Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
8.1
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
28 ตอน
0 วิจารณ์
28.07K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) เด็กน้อยปริศนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 9 เด็กน้อยปริศนา
ในป่าทึบที่แทบจะไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดมาให้เห็น แต่คนที่ร้อนใจและเร่งรีบที่สุดอย่างโฮโนโอะไม่มีเวลามาเย็นใจ สองขายาวๆจ้ำอ้าวไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ที่นี่วังเวงชอบกล”
มิราอิพึมพำพลางมองสองข้างทางอย่างไม่วางใจ โฮโนโอะหยุดฝีเท้าเมื่อถึงทางเดินที่แคบและมืด ก่อนที่จะหันกลับมาหาน้องชายทั้งสองและพูดขึ้น เหมือนจะเป็นการถามคนที่คอยบอกทิศทางอย่างฟุยูกิมากกว่า
“จากนี้เราต้องเดินเข้าไปแล้วใช่ไหม ฟุยูกิ”
“ไม่ผิดแน่ ข้างหน้าของป่านี้ ถ้าพ้นจากป่านี้ไปล่ะก็…”
“อย่างนั้นเหรอ ไปกันได้แล้ว”
ชายหนุ่มพูดตัดบทและเดินนำเข้าไปในทางที่มืดมัวนั้นโดยไม่รอให้คำพูดของอีกฝ่ายจบ เขาเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเหมือนตั้งใจจะพ้นจากที่ยืนอยู่ตรงนี้ให้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ซึ่งมิราอิกับฟุยูกิก็เห็นด้วยและไม่คัดค้านที่จะเดินตามไปติดๆ ในระหว่างทางฟุยูกิก็พึมพำขึ้นทำลายความเงียบ
“เป็นห่วงมากขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ก็เป็นคนสำคัญนี่นา”
“คนสำคัญเหรอขอรับ”
“เอาไว้เจ้าจะรู้เอง วันที่เจ้าโตพอที่จะมีความรู้สึกนั้นน่ะนะ”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ก็บอกว่าเอาไว้ให้โตก่อน”
“ก็ข้าอยากรู้ตอนนี้นี่ บอกตอนนี้ไม่ได้เหรอ”
“เจ้าเด็กบ้า เรื่องอย่างนี้มีใครอยากบอกให้คนอื่นรู้กันเล่า”
“ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
“อย่าเถียง”
น้ำเสียงที่ใช้สนทนาระหว่างชายหนุ่มทั้งสองที่เดินขนาบข้างกันอยู่ด้านหลังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนที่เดินนำหน้าได้ยินเข้า และหันมาตวาดเสียงแข็ง
“พูดอะไรกันหนวกหูชะมัด”
“ปะ เปล่าขอรับ”
“รีบตามมาเร็วเข้า”
ทั้งมิราอิและฟุยูกิสะดุ้งกับน้ำเสียงแข็งกร้าวของพี่ชาย และรีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ยิ่งลึกในป่าก็ยิ่งชื้นแฉะ โฮโนโอะอดคิดไม่ได้ว่าซาคุโระอาจจะไม่ปลอดภัย
“ให้ตายสิ ไปอยู่ไหนนะ”
“บ่นมาตลอดทางเลยนี่นา” ฟุยูกิพึมพำอย่างเหนื่อยใจที่ได้ยินเสียงบ่นอุบอิบของพี่ชายมาตลอดทาง
“ก็คนไม่มีความอดทนก็อย่างนี้แหล่ะ” มิราอิเสริมอีกเสียง
“ท่านซาคุโระจะเป็นยังไงบ้างนะ”
“คงไม่เป็นไรหรอก”
“นี่พวกเจ้าบ่นอะไรกันนักหนา หา!”
โฮโนโอะหันมาขึ้นเสียงกับน้องชายทั้งสองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูท่าทางน้องชายจะไม่ได้หวาดกลัวจนสะดุ้งเหมือนครั้งก่อน แถมยังสวนกลับด้วยคำพูดที่เรียบเฉย
“ก็ไม่ได้บ่นอะไรนี่”
“ตัวเองต่างหากที่เอาแต่บ่นมาตลอดทาง”
“ว่ายังไงนะ”
“ก็ท่านพี่เอาแต่เอ่ยชื่อท่านซาคุโระมาตลอดทางเลยไม่ใช่เหรอขอรับ”
“ฟุยูกิ เจ้านี่มัน…. คำพูดแบบนี้ข้าไม่เคยสอนเจ้า คงจะจำมาจากเจ้ามิราอิล่ะสิ”
“พูดอย่างนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นะ”
มิราอิเริ่มแย้งเมื่อรู้สึกเหมือนมีหนามมาทิ่มตำ ในระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองจ้องหน้ากันประลองสายฟ้าที่พุ่งออกมาจากดวงตาเสียงดังเปรี๊ยะๆ ฟุยูกิที่อยู่ตรงกลางและหันหน้าไปในทางตรงข้างก็ถึงกับชะงักหน้าซีด
“อะๆๆ…!”
“มีอะไรฟุยูกิ”
“อะ!…”
“มีอะไรก็พูดออกมาสิ อ้ำอึ้งอย่างนั้นจะไปรู้ได้ไง!”
โฮโนโอะขมวดคิ้วมองหน้าน้องชายในขณะที่มิราอิตัดสินใจหันไปมองทางทิศเดียวกัน และถึงกับเลิกคิ้วสูงตกใจตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
“นี่เจ้าก็เป็นไปอีกคนเหรอ มิราอิ”
โฮโนโอะจับจ้องสีหน้าซีดเซียวของน้องชายทั้งสองอย่างหงุดหงิด และเริ่มไม่สบอารมณ์มากขึ้นเมื่อเห็นน้องชายทั้งสองเริ่มก้าวถอยหลังตีตัวออกห่าง
“ข้ามันน่ากลัวตรงไหนพวกเจ้าถึงได้ถอยห่างอย่างนี้”
“มะๆๆ” ไม่ใช่อย่างน้านนนนนน!!!
ทั้งมิราอิและฟุยูกิต่างก็อ้ากปากค้างตกตะลึงกับสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ต่อหน้า มันคือสิ่งที่พวกเขาพี่น้องเกลียดและกลัวยิ่งกว่าปีศาจอสูรทั้งมวล โดยเฉพาะเวลาที่คิดว่ามันอาจจะตื่นและกระโดดขึ้นมาเริงระบำอยู่บนหัวพวกเขาด้วยความเสน่หา
“ทะๆๆ ท่านพี่ ข้างหลังขอรับ!”
ฟุยูกิพูดออกมาอย่างแผ่วเบาจนฟังไม่ได้ศัพท์ โฮโนโอะนึกดีใจว่าสิ่งที่น้องชายคนเล็กชี้บอกนั้นอาจจะเป็นหญิงสาวที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ ในระหว่างนั้นหนวดยาวๆของเจ้าตัวที่กำลังจะตื่นก็เริ่มขยับยุกยิกไปมา ทำให้มิราอิและฟุยูกิที่มองเห็นวิ่งเตลิดออกไปโดยไม่ฟังเสียง
“ว๊ากกกกก!!! อ๊ากกก!!”
“แล้วนั่นพวกเจ้าจะวิ่งไปไหนกัน ข้าไม่มีเวลามาไล่เตะพวกเจ้านะ เฮ้ย!”
โฮโนโอะพยายามเรียกน้องชายทั้งสองที่กระเจิดกระเจิงออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่พ่นลมหายใจมองตามจนลับตาด้วยความงุนงง
“ให้ตายเถอะเจ้าพวกนี้ ชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย กลับมาต้องอบรมบ่มนิสัยให้เข็ด…ไหน มีอะไรนักหนา….!!!!”
ทันทีที่หันกลับมาดวงตาสีฟ้าอันงดงามก็ได้ชะงักอยู่กับใบหน้าอันน่าขยะแขยงที่เข้ามาชิดเพียงคืบ เหงื่อเม็ดใหญ่เริ่มผุดขึ้นมาเมื่อหนวดเรียวยาวเล็กๆนั้นได้ไล้ไปตามใบหน้าคมเข้มอย่างหลงใหล
“ช่างน่าจุมพิตเสียจริง พ่อรูปหล่อ”
เสียงนั้นช่างชวนให้เสียวสันหลัง ชายหนุ่มขนลุกซู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า และในที่สุด…
“ว้ากกกกก!!! ข้าเกลียดแมลงสาบ อ๊าคคคคค!!!!”
คนที่ทำเป็นเข้มขรึมในตอนแรกกลับร้องออกมาลั่นเมื่อเห็นเต็มเข้าสองตา ใช่แล้ว นั่นคือนางแมลงสาบท้องลายน่าขยะแขยง และที่สำคัญมันคือตัวเมียและหลงเสน่ห์พวกเขาเข้าเต็มเปา
ว๊ากกกกก!!!!
ป่าที่มืดมิดเริ่มตื่นขึ้นและปลุกพวกที่อาศัยอยู่ในป่าให้ตื่นด้วย เพราะเสียงร้องหลงยุคของชายหนุ่มทั้งสามที่วิ่งกันป่าราบฝุ่นตลบ และไม่ได้มีเพียงนางแมงสาบท้องลายตัวเดียวเท่านั้นที่หลงเสน่ห์ในความงามของเจ้าชายทั้งสาม แต่ยังมีเหล่าแมลงร่างยักษ์ที่พวกเขาเกลียดนักหนาได้พากันกรูเข้ามาหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ว้ากกกก!!! พวกนี้มันมาจากไหนอีกเนี่ย!”
มิราอิร้องเสียงหลงเมื่อหลบแม่เต่าทองลายจุดที่กระโดดเข้ามาหมายจะจุมพิต
“จะรีบไปไหนจ๊ะ พ่อหนุ่มรูปหล่อ”
“อึ๋ย~”
เสียงลากยานคางชวนคลื่นไส้ดังตามมาติดๆ ทำเอาชายหนุ่มทั้งสองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากเวรกรรมนี่ซะที้! ข้าเป็นหนุ่มรูปงามนะ คู่ครองของข้าต้องเป็นหญิงงามไม่ใช่แมลงอย่างพวกเจ้า! ไปให้พ้นนะพวกบ้า!”
มิราอิหลับหูหลับตาวิ่งจนสุดกำลังโดยมีฟุยูกิวิ่งขนาบข้างไปด้วย เด็กหนุ่มฟังคำพร่ำบ่นอันชวนคลื่นไส้ของพี่ชายก็รู้สึกระอา แต่ว่าตอนนี้ใช่เวลาที่จะมาทำอย่างนี้เสียเมื่อไหร่
“แฮ่กๆๆ รีบไปเถอะขอรับ พวกมันยกโขยงกันมาแล้ว!”
“รู้น่า แฮ่กๆๆ แต่ข้าวิ่งจนหมดแรงแล้วนี่นา”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว ไม่อย่างนั้นท่านต้องได้แมลงพวกนี้เป็นชายาแน่”
“ไอ้เด็กบ้าอย่ามาซ้ำเติมข้าจะได้ไหมเล่า!!!”
คำซ้ำเติมของฟุยูกิได้ผลเกินคาด มิราอิวิ่งจ้ำอ้าวออกไปอย่างไม่อิดออดอีก และในระหว่างทางที่วิ่งไปนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้พบกับโฮโนโอะที่โผล่พรวดออกมาจากพงหญ้าข้างทาง
พรึ่บ!
“อ๊ะ! ท่านพี่!!!!”
“โอ๊ะ! พวกเจ้า!”
“ท่านพี่ช่วยพวกเราด้วย ช่วยด้วย!!!”
ทั้งมิราอิและฟุยูกิรีบกระโจนเข้าหาชายหนุ่มที่เพิ่งโผล่หน้ามาอย่างไม่รอรี โฮโนโอะตกตะลึงตาแทบถลนเมื่อเหลือบไปเห็นเหล่าแมลงสาวตัวอ้วนพีที่กำลังกรูเข้ามาหา
“จะบ้าเรอะ! แม้แต่ข้ายังเอาตัวไม่รอดเลย จะมีปัญญาที่ไหนมาปกป้องพวกเจ้า!!!”
โฮโนโอะสวนกลับทันที น้องชายทั้งสองหยุดชะงักและจับจ้องมาหาเขาด้วยสายตาที่หวาดกลัวสุดฤทธิ์ เขารู้ว่าน้องชายทั้งสองมองอะไร และไม่นานเสียงของเจ้าต้นเหตุก็ดังขึ้นผ่านต้นคอของเขาไปอย่างเฉียดๆ
“จะรีบไปไหนจ๊ะ หนุ่มหล่อ”
“หนอยแน่ะ~ นางแมลงโสโครก ไปให้พ้นหูพ้นตาข้าเลยนะ!”
ความอดทนของโฮโนโอะไม่ได้มีมากมายอะไร ชายหนุ่มไม่รอช้าใช้กำปั้นช้อนคางแมลงสาบสาวอย่างฉุนขาด ทำให้เจ้าหล่อนหงายท้องไปตามแรงชกที่รุนแรง
ผัวะ!
พลั่กกก!!
“กรี๊ดดดด!! ท่านทำกับข้าอย่างนี้ได้ยังไง!”
“หนวกหู! ไปให้พ้นนะนางแมลงโสโครก เป็นสัตว์ก็อยู่ส่วนสัตว์สิเฟ้ย!”
โฮโนโอะฉุนขาดชี้หน้าตวาดใส่แมลงสาบสาวเป็นชุดใหญ่ มิราอิและฟุยูกิหมดคำที่จะพูดและได้แต่มองตากันปริบๆ
“ระ รู้สึกว่า ท่านพี่จะ…”
“ทำให้มันโกรธซะแล้ว”
สิ้นสุดประโยคสุดท้ายของชายหนุ่มทั้งสอง เหล่าแมลงทั้งหลายก็กรูกันเข้ามามากกว่าเก่า ทั้งสามจึงต้องวิ่งกันอีกรอบอย่างสุดกำลังเพื่อเอาชีวิตรอด
“พวกมันเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมอีกเหรอเนี่ย”
“ก็ท่านพี่ปฏิเสธมันไปขนาดนั้นนี่ขอรับ”
“เจ้าสองคนอยากตายนักใช่ไหม หา! ข้าไม่มีคู่เป็นแมลงนะเฟ้ย!” โฮโนโอะที่สวนกลับทันควัน และไม่คิดที่จะวิ่งหนีอีกต่อไป
“ฮึ่ม! ตามมาดีนักนะ พูดไม่รู้เรื่องนักใช่ไหม!”
น้ำเสียงหนักแน่นดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าคำราม ทั้งมิราอิและฟุยูกิต่างก็หยุดฝีเท้าไปตามๆกัน
“คงไม่คิดจะทำอะไรบ้าๆหรอกนะ”
แน่นอนว่าใช่
ในมือของโฮโนโอะมีลูกไฟสีแดงขนาดย่อมลุกโชนอยู่หลายลูก และทันใดนั้นเขาก็จัดการขว้างใส่พวกแมลงที่กำลังยกโขยงเข้ามาอย่างไม่รั้งรอ
“เอานี่ไปกินซะ!”
ตูม!
บึ้มมมม!!
“อะ เอาจนได้สิน่า”
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่า…”
คำพูดของฟุยูกิขาดหาย ในขณะที่ทั้งสามมองไปในกลุ่มควัน และได้เห็นบางอย่างกำลังคลานออกมาด้วยท่าทางที่โกรธสุดฤทธิ์
“หนอยแน่~ อุตส่าห์จริงใจ อุตส่าห์มอบความรักให้แท้ๆ แต่พวกเจ้า พวกเจ้า~ กลับมาทำลายความรักอันสวยงามของข้า!”
เสียงคำรามน่าขยะแขยงดังเล็ดลอดออกมาจากม่านควันที่หนาตา และพอเจ้าของเสียงนั้นย่างสามขุมออกมาให้เห็นจนเด่นชัด ทั้งสามหนุ่มก็ถึงกับอ้าปากค้างตาแทบถลนออกจากเบ้า เมื่อสิ่งที่อยู่ต่อหน้าคือร่างกายอันน่าขยะแขยงยิ่งกว่าเค้าโคลงเดิมของนางแมลงสาบท้องลาย และที่สำคัญมันโกรธแค้นและกำลังจะพุ่งเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง
“มาเป็นของข้าซะดีๆ!!!”
ว้ากกกกกก!!!!
ชายหนุ่มทั้งสามมีอันต้องวิ่งกระเจิดกระเจิง โดยที่ครั้งนี้ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กน้อยที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีทองอร่ามทั่วทั้งร่าง ยังคงหลับตาเพื่อมองภาพที่กำลังเคลื่อนไหวผ่านทางจิตที่เป็นเหมือนตาที่สาม ภาพของชายหนุ่มทั้งสามกำลังวิ่งหนีจากเหล่าแมลงที่หลงเสน่ห์กันจ้าละหวั่น ท่าทางจะสนุกสนานครึกครื้นกันทีเดียว
“ฮิๆๆๆ ดูท่าทางจะเล่นกันเพลินเชียวนะ…แต่ว่าพอได้แล้วล่ะ รีบต้อนพวกเขามาที่นี่เร็วๆเถอะ เหล่าแมลงสหายของข้าทั้งหลาย”
เด็กน้อยออกคำสั่งทางจิต ก่อนที่จะลืมตาขึ้นและหันมามองหญิงสาวร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งไม่รู้สึกตัวอยู่บนพื้นหญ้า
“ถึงเวลาที่ท่านต้องตื่นขึ้นมาแล้ว ท่านเทพธิดา”
ว่าแล้วแขนเสื้อของเด็กน้อยก็กวัดแกว่งไปมา เกิดเป็นละอองสีทองระยิบระยับจำนวนมากชโลมลงบนร่างของหญิงสาวราวหิมะ ก่อนที่ละอองเหล่านั้นจะซึมเข้าไปในผิวหนังของเธออย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเปลือกตาคู่บางก็เริ่มขยับและเปิดขึ้นอย่างช้าๆ
“ที่นี่…ที่ไหนกัน”
ซาคุโระทอดมองท้องฟ้ายามเย็นที่เล็ดลอดผ่านกิ่งไม้อย่างเหม่อลอย ภาพตรงหน้าค่อยๆเด่นชัดขึ้นและรู้ว่าตัวเองได้นอนอยู่กลางทุ่งหญ้า และไม่ทันที่จะปะติดปะต่อเรื่องราว เสียงเล็กๆที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้หันไปมอง
“ตื่นแล้วเหรอ ท่านเทพธิดา”
“หะ!”
ซาคุโระเหลียวมองไปทางต้นเสียง แต่ก็ยังไม่เห็นเจ้าของเสียงนั้นในระดับที่สายตากำลังมองหา เธอจึงเอ่ยเรียกหาด้วยท่าทีที่ลนลาน
“ใครน่ะ เสียงใคร”
“ฮิๆๆ…ตื่นมาก็โวยวายเชียว ทำอย่างกับตัวเองหลงทางอย่างนั้นล่ะ ท่านเทพธิดา….โอ๊ะ! ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าท่านหญิงซาคุโระถึงจะถูกสินะ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นอีกครั้ง ซาคุโระรีบจับทิศทางและหันไปมองทางต้นตอของเสียงอย่างไม่รีรอ และแทบผงะเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงแปลกหน้านั่งแกว่งเท้าไปมาอยู่บนกิ่งไม้เหนือที่ๆเธอนั่งอยู่ เด็กคนนั้นส่งยิ้มหวานอันเย็นยะเยือกให้เธออย่างไร้ความหมาย สร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้กับเธออย่างบอกไม่ถูก
“เธอเป็นใคร”
“ดูท่าจะตกใจกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลยนะเนี่ย ฮิๆๆ”
เด็กหญิงร่างเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเสียงหัวเราะใสๆ ซาคุโระรู้สึกหวาดกลัวและคิดไปว่าตัวเองคงจะถูกลักพาตัวมาจากพวกโฮโนโอะเป็นแน่ สิ่งที่เธอได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบคือใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่กำลังร้องเรียกชื่อเธออย่างเอาเป็นเอาตาย พอความคิดนั้นผุดขึ้นมาก็ทำให้ความกลัวเริ่มทะลักออกมาทางสีหน้าท่าทาง จิตใจเริ่มสั่นไหวจนหลุดปากเอ่ยชื่อชายหนุ่มออกมาสุดเสียง
“โฮะ…โฮโนโอะล่ะ โฮโนโอะ!”
“หืม”
“เธอเป็นใคร พาฉันมาที่นี่ทำไม!”
“ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย ข้าไม่ใช่ศัตรู”
เสียงแหลมเล็กพูดดักหน้าเหมือนรู้ทันพร้อมทั้งกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ข้างบนลงเหยียบพื้นหญ้าที่อยู่เบื้องล่างอย่างแผ่วพลิ้ว เธอมองหน้าซาคุโระอยู่พักใหญ่ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้อย่างสดใส แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหวาดระแวงในใจหญิงสาวหายไปเท่าไหร่นัก
“เธอต้องการอะไร”
ซาคุโระรีบยิงคำถามใส่ทันที และยังคงก้าวถอยหลังทุกครั้งที่เด็กน้อยก้าวเท้าเข้ามาหา ความคิดในใจเริ่มปั่นป่วนแต่กลับถูกเด็กน้อยปริศนาที่อยู่ต่อหน้าอ่านออกเสียหมด
“ระแวงข้าเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ศัตรู ข้าอาจเป็นคนๆเดียวที่ช่วยท่านได้ด้วยซ้ำ”
“แล้วโฮโนโอะล่ะ เขาอยู่ที่ไหน”
“อย่าห่วงเลย เดี๋ยวก็ได้พบกันแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“ฮิๆๆๆ”
เสียงหัวเราะซุกซนทำให้ซาคุโระจับจ้องใบหน้าเล็กตาปริบๆ พอได้จับจ้องดวงตาสีทองเจิดจรัสนั่นแล้วก็ยิ่งทำให้ความสงสัยในใจทวีคูณขึ้นอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่รู้แน่ๆก็คือ เด็กคนนี้อ่านความคิดเธอออก แล้วสิ่งที่สงสัยมากที่สุดก็คือว่า ตอนนี้…โฮโนโอะกับน้องชายทั้งสองของเขาอยู่ที่ไหน!
ป่าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องที่ดังกึกก้องออกไปหลายกิโลเมตร โฮโนโอะที่เดือดจนเลือดขึ้นหน้ากำลังท้าทายเหล่าแมลงที่วิ่งตามอย่างเหลืออด
“หนอย~เข้ามาสิฟะ! ข้าเหนื่อยที่จะหนีแล้ว! อยากตายนักก็เข้ามาเลย! มา! ข้าจะอัดให้เละจะเผาให้เป็นจุลไม่ให้ผุดให้เกิดเลย เข้ามา!!!!”
“ท่านพี่พอเถอะขอรับ อย่าไปต่อกรกับพวกมันอีกเลย!”
มิราอิร้องขอกับการกระทำของพี่ชายที่ทำให้แมลงทั้งป่าแห่กันเข้ามามากขึ้น ตอนนี้โฮโนโอะถูกน้องชายทั้งสองหิ้วแขนคนละข้าง ฉุดกระชากลากถูหนีเอาตัวรอดจากนางพญาที่นำขบวนเหล่าแมลงกวาดไล่พวกเขา บัดนี้หล่อนได้เปลี่ยนร่างจนน่ากลัวและไล่ตามพวกเขามาติดๆด้วยความโมโหที่ถูกปฏิเสธรัก
“จะหนีไปไหน มาเป็นของข้าซะดีๆ!”
“อ๊ากกกก!!! อย่าตามพวกเรามาเลย!”
“เก่งจริงก็เข้ามาเลย! ถึงตามไปยันชาติหน้าข้าก็ไม่ยอมเป็นของพวกแมลงโสโครกอย่างพวกเจ้าหรอกเฟ้ย!”
โฮโนโอะที่ยังปากเก่งยังคงสวนกลับด่าทอเหล่าแมลงทั้งหลาย จนทำให้พวกมันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมามากกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะนางแมลงสาบที่เดือดปุดๆและกระโจนเข้าใส่
“กรี๊ดดดด!!! งั้นข้าจะฆ่าเจ้า! แฮ่!!!”
“ท่านพี่ทำให้นางโกรธอีกแล้ว! พอทีเถอะ!”
มิราอิหันมาว้ากใส่พี่ชายปากจัดหลังจากที่หลบนางแมลงสาบที่กระโจนเข้ามาหาได้อย่างหวุดหวิด แต่คนอย่างโฮโนโอะนั้นไม่มีท่าทีว่าจะยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ และยังคงแหกปากทั้งยังดิ้นสลัดตัวให้พ้นจากการเกาะกุมของน้องชายทั้งสอง
“ปล่อยข้านะ! พวกเจ้าปล่อยข้า แน่จริงก็ตามมาสิวะ! มาเล้ย!!!”
“ยังจะปากดีอีก! เห็นใจคนลากซะบ้างสิ มันเหนื่อยนะ ปัดโธ่!!!”
ทั้งมิราอิฟุยูกิต่างก็เหลืออดกับพี่ชายที่พวกเขาช่วยกันหิ้วแขนคนละข้าง เขาสองคนจำเป็นต้องลากโฮโนโอะมาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะตะลุมบอลกับพวกแมลงไปแล้ว เพราะคนอย่างโฮโนโอะไม่เคยยอมใคร!
“ปล่อยข้า! เจ้าสองคนกล้าขัดคำสั่งข้าเหรอ เดี๋ยวเจอดีแน่!”
โฮโนโอะบริภาษเสียงดังทั้งยังดิ้นพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม มิราอิและฟุยูกิหมดความอดทนและพร้อมใจกันเปลี่ยนจากการหิ้วแขนคนละข้าง มาเป็นการหิ้วคอเสื้อและลากออกไปอย่างไม่ไยดี เพราะคิดแต่เพียงว่าพี่ชายปากเสียจะไม่มีปัญญาแหกปากและยอมให้ลากไปแต่โดยดี โดยลืมคิดไปว่าเขาอาจจะขาดอากาศหายใจตายระหว่างทาง
“ตอนนี้ขอเอาตัวรอดจากที่นี่ก่อน หนีรอดเมื่อไหร่พวกข้าจะยอมก้มหัวให้เขกดีๆ”
“อ๊อก! แอ๊ก!...ไอ้น้องบ้า ปล่อยข้า~”
มิราอิและฟุยูกิช่วยกันลากคอโฮโนโอะวิ่งหน้าตั้งไปสุดฝีเท้าโดยไม่สนใจหันมามองพี่ชายที่ใบหน้าเริ่มถอดสีเมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศที่ใช้หายใจถูกตัดขาด
“แฮ่กๆๆ ว่าแต่เราจะไปทางไหนกันดี”
มิราอิเอ่ยถามน้องชายที่กำลังมองหาเส้นทางในขณะที่เท้ายังคงวิ่งไม่หยุด ฟุยูกิเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาเส้นทางตามสัมผัสที่แกร่งกล้าของตัวเอง ไม่นานสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นประกายแสงระยิบระยับที่สะท้อนมาแต่ไกล จึงไม่รอช้าที่จะชี้เข้าไปยังทางตันที่เต็มไปด้วยป่าหนาทึบ
“ทางนี้ขอรับ!”
“แล้วจะช้าอยู่ไย ลุยเลยไอ้น้องรัก!”
“โอ้!!!”
ตอนนี้ขอเพียงแค่หลุดพ้นจากการตามล่าของนางแมลงสาบน่าเกลียดกับบริวารของหล่อนเป็นพอ ชายหนุ่มทั้งสองวิ่งลุยเข้าไปในป่าทึบนั้นทันทีโดยไม่ทันได้คิดอะไรกับคนที่พวกเขาสองคนลากไปด้วย
ไอ้พวกบ้า ข้าหลุดออกไปได้เมื่อไหร่ กะโหลกพวกเจ้ายุบแน่!...
โฮโนโอะนึกในใจด้วยความโมโห แต่กว่าจะหนีพ้นจากที่นี่ใช่ว่าเขาจะขาดใจตายเสียก่อนเหรอ นึกแล้วมันก็น่าโมโหน้องชายสองคนนี่ ทั้งนางแมลงน่าเกลียดทั้งหลายแหล่ รวมทั้งยายผู้หญิงที่ดันมาหายตัวไปจนเขาต้องออกมาตามหา จนทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพทุเรศอย่างนี้ด้วย
ใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวที่โอนเอนหยอกล้ออยู่กับสายลมที่พัดผ่าน ซาคุโระยังคงเผชิญหน้าอยู่กับเด็กผู้หญิงปริศนาที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า ดวงตาสีทองเจิดจรัสยังคงจับจ้องมองเธออย่างไม่กะพริบ จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่งเด็กน้อยก็หลุบตาลงต่ำและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
“สามคนนั่นกำลังมา”
“จริงเหรอ! ไหนล่ะ อยู่ไหน”
ซาคุโระรีบหันมองไปรอบทิศเพื่อหาร่างของคนที่คิดว่าจะเห็น ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องหลงยุคที่ดังมาแต่ไกล สังเกตเห็นเงารางๆของชายหนุ่มสองคนที่วิ่งขนาบข้างกันมาทางที่เธอกำลังยืนอยู่ ท่าทางแบบนั้นคงจะเป็นมิราอิกับฟุยูกิอย่างไม่ต้องสงสัย
“ว้ากกกกก!!!”
“นั่นมิราอิกับฟุยูกินี่นา!”
ซาคุโระตั้งใจจะวิ่งออกไปหาทั้งสองคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างเข้ามากระชากจนหัวใจกระตุกวูบ และเพียงเสี้ยวนาทีที่จะก้าวออกไปก็รู้สึกเหมือนลมหายใจถูกตัดขาด ไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบหายไปในความมืด แม้กระทั่งภาพของชายหนุ่มทั้งสองที่วิ่งเข้ามาหา
พลั่ก!
“อ๊ะ! ท่านซาคุโระ”
ทันทีที่วิ่งมาถึง ชายหนุ่มทั้งสองก็ถึงกับเบิกตากว้างลืมแม้กระทั่งความเหน็ดเหนื่อย เมื่อเห็นร่างของหญิงสาวล้มฟุบไปต่อหน้าต่อตา
“ท่านซาคุโระ! ท่านซาคุโระขอรับ!”
มิราอิรีบผละจากคอเสื้อที่กำแน่นและปรี่เข้ามาหาหญิงสาวอย่างตื่นตระหนก แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเด็กน้อยร่างเล็กที่มีดวงตาสีทองเจิดจรัสปรากฏตัวขวางทางเอาไว้
“อย่าเข้ามาใกล้มากกว่านี้จะดีกว่านะ”
“เจ้าทำอะไรท่านซาคุโระ!”
“ถามได้ดีนี่ ท่านมิราอิ”
คำพูดของเด็กน้อยปริศนาทำเอามิราอิอึ้งจนพูดไม่ออก ยกเว้นเสียแต่ฟุยูกิที่ยังไม่แสดงอาการใดๆและยืนมองอยู่เงียบๆ
“เจ้ารู้จักชื่อของข้าได้ยังไง”
“ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ข้ารู้หมด”
“โกหก!”
“ข้าโกหกไม่เป็น ก่อนที่จะมาหาเรื่องกัน สนใจคนที่นอนปางตายอยู่ตรงนั้นก่อนไม่ดีกว่ารึ”
เด็กน้อยปริศนาถามกลับพลางเพ่งมองไปยังชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่เยี่ยงคนตาย ทั้งมิราอิและฟุยูกิรีบหันกลับไปสนใจคนที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้า และสภาพของชายหนุ่มที่พวกเขาช่วยกันลากถูลู่ถูกังมาก็แทบจะทำให้พวกเขาผงะหงาย
“ทะๆๆ ท่านพี่!!...ตายรึยังเนี่ย”
“ยังอยู่~”
โฮโนโอะเงยหน้าขึ้นลากเสียงยาวราวกับจะฉีกเลือดฉีกเนื้อคนที่ทำให้ตนอยู่ในสภาพน่าอายอย่างนี้ให้สาสม
“พวกเจ้าทำกับข้าได้แสบนักนะ หา!!!”
“อะ เอ่อ คือว่า~”
“รับโทษซะ! เริ่มจากเจ้าก่อน มิราอิ!!!”
“ข้าผิดไปแล้ว อภัยให้ข้าด้วยเถอะขอร้าบ!”
“มันสายไปแล้วเฟ้ย!”
มิราอิจำต้องหลบหมัดลุ่นๆที่แหวกอากาศเข้าใส่กบาลอย่างรวดเร็ว ท่าทางคงตลกน่าดูเด็กน้อยปริศนาที่มองดูอยู่นานถึงได้หัวเราะเสียงใสราวกับว่าชอบใจในการแสดงตลก(จำเป็น)นี้
“ฮะๆๆ อะไรกันเนี่ย มีแต่พวกงี่เง่าทั้งนั้นเลย”
“เจ้าเป็นใคร”
โฮโนโฮะหยุดไล่เขกกบาลน้องชาย ก่อนที่จะหันมาหาเจ้าของเสียงหัวเราะใสๆนั้นด้วยอารมณ์ที่ยังฉุน รอยยิ้มของเด็กน้อยที่ท่าทางซุกซนคนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างี่ทำให้อดสงสัยไม่ได้ และทันใดนั้นเอง ความสงสัยที่กำลังเพิ่มขึ้นก็พลันได้หยุดชะงัก เมื่อสายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวที่เขากำลังตามหานอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่พื้นหญ้าด้านหลังของเด็กน้อย ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่เขาก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่านั่นคือหญิงสาวที่เขาพยายามดั้นด้นตามหา
“ซาคุโระ!!”
โฮโนโอะตรงดิ่งเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่ง แต่แล้วเขาก็ต้องคว้าได้เพียงเงาของเธอ เมื่อเด็กน้อยได้คว้าไปไว้ในมือก่อนอย่างง่ายดาย
“จะทำอะไร คืนมานะ!”
“ไม่”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นคนที่ลักพาตัวนางมา”
“ใช่”
เด็กน้อยตอบไปอย่างว่าง่าย ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามตกตะลึงไปทันตาเห็น ร่างของซาคุโระค่อยๆหดเล็กลงต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งสาม และนอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือเล็กๆของเด็กน้อย สติโฮโนโอะแทบกระเจิงเมื่อเห็นหญิงสาวหดเล็กลงขนาดเทียบเท่ากับลูกไก่
“ทะ ท่านซาคุโระ…”
“ตัวเล็กลง!”
“เจ้าเป็นใคร ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ บอกมา!!”
โฮโนโอะคำรามอย่างเคียดแค้น ดวงตาสีฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงเพลิงจับจ้องเด็กหญิงที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าราวกับจะฆ่าให้ตาย ทว่าผู้ที่ถูกจ้องกลับไม่แยแสและจ้องกลับด้วยสายตาเฉยชาไร้ซึ่งท่าทีที่หวาดกลัว ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบสนิท
“ข้าไม่ได้ต้องการอะไร แค่อยากเล่นสนุกกับพวกท่านเท่านั้นเอง”
“เล่นสนุกงั้นเหรอ”
ชายหนุ่มทั้งสามชักสงสัยในคำพูดที่ดูกำกวมของเด็กน้อย ไม่นานนักสิ่งที่พวกเขาสงสัยก็ถูกเปิดเผย และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสามเดือดดาลขึ้นมา
“ฮิๆๆ จะบอกให้ก็ได้ ว่าพวกแมลงในป่านั้นน่ะ เป็นบริวารของข้าเอง”
“ถะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็~…”
“ข้าเป็นคนสั่งให้พวกนั้นทำเอง”
“วะๆๆ ว่ายังไงนะ!!!”
แต่ละคนต่างก็อ้าปากหวอชนิดที่ยัดกำปั้นเข้าไปได้สบาย แต่ไม่ทันที่ความโกรธจะปะทุออกมา เด็กน้อยก็ยื่นมือข้างหนึ่งเข้ามาตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสาม
“อะไร”
“ดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ไง”
เด็กน้อยปริศนาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมืออีกข้างออกมาอยู่ในระดับเดียวกัน โฮโนโอะรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่แทบเท้าทันที เมื่อเห็นซาคุโระตัวกระจิ๋วนอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือของเด็กน้อย
“ซาคุโระ”
“สวยใช่ไหมล่ะ วิญญาณของผู้หญิงคนนี้ เปราะบางทั้งร่างเนื้อแล้วก็วิญญาณ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด”
“เจ้าต้องการอะไร!”
โฮโนโอะเดือดขึ้นเป็นทวีคูณจนเก็บกดไม่อยู่อีกต่อไป ชายหนุ่มบัลดาลโทสะออกมาอย่างบ้าคลั่งพุ่งเข้าหาเด็กหญิงเพื่อจะแย่งเอาของสองสิ่งที่อยู่ในมือเธอ และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเธอเล่นกระโดดหลบได้ทุกท่วงท่า เหมือนเขากำลังไล่จับสายลมอยู่ยังไงอย่างนั้น
“เอาคืนมาซะ!”
“เก่งนักก็เข้ามาแย่งเอาให้ได้สิ”
เด็กหญิงร่างเล็กพูดจากวนประสาทยั่วโทสะชายหนุ่มให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งมิราอิและฟุยูกิพยายามเพ่งมองการเคลื่อนไหวที่เบาบางนั้นอย่างไม่วางตา เธอเอี้ยวตัวหลบการโจมตีที่บ้าระห่ำของโฮโนโอะได้อย่างสบายๆ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งไม้พร้อมกับเสียงหัวเราะเหมือนชอบใจที่ได้เล่นสนุก
โฮโนโอะเดือดจนถึงขีดสุด จ้องมองเด็กน้อยที่ยืนหัวเราะอยู่บนกิ่งไม้อย่างเจ็บแค้น ก่อนที่จะบัลดาลโทสะเตะต้นไม้เข้าเสียจนสุดแรง หวังจะให้เธอหล่นลงมา
ตึง!
“ลงมาเดี๋ยวนี้นะเด็กบ้า!”
“ท่านพี่! นั่นเด็กนะขอรับ”
“ไม่สนเฟ้ย!!”
โฮโนโอะเลือดขึ้นหน้า ไม่สนกระทั่งเสียงของน้องชายที่เตือนสติ เด็กน้อยนั่งแกว่งเท้าอยู่บนกิ่งไม้ไร้ซึ่งท่าทีสะท้านแถมหัวเราะคิกคักชอบใจ ก่อนที่จะร่อนตัวลงมายืนอยู่บนขาของเขาที่ยังค้างเติ่งตั้งฉากกับต้นไม้
“เก่งจัง เลือดร้อนกว่าที่คิดอีกนะ ท่านทายาทแห่งราชันย์ โฮโนโอะ”
“ ออกไปจากขาของข้า!”
ฟึ่บ!!!
“โอ๊ะ! รุนแรงจัง”
เด็กน้อยลอยตัวขึ้นไปยืนกลางอากาศก่อนที่ชายหนุ่มจะตวัดขาออกไปแรงๆ สีหน้าของโฮโนโอะตอนนี้ไม่ต่างไปจากยักษ์มารที่พร้อมจะกัดกระชากเหยื่อได้ทุกเมื่อ เพราะความเดือดดาลที่ถูกเด็กน้อยยั่วยุ
หมับ!
“เฮือก!!”
ตุ้บ!
ร่างเล็กๆอ่อนระทวยลงกะทันหันพร้อมกับร่างกระจิ๋วเท่าลูกไก่และดวงวิญญาณสีเงินสุกใสได้หลุดมือและกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าโฮโนโอะ ชายหนุ่มรีบละสายตาจากเด็กน้อยและประคองร่างเล็กๆพร้อมกับดวงวิญญาณนั้นเอาไว้อย่างโล่งอก ลืมแม้กระทั่งความเดือดดาลที่ตั้งใจจะจัดการกับเด็กน้อยตัวแสบ เพราะมีคนที่จัดการให้แล้ว
ฟุยูกิยืนนิ่งอยู่ข้างกายเด็กหญิงที่ทรุดฮวบลงมานั่งแหมะอยู่บนโขดหิน มือของเขายังคงจับมือเธอเอาไว้เบาๆแต่ก็แปลกเหลือเกินที่ทำให้เธอหยุดการเคลื่อนไหวได้ในพริบตา สักพักเธอก็เอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่หันหน้ามามองเขา
“ท่านคือฟุยูกิสินะ”
“เจ้าต้องการอะไร ทำไมต้องทำอย่างนี้”
ฟุยูกิเอ่ยถามพร้อมกระชับข้อมือเล็กๆของเด็กน้อยเอาไว้แน่น แต่ก็ไม่มีคำตอบจากเด็กน้อยปริศนาที่ยังก้มหน้านิ่ง
“เจ้าเป็นใคร ทำไมต้องตามพวกเรามาตลอดทางด้วย”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอีกหนด้วยน้ำเสียงที่ยังเหมือนเดิม
“เก่งจัง…ใช่แล้วล่ะ คนที่ตามพวกท่านมาตลอดทางก็คือข้าเอง”
“ทำอย่างนี้ทำไม”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ ทำให้ยายนี่กลับเป็นเหมือนเดิมซะ”
โฮโนโอะรีบขัดขึ้นเสียงดัง พร้อมทั้งยื่นมือที่มีร่างของหญิงสาวมาตรงหน้าของเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนโขดหิน การคืนสภาพไปสู่ร่างเดิมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเด็กน้อยปริศนาคนนี้ เพียงแค่เธอโบกแขนเสื้อเล็กน้อย ก็ทำให้ร่างเล็กกระจิ๋วกลับมาเป็นหญิงสาวคนเดิมได้ในทันที ซาคุโระแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนโฮโนโอะโดยยังไม่มีท่าว่าจะฟื้น
“ทำไมยังไม่ฟื้น”
“จูบนางสิ”
“หา!”
เด็กหญิงตัวจ้อยพูดออกมาหน้าตาเฉย โดยไม่สนใจกับสีหน้าของชายหนุ่มทั้งสามที่กำลังรับประทานความอึ้งกันถ้วนหน้า
“เจ้าหญิงนิทราต้องรอจุมพิตจากชายที่รัก”
“ข้าไม่ใช่…”
“จะบอกว่าไม่ใช่คนที่รักสินะ แต่นางก็สำคัญสำหรับท่านไม่ใช่รึไง”
เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจซึ่งโฮโนโอะก็ไม่มีข้อใดจะถกเถียง แต่ทันใดนั้นมิราอิก็แทรกขึ้น
“แค่ทำให้นางฟื้นก็หมดเรื่องใช่ไหมล่ะ”
“หืม”
“ท่านซาคุโระเองก็เป็นคนสำคัญของเราทุกคน ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นคนปลุกเขาเองก็ได้”
มิราอิพูดพร้อมทั้งเดินเข้ามาประคองใบหน้าของหญิงสาวที่หลับนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของโฮโนโอะ ก่อนที่จะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะทำอย่างที่พูด แต่ความคิดของเขามีหรือคนเป็นพี่อย่างโฮโนโอะจะรู้ไม่ทัน เขาอุ้มหญิงสาวพาดบ่าก่อนจะใช้มืออีกข้างผลักหน้าน้องชายออกจนสุดแขนพร้อมเสียงขู่คำรามเหมือนสัตว์ป่าหวงเหยื่อชิ้นงาม
“อย่าแม้แต่จะคิด”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำสิขอรับ”
“หนวกหู มันเรื่องของข้าเจ้าไม่เกี่ยว ไปไกลๆเลย!”
โฮโนโอะพูดพร้อมทั้งกระชับร่างบางเอาไว้แน่น ก่อนจะเดินออกห่างมิราอิที่มองตามอย่างเจ้าเล่ห์ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้น้องชายจอมกะล่อนคนนี้ฉวยโอกาสนี้เด็ดขาด
ในขณะที่ทุกคนหันไปสนใจกับหญิงสาวคนสำคัญ เด็กน้อยปริศนาก็ลอยตัวขึ้นไปยืนอยู่กลางอากาศอีกครั้ง มีเพียงฟุยูกิเท่านั้นที่ยังสนใจเธอ
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าชื่ออะไร”
“ข้ามีชื่อว่าลีอาเจ้าค่ะ ยินดีที่ได้พบกับท่านนะ ฟุยูกิ”
ลีอาร่อนตัวลงมายืนบนโขดหินโค้งคำนับเด็กหนุ่มที่ยืนมองเธอตาไม่กะพริบ ฟุยูกิทบทวนชื่อของเธออยู่ซ้ำๆและเอ่ยถามขึ้นอีกข้อ
“เจ้าเป็นใครแล้วต้องการอะไร ลีอา”
“ข้าเองก็ไม่รู้”
“…!?”
“ข้าต้องไปก่อนล่ะ ลาก่อน”
ว่าแล้วร่างเล็กของเด็กหญิงก็สลายกลายเป็นละอองสีทองและล่องลอยหายไปกับธาตุอากาศ เหลือเพียงคำพูดบางประโยคที่ยังหลงเหลือให้ได้ยินแผ่วๆ
“ไม่ช้าเราต้องได้พบกันอีกแน่ๆ”
เสียงเล็กๆของลีอาค่อยๆจางหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน ฟุยูกิยังคงมองตามกลุ่มละอองสีทองที่ค่อยล่องลอยและจางหายไปจนลับตา
“ลีอา…งั้นเหรอ”
“ไปกันเถอะ ข้าไม่อยากเล่นไล่จับกับพวกแมลงพวกนั้นอีกหรอกนะ”
โฮโนโอะพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ทั้งมิราอิและฟุยูกิถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อนึกได้ว่าทำความผิดไว้กับพี่ชาย ทั้งสองหันมามองพร้อมกับยิ้มแห้งๆเพราะจนด้วยคำพูดที่จะแก้ตัว
“แหะ คงไม่มีอีกแล้วล่ะขอรับ เรื่องแบบนั้นน่ะ”
“หึ นั่นสินะ…จะว่าไปแล้ว ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับพวกเจ้าสองคนเลยนี่”
ชายหนุ่มคำรามเสียงต่ำพร้อมกับหันกลับมาอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วสิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า เมื่อเจ้าน้องชายตัวแสบทั้งสองวิ่งหน้าตั้งออกไปไกลแล้ว
“จะหนีไปไหน!”
“เหอะ พวกข้าไม่โง่ขนาดที่จะให้ท่านมาเขกกบาลรอบสองหรอก! รีบๆทำให้นางฟื้นแล้วก็รีบตามมานะขอรับ”
โฮโนโอะพ่นหายใจแรงๆมองน้องชายสองคนที่มุ่งหน้าไปไกล ก่อนจะหันมามองใบหน้านิ่งสนิทของหญิงสาวในอ้อมแขน ดวงวิญญาณสีใสวางบนอกหญิงสาวค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในร่าง ไม่นานลมหายใจเฮือกแรกก็กลับมาพร้อมกับเสียงไอ
“อึก! แค่กๆๆ…”
หากก็ยังไม่ทำให้หญิงสาวได้สติกลับมา ซาคุโระยังหลับต่อ พร้อมกับลมหายใจสม่ำเสมอ ทำให้โฮโนโอะใจชื้นขึ้นมา และอุ้มเธอออกเดินตามน้องชายสองคนที่มุ่งหน้าไปก่อนหน้านี้
ไกลออกไปจากต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งหญ้า ใครบางคนยังจ้องมองความเคลื่อนไหวของคนที่กำลังเดินทางออกไปไกล ริมฝีปากบางเฉียบขยับเล็กน้อยอยู่ท่ามกลางเงามืด พร้อมกับคำพูดแผ่วเบาที่ราวกับเสียงกระซิบ
“หึ ดูยังไงก็ไร้พิษสง ถึงกับทำให้กาโระแพ้จนย่อยยับขนาดนั้นได้ เหลือเชื่อจริงๆ เจ้ากาโระก็ดันมาตายซะนี่ อุตส่าห์คิดว่าจะได้เห็นเลือดอสูรด้วยกันแล้วเชียว”
เนรีวสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวที่อยู่กับเหล่าทายาททั้งสามแล้วก็แสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ ไม่ต่างจากเด็กที่เจอของเล่นถูกใจ
“หึๆๆ ช่างเถอะ ของจริงมันคงจะน่าสนุกกว่านี้เยอะ”
ในป่าทึบที่แทบจะไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดมาให้เห็น แต่คนที่ร้อนใจและเร่งรีบที่สุดอย่างโฮโนโอะไม่มีเวลามาเย็นใจ สองขายาวๆจ้ำอ้าวไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
“ที่นี่วังเวงชอบกล”
มิราอิพึมพำพลางมองสองข้างทางอย่างไม่วางใจ โฮโนโอะหยุดฝีเท้าเมื่อถึงทางเดินที่แคบและมืด ก่อนที่จะหันกลับมาหาน้องชายทั้งสองและพูดขึ้น เหมือนจะเป็นการถามคนที่คอยบอกทิศทางอย่างฟุยูกิมากกว่า
“จากนี้เราต้องเดินเข้าไปแล้วใช่ไหม ฟุยูกิ”
“ไม่ผิดแน่ ข้างหน้าของป่านี้ ถ้าพ้นจากป่านี้ไปล่ะก็…”
“อย่างนั้นเหรอ ไปกันได้แล้ว”
ชายหนุ่มพูดตัดบทและเดินนำเข้าไปในทางที่มืดมัวนั้นโดยไม่รอให้คำพูดของอีกฝ่ายจบ เขาเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งเหมือนตั้งใจจะพ้นจากที่ยืนอยู่ตรงนี้ให้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ซึ่งมิราอิกับฟุยูกิก็เห็นด้วยและไม่คัดค้านที่จะเดินตามไปติดๆ ในระหว่างทางฟุยูกิก็พึมพำขึ้นทำลายความเงียบ
“เป็นห่วงมากขนาดนั้นเชียวเหรอ”
“ก็เป็นคนสำคัญนี่นา”
“คนสำคัญเหรอขอรับ”
“เอาไว้เจ้าจะรู้เอง วันที่เจ้าโตพอที่จะมีความรู้สึกนั้นน่ะนะ”
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ก็บอกว่าเอาไว้ให้โตก่อน”
“ก็ข้าอยากรู้ตอนนี้นี่ บอกตอนนี้ไม่ได้เหรอ”
“เจ้าเด็กบ้า เรื่องอย่างนี้มีใครอยากบอกให้คนอื่นรู้กันเล่า”
“ข้าไม่ใช่เด็กแล้วนะ!”
“อย่าเถียง”
น้ำเสียงที่ใช้สนทนาระหว่างชายหนุ่มทั้งสองที่เดินขนาบข้างกันอยู่ด้านหลังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้คนที่เดินนำหน้าได้ยินเข้า และหันมาตวาดเสียงแข็ง
“พูดอะไรกันหนวกหูชะมัด”
“ปะ เปล่าขอรับ”
“รีบตามมาเร็วเข้า”
ทั้งมิราอิและฟุยูกิสะดุ้งกับน้ำเสียงแข็งกร้าวของพี่ชาย และรีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ยิ่งลึกในป่าก็ยิ่งชื้นแฉะ โฮโนโอะอดคิดไม่ได้ว่าซาคุโระอาจจะไม่ปลอดภัย
“ให้ตายสิ ไปอยู่ไหนนะ”
“บ่นมาตลอดทางเลยนี่นา” ฟุยูกิพึมพำอย่างเหนื่อยใจที่ได้ยินเสียงบ่นอุบอิบของพี่ชายมาตลอดทาง
“ก็คนไม่มีความอดทนก็อย่างนี้แหล่ะ” มิราอิเสริมอีกเสียง
“ท่านซาคุโระจะเป็นยังไงบ้างนะ”
“คงไม่เป็นไรหรอก”
“นี่พวกเจ้าบ่นอะไรกันนักหนา หา!”
โฮโนโอะหันมาขึ้นเสียงกับน้องชายทั้งสองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูท่าทางน้องชายจะไม่ได้หวาดกลัวจนสะดุ้งเหมือนครั้งก่อน แถมยังสวนกลับด้วยคำพูดที่เรียบเฉย
“ก็ไม่ได้บ่นอะไรนี่”
“ตัวเองต่างหากที่เอาแต่บ่นมาตลอดทาง”
“ว่ายังไงนะ”
“ก็ท่านพี่เอาแต่เอ่ยชื่อท่านซาคุโระมาตลอดทางเลยไม่ใช่เหรอขอรับ”
“ฟุยูกิ เจ้านี่มัน…. คำพูดแบบนี้ข้าไม่เคยสอนเจ้า คงจะจำมาจากเจ้ามิราอิล่ะสิ”
“พูดอย่างนี้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่นะ”
มิราอิเริ่มแย้งเมื่อรู้สึกเหมือนมีหนามมาทิ่มตำ ในระหว่างที่ชายหนุ่มทั้งสองจ้องหน้ากันประลองสายฟ้าที่พุ่งออกมาจากดวงตาเสียงดังเปรี๊ยะๆ ฟุยูกิที่อยู่ตรงกลางและหันหน้าไปในทางตรงข้างก็ถึงกับชะงักหน้าซีด
“อะๆๆ…!”
“มีอะไรฟุยูกิ”
“อะ!…”
“มีอะไรก็พูดออกมาสิ อ้ำอึ้งอย่างนั้นจะไปรู้ได้ไง!”
โฮโนโอะขมวดคิ้วมองหน้าน้องชายในขณะที่มิราอิตัดสินใจหันไปมองทางทิศเดียวกัน และถึงกับเลิกคิ้วสูงตกใจตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
“นี่เจ้าก็เป็นไปอีกคนเหรอ มิราอิ”
โฮโนโอะจับจ้องสีหน้าซีดเซียวของน้องชายทั้งสองอย่างหงุดหงิด และเริ่มไม่สบอารมณ์มากขึ้นเมื่อเห็นน้องชายทั้งสองเริ่มก้าวถอยหลังตีตัวออกห่าง
“ข้ามันน่ากลัวตรงไหนพวกเจ้าถึงได้ถอยห่างอย่างนี้”
“มะๆๆ” ไม่ใช่อย่างน้านนนนนน!!!
ทั้งมิราอิและฟุยูกิต่างก็อ้ากปากค้างตกตะลึงกับสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ต่อหน้า มันคือสิ่งที่พวกเขาพี่น้องเกลียดและกลัวยิ่งกว่าปีศาจอสูรทั้งมวล โดยเฉพาะเวลาที่คิดว่ามันอาจจะตื่นและกระโดดขึ้นมาเริงระบำอยู่บนหัวพวกเขาด้วยความเสน่หา
“ทะๆๆ ท่านพี่ ข้างหลังขอรับ!”
ฟุยูกิพูดออกมาอย่างแผ่วเบาจนฟังไม่ได้ศัพท์ โฮโนโอะนึกดีใจว่าสิ่งที่น้องชายคนเล็กชี้บอกนั้นอาจจะเป็นหญิงสาวที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ ในระหว่างนั้นหนวดยาวๆของเจ้าตัวที่กำลังจะตื่นก็เริ่มขยับยุกยิกไปมา ทำให้มิราอิและฟุยูกิที่มองเห็นวิ่งเตลิดออกไปโดยไม่ฟังเสียง
“ว๊ากกกกก!!! อ๊ากกก!!”
“แล้วนั่นพวกเจ้าจะวิ่งไปไหนกัน ข้าไม่มีเวลามาไล่เตะพวกเจ้านะ เฮ้ย!”
โฮโนโอะพยายามเรียกน้องชายทั้งสองที่กระเจิดกระเจิงออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่พ่นลมหายใจมองตามจนลับตาด้วยความงุนงง
“ให้ตายเถอะเจ้าพวกนี้ ชอบทำตัวเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย กลับมาต้องอบรมบ่มนิสัยให้เข็ด…ไหน มีอะไรนักหนา….!!!!”
ทันทีที่หันกลับมาดวงตาสีฟ้าอันงดงามก็ได้ชะงักอยู่กับใบหน้าอันน่าขยะแขยงที่เข้ามาชิดเพียงคืบ เหงื่อเม็ดใหญ่เริ่มผุดขึ้นมาเมื่อหนวดเรียวยาวเล็กๆนั้นได้ไล้ไปตามใบหน้าคมเข้มอย่างหลงใหล
“ช่างน่าจุมพิตเสียจริง พ่อรูปหล่อ”
เสียงนั้นช่างชวนให้เสียวสันหลัง ชายหนุ่มขนลุกซู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า และในที่สุด…
“ว้ากกกกก!!! ข้าเกลียดแมลงสาบ อ๊าคคคคค!!!!”
คนที่ทำเป็นเข้มขรึมในตอนแรกกลับร้องออกมาลั่นเมื่อเห็นเต็มเข้าสองตา ใช่แล้ว นั่นคือนางแมลงสาบท้องลายน่าขยะแขยง และที่สำคัญมันคือตัวเมียและหลงเสน่ห์พวกเขาเข้าเต็มเปา
ว๊ากกกกก!!!!
ป่าที่มืดมิดเริ่มตื่นขึ้นและปลุกพวกที่อาศัยอยู่ในป่าให้ตื่นด้วย เพราะเสียงร้องหลงยุคของชายหนุ่มทั้งสามที่วิ่งกันป่าราบฝุ่นตลบ และไม่ได้มีเพียงนางแมงสาบท้องลายตัวเดียวเท่านั้นที่หลงเสน่ห์ในความงามของเจ้าชายทั้งสาม แต่ยังมีเหล่าแมลงร่างยักษ์ที่พวกเขาเกลียดนักหนาได้พากันกรูเข้ามาหาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ว้ากกกก!!! พวกนี้มันมาจากไหนอีกเนี่ย!”
มิราอิร้องเสียงหลงเมื่อหลบแม่เต่าทองลายจุดที่กระโดดเข้ามาหมายจะจุมพิต
“จะรีบไปไหนจ๊ะ พ่อหนุ่มรูปหล่อ”
“อึ๋ย~”
เสียงลากยานคางชวนคลื่นไส้ดังตามมาติดๆ ทำเอาชายหนุ่มทั้งสองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“เมื่อไหร่จะหลุดพ้นจากเวรกรรมนี่ซะที้! ข้าเป็นหนุ่มรูปงามนะ คู่ครองของข้าต้องเป็นหญิงงามไม่ใช่แมลงอย่างพวกเจ้า! ไปให้พ้นนะพวกบ้า!”
มิราอิหลับหูหลับตาวิ่งจนสุดกำลังโดยมีฟุยูกิวิ่งขนาบข้างไปด้วย เด็กหนุ่มฟังคำพร่ำบ่นอันชวนคลื่นไส้ของพี่ชายก็รู้สึกระอา แต่ว่าตอนนี้ใช่เวลาที่จะมาทำอย่างนี้เสียเมื่อไหร่
“แฮ่กๆๆ รีบไปเถอะขอรับ พวกมันยกโขยงกันมาแล้ว!”
“รู้น่า แฮ่กๆๆ แต่ข้าวิ่งจนหมดแรงแล้วนี่นา”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว ไม่อย่างนั้นท่านต้องได้แมลงพวกนี้เป็นชายาแน่”
“ไอ้เด็กบ้าอย่ามาซ้ำเติมข้าจะได้ไหมเล่า!!!”
คำซ้ำเติมของฟุยูกิได้ผลเกินคาด มิราอิวิ่งจ้ำอ้าวออกไปอย่างไม่อิดออดอีก และในระหว่างทางที่วิ่งไปนั้นพวกเขาทั้งสองก็ได้พบกับโฮโนโอะที่โผล่พรวดออกมาจากพงหญ้าข้างทาง
พรึ่บ!
“อ๊ะ! ท่านพี่!!!!”
“โอ๊ะ! พวกเจ้า!”
“ท่านพี่ช่วยพวกเราด้วย ช่วยด้วย!!!”
ทั้งมิราอิและฟุยูกิรีบกระโจนเข้าหาชายหนุ่มที่เพิ่งโผล่หน้ามาอย่างไม่รอรี โฮโนโอะตกตะลึงตาแทบถลนเมื่อเหลือบไปเห็นเหล่าแมลงสาวตัวอ้วนพีที่กำลังกรูเข้ามาหา
“จะบ้าเรอะ! แม้แต่ข้ายังเอาตัวไม่รอดเลย จะมีปัญญาที่ไหนมาปกป้องพวกเจ้า!!!”
โฮโนโอะสวนกลับทันที น้องชายทั้งสองหยุดชะงักและจับจ้องมาหาเขาด้วยสายตาที่หวาดกลัวสุดฤทธิ์ เขารู้ว่าน้องชายทั้งสองมองอะไร และไม่นานเสียงของเจ้าต้นเหตุก็ดังขึ้นผ่านต้นคอของเขาไปอย่างเฉียดๆ
“จะรีบไปไหนจ๊ะ หนุ่มหล่อ”
“หนอยแน่ะ~ นางแมลงโสโครก ไปให้พ้นหูพ้นตาข้าเลยนะ!”
ความอดทนของโฮโนโอะไม่ได้มีมากมายอะไร ชายหนุ่มไม่รอช้าใช้กำปั้นช้อนคางแมลงสาบสาวอย่างฉุนขาด ทำให้เจ้าหล่อนหงายท้องไปตามแรงชกที่รุนแรง
ผัวะ!
พลั่กกก!!
“กรี๊ดดดด!! ท่านทำกับข้าอย่างนี้ได้ยังไง!”
“หนวกหู! ไปให้พ้นนะนางแมลงโสโครก เป็นสัตว์ก็อยู่ส่วนสัตว์สิเฟ้ย!”
โฮโนโอะฉุนขาดชี้หน้าตวาดใส่แมลงสาบสาวเป็นชุดใหญ่ มิราอิและฟุยูกิหมดคำที่จะพูดและได้แต่มองตากันปริบๆ
“ระ รู้สึกว่า ท่านพี่จะ…”
“ทำให้มันโกรธซะแล้ว”
สิ้นสุดประโยคสุดท้ายของชายหนุ่มทั้งสอง เหล่าแมลงทั้งหลายก็กรูกันเข้ามามากกว่าเก่า ทั้งสามจึงต้องวิ่งกันอีกรอบอย่างสุดกำลังเพื่อเอาชีวิตรอด
“พวกมันเพิ่มจำนวนมากกว่าเดิมอีกเหรอเนี่ย”
“ก็ท่านพี่ปฏิเสธมันไปขนาดนั้นนี่ขอรับ”
“เจ้าสองคนอยากตายนักใช่ไหม หา! ข้าไม่มีคู่เป็นแมลงนะเฟ้ย!” โฮโนโอะที่สวนกลับทันควัน และไม่คิดที่จะวิ่งหนีอีกต่อไป
“ฮึ่ม! ตามมาดีนักนะ พูดไม่รู้เรื่องนักใช่ไหม!”
น้ำเสียงหนักแน่นดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าคำราม ทั้งมิราอิและฟุยูกิต่างก็หยุดฝีเท้าไปตามๆกัน
“คงไม่คิดจะทำอะไรบ้าๆหรอกนะ”
แน่นอนว่าใช่
ในมือของโฮโนโอะมีลูกไฟสีแดงขนาดย่อมลุกโชนอยู่หลายลูก และทันใดนั้นเขาก็จัดการขว้างใส่พวกแมลงที่กำลังยกโขยงเข้ามาอย่างไม่รั้งรอ
“เอานี่ไปกินซะ!”
ตูม!
บึ้มมมม!!
“อะ เอาจนได้สิน่า”
“แต่ข้ากลับรู้สึกว่า…”
คำพูดของฟุยูกิขาดหาย ในขณะที่ทั้งสามมองไปในกลุ่มควัน และได้เห็นบางอย่างกำลังคลานออกมาด้วยท่าทางที่โกรธสุดฤทธิ์
“หนอยแน่~ อุตส่าห์จริงใจ อุตส่าห์มอบความรักให้แท้ๆ แต่พวกเจ้า พวกเจ้า~ กลับมาทำลายความรักอันสวยงามของข้า!”
เสียงคำรามน่าขยะแขยงดังเล็ดลอดออกมาจากม่านควันที่หนาตา และพอเจ้าของเสียงนั้นย่างสามขุมออกมาให้เห็นจนเด่นชัด ทั้งสามหนุ่มก็ถึงกับอ้าปากค้างตาแทบถลนออกจากเบ้า เมื่อสิ่งที่อยู่ต่อหน้าคือร่างกายอันน่าขยะแขยงยิ่งกว่าเค้าโคลงเดิมของนางแมลงสาบท้องลาย และที่สำคัญมันโกรธแค้นและกำลังจะพุ่งเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง
“มาเป็นของข้าซะดีๆ!!!”
ว้ากกกกกก!!!!
ชายหนุ่มทั้งสามมีอันต้องวิ่งกระเจิดกระเจิง โดยที่ครั้งนี้ต้องเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ใต้ต้นไม้ใหญ่ เด็กน้อยที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีทองอร่ามทั่วทั้งร่าง ยังคงหลับตาเพื่อมองภาพที่กำลังเคลื่อนไหวผ่านทางจิตที่เป็นเหมือนตาที่สาม ภาพของชายหนุ่มทั้งสามกำลังวิ่งหนีจากเหล่าแมลงที่หลงเสน่ห์กันจ้าละหวั่น ท่าทางจะสนุกสนานครึกครื้นกันทีเดียว
“ฮิๆๆๆ ดูท่าทางจะเล่นกันเพลินเชียวนะ…แต่ว่าพอได้แล้วล่ะ รีบต้อนพวกเขามาที่นี่เร็วๆเถอะ เหล่าแมลงสหายของข้าทั้งหลาย”
เด็กน้อยออกคำสั่งทางจิต ก่อนที่จะลืมตาขึ้นและหันมามองหญิงสาวร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งไม่รู้สึกตัวอยู่บนพื้นหญ้า
“ถึงเวลาที่ท่านต้องตื่นขึ้นมาแล้ว ท่านเทพธิดา”
ว่าแล้วแขนเสื้อของเด็กน้อยก็กวัดแกว่งไปมา เกิดเป็นละอองสีทองระยิบระยับจำนวนมากชโลมลงบนร่างของหญิงสาวราวหิมะ ก่อนที่ละอองเหล่านั้นจะซึมเข้าไปในผิวหนังของเธออย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเปลือกตาคู่บางก็เริ่มขยับและเปิดขึ้นอย่างช้าๆ
“ที่นี่…ที่ไหนกัน”
ซาคุโระทอดมองท้องฟ้ายามเย็นที่เล็ดลอดผ่านกิ่งไม้อย่างเหม่อลอย ภาพตรงหน้าค่อยๆเด่นชัดขึ้นและรู้ว่าตัวเองได้นอนอยู่กลางทุ่งหญ้า และไม่ทันที่จะปะติดปะต่อเรื่องราว เสียงเล็กๆที่ไม่คุ้นหูก็ดังขึ้นเรียกความสนใจให้หันไปมอง
“ตื่นแล้วเหรอ ท่านเทพธิดา”
“หะ!”
ซาคุโระเหลียวมองไปทางต้นเสียง แต่ก็ยังไม่เห็นเจ้าของเสียงนั้นในระดับที่สายตากำลังมองหา เธอจึงเอ่ยเรียกหาด้วยท่าทีที่ลนลาน
“ใครน่ะ เสียงใคร”
“ฮิๆๆ…ตื่นมาก็โวยวายเชียว ทำอย่างกับตัวเองหลงทางอย่างนั้นล่ะ ท่านเทพธิดา….โอ๊ะ! ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกว่าท่านหญิงซาคุโระถึงจะถูกสินะ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นอีกครั้ง ซาคุโระรีบจับทิศทางและหันไปมองทางต้นตอของเสียงอย่างไม่รีรอ และแทบผงะเมื่อเห็นเด็กผู้หญิงแปลกหน้านั่งแกว่งเท้าไปมาอยู่บนกิ่งไม้เหนือที่ๆเธอนั่งอยู่ เด็กคนนั้นส่งยิ้มหวานอันเย็นยะเยือกให้เธออย่างไร้ความหมาย สร้างความรู้สึกหวาดกลัวให้กับเธออย่างบอกไม่ถูก
“เธอเป็นใคร”
“ดูท่าจะตกใจกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลยนะเนี่ย ฮิๆๆ”
เด็กหญิงร่างเล็กเอ่ยออกมาพร้อมทั้งเสียงหัวเราะใสๆ ซาคุโระรู้สึกหวาดกลัวและคิดไปว่าตัวเองคงจะถูกลักพาตัวมาจากพวกโฮโนโอะเป็นแน่ สิ่งที่เธอได้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบคือใบหน้าคมคายของชายหนุ่มที่กำลังร้องเรียกชื่อเธออย่างเอาเป็นเอาตาย พอความคิดนั้นผุดขึ้นมาก็ทำให้ความกลัวเริ่มทะลักออกมาทางสีหน้าท่าทาง จิตใจเริ่มสั่นไหวจนหลุดปากเอ่ยชื่อชายหนุ่มออกมาสุดเสียง
“โฮะ…โฮโนโอะล่ะ โฮโนโอะ!”
“หืม”
“เธอเป็นใคร พาฉันมาที่นี่ทำไม!”
“ไม่เห็นต้องตกใจขนาดนั้นเลย ข้าไม่ใช่ศัตรู”
เสียงแหลมเล็กพูดดักหน้าเหมือนรู้ทันพร้อมทั้งกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ข้างบนลงเหยียบพื้นหญ้าที่อยู่เบื้องล่างอย่างแผ่วพลิ้ว เธอมองหน้าซาคุโระอยู่พักใหญ่ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้อย่างสดใส แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความหวาดระแวงในใจหญิงสาวหายไปเท่าไหร่นัก
“เธอต้องการอะไร”
ซาคุโระรีบยิงคำถามใส่ทันที และยังคงก้าวถอยหลังทุกครั้งที่เด็กน้อยก้าวเท้าเข้ามาหา ความคิดในใจเริ่มปั่นป่วนแต่กลับถูกเด็กน้อยปริศนาที่อยู่ต่อหน้าอ่านออกเสียหมด
“ระแวงข้าเหรอ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ศัตรู ข้าอาจเป็นคนๆเดียวที่ช่วยท่านได้ด้วยซ้ำ”
“แล้วโฮโนโอะล่ะ เขาอยู่ที่ไหน”
“อย่าห่วงเลย เดี๋ยวก็ได้พบกันแล้ว”
“หมายความว่ายังไง”
“ฮิๆๆๆ”
เสียงหัวเราะซุกซนทำให้ซาคุโระจับจ้องใบหน้าเล็กตาปริบๆ พอได้จับจ้องดวงตาสีทองเจิดจรัสนั่นแล้วก็ยิ่งทำให้ความสงสัยในใจทวีคูณขึ้นอย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่รู้แน่ๆก็คือ เด็กคนนี้อ่านความคิดเธอออก แล้วสิ่งที่สงสัยมากที่สุดก็คือว่า ตอนนี้…โฮโนโอะกับน้องชายทั้งสองของเขาอยู่ที่ไหน!
ป่าที่หลับใหลตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องที่ดังกึกก้องออกไปหลายกิโลเมตร โฮโนโอะที่เดือดจนเลือดขึ้นหน้ากำลังท้าทายเหล่าแมลงที่วิ่งตามอย่างเหลืออด
“หนอย~เข้ามาสิฟะ! ข้าเหนื่อยที่จะหนีแล้ว! อยากตายนักก็เข้ามาเลย! มา! ข้าจะอัดให้เละจะเผาให้เป็นจุลไม่ให้ผุดให้เกิดเลย เข้ามา!!!!”
“ท่านพี่พอเถอะขอรับ อย่าไปต่อกรกับพวกมันอีกเลย!”
มิราอิร้องขอกับการกระทำของพี่ชายที่ทำให้แมลงทั้งป่าแห่กันเข้ามามากขึ้น ตอนนี้โฮโนโอะถูกน้องชายทั้งสองหิ้วแขนคนละข้าง ฉุดกระชากลากถูหนีเอาตัวรอดจากนางพญาที่นำขบวนเหล่าแมลงกวาดไล่พวกเขา บัดนี้หล่อนได้เปลี่ยนร่างจนน่ากลัวและไล่ตามพวกเขามาติดๆด้วยความโมโหที่ถูกปฏิเสธรัก
“จะหนีไปไหน มาเป็นของข้าซะดีๆ!”
“อ๊ากกกก!!! อย่าตามพวกเรามาเลย!”
“เก่งจริงก็เข้ามาเลย! ถึงตามไปยันชาติหน้าข้าก็ไม่ยอมเป็นของพวกแมลงโสโครกอย่างพวกเจ้าหรอกเฟ้ย!”
โฮโนโอะที่ยังปากเก่งยังคงสวนกลับด่าทอเหล่าแมลงทั้งหลาย จนทำให้พวกมันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมามากกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะนางแมลงสาบที่เดือดปุดๆและกระโจนเข้าใส่
“กรี๊ดดดด!!! งั้นข้าจะฆ่าเจ้า! แฮ่!!!”
“ท่านพี่ทำให้นางโกรธอีกแล้ว! พอทีเถอะ!”
มิราอิหันมาว้ากใส่พี่ชายปากจัดหลังจากที่หลบนางแมลงสาบที่กระโจนเข้ามาหาได้อย่างหวุดหวิด แต่คนอย่างโฮโนโอะนั้นไม่มีท่าทีว่าจะยอมอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ และยังคงแหกปากทั้งยังดิ้นสลัดตัวให้พ้นจากการเกาะกุมของน้องชายทั้งสอง
“ปล่อยข้านะ! พวกเจ้าปล่อยข้า แน่จริงก็ตามมาสิวะ! มาเล้ย!!!”
“ยังจะปากดีอีก! เห็นใจคนลากซะบ้างสิ มันเหนื่อยนะ ปัดโธ่!!!”
ทั้งมิราอิฟุยูกิต่างก็เหลืออดกับพี่ชายที่พวกเขาช่วยกันหิ้วแขนคนละข้าง เขาสองคนจำเป็นต้องลากโฮโนโอะมาด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะตะลุมบอลกับพวกแมลงไปแล้ว เพราะคนอย่างโฮโนโอะไม่เคยยอมใคร!
“ปล่อยข้า! เจ้าสองคนกล้าขัดคำสั่งข้าเหรอ เดี๋ยวเจอดีแน่!”
โฮโนโอะบริภาษเสียงดังทั้งยังดิ้นพยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุม มิราอิและฟุยูกิหมดความอดทนและพร้อมใจกันเปลี่ยนจากการหิ้วแขนคนละข้าง มาเป็นการหิ้วคอเสื้อและลากออกไปอย่างไม่ไยดี เพราะคิดแต่เพียงว่าพี่ชายปากเสียจะไม่มีปัญญาแหกปากและยอมให้ลากไปแต่โดยดี โดยลืมคิดไปว่าเขาอาจจะขาดอากาศหายใจตายระหว่างทาง
“ตอนนี้ขอเอาตัวรอดจากที่นี่ก่อน หนีรอดเมื่อไหร่พวกข้าจะยอมก้มหัวให้เขกดีๆ”
“อ๊อก! แอ๊ก!...ไอ้น้องบ้า ปล่อยข้า~”
มิราอิและฟุยูกิช่วยกันลากคอโฮโนโอะวิ่งหน้าตั้งไปสุดฝีเท้าโดยไม่สนใจหันมามองพี่ชายที่ใบหน้าเริ่มถอดสีเมื่อรู้สึกเหมือนกับว่าอากาศที่ใช้หายใจถูกตัดขาด
“แฮ่กๆๆ ว่าแต่เราจะไปทางไหนกันดี”
มิราอิเอ่ยถามน้องชายที่กำลังมองหาเส้นทางในขณะที่เท้ายังคงวิ่งไม่หยุด ฟุยูกิเหลียวซ้ายแลขวาเพื่อหาเส้นทางตามสัมผัสที่แกร่งกล้าของตัวเอง ไม่นานสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นประกายแสงระยิบระยับที่สะท้อนมาแต่ไกล จึงไม่รอช้าที่จะชี้เข้าไปยังทางตันที่เต็มไปด้วยป่าหนาทึบ
“ทางนี้ขอรับ!”
“แล้วจะช้าอยู่ไย ลุยเลยไอ้น้องรัก!”
“โอ้!!!”
ตอนนี้ขอเพียงแค่หลุดพ้นจากการตามล่าของนางแมลงสาบน่าเกลียดกับบริวารของหล่อนเป็นพอ ชายหนุ่มทั้งสองวิ่งลุยเข้าไปในป่าทึบนั้นทันทีโดยไม่ทันได้คิดอะไรกับคนที่พวกเขาสองคนลากไปด้วย
ไอ้พวกบ้า ข้าหลุดออกไปได้เมื่อไหร่ กะโหลกพวกเจ้ายุบแน่!...
โฮโนโอะนึกในใจด้วยความโมโห แต่กว่าจะหนีพ้นจากที่นี่ใช่ว่าเขาจะขาดใจตายเสียก่อนเหรอ นึกแล้วมันก็น่าโมโหน้องชายสองคนนี่ ทั้งนางแมลงน่าเกลียดทั้งหลายแหล่ รวมทั้งยายผู้หญิงที่ดันมาหายตัวไปจนเขาต้องออกมาตามหา จนทำให้ต้องตกอยู่ในสภาพทุเรศอย่างนี้ด้วย
ใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวที่โอนเอนหยอกล้ออยู่กับสายลมที่พัดผ่าน ซาคุโระยังคงเผชิญหน้าอยู่กับเด็กผู้หญิงปริศนาที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า ดวงตาสีทองเจิดจรัสยังคงจับจ้องมองเธออย่างไม่กะพริบ จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่งเด็กน้อยก็หลุบตาลงต่ำและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท
“สามคนนั่นกำลังมา”
“จริงเหรอ! ไหนล่ะ อยู่ไหน”
ซาคุโระรีบหันมองไปรอบทิศเพื่อหาร่างของคนที่คิดว่าจะเห็น ไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องหลงยุคที่ดังมาแต่ไกล สังเกตเห็นเงารางๆของชายหนุ่มสองคนที่วิ่งขนาบข้างกันมาทางที่เธอกำลังยืนอยู่ ท่าทางแบบนั้นคงจะเป็นมิราอิกับฟุยูกิอย่างไม่ต้องสงสัย
“ว้ากกกกก!!!”
“นั่นมิราอิกับฟุยูกินี่นา!”
ซาคุโระตั้งใจจะวิ่งออกไปหาทั้งสองคนที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างเข้ามากระชากจนหัวใจกระตุกวูบ และเพียงเสี้ยวนาทีที่จะก้าวออกไปก็รู้สึกเหมือนลมหายใจถูกตัดขาด ไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบหายไปในความมืด แม้กระทั่งภาพของชายหนุ่มทั้งสองที่วิ่งเข้ามาหา
พลั่ก!
“อ๊ะ! ท่านซาคุโระ”
ทันทีที่วิ่งมาถึง ชายหนุ่มทั้งสองก็ถึงกับเบิกตากว้างลืมแม้กระทั่งความเหน็ดเหนื่อย เมื่อเห็นร่างของหญิงสาวล้มฟุบไปต่อหน้าต่อตา
“ท่านซาคุโระ! ท่านซาคุโระขอรับ!”
มิราอิรีบผละจากคอเสื้อที่กำแน่นและปรี่เข้ามาหาหญิงสาวอย่างตื่นตระหนก แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเด็กน้อยร่างเล็กที่มีดวงตาสีทองเจิดจรัสปรากฏตัวขวางทางเอาไว้
“อย่าเข้ามาใกล้มากกว่านี้จะดีกว่านะ”
“เจ้าทำอะไรท่านซาคุโระ!”
“ถามได้ดีนี่ ท่านมิราอิ”
คำพูดของเด็กน้อยปริศนาทำเอามิราอิอึ้งจนพูดไม่ออก ยกเว้นเสียแต่ฟุยูกิที่ยังไม่แสดงอาการใดๆและยืนมองอยู่เงียบๆ
“เจ้ารู้จักชื่อของข้าได้ยังไง”
“ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ข้ารู้หมด”
“โกหก!”
“ข้าโกหกไม่เป็น ก่อนที่จะมาหาเรื่องกัน สนใจคนที่นอนปางตายอยู่ตรงนั้นก่อนไม่ดีกว่ารึ”
เด็กน้อยปริศนาถามกลับพลางเพ่งมองไปยังชายหนุ่มที่นอนคว่ำหน้าอยู่เยี่ยงคนตาย ทั้งมิราอิและฟุยูกิรีบหันกลับไปสนใจคนที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้า และสภาพของชายหนุ่มที่พวกเขาช่วยกันลากถูลู่ถูกังมาก็แทบจะทำให้พวกเขาผงะหงาย
“ทะๆๆ ท่านพี่!!...ตายรึยังเนี่ย”
“ยังอยู่~”
โฮโนโอะเงยหน้าขึ้นลากเสียงยาวราวกับจะฉีกเลือดฉีกเนื้อคนที่ทำให้ตนอยู่ในสภาพน่าอายอย่างนี้ให้สาสม
“พวกเจ้าทำกับข้าได้แสบนักนะ หา!!!”
“อะ เอ่อ คือว่า~”
“รับโทษซะ! เริ่มจากเจ้าก่อน มิราอิ!!!”
“ข้าผิดไปแล้ว อภัยให้ข้าด้วยเถอะขอร้าบ!”
“มันสายไปแล้วเฟ้ย!”
มิราอิจำต้องหลบหมัดลุ่นๆที่แหวกอากาศเข้าใส่กบาลอย่างรวดเร็ว ท่าทางคงตลกน่าดูเด็กน้อยปริศนาที่มองดูอยู่นานถึงได้หัวเราะเสียงใสราวกับว่าชอบใจในการแสดงตลก(จำเป็น)นี้
“ฮะๆๆ อะไรกันเนี่ย มีแต่พวกงี่เง่าทั้งนั้นเลย”
“เจ้าเป็นใคร”
โฮโนโฮะหยุดไล่เขกกบาลน้องชาย ก่อนที่จะหันมาหาเจ้าของเสียงหัวเราะใสๆนั้นด้วยอารมณ์ที่ยังฉุน รอยยิ้มของเด็กน้อยที่ท่าทางซุกซนคนนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างี่ทำให้อดสงสัยไม่ได้ และทันใดนั้นเอง ความสงสัยที่กำลังเพิ่มขึ้นก็พลันได้หยุดชะงัก เมื่อสายตาของเขาพลันเหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวที่เขากำลังตามหานอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่ที่พื้นหญ้าด้านหลังของเด็กน้อย ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่เขาก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่านั่นคือหญิงสาวที่เขาพยายามดั้นด้นตามหา
“ซาคุโระ!!”
โฮโนโอะตรงดิ่งเข้าไปหาร่างที่นอนนิ่ง แต่แล้วเขาก็ต้องคว้าได้เพียงเงาของเธอ เมื่อเด็กน้อยได้คว้าไปไว้ในมือก่อนอย่างง่ายดาย
“จะทำอะไร คืนมานะ!”
“ไม่”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าเป็นคนที่ลักพาตัวนางมา”
“ใช่”
เด็กน้อยตอบไปอย่างว่าง่าย ทำให้ชายหนุ่มทั้งสามตกตะลึงไปทันตาเห็น ร่างของซาคุโระค่อยๆหดเล็กลงต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งสาม และนอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือเล็กๆของเด็กน้อย สติโฮโนโอะแทบกระเจิงเมื่อเห็นหญิงสาวหดเล็กลงขนาดเทียบเท่ากับลูกไก่
“ทะ ท่านซาคุโระ…”
“ตัวเล็กลง!”
“เจ้าเป็นใคร ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ บอกมา!!”
โฮโนโอะคำรามอย่างเคียดแค้น ดวงตาสีฟ้ากลับกลายเป็นสีแดงเพลิงจับจ้องเด็กหญิงที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าราวกับจะฆ่าให้ตาย ทว่าผู้ที่ถูกจ้องกลับไม่แยแสและจ้องกลับด้วยสายตาเฉยชาไร้ซึ่งท่าทีที่หวาดกลัว ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบสนิท
“ข้าไม่ได้ต้องการอะไร แค่อยากเล่นสนุกกับพวกท่านเท่านั้นเอง”
“เล่นสนุกงั้นเหรอ”
ชายหนุ่มทั้งสามชักสงสัยในคำพูดที่ดูกำกวมของเด็กน้อย ไม่นานนักสิ่งที่พวกเขาสงสัยก็ถูกเปิดเผย และมันก็เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสามเดือดดาลขึ้นมา
“ฮิๆๆ จะบอกให้ก็ได้ ว่าพวกแมลงในป่านั้นน่ะ เป็นบริวารของข้าเอง”
“ถะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็~…”
“ข้าเป็นคนสั่งให้พวกนั้นทำเอง”
“วะๆๆ ว่ายังไงนะ!!!”
แต่ละคนต่างก็อ้าปากหวอชนิดที่ยัดกำปั้นเข้าไปได้สบาย แต่ไม่ทันที่ความโกรธจะปะทุออกมา เด็กน้อยก็ยื่นมือข้างหนึ่งเข้ามาตรงหน้าชายหนุ่มทั้งสาม
“อะไร”
“ดวงวิญญาณของผู้หญิงคนนี้ไง”
เด็กน้อยปริศนาพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมืออีกข้างออกมาอยู่ในระดับเดียวกัน โฮโนโอะรู้สึกเหมือนหัวใจหล่นไปอยู่แทบเท้าทันที เมื่อเห็นซาคุโระตัวกระจิ๋วนอนแน่นิ่งอยู่บนฝ่ามือของเด็กน้อย
“ซาคุโระ”
“สวยใช่ไหมล่ะ วิญญาณของผู้หญิงคนนี้ เปราะบางทั้งร่างเนื้อแล้วก็วิญญาณ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด”
“เจ้าต้องการอะไร!”
โฮโนโอะเดือดขึ้นเป็นทวีคูณจนเก็บกดไม่อยู่อีกต่อไป ชายหนุ่มบัลดาลโทสะออกมาอย่างบ้าคลั่งพุ่งเข้าหาเด็กหญิงเพื่อจะแย่งเอาของสองสิ่งที่อยู่ในมือเธอ และแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเธอเล่นกระโดดหลบได้ทุกท่วงท่า เหมือนเขากำลังไล่จับสายลมอยู่ยังไงอย่างนั้น
“เอาคืนมาซะ!”
“เก่งนักก็เข้ามาแย่งเอาให้ได้สิ”
เด็กหญิงร่างเล็กพูดจากวนประสาทยั่วโทสะชายหนุ่มให้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ทั้งมิราอิและฟุยูกิพยายามเพ่งมองการเคลื่อนไหวที่เบาบางนั้นอย่างไม่วางตา เธอเอี้ยวตัวหลบการโจมตีที่บ้าระห่ำของโฮโนโอะได้อย่างสบายๆ ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งไม้พร้อมกับเสียงหัวเราะเหมือนชอบใจที่ได้เล่นสนุก
โฮโนโอะเดือดจนถึงขีดสุด จ้องมองเด็กน้อยที่ยืนหัวเราะอยู่บนกิ่งไม้อย่างเจ็บแค้น ก่อนที่จะบัลดาลโทสะเตะต้นไม้เข้าเสียจนสุดแรง หวังจะให้เธอหล่นลงมา
ตึง!
“ลงมาเดี๋ยวนี้นะเด็กบ้า!”
“ท่านพี่! นั่นเด็กนะขอรับ”
“ไม่สนเฟ้ย!!”
โฮโนโอะเลือดขึ้นหน้า ไม่สนกระทั่งเสียงของน้องชายที่เตือนสติ เด็กน้อยนั่งแกว่งเท้าอยู่บนกิ่งไม้ไร้ซึ่งท่าทีสะท้านแถมหัวเราะคิกคักชอบใจ ก่อนที่จะร่อนตัวลงมายืนอยู่บนขาของเขาที่ยังค้างเติ่งตั้งฉากกับต้นไม้
“เก่งจัง เลือดร้อนกว่าที่คิดอีกนะ ท่านทายาทแห่งราชันย์ โฮโนโอะ”
“ ออกไปจากขาของข้า!”
ฟึ่บ!!!
“โอ๊ะ! รุนแรงจัง”
เด็กน้อยลอยตัวขึ้นไปยืนกลางอากาศก่อนที่ชายหนุ่มจะตวัดขาออกไปแรงๆ สีหน้าของโฮโนโอะตอนนี้ไม่ต่างไปจากยักษ์มารที่พร้อมจะกัดกระชากเหยื่อได้ทุกเมื่อ เพราะความเดือดดาลที่ถูกเด็กน้อยยั่วยุ
หมับ!
“เฮือก!!”
ตุ้บ!
ร่างเล็กๆอ่อนระทวยลงกะทันหันพร้อมกับร่างกระจิ๋วเท่าลูกไก่และดวงวิญญาณสีเงินสุกใสได้หลุดมือและกระเด็นไปตกอยู่แทบเท้าโฮโนโอะ ชายหนุ่มรีบละสายตาจากเด็กน้อยและประคองร่างเล็กๆพร้อมกับดวงวิญญาณนั้นเอาไว้อย่างโล่งอก ลืมแม้กระทั่งความเดือดดาลที่ตั้งใจจะจัดการกับเด็กน้อยตัวแสบ เพราะมีคนที่จัดการให้แล้ว
ฟุยูกิยืนนิ่งอยู่ข้างกายเด็กหญิงที่ทรุดฮวบลงมานั่งแหมะอยู่บนโขดหิน มือของเขายังคงจับมือเธอเอาไว้เบาๆแต่ก็แปลกเหลือเกินที่ทำให้เธอหยุดการเคลื่อนไหวได้ในพริบตา สักพักเธอก็เอ่ยขึ้นโดยที่ยังไม่หันหน้ามามองเขา
“ท่านคือฟุยูกิสินะ”
“เจ้าต้องการอะไร ทำไมต้องทำอย่างนี้”
ฟุยูกิเอ่ยถามพร้อมกระชับข้อมือเล็กๆของเด็กน้อยเอาไว้แน่น แต่ก็ไม่มีคำตอบจากเด็กน้อยปริศนาที่ยังก้มหน้านิ่ง
“เจ้าเป็นใคร ทำไมต้องตามพวกเรามาตลอดทางด้วย”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอีกหนด้วยน้ำเสียงที่ยังเหมือนเดิม
“เก่งจัง…ใช่แล้วล่ะ คนที่ตามพวกท่านมาตลอดทางก็คือข้าเอง”
“ทำอย่างนี้ทำไม”
“จะยังไงก็ช่างเถอะ ทำให้ยายนี่กลับเป็นเหมือนเดิมซะ”
โฮโนโอะรีบขัดขึ้นเสียงดัง พร้อมทั้งยื่นมือที่มีร่างของหญิงสาวมาตรงหน้าของเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนโขดหิน การคืนสภาพไปสู่ร่างเดิมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเด็กน้อยปริศนาคนนี้ เพียงแค่เธอโบกแขนเสื้อเล็กน้อย ก็ทำให้ร่างเล็กกระจิ๋วกลับมาเป็นหญิงสาวคนเดิมได้ในทันที ซาคุโระแน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนโฮโนโอะโดยยังไม่มีท่าว่าจะฟื้น
“ทำไมยังไม่ฟื้น”
“จูบนางสิ”
“หา!”
เด็กหญิงตัวจ้อยพูดออกมาหน้าตาเฉย โดยไม่สนใจกับสีหน้าของชายหนุ่มทั้งสามที่กำลังรับประทานความอึ้งกันถ้วนหน้า
“เจ้าหญิงนิทราต้องรอจุมพิตจากชายที่รัก”
“ข้าไม่ใช่…”
“จะบอกว่าไม่ใช่คนที่รักสินะ แต่นางก็สำคัญสำหรับท่านไม่ใช่รึไง”
เด็กน้อยเอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจซึ่งโฮโนโอะก็ไม่มีข้อใดจะถกเถียง แต่ทันใดนั้นมิราอิก็แทรกขึ้น
“แค่ทำให้นางฟื้นก็หมดเรื่องใช่ไหมล่ะ”
“หืม”
“ท่านซาคุโระเองก็เป็นคนสำคัญของเราทุกคน ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นคนปลุกเขาเองก็ได้”
มิราอิพูดพร้อมทั้งเดินเข้ามาประคองใบหน้าของหญิงสาวที่หลับนิ่งอยู่ในอ้อมแขนของโฮโนโอะ ก่อนที่จะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เพื่อจะทำอย่างที่พูด แต่ความคิดของเขามีหรือคนเป็นพี่อย่างโฮโนโอะจะรู้ไม่ทัน เขาอุ้มหญิงสาวพาดบ่าก่อนจะใช้มืออีกข้างผลักหน้าน้องชายออกจนสุดแขนพร้อมเสียงขู่คำรามเหมือนสัตว์ป่าหวงเหยื่อชิ้นงาม
“อย่าแม้แต่จะคิด”
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบทำสิขอรับ”
“หนวกหู มันเรื่องของข้าเจ้าไม่เกี่ยว ไปไกลๆเลย!”
โฮโนโอะพูดพร้อมทั้งกระชับร่างบางเอาไว้แน่น ก่อนจะเดินออกห่างมิราอิที่มองตามอย่างเจ้าเล่ห์ ยังไงเขาก็ไม่ยอมให้น้องชายจอมกะล่อนคนนี้ฉวยโอกาสนี้เด็ดขาด
ในขณะที่ทุกคนหันไปสนใจกับหญิงสาวคนสำคัญ เด็กน้อยปริศนาก็ลอยตัวขึ้นไปยืนอยู่กลางอากาศอีกครั้ง มีเพียงฟุยูกิเท่านั้นที่ยังสนใจเธอ
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าชื่ออะไร”
“ข้ามีชื่อว่าลีอาเจ้าค่ะ ยินดีที่ได้พบกับท่านนะ ฟุยูกิ”
ลีอาร่อนตัวลงมายืนบนโขดหินโค้งคำนับเด็กหนุ่มที่ยืนมองเธอตาไม่กะพริบ ฟุยูกิทบทวนชื่อของเธออยู่ซ้ำๆและเอ่ยถามขึ้นอีกข้อ
“เจ้าเป็นใครแล้วต้องการอะไร ลีอา”
“ข้าเองก็ไม่รู้”
“…!?”
“ข้าต้องไปก่อนล่ะ ลาก่อน”
ว่าแล้วร่างเล็กของเด็กหญิงก็สลายกลายเป็นละอองสีทองและล่องลอยหายไปกับธาตุอากาศ เหลือเพียงคำพูดบางประโยคที่ยังหลงเหลือให้ได้ยินแผ่วๆ
“ไม่ช้าเราต้องได้พบกันอีกแน่ๆ”
เสียงเล็กๆของลีอาค่อยๆจางหายไปพร้อมกับสายลมที่พัดผ่าน ฟุยูกิยังคงมองตามกลุ่มละอองสีทองที่ค่อยล่องลอยและจางหายไปจนลับตา
“ลีอา…งั้นเหรอ”
“ไปกันเถอะ ข้าไม่อยากเล่นไล่จับกับพวกแมลงพวกนั้นอีกหรอกนะ”
โฮโนโอะพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ ทั้งมิราอิและฟุยูกิถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อนึกได้ว่าทำความผิดไว้กับพี่ชาย ทั้งสองหันมามองพร้อมกับยิ้มแห้งๆเพราะจนด้วยคำพูดที่จะแก้ตัว
“แหะ คงไม่มีอีกแล้วล่ะขอรับ เรื่องแบบนั้นน่ะ”
“หึ นั่นสินะ…จะว่าไปแล้ว ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับพวกเจ้าสองคนเลยนี่”
ชายหนุ่มคำรามเสียงต่ำพร้อมกับหันกลับมาอย่างเอาเรื่อง แต่แล้วสิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่า เมื่อเจ้าน้องชายตัวแสบทั้งสองวิ่งหน้าตั้งออกไปไกลแล้ว
“จะหนีไปไหน!”
“เหอะ พวกข้าไม่โง่ขนาดที่จะให้ท่านมาเขกกบาลรอบสองหรอก! รีบๆทำให้นางฟื้นแล้วก็รีบตามมานะขอรับ”
โฮโนโอะพ่นหายใจแรงๆมองน้องชายสองคนที่มุ่งหน้าไปไกล ก่อนจะหันมามองใบหน้านิ่งสนิทของหญิงสาวในอ้อมแขน ดวงวิญญาณสีใสวางบนอกหญิงสาวค่อยๆแทรกซึมเข้าไปในร่าง ไม่นานลมหายใจเฮือกแรกก็กลับมาพร้อมกับเสียงไอ
“อึก! แค่กๆๆ…”
หากก็ยังไม่ทำให้หญิงสาวได้สติกลับมา ซาคุโระยังหลับต่อ พร้อมกับลมหายใจสม่ำเสมอ ทำให้โฮโนโอะใจชื้นขึ้นมา และอุ้มเธอออกเดินตามน้องชายสองคนที่มุ่งหน้าไปก่อนหน้านี้
ไกลออกไปจากต้นไม้ใหญ่กลางทุ่งหญ้า ใครบางคนยังจ้องมองความเคลื่อนไหวของคนที่กำลังเดินทางออกไปไกล ริมฝีปากบางเฉียบขยับเล็กน้อยอยู่ท่ามกลางเงามืด พร้อมกับคำพูดแผ่วเบาที่ราวกับเสียงกระซิบ
“หึ ดูยังไงก็ไร้พิษสง ถึงกับทำให้กาโระแพ้จนย่อยยับขนาดนั้นได้ เหลือเชื่อจริงๆ เจ้ากาโระก็ดันมาตายซะนี่ อุตส่าห์คิดว่าจะได้เห็นเลือดอสูรด้วยกันแล้วเชียว”
เนรีวสบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นร่างของหญิงสาวที่อยู่กับเหล่าทายาททั้งสามแล้วก็แสยะยิ้มออกมาอย่างพอใจ ไม่ต่างจากเด็กที่เจอของเล่นถูกใจ
“หึๆๆ ช่างเถอะ ของจริงมันคงจะน่าสนุกกว่านี้เยอะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ