนักผจัญภัย แล้วทำไมไม่ออกจากเมืองนี้สักทีล่ะ?”
“ไม่ล่ะ เหมือนยังไม่พร้อม”
ผมรู้สึกอย่างนั้น
ผมเข้าใจตัวเองว่าเป็นอย่างนั้น
“ไม่ต้องพูดหรอกข้าเข้าใจ แล้วทำไมไม่ไปจับกลุ่มกับคนอื่นๆ แล้วไปด้วยกันล่ะ?”
“ไม่มีทางหรอกลุง ฉันอยู่ตั้งระดับนี้แล้วนะ จะไปเกาะกลุ่มกับพวกอ่อนๆ ทำไมล่ะ ที่อยากเจอคือคนเก่งๆ เลเวลสูงๆ ไม่ก็อย่างเจ้าคนทำลายกำแพงนี่ไปเลย”
ได้ยินอย่างนั้นลุงโจจึงเงียบไป
ตัวเองก็อยากจะออกไปจากหมู่บ้านนี้ แต่จากส่วนตัวแล้วก็ยังไม่พร้อม กลับกันการจะหาพักพวกเก่งๆ ก็ต้องออกจากหมู่บ้านนักผจัญภัยมือใหม่ก่อน
ใช่ เพราะที่นี่คือหมู่บ้านของมือใหม่ที่มีแต่คนอ่อนๆ รวมตัวกันเพื่อพัฒนาความสามารถ แต่กลับผมที่ก้าวข้ามเรื่องพวกนั้นมาไกลแล้ว เลยไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนพวกนั้น
ไม่ได้ถือตัวหรืออวดเก่งหรอกนะ
ก็แค่อยากได้พวกที่เก่งพอๆ กันก็เท่านั้น
แล้วอีกไม่นานผมก็ใกล้ที่จะพร้อมออกเดินทางแล้ว ที่ติดอยู่ตอนนี้คงมีแค่เรื่องเงิน
เควสของหมู่บ้านนี้ทั้งหมดที่ว่ายากที่สุดผมก็ได้ทำไปแล้ว รวมถึงการจัดการมอนสเตอร์ที่จัดว่าโหดที่สุด ก็ได้โดนผมจัดการไปแล้ว
สรุปก็คือที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว
ถ้าไม่ติดเพราะว่าเตรียมตัวจะออกเดินทางโดยใช้เงินซื้อพวกของใช้ก็คงไม่ถังแตกหรอกและผมคงไปจากที่นี่แล้ว
“เออใช่ข้าเกือบลืมไป มันมีข่าวลืออีกเรื่องน่ะ คือมีดาบวิเศษที่บังเอิญตกลงมาจากฟ้าปักลงบนหินนอกหมู่บ้านน่ะ”
ไอ้หมู่บ้านนี้ซักจะมีข่าวลือมากไปแล้วนะ
“แล้วมันเป็นยังไงล่ะลุง ไอ้ดาบวิเศษนั่นน่ะ”
“มันเพิ่งตกมาช่วงค่ำของไม่กี่วันก่อนเอง มีคนตะโกนว่ามีบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้าเป็นประกายแสงสีฟ้าขาวสว่าง ระหว่างที่เจ้ากำลังฝึกฝนบนเนินน่ะ”
ใช่ผมตั้งแคมป์บนเนินมาได้หลายวันแล้ว
เพราะเป็นเหตุการณ์ช่วงค่ำผมจึงไม่รู้ว่ามันได้เกิดขึ้น
คงเป็นช่วงที่นอนอยู่
“ข้าได้ไปดูมากับตาข้าแล้ว เป็นดาบขนาดใหญ่ยาวกว่าดาบทั่วไป สีขาวไปถึงด้ามจับและที่สำคัญ”
“ที่สำคัญ?”
“มันดึงไม่ออก ใช้คนที่มีพละกำลังมากที่ในหมู่บ้านแห่งนี้เสริมด้วยเวทเสริมพละกำลังกล้ามเนื้อแล้วก็ดึงมันขึ้นออกจากหินนั่นไม่ได้ แปลกมากเพราะลองใช้เวทลมตัดส่วนหินรอบๆ แล้วกะจะยกมันไปทั้งแบบนั้นก็ทำไม่ได้ เหมือนกับว่าตัวดาบที่ปักอยู่จะทำให้หินมีสถานะคงทนไปด้วย เลยตัดไม่ได้น่ะ จอมเวทคนอื่นๆ บอกว่ามันมีพลังมหาศาลมากเกินไปที่จะควบคุมได้ด้วยเวทมนต์ และเหมือนกับว่าตัวดาบที่มีพลังนั้นจะไม่ได้มีพลังเวทแต่เป็นอย่างอื่น”
ดาบที่ตกมาจากฟ้า ดึงขึ้นไม่ได้ และไม่ได้ใช้พลังเวท แต่เป็นอย่างอื่น
“แล้วอย่างอื่นนี้เขาว่ามายังไงล่ะลุง”
“อธิบายไม่ได้ บอกได้แค่ว่าไม่ใช่เวทมนต์”
“ตอนนี้ดาบนั่นอยู่ไหนนะฉันจะไปดู”
“งั้นไปพร้อมข้าเลยแล้วกัน กำลังอยากปิดร้านพอดี”
พอประโยคนั้นหลุดออกไปพวกขี้เมาในร้านก็มีร้องบ่นกันยกใหญ่
ดาบวิเศษเหรอ? อยากจะไปเห็นกับตาตัวเองจริงๆ
และถ้าเกิดว่าผมสามารถดึงมันขึ้นได้
การออกเดินทางของผม
ก็อาจจะเริ่มต้น ณ บัดนั้น
“ไม่มีใครยอมเล่นกับหนูเลย…”
สายลมเย็นสบายยามราตรีพัดเข้ามายังคฤหาสน์ที่แสนจะมืดและเงียบสงบ
หน้าต่างที่ไม่ได้ปิดได้ถูกเปิดค้างไว้ให้แสงจากดวงจันทร์ได้สอดส่องเข้ามายังโถงทางเดินที่แสนจะกว้างใหญ่
ตรงนั้นมีเสียงของเด็กหญิงวัยละอ่อนกำลังนั่งอยู่ตรงชานพักบนไดที่ถูกปูด้วยพรมสีแดง
“ทำไมไม่มีใคร…อยากจะเล่นกับหนูเลยนะ…ทำไม?”
เด็กหญิงผู้สวมชุดโลลิต้าสีม่วงไว้ผมทรงทวินเทลสีน้ำตาลอ่อนในตาสีเขียวมรกต เด็กสาวใบหน้าสะสวยสมอายุ 12 ปี ในร่างที่ผอมบางผิวขาวราวหิมะ กำลังนั่งกอดตุ๊กตาอยู่ที่ชานพักบนไดที่มืดสลัวใต้โคมระย้าหรูหราแต่ก็เก่าทรุดโทรม
ด้วยคำถามนั้นเธอได้ถามตัวเองมาแล้วกว่าร้อยครั้ง
ทำไมถึงไม่มีใครอยากจะเล่นกับเธอ
หรือที่จริงแล้ว…
ทำไมทุกคนที่เล่นกับเธอจึง ‘ตาย’ หมดกัน
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกของคฤหาสน์ เป็นเสียงของชายสองคนเดินบ่นขนาดกำลังจะเข้ามาเปิดประตูบานใหญ่ของคฤหาสน์หลังนี้ เด็กหญิงวัย 12 กลัวว่าจะเป็นพวกโจรหรือไม่ก็หัวขโมย
แต่พอเธอคิดดูดีๆ แล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกันนิ
เธอรีบลุกขึ้นแล้วไปหาที่แอบ
นานแล้วที่เธอไม่ได้ถูกใครบุกลุกบ้านของเธอ คนส่วนใหญ่จะมาที่นี่เพราะคิดว่ามีสมบัติ แต่ของแบบนั้นมันได้ถูกขโมยไปจนหมดตั้งนานแล้ว
สิ่งที่เหลืออยู่จึงมีเพียงแต่เธอและบ้านของเธอเท่านั้น
เด็กหญิงได้ยินเสียงของชายทั้งสองดังขึ้นมาเข้าใกล้เธอเข้าเรื่อยๆ ก็ตัวสั่นเพราะความกลัว
“อย่าเข้ามานะ อย่าเข้ามานะ”
เธอกระซิบแบบนั้นหลายต่อหลายครั้งขณะกำลังวิ่งหนีให้ห่างจากทั้งสอง
“นายว่าที่นี่มีสมบัติอย่างที่ตาแก่ขี้เมาว่าหรือเปล่าล่ะ?”
“ก็อยากจะเชื่ออยู่หรอกนะ ว่าเถอะปกติแล้วคฤหาสน์เขาเก็บสมบัติไว้ที่ไหนนะ?”
“ไม่รู้สิ ห้องใต้ดินมั้ง?”
“แล้วจะมีผีอย่างที่เขาลือกันหรือเปล่านะ”
“ถึงมีนายก็จัดการได้สบายๆ เลยไม่ใช่เหรอ สู้เขานะนักไล่ผี!”
“ฉันไม่ใช่มือปราบอะไรอย่างนั้นสักหน่อย”
“โกสต์บัสเตอร์มาแล้ว!”
“ก็บอกว่าไม่ได้เป็น!”
ผู้บุกลุกทั้งสองเดินพลางพูดคุยกันตรงโถงทางเดิน
ด้วยน้ำเสียงและคำพูดคำจาที่ป่าเถื่อนไร้ความเป็นมนุษย์ของแขกสองคนที่ไม่ได้รับเชิญ
เธอจึงหวังว่าพวกเขาจะไม่เจอเธอเข้า
และเธอก็จะได้ไม่ต้องฆ่าพวกเขา
เหมือนกับคนอื่นๆ อีก…
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ