Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
8.1
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
28 ตอน
0 วิจารณ์
28.08K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) กุญแจ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกุญแจ
“อุ๊บ! แค่กๆ~”
“เป็นยังไงยูระ ท่าทางแบบนี้คงไม่ต้องบอกแล้วสินะ”
“ขออภัยค่ะท่านคัยรีว ข้าประมาทมากไป”
ยูระก้มหน้าอย่างยำเกรงต่อจอมปีศาจที่อยู่บนแท่นศิลา ต่างจากชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอย่างไม่กริ่งเกรงใดๆ ไม่นานจอมปีศาจก็หันไปออกคำสั่งกับเขา
“เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว ฟุยูกิ”
“…….”
“ไปแสดงฝีมือได้แล้ว ลูกชายแห่งข้า”
“ข้าไม่ใช่ลูกของเจ้า อย่ามาออกคำสั่งกับข้า”
เสียงเย็นยะเยือกดังเล็ดรอดออกมาจากผ้าที่ปกปิดใบหน้า ยูระเหลือบมองเล็กน้อย เด็กหนุ่มที่เคยอ่อนหวานเมื่อครั้งที่ยังมีหัวใจบริสุทธิ์ ตอนนี้ไม่ต่างไปจากปีศาจที่น่ากลัวเพราะดวงจิตที่ถูกย้อมจนมืดดำ
“หึ จะยังไงก็ช่าง เจ้าจงไปนำตัวเทพธิดาสีเงินมาที่นี่ให้เร็วที่สุด!”
จอมปีศาจคัยรีวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่เพราะผืนผ้าบางๆที่บดบังใบหน้าของเธอทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าสีหน้าของเธอตอนนี้เป็นยังไง ฟุยูกิสะบัดหน้าเดินหนีไปโดยไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆ ท่าทางเย็นชาและแสดงการต่อต้านออกมาชัดเจนนั้น ทำให้ยูระเกิดคำถามต่อจอมปีศาจขึ้นมาทันที
“ท่านคัยรีว”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไรยูระ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะเมื่อไหร่ที่ข้ากำจัดเทพธิดาสีเงินได้สำเร็จ เจ้าชายเหมันต์ก็จะอยู่ภายใต้อำนาจของข้า อีกนิดเดียวเท่านั้น”
ซาคุโระได้พบกับมิราอิอีกครั้งพร้อมกับข่าวร้ายเรื่องฟุยูกิแปรภักต์ สองวันที่เธอเฝ้าดูอาการของชายหนุ่มโดยที่ยังคิดไม่ตกว่าเร็นกะหายไปไหน
“หรือว่าตั้งใจจะให้เราพบกันแล้วก็จากไปนะ”
“ท่านซาคุโระ บ่นพึมพำอะไรอยู่น่ะ”
“อ๊ะ! ไม่มีอะไรจ้ะ ลีอา ว่าแต่อาการของมิราอิเป็นยังไงบ้าง”
“บาดแผลทางกายน่ะน่าจะหายดีแล้วล่ะ ที่เหลือก็คงจะเป็นบาดแผลที่มองไม่เห็นนั่นแหล่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
พอได้ฟังทีไรก็อดเศร้าใจไม่ได้ทุกครั้ง มิราอิเสียใจและเจ็บปวดที่ต้องเสียทั้งพี่และน้องไปอย่างนั้น ถึงจะฝืนทนและแสดงสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนปกติ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาไม่เคยหลับจริงๆแม้แต่ชั่วโมงเดียว จนต้องทรุดและเดินทางต่อไม่ไหว
“คงเจ็บปวดมากสินะ”
ในขณะที่บ่นพร่ำเพรื่อก็เพิ่งรู้สึกว่าลีอาได้หายไป มิราอิยังคงหลับตาสนิทไม่รู้ว่าเขาหลับจริงหรือเปล่า แต่ก็ไม่อยากรบกวนให้เขาต้องลืมตาขึ้นมาเพราะความกังวลว่าเธอจะได้รับอันตราย ซาคุโระค่อยๆย่องออกไปเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้
บรรยากาศภายนอกลมพัดเย็นสบาย ซาคุโระหลับตาสูดอากาศเข้าเต็มปอดและผ่อนลงช้าๆ ก่อนที่จะหันกลับไปมองต้นไม้พุ่มขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมจนเกือบลากดิน ซึ่งเป็นที่คุ้มแดดคุ้มฝนและอันตรายต่างๆเหมือนบ้านหลังหนึ่ง แต่ถึงจะปลอดภัยแค่ไหนซาคุโระก็ไม่สบายใจที่เห็นมิราอิต้องฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาเฝ้าเมื่อยามเธอหลับ เพราะมันยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก
สวบๆ…
เสียงเหมือนมีคนเดินฝ่าทุ่งหญ้าเข้ามาหาจากด้านหลัง ซาคุโระไม่ได้คิดไปอย่างอื่นนอกจากลีอาที่คงจะกลับมา
“กลับมาแล้วเหรอลีอา ไปไหนมาล่ะ”
หญิงสาวเอ่ยถามโดยไม่ได้หันกลับไปมอง จนผ่านไปสักพักก็ไม่มีคำตอบหรือเสียงตอบรับ เธอจึงหันกลับไปหา และต้องหยุดชะงักค้างเติ่งทั้งอย่างนั้น เมื่อคนที่อยู่ด้านหลังไม่ใช่ลีอา แต่กลับเป็นชายหนุ่มคนเดิมที่เข้ามาช่วยเหลือยูระเมื่อสองวันก่อน
“นะ นาย!!!”
ชายหนุ่มไม่เอื้อนเอ่ยอะไรและเดินตรงเข้ามาหา ซาคุโระก้าวถอยหลังด้วยขาที่สั่นเทาจนสะดุดขาตัวเองล้มพับลง
“ยะ อย่าเข้ามานะ!”
ซาคุโระยันกายถอยหลังไปเรื่อยๆ ในขณะที่ชายหนุ่มปริศนานั้นเข้ามาประชิดและหยุดยืนอยู่ใกล้เพียงคืบ แต่ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาหาเธอ เสียงร่ายมนตร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างชายหนุ่มปริศนาที่ถูกอัดจนกระเด็นออกไปไกล
“ทำลาย!”
ตูม!!!!
“มิราอิ!”
“แฮ่กๆๆ~”
มิราอิยืนโงนเงนเหมือนคนจะล้ม ฝ่ามือทั้งสองยังคงหลงเหลือไอเวทสีจางและเล็งไปยังคนแปลกหน้าที่กำลังลุกขึ้นและมองมาทางเขา
“หึ! หึๆๆ ว่าไงไอ้น้องชาย ไม่คิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้นะเนี่ย
“ว่าไงนะ น้องชาย นี่คือ ฟุยูกิเหรอ!”
ซาคุโระหมดเรี่ยวแรงลงทันที
“มิราอิ ไม่ใช่มั้ง ไม่จริงหรอกน่า จะเป็นฟุยูกิได้ยังไง”
“ข้าไม่ได้โง่ขนาดจะมองน้องของข้าไม่ออกหรอก!...อึก!!!!”
ชั่วพริบตาเดียวคำพูดมิราอิก็ถูกกลืนหายไปพร้อมกับเสียงลมพัดทันทีที่ชายแปลกหน้าคนนั้นพุ่งเข้ามาประชิดและทำบางอย่างกับร่างกายอันบอบช้ำของเขา
พลั่ก!
“แต่น่าเสียดายที่ท่านมองพลังของข้าไม่ออก ท่านพี่”
“มิราอิ!!!”
มิราอิล้มลงกองกับพื้นในสภาพร่อแร่กว่าเดิม เพียงเพราะฝ่ามือที่เข้ามาอัดกระแทกลิ้นปี่จนเขาต้องจุกจนตัวงอ ซาคุโระตรงเข้าไปหาหมายจะประคองเขาขึ้น แต่ก็ถูกมืออันแสนเย็นเฉียบของชายแปลกหน้ากระชากจนตัวลอยเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็ว และไม่ทันที่จะได้ออกแรงดิ้นรนใดๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองดำดิ่งลงสู่ความมืดอย่างไร้ทางต่อต้าน
“ทะ…ท่านซาคุโระ!”
ความเจ็บปวดได้รวดร้าวไปทั่วร่างเพราะฝ่ามือที่อัดกระแทกเข้าใส่โดยไม่ได้ตั้งตัว ม่านตาเบิกกว้างมองเห็นหญิงสาวที่หมดสติถูกพาตัวไป มิราอิฝืนเค้นกายลุกอย่างยากลำบาก พร้อมทั้งมือข้างหนึ่งที่ตวัดผ่าอากาศออกไปราวกับมีดดาบ แรงเชือดเฉือนทำให้ชายผ้าที่ยาวพลิ้วของชายตรงหน้าถึงกับขาดวิ่น
ฉึบ!
“คิดจะหนี มันไม่ง่ายนักหรอกนะ”
มิราอิยิ้มแสยะยันกายลุกขึ้นยืนจนสำเร็จ ดาบมือเปล่าที่ไร้รูปร่างของเขาไม่ว่าเมื่อไรก็ยังทรงอานุภาพอยู่เสมอ แม้แต่ตอนที่เจ้าของร่อแร่ใกล้ตาย ฟุยูกิที่ยังปกปิดใบหน้าได้หันมามองเขาด้วยสายตาที่ยังเรียบเฉย มันเย็นชาและไร้อารมณ์ราวกับว่าร่างนั้นไม่มีชีวิตจิตใจ
“ข้าไม่คิดจะต่อกรกับท่านหรอก ท่านพี่ ข้าแค่ทำสิ่งที่ควรทำ”
“คืนนางมาซะ”
“ทำไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน!”
พูดจบดาบมือเปล่าก็สำแดงฤทธิ์เดชอีกครา แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก ชายแปลกหน้าหลบได้อย่างง่ายดายและยังสวนกลับเล็กน้อยด้วยฝ่ามือที่สะบัดเพียงนิดก็พัดเอาลมหอบใหญ่เข้ามาอัดกระแทกมิราอิจนกระเด็น
ตูม!
“อั๊ก!”
มิราอิรู้สึกถึงร่างกายที่ติดขัดและหนักอึ้งเหมือนหิน ภาพเบื้องหน้าเริ่มพล่าเลือนลงทุกที ร่างบางของหญิงสาวถูกชายแปลกหน้าอุ้มพาดบ่าและกำลังเดินจากไป
“หยุดนะ!”
ถึงจะรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อยันกายลุกเข้าไปแย่งกลับมาแต่ทว่าตอนนี้ร่างกายทุกส่วนหนักยิ่งกว่าหิน แค่ขยับเพียงนิ้วเดียวก็ยังยาก และในที่สุดความมืดและเหน็บหนาวก็เข้ามาปิดบังดวงตาและสติน้อยๆนี้จนหมดสิ้น สิ่งที่รับรู้ได้ก่อนสติจะหลุดลอยมีเพียงเสียงตะโกนก้องของลีอาที่ดังมาแต่ไกล
“ท่านมิราอิ!”
สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาเมื่อรุดหน้ามาถึง คือร่างชายหนุ่มที่ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นอย่างแน่นิ่ง บาดแผลที่ควรจะหายไปกลับปรากฏขึ้นซ้ำรอยเดิมและดูจะสาหัสยิ่งกว่าเดิมนัก ซึ่งตัวต้นเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ก็คือคนแปลกหน้าที่ยืนแบกอีกร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้านี้เอง ลีอาชะงักเมื่อรู้สึกถึงรังสีประหลาดที่จับจ้องมายังตน พอเงยหน้าขึ้นไปก็สบเข้ากับดวงตาสีเงินที่โผล่พ้นออกจากผ้าที่ปิดบังใบหน้าออกมาให้เห็นเพียงข้างเดียว ดวงตาข้างนั้นเบิกกว้างในชั่ววูบก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความราบเรียบเสียจนรู้สึกหวาดกลัว อ้อมแขนเล็กๆโอบกอดร่างชายหนุ่มผู้สิ้นสติเอาไว้แน่น ถึงอยากเข้าไปแย่งร่างบางนั้นมาจากคนตรงหน้าแต่ก็ต้องหักห้ามใจเพราะรู้ดีว่าพลังของตนไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับคนแปลกหน้าได้ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงปกป้องชายหนุ่มอย่างสุดกำลังเท่านั้น
พลันร่างของชายแปลกหน้าหันหลังกลับและเดินจากไปพร้อมกับร่างบางที่อุ้มพาดบ่า ลีอาได้เพียงตามหลังไวที่หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านฟุยูกิ”
ตุบ!
ร่างบางของหญิงสาวผู้ไร้สติถูกโยนลงพื้นดินกระด้างสีดำเบื้องหน้าแท่นศิลาอย่างไร้ปราณี การกระทำที่รวดเร็วและเยือกเย็นนี้ทำให้จอมปีศาจพอใจยิ่งนัก
“ทำได้ดีมาก ลูกชายข้า”
“จะให้บอกกี่ครั้งว่าข้าไม่ใช่ลูกเจ้า คัยรีว”
“บังอาจ!”
เมด์บริภาษออกมาพร้อมกับใบมีดเรียวเล็กที่พุ่งออกไปพร้อมกับเสียง เสียทีแต่เป้าหมายนั้นไม่ได้โง่รอรับอาวุธนั้นแต่อย่างใด ดังนั้นที่อยู่ของอาวุธชั้นดีของปีศาจสาวจึงไปปักทื่ออยู่ที่ผนังห้องซึ่งเป็นศิลาแกร่งเสียแทน พลันเกิดเสียงถอนหายใจจากยูระที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม ปีศาจสาวผู้ใช้ลมไร้ซึ่งคำพูดและทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ
ไม่มีใครรู้ว่าสีหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าผืนนั้นเป็นยังไง แต่ดูจากรังสีอำมหิตที่เด็กหนุ่มปล่อยออกมาแล้วก็เดาได้เลยว่าไม่ว่าใครเขาก็จัดการได้อย่างไร้ปราณีแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่จอมปีศาจที่มักจะนั่งอยู่บนแท่นศิลาและมีผ้าม่านสีดำปกปิดใบหน้าผู้นั้นก็เถอะ และเหมือนจะรู้ซึ้งถึงหายนะนี้ดี จอมปีศาจนามคัยรีวจึงหาเรื่องเบี่ยงเบนเพราะสิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่การทะเลาะกันของบริวาร แต่เป็นร่างบางที่นอนคว่ำหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้านี้ต่างหาก
“ยูระ เมด์”
“ค่ะ!!”
“นำตัวเทพธิดาสีเงินไปที่ลานพิธี!”
สิ้นคำสั่งสองปีศาจสาวก็หายไปพร้อมกับร่างบางที่ไร้สติ ฟุยูกิเพียงปรายตามองเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะหันกลับเดินออกไปจากห้องโถงโดยไร้ซึ่งคำพูด
ในความมืดที่วังเวงและบิดเบี้ยวชวนเวียนหัว ซาคุโระได้แต่ปล่อยให้ร่างกายลอยคว้างไปเรื่อยๆเหมือนสิ่งไร้น้ำหนักที่อยู่ในชั้นบรรยากาศนอกโลกก็ไม่ปาน ไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งเปลือกตาก็ปิดสนิท รู้สึกถึงแรกโน้มถ่วงนิดๆที่แขนและขาทั้งสองข้างเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวน ความมืดนี้หากมีใครอยู่ด้วยก็คงจะช่วยปัดเป่าความหวาดกลัวลงได้บ้าง และคนๆเดียวที่คิดถึงตั้งแต่แรกจนกระทั่ง ณ เวลานี้ ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
โฮโนโอะ….
เจ็บ…มันเจ็บที่หน้าอก ความรู้สึกนี้เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆมา ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเยียวยาให้หายได้นอกจากการรอเวลาให้ผ่านไปช้าๆ ฟุยูกิอยากบอกใครสักคนที่ไว้ใจและรับฟัง เจ็บแปลบที่อกซ้ายตำแหน่งของหัวใจจนต้องยกมือบีบแน่น
“ทนไว้ อีกไม่นานหรอก อดทนไว้ฟุยูกิ”
‘อ่อนแอจริงนะ’
เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา มันคือเสียงผู้หญิงแต่ดูเหมือนจะเป็นเด็กทั้งที่นำเสียงนั้นออกจะเยือกเย็น ฟุยูกิเดินโซเซไปตามทางที่ไม่คุ้นชิน พอรู้สึกตัวอีกทีก็เข้ามาในห้องแคบๆและมีแสงสว่างเพียงน้อยนิด ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความเจ็บปวดก็ยิ่งแปรปรวนเหมือนโรคชักกระตุกยังไงอย่างนั้น เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวหายหรือไม่ก็หนาวสุดขั้วเพียงชั่ววูบก่อนที่จะรู้สึกถึงความอบอุ่นแสนสบาย และด้วยร่างกายที่ปรับสภาพไม่ทันก็ทำให้เขาต้องสะดุดก้อนหินเล็กๆล้มหน้าทิ่มอย่างไร้เรี่ยวแรงเสียงดัง
พลั่ก!
ฟุยูกิหอบแฮกพยายามเงยหน้าขึ้นไปมองทางต้นเสียงที่รู้สึกว่าจะอยู่ใกล้แทบใบหน้าตัวเอง พลันสายตาได้ชะงักงันกับแสงสีฟ้าอ่อนจางที่อยู่บนแท่นหินสีดำขนาดเล็กและน่าจะสูงเพียงอก
“นั่นมัน…อะไร”
‘อยากรู้จักข้าไหมล่ะ ฟุยูกิ’
เสียงนั้นสวนกลับมาอย่างรู้ความคิด ฟุยูกิเกือบสำลักคำพูดลงคอเมื่อเพ่งมองดูดีๆ ก้อนหินสีดำนั้น ไม่สินั่น…เหมือนกับแท่นบูชายัญชัดๆ เพราะรอบๆก้อนหินนั้นเต็มไปด้วยเชือกฟั่นที่เกี่ยวพันกับโขดหินที่ใช้แทนเสาเสียบคบเพลิงที่เกิดจากเวทมนตร์ เชือกเหล่านั้นล้อมรอบแท่นหินสีดำต้นกำเนิดแสงสีฟ้าอ่อนจางเอาไว้เหมือนการสะกดพลังที่อยู่ข้างในไม่ให้รั่วไหลยังไงอย่างนั้น
โชคดีที่ในที่สุดเจ้าก็มา’ ‘ข้าอยากพบเจ้ามานานแล้ว เจ้าชายแห่งเหมันต์ ฟุยูกิ เพราะข้าถูกสะกดเอาไว้ จึงออกไปข้างนอกไม่ได้
ฟุยูกิพยายามยันกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าเขาจะหลงเข้ามาในสถานที่ๆไม่ควรจะมาเสียแล้ว
‘ไม่หรอกเด็กน้อย เจ้าควรจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ’
“เจ้าเป็นใคร ทำไมอ่านความคิดของข้าได้”
‘ข้าคือใครน่ะเหรอ….’
เสียงนั้นหยุดไปเหมือนชั่งคิดก่อนที่แสงอ่อนจางนั้นจะขยายฉาบไปทั่วห้องจนสว่างจ้าไม่ต่างจากกลางวัน และพอแสงนั้นหดหาย สิ่งที่ฟุยูกิได้เห็นคือร่างเล็กๆของเด็กผู้หญิงผิวขาวผมสั้นสีดำขลับสวมกิโมโนะแบบมิโกะสีขาวและสีน้ำเงินเข้มซ้นปลายด้วยด้ายสีม่วง ดวงตาสีอำพันดุจพระจันทร์ที่ส่องสกาวฉายแววเย็นชาปนเย่อหยิ่ง อาภรณ์ผืนบางเป็นริ้วสวยวางบนไหล่สองข้างโบกสะบัดพลิ้วไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน แสงสว่างสีอ่อนจางอาบชโลมร่างเล็กๆจนฟุยูกิต้องหรี่ตาเพื่อหลบแสง
‘นามของข้าคือเทพจันทรา โคฮาคุ ซัทซึมิ ศาสตราของเทพกษัตริย์องค์ที่สี่ แม่ของเจ้า เรียกข้าว่าซัทซึมิก็พอ’
“ซัทซึมิ?”
‘ท่าทางเจ้าจะสับสนนะ ให้ข้าช่วยเอาไหม’
เสียงเล็กๆไม่เข้ากับสีหน้าท่าทางที่เย่อหยิ่งเลยสักนิด เอ่ยกับฟุยูกิเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กสามขวบยังไงอย่างนั้น แต่ฟุยูกิก็หาได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้นไม่ เด็กหนุ่มก้าวเดินด้วยขาทั้งสองที่ไร้เรี่ยวแรงเต็มทีเข้าไปหยุดใกล้ร่างโปร่งแสงของเด็กหญิง ระยะห่างของทั้งสองตอนนี้มีเพียงเชือกฟั่นกั้นอยู่เท่านั้น และไม่ทันที่จะหยุดหายใจมือสั่นๆของฟุยูกิก็เงื้อขึ้นและกระชากเชือกนั้นจนขาด เพิ่งจะได้เห็นว่าต้นกำเนิดของร่างโปร่งแสงของเด็กหญิงมาจากวงแหวนสีเงินสลักลวดลายประหลาด
“ศาตราของเทพกษัตริย์ นี่คือ…อาวุธของท่านแม่เหรอ”
เด็กหนุ่มพึมพำอย่างชั่งใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าผ่องใสของซัทซึมิเหมือนหยั่งเชิงถามด้วยสายตา
‘และต่อไปนี้ข้าคือศาตราของเจ้า เจ้าชายแห่งเหมันต์’
คำตอบจากเด็กหญิงก็ทำให้ฟุยูกิชะงักงัน
หนาว….
นี่คือความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสทันทีที่ได้สติ รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือและข้อเท้าทั้งสองเหมือนถูกบางอย่างพันธนารเอาไว้ ร่างกายหนักอึ้งแม้กระทั่งเปลือกตาก็ไม่อาจฝืนเปิดขึ้นมา เวลานี้จะเรียกว่าโดดเดี่ยวก็คงไม่แปลกเพราะรู้สึกได้ว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆเลยสักคน ก็โดนจับตัวมานี่นะ เดาได้อย่างเดียวว่าที่นี่คงจะเป็นที่ไหนสักแห่งที่เธอไม่รู้จัก แล้วมิราอิล่ะจะเป็นยังไง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือชายหนุ่มที่สะบักสะบอมเพื่อช่วยเธอ จิตใจเขาย่ำแย่เพราะสูญเสียน้องชายและพี่ชายยังไม่พอ ยังต้องเจ็บตัวเพราะเธออีก ช่างน่าสมเพช สมเพชตัวเองเหลือเกิน สมเพชที่ไร้ความสามารถทั้งที่มีวิญญาณของเทพธิดาอยู่ในร่างแต่กลับไม่สามารถสื่อสารและทำตัวเป็นประโยชน์ได้เลย หนำซ้ำยังทำให้ทุกคนที่เข้าใกล้พลอยเดือดร้อนไปไม่รู้เท่าไหร่ ซาคุโระไม่เคยคิดอยากกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง มีแต่อยากเดินทางตามหาทุกคนให้พบ อยากผจญภัยไปเรื่อยๆจนตาย และถ้าเธอตายไปจริงๆทุกอย่างจะเป็นเพียงแค่ฝันหรือเปล่า หรือว่าเธอจะได้พบกับเร็นกะที่มีใบหน้าคล้ายพี่ชาย เขาจะมารับเธอไปยมโลกด้วยหรือเปล่า แล้วในยมโลกนั้นก็คงจะมีทั้งเซนริ จากะ เนรีว กาโระ คานอล และโฮโนโอะ พวกนั้นคงจะอยู่ที่ยมโลกและคงกำลังทะเลาะกันอยู่เป็นแน่ คิดแล้วก็มีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อา…เวลานั้นสำหรับเธอจะมาถึงเร็วหรือเปล่านะ
แซ่ก…แซ่ก…
เสียงฝีเท้าคนเดิน ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ซาคุโระค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกทั้งโซ่ทั้งกุญแจล่ามตรึงไว้ราวกับไม้กางเขนชนิดที่ว่าเท้าไม่สัมผัสพื้นเลยแม้แต่น้อยท่ามกลางเศษซากของสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ เบื้องล่างใต้ฝ่าเท้าเป็นดินที่เขียนลาดลายเหมือนอักษรโบราณเอาไว้เป็นวงกลมกว้างพอดู ใครนะช่างกล้าคิด ซาคุโระนึกสบถกร่นด่าไปทั่วในขณะที่เงยหน้าขึ้นไปมองแขกผู้มาเยือนด้วยสีหน้าอ่อนแรง พลันเบิกตากว้างเมื่อคุ้นเคยกับใบหน้าของหนุ่มน้อยวัยแรกรุ่นเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีเงินประกายมุกที่คุ้นตา
“อุ๊บ! แค่กๆ~”
“เป็นยังไงยูระ ท่าทางแบบนี้คงไม่ต้องบอกแล้วสินะ”
“ขออภัยค่ะท่านคัยรีว ข้าประมาทมากไป”
ยูระก้มหน้าอย่างยำเกรงต่อจอมปีศาจที่อยู่บนแท่นศิลา ต่างจากชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่งอย่างไม่กริ่งเกรงใดๆ ไม่นานจอมปีศาจก็หันไปออกคำสั่งกับเขา
“เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว ฟุยูกิ”
“…….”
“ไปแสดงฝีมือได้แล้ว ลูกชายแห่งข้า”
“ข้าไม่ใช่ลูกของเจ้า อย่ามาออกคำสั่งกับข้า”
เสียงเย็นยะเยือกดังเล็ดรอดออกมาจากผ้าที่ปกปิดใบหน้า ยูระเหลือบมองเล็กน้อย เด็กหนุ่มที่เคยอ่อนหวานเมื่อครั้งที่ยังมีหัวใจบริสุทธิ์ ตอนนี้ไม่ต่างไปจากปีศาจที่น่ากลัวเพราะดวงจิตที่ถูกย้อมจนมืดดำ
“หึ จะยังไงก็ช่าง เจ้าจงไปนำตัวเทพธิดาสีเงินมาที่นี่ให้เร็วที่สุด!”
จอมปีศาจคัยรีวพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่เพราะผืนผ้าบางๆที่บดบังใบหน้าของเธอทำให้ไม่มีใครล่วงรู้ว่าสีหน้าของเธอตอนนี้เป็นยังไง ฟุยูกิสะบัดหน้าเดินหนีไปโดยไร้ซึ่งคำกล่าวใดๆ ท่าทางเย็นชาและแสดงการต่อต้านออกมาชัดเจนนั้น ทำให้ยูระเกิดคำถามต่อจอมปีศาจขึ้นมาทันที
“ท่านคัยรีว”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไรยูระ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอก เพราะเมื่อไหร่ที่ข้ากำจัดเทพธิดาสีเงินได้สำเร็จ เจ้าชายเหมันต์ก็จะอยู่ภายใต้อำนาจของข้า อีกนิดเดียวเท่านั้น”
ซาคุโระได้พบกับมิราอิอีกครั้งพร้อมกับข่าวร้ายเรื่องฟุยูกิแปรภักต์ สองวันที่เธอเฝ้าดูอาการของชายหนุ่มโดยที่ยังคิดไม่ตกว่าเร็นกะหายไปไหน
“หรือว่าตั้งใจจะให้เราพบกันแล้วก็จากไปนะ”
“ท่านซาคุโระ บ่นพึมพำอะไรอยู่น่ะ”
“อ๊ะ! ไม่มีอะไรจ้ะ ลีอา ว่าแต่อาการของมิราอิเป็นยังไงบ้าง”
“บาดแผลทางกายน่ะน่าจะหายดีแล้วล่ะ ที่เหลือก็คงจะเป็นบาดแผลที่มองไม่เห็นนั่นแหล่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ”
พอได้ฟังทีไรก็อดเศร้าใจไม่ได้ทุกครั้ง มิราอิเสียใจและเจ็บปวดที่ต้องเสียทั้งพี่และน้องไปอย่างนั้น ถึงจะฝืนทนและแสดงสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนคนปกติ แต่แท้ที่จริงแล้วเขาไม่เคยหลับจริงๆแม้แต่ชั่วโมงเดียว จนต้องทรุดและเดินทางต่อไม่ไหว
“คงเจ็บปวดมากสินะ”
ในขณะที่บ่นพร่ำเพรื่อก็เพิ่งรู้สึกว่าลีอาได้หายไป มิราอิยังคงหลับตาสนิทไม่รู้ว่าเขาหลับจริงหรือเปล่า แต่ก็ไม่อยากรบกวนให้เขาต้องลืมตาขึ้นมาเพราะความกังวลว่าเธอจะได้รับอันตราย ซาคุโระค่อยๆย่องออกไปเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้
บรรยากาศภายนอกลมพัดเย็นสบาย ซาคุโระหลับตาสูดอากาศเข้าเต็มปอดและผ่อนลงช้าๆ ก่อนที่จะหันกลับไปมองต้นไม้พุ่มขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมจนเกือบลากดิน ซึ่งเป็นที่คุ้มแดดคุ้มฝนและอันตรายต่างๆเหมือนบ้านหลังหนึ่ง แต่ถึงจะปลอดภัยแค่ไหนซาคุโระก็ไม่สบายใจที่เห็นมิราอิต้องฝืนลืมตาตื่นขึ้นมาเฝ้าเมื่อยามเธอหลับ เพราะมันยิ่งทำให้เธอไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก
สวบๆ…
เสียงเหมือนมีคนเดินฝ่าทุ่งหญ้าเข้ามาหาจากด้านหลัง ซาคุโระไม่ได้คิดไปอย่างอื่นนอกจากลีอาที่คงจะกลับมา
“กลับมาแล้วเหรอลีอา ไปไหนมาล่ะ”
หญิงสาวเอ่ยถามโดยไม่ได้หันกลับไปมอง จนผ่านไปสักพักก็ไม่มีคำตอบหรือเสียงตอบรับ เธอจึงหันกลับไปหา และต้องหยุดชะงักค้างเติ่งทั้งอย่างนั้น เมื่อคนที่อยู่ด้านหลังไม่ใช่ลีอา แต่กลับเป็นชายหนุ่มคนเดิมที่เข้ามาช่วยเหลือยูระเมื่อสองวันก่อน
“นะ นาย!!!”
ชายหนุ่มไม่เอื้อนเอ่ยอะไรและเดินตรงเข้ามาหา ซาคุโระก้าวถอยหลังด้วยขาที่สั่นเทาจนสะดุดขาตัวเองล้มพับลง
“ยะ อย่าเข้ามานะ!”
ซาคุโระยันกายถอยหลังไปเรื่อยๆ ในขณะที่ชายหนุ่มปริศนานั้นเข้ามาประชิดและหยุดยืนอยู่ใกล้เพียงคืบ แต่ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาหาเธอ เสียงร่ายมนตร์ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างชายหนุ่มปริศนาที่ถูกอัดจนกระเด็นออกไปไกล
“ทำลาย!”
ตูม!!!!
“มิราอิ!”
“แฮ่กๆๆ~”
มิราอิยืนโงนเงนเหมือนคนจะล้ม ฝ่ามือทั้งสองยังคงหลงเหลือไอเวทสีจางและเล็งไปยังคนแปลกหน้าที่กำลังลุกขึ้นและมองมาทางเขา
“หึ! หึๆๆ ว่าไงไอ้น้องชาย ไม่คิดว่าเจ้าจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้นะเนี่ย
“ว่าไงนะ น้องชาย นี่คือ ฟุยูกิเหรอ!”
ซาคุโระหมดเรี่ยวแรงลงทันที
“มิราอิ ไม่ใช่มั้ง ไม่จริงหรอกน่า จะเป็นฟุยูกิได้ยังไง”
“ข้าไม่ได้โง่ขนาดจะมองน้องของข้าไม่ออกหรอก!...อึก!!!!”
ชั่วพริบตาเดียวคำพูดมิราอิก็ถูกกลืนหายไปพร้อมกับเสียงลมพัดทันทีที่ชายแปลกหน้าคนนั้นพุ่งเข้ามาประชิดและทำบางอย่างกับร่างกายอันบอบช้ำของเขา
พลั่ก!
“แต่น่าเสียดายที่ท่านมองพลังของข้าไม่ออก ท่านพี่”
“มิราอิ!!!”
มิราอิล้มลงกองกับพื้นในสภาพร่อแร่กว่าเดิม เพียงเพราะฝ่ามือที่เข้ามาอัดกระแทกลิ้นปี่จนเขาต้องจุกจนตัวงอ ซาคุโระตรงเข้าไปหาหมายจะประคองเขาขึ้น แต่ก็ถูกมืออันแสนเย็นเฉียบของชายแปลกหน้ากระชากจนตัวลอยเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างรวดเร็ว และไม่ทันที่จะได้ออกแรงดิ้นรนใดๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองดำดิ่งลงสู่ความมืดอย่างไร้ทางต่อต้าน
“ทะ…ท่านซาคุโระ!”
ความเจ็บปวดได้รวดร้าวไปทั่วร่างเพราะฝ่ามือที่อัดกระแทกเข้าใส่โดยไม่ได้ตั้งตัว ม่านตาเบิกกว้างมองเห็นหญิงสาวที่หมดสติถูกพาตัวไป มิราอิฝืนเค้นกายลุกอย่างยากลำบาก พร้อมทั้งมือข้างหนึ่งที่ตวัดผ่าอากาศออกไปราวกับมีดดาบ แรงเชือดเฉือนทำให้ชายผ้าที่ยาวพลิ้วของชายตรงหน้าถึงกับขาดวิ่น
ฉึบ!
“คิดจะหนี มันไม่ง่ายนักหรอกนะ”
มิราอิยิ้มแสยะยันกายลุกขึ้นยืนจนสำเร็จ ดาบมือเปล่าที่ไร้รูปร่างของเขาไม่ว่าเมื่อไรก็ยังทรงอานุภาพอยู่เสมอ แม้แต่ตอนที่เจ้าของร่อแร่ใกล้ตาย ฟุยูกิที่ยังปกปิดใบหน้าได้หันมามองเขาด้วยสายตาที่ยังเรียบเฉย มันเย็นชาและไร้อารมณ์ราวกับว่าร่างนั้นไม่มีชีวิตจิตใจ
“ข้าไม่คิดจะต่อกรกับท่านหรอก ท่านพี่ ข้าแค่ทำสิ่งที่ควรทำ”
“คืนนางมาซะ”
“ทำไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นอย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน!”
พูดจบดาบมือเปล่าก็สำแดงฤทธิ์เดชอีกครา แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งแรก ชายแปลกหน้าหลบได้อย่างง่ายดายและยังสวนกลับเล็กน้อยด้วยฝ่ามือที่สะบัดเพียงนิดก็พัดเอาลมหอบใหญ่เข้ามาอัดกระแทกมิราอิจนกระเด็น
ตูม!
“อั๊ก!”
มิราอิรู้สึกถึงร่างกายที่ติดขัดและหนักอึ้งเหมือนหิน ภาพเบื้องหน้าเริ่มพล่าเลือนลงทุกที ร่างบางของหญิงสาวถูกชายแปลกหน้าอุ้มพาดบ่าและกำลังเดินจากไป
“หยุดนะ!”
ถึงจะรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อยันกายลุกเข้าไปแย่งกลับมาแต่ทว่าตอนนี้ร่างกายทุกส่วนหนักยิ่งกว่าหิน แค่ขยับเพียงนิ้วเดียวก็ยังยาก และในที่สุดความมืดและเหน็บหนาวก็เข้ามาปิดบังดวงตาและสติน้อยๆนี้จนหมดสิ้น สิ่งที่รับรู้ได้ก่อนสติจะหลุดลอยมีเพียงเสียงตะโกนก้องของลีอาที่ดังมาแต่ไกล
“ท่านมิราอิ!”
สิ่งที่ประจักษ์ต่อสายตาเมื่อรุดหน้ามาถึง คือร่างชายหนุ่มที่ล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นอย่างแน่นิ่ง บาดแผลที่ควรจะหายไปกลับปรากฏขึ้นซ้ำรอยเดิมและดูจะสาหัสยิ่งกว่าเดิมนัก ซึ่งตัวต้นเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ก็คือคนแปลกหน้าที่ยืนแบกอีกร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้านี้เอง ลีอาชะงักเมื่อรู้สึกถึงรังสีประหลาดที่จับจ้องมายังตน พอเงยหน้าขึ้นไปก็สบเข้ากับดวงตาสีเงินที่โผล่พ้นออกจากผ้าที่ปิดบังใบหน้าออกมาให้เห็นเพียงข้างเดียว ดวงตาข้างนั้นเบิกกว้างในชั่ววูบก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความราบเรียบเสียจนรู้สึกหวาดกลัว อ้อมแขนเล็กๆโอบกอดร่างชายหนุ่มผู้สิ้นสติเอาไว้แน่น ถึงอยากเข้าไปแย่งร่างบางนั้นมาจากคนตรงหน้าแต่ก็ต้องหักห้ามใจเพราะรู้ดีว่าพลังของตนไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับคนแปลกหน้าได้ สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงปกป้องชายหนุ่มอย่างสุดกำลังเท่านั้น
พลันร่างของชายแปลกหน้าหันหลังกลับและเดินจากไปพร้อมกับร่างบางที่อุ้มพาดบ่า ลีอาได้เพียงตามหลังไวที่หายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
“ท่านฟุยูกิ”
ตุบ!
ร่างบางของหญิงสาวผู้ไร้สติถูกโยนลงพื้นดินกระด้างสีดำเบื้องหน้าแท่นศิลาอย่างไร้ปราณี การกระทำที่รวดเร็วและเยือกเย็นนี้ทำให้จอมปีศาจพอใจยิ่งนัก
“ทำได้ดีมาก ลูกชายข้า”
“จะให้บอกกี่ครั้งว่าข้าไม่ใช่ลูกเจ้า คัยรีว”
“บังอาจ!”
เมด์บริภาษออกมาพร้อมกับใบมีดเรียวเล็กที่พุ่งออกไปพร้อมกับเสียง เสียทีแต่เป้าหมายนั้นไม่ได้โง่รอรับอาวุธนั้นแต่อย่างใด ดังนั้นที่อยู่ของอาวุธชั้นดีของปีศาจสาวจึงไปปักทื่ออยู่ที่ผนังห้องซึ่งเป็นศิลาแกร่งเสียแทน พลันเกิดเสียงถอนหายใจจากยูระที่ยืนอยู่ตรงกันข้าม ปีศาจสาวผู้ใช้ลมไร้ซึ่งคำพูดและทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ
ไม่มีใครรู้ว่าสีหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้าผืนนั้นเป็นยังไง แต่ดูจากรังสีอำมหิตที่เด็กหนุ่มปล่อยออกมาแล้วก็เดาได้เลยว่าไม่ว่าใครเขาก็จัดการได้อย่างไร้ปราณีแน่นอน ไม่เว้นแม้แต่จอมปีศาจที่มักจะนั่งอยู่บนแท่นศิลาและมีผ้าม่านสีดำปกปิดใบหน้าผู้นั้นก็เถอะ และเหมือนจะรู้ซึ้งถึงหายนะนี้ดี จอมปีศาจนามคัยรีวจึงหาเรื่องเบี่ยงเบนเพราะสิ่งที่เธอสนใจไม่ใช่การทะเลาะกันของบริวาร แต่เป็นร่างบางที่นอนคว่ำหน้านิ่งอยู่เบื้องหน้านี้ต่างหาก
“ยูระ เมด์”
“ค่ะ!!”
“นำตัวเทพธิดาสีเงินไปที่ลานพิธี!”
สิ้นคำสั่งสองปีศาจสาวก็หายไปพร้อมกับร่างบางที่ไร้สติ ฟุยูกิเพียงปรายตามองเล็กน้อยเท่านั้นก่อนจะหันกลับเดินออกไปจากห้องโถงโดยไร้ซึ่งคำพูด
ในความมืดที่วังเวงและบิดเบี้ยวชวนเวียนหัว ซาคุโระได้แต่ปล่อยให้ร่างกายลอยคว้างไปเรื่อยๆเหมือนสิ่งไร้น้ำหนักที่อยู่ในชั้นบรรยากาศนอกโลกก็ไม่ปาน ไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งเปลือกตาก็ปิดสนิท รู้สึกถึงแรกโน้มถ่วงนิดๆที่แขนและขาทั้งสองข้างเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยโซ่ตรวน ความมืดนี้หากมีใครอยู่ด้วยก็คงจะช่วยปัดเป่าความหวาดกลัวลงได้บ้าง และคนๆเดียวที่คิดถึงตั้งแต่แรกจนกระทั่ง ณ เวลานี้ ก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
โฮโนโอะ….
เจ็บ…มันเจ็บที่หน้าอก ความรู้สึกนี้เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆมา ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถเยียวยาให้หายได้นอกจากการรอเวลาให้ผ่านไปช้าๆ ฟุยูกิอยากบอกใครสักคนที่ไว้ใจและรับฟัง เจ็บแปลบที่อกซ้ายตำแหน่งของหัวใจจนต้องยกมือบีบแน่น
“ทนไว้ อีกไม่นานหรอก อดทนไว้ฟุยูกิ”
‘อ่อนแอจริงนะ’
เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา มันคือเสียงผู้หญิงแต่ดูเหมือนจะเป็นเด็กทั้งที่นำเสียงนั้นออกจะเยือกเย็น ฟุยูกิเดินโซเซไปตามทางที่ไม่คุ้นชิน พอรู้สึกตัวอีกทีก็เข้ามาในห้องแคบๆและมีแสงสว่างเพียงน้อยนิด ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความเจ็บปวดก็ยิ่งแปรปรวนเหมือนโรคชักกระตุกยังไงอย่างนั้น เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวหายหรือไม่ก็หนาวสุดขั้วเพียงชั่ววูบก่อนที่จะรู้สึกถึงความอบอุ่นแสนสบาย และด้วยร่างกายที่ปรับสภาพไม่ทันก็ทำให้เขาต้องสะดุดก้อนหินเล็กๆล้มหน้าทิ่มอย่างไร้เรี่ยวแรงเสียงดัง
พลั่ก!
ฟุยูกิหอบแฮกพยายามเงยหน้าขึ้นไปมองทางต้นเสียงที่รู้สึกว่าจะอยู่ใกล้แทบใบหน้าตัวเอง พลันสายตาได้ชะงักงันกับแสงสีฟ้าอ่อนจางที่อยู่บนแท่นหินสีดำขนาดเล็กและน่าจะสูงเพียงอก
“นั่นมัน…อะไร”
‘อยากรู้จักข้าไหมล่ะ ฟุยูกิ’
เสียงนั้นสวนกลับมาอย่างรู้ความคิด ฟุยูกิเกือบสำลักคำพูดลงคอเมื่อเพ่งมองดูดีๆ ก้อนหินสีดำนั้น ไม่สินั่น…เหมือนกับแท่นบูชายัญชัดๆ เพราะรอบๆก้อนหินนั้นเต็มไปด้วยเชือกฟั่นที่เกี่ยวพันกับโขดหินที่ใช้แทนเสาเสียบคบเพลิงที่เกิดจากเวทมนตร์ เชือกเหล่านั้นล้อมรอบแท่นหินสีดำต้นกำเนิดแสงสีฟ้าอ่อนจางเอาไว้เหมือนการสะกดพลังที่อยู่ข้างในไม่ให้รั่วไหลยังไงอย่างนั้น
โชคดีที่ในที่สุดเจ้าก็มา’ ‘ข้าอยากพบเจ้ามานานแล้ว เจ้าชายแห่งเหมันต์ ฟุยูกิ เพราะข้าถูกสะกดเอาไว้ จึงออกไปข้างนอกไม่ได้
ฟุยูกิพยายามยันกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก รู้สึกว่าเขาจะหลงเข้ามาในสถานที่ๆไม่ควรจะมาเสียแล้ว
‘ไม่หรอกเด็กน้อย เจ้าควรจะมาที่นี่ตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ’
“เจ้าเป็นใคร ทำไมอ่านความคิดของข้าได้”
‘ข้าคือใครน่ะเหรอ….’
เสียงนั้นหยุดไปเหมือนชั่งคิดก่อนที่แสงอ่อนจางนั้นจะขยายฉาบไปทั่วห้องจนสว่างจ้าไม่ต่างจากกลางวัน และพอแสงนั้นหดหาย สิ่งที่ฟุยูกิได้เห็นคือร่างเล็กๆของเด็กผู้หญิงผิวขาวผมสั้นสีดำขลับสวมกิโมโนะแบบมิโกะสีขาวและสีน้ำเงินเข้มซ้นปลายด้วยด้ายสีม่วง ดวงตาสีอำพันดุจพระจันทร์ที่ส่องสกาวฉายแววเย็นชาปนเย่อหยิ่ง อาภรณ์ผืนบางเป็นริ้วสวยวางบนไหล่สองข้างโบกสะบัดพลิ้วไหวทั้งที่ไม่มีลมพัดผ่าน แสงสว่างสีอ่อนจางอาบชโลมร่างเล็กๆจนฟุยูกิต้องหรี่ตาเพื่อหลบแสง
‘นามของข้าคือเทพจันทรา โคฮาคุ ซัทซึมิ ศาสตราของเทพกษัตริย์องค์ที่สี่ แม่ของเจ้า เรียกข้าว่าซัทซึมิก็พอ’
“ซัทซึมิ?”
‘ท่าทางเจ้าจะสับสนนะ ให้ข้าช่วยเอาไหม’
เสียงเล็กๆไม่เข้ากับสีหน้าท่าทางที่เย่อหยิ่งเลยสักนิด เอ่ยกับฟุยูกิเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กสามขวบยังไงอย่างนั้น แต่ฟุยูกิก็หาได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้นไม่ เด็กหนุ่มก้าวเดินด้วยขาทั้งสองที่ไร้เรี่ยวแรงเต็มทีเข้าไปหยุดใกล้ร่างโปร่งแสงของเด็กหญิง ระยะห่างของทั้งสองตอนนี้มีเพียงเชือกฟั่นกั้นอยู่เท่านั้น และไม่ทันที่จะหยุดหายใจมือสั่นๆของฟุยูกิก็เงื้อขึ้นและกระชากเชือกนั้นจนขาด เพิ่งจะได้เห็นว่าต้นกำเนิดของร่างโปร่งแสงของเด็กหญิงมาจากวงแหวนสีเงินสลักลวดลายประหลาด
“ศาตราของเทพกษัตริย์ นี่คือ…อาวุธของท่านแม่เหรอ”
เด็กหนุ่มพึมพำอย่างชั่งใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าผ่องใสของซัทซึมิเหมือนหยั่งเชิงถามด้วยสายตา
‘และต่อไปนี้ข้าคือศาตราของเจ้า เจ้าชายแห่งเหมันต์’
คำตอบจากเด็กหญิงก็ทำให้ฟุยูกิชะงักงัน
หนาว….
นี่คือความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัสทันทีที่ได้สติ รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือและข้อเท้าทั้งสองเหมือนถูกบางอย่างพันธนารเอาไว้ ร่างกายหนักอึ้งแม้กระทั่งเปลือกตาก็ไม่อาจฝืนเปิดขึ้นมา เวลานี้จะเรียกว่าโดดเดี่ยวก็คงไม่แปลกเพราะรู้สึกได้ว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆเลยสักคน ก็โดนจับตัวมานี่นะ เดาได้อย่างเดียวว่าที่นี่คงจะเป็นที่ไหนสักแห่งที่เธอไม่รู้จัก แล้วมิราอิล่ะจะเป็นยังไง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือชายหนุ่มที่สะบักสะบอมเพื่อช่วยเธอ จิตใจเขาย่ำแย่เพราะสูญเสียน้องชายและพี่ชายยังไม่พอ ยังต้องเจ็บตัวเพราะเธออีก ช่างน่าสมเพช สมเพชตัวเองเหลือเกิน สมเพชที่ไร้ความสามารถทั้งที่มีวิญญาณของเทพธิดาอยู่ในร่างแต่กลับไม่สามารถสื่อสารและทำตัวเป็นประโยชน์ได้เลย หนำซ้ำยังทำให้ทุกคนที่เข้าใกล้พลอยเดือดร้อนไปไม่รู้เท่าไหร่ ซาคุโระไม่เคยคิดอยากกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง มีแต่อยากเดินทางตามหาทุกคนให้พบ อยากผจญภัยไปเรื่อยๆจนตาย และถ้าเธอตายไปจริงๆทุกอย่างจะเป็นเพียงแค่ฝันหรือเปล่า หรือว่าเธอจะได้พบกับเร็นกะที่มีใบหน้าคล้ายพี่ชาย เขาจะมารับเธอไปยมโลกด้วยหรือเปล่า แล้วในยมโลกนั้นก็คงจะมีทั้งเซนริ จากะ เนรีว กาโระ คานอล และโฮโนโอะ พวกนั้นคงจะอยู่ที่ยมโลกและคงกำลังทะเลาะกันอยู่เป็นแน่ คิดแล้วก็มีความสุขขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อา…เวลานั้นสำหรับเธอจะมาถึงเร็วหรือเปล่านะ
แซ่ก…แซ่ก…
เสียงฝีเท้าคนเดิน ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ซาคุโระค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกทั้งโซ่ทั้งกุญแจล่ามตรึงไว้ราวกับไม้กางเขนชนิดที่ว่าเท้าไม่สัมผัสพื้นเลยแม้แต่น้อยท่ามกลางเศษซากของสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ เบื้องล่างใต้ฝ่าเท้าเป็นดินที่เขียนลาดลายเหมือนอักษรโบราณเอาไว้เป็นวงกลมกว้างพอดู ใครนะช่างกล้าคิด ซาคุโระนึกสบถกร่นด่าไปทั่วในขณะที่เงยหน้าขึ้นไปมองแขกผู้มาเยือนด้วยสีหน้าอ่อนแรง พลันเบิกตากว้างเมื่อคุ้นเคยกับใบหน้าของหนุ่มน้อยวัยแรกรุ่นเจ้าของเรือนผมและดวงตาสีเงินประกายมุกที่คุ้นตา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ