Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
11) หึง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 10 หึง
ใบหน้าของใครบางคนที่แสนจะเลือนรางปรากฏมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอันเยือกเย็น ซาคุโระกำลังวิ่งหนีเจ้าของเสียงอำมหิตท่ามกลางความมืดที่มีเธออยู่เพียงคนเดียว เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนรู้สึกว่ามันกระซิบอยู่ข้างหู พลันสายตาเหลือบไปเห็นเส้นผมสีขาวที่พลิ้วสะบัดอยู่ตรงหน้า มันเริ่มชัดเจนและเห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังยืนหันหลังให้
“ใครน่ะ”
ซาคุโระเอ่ยถามเสียงแผ่วราวกับเสียงกระซิบที่ถามเพียงตัวเอง แต่เสียงแผ่วเบาของเธอกลับทำให้คนๆนั้นได้ยินและเริ่มที่จะขยับเพื่อจะหันมาหาเธอ แต่ในขณะนั้นเสียงอีกเสียงก็ดังแทรกเข้ามาจากด้านหลังเหมือนพยายามเรียกให้หันกลับไปมอง พร้อมกันนั้นก็รู้สึกว่ามีมือที่มองไม่เห็นเข้ามากระชากอย่างแรง
ซาคุโระ…
นั่นเสียงของโฮโนโอะไม่ผิดแน่ โชคดีจังในที่สุดเขาก็ตามหาเธอจนพบ
“โฮโนโอะ ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!”
“ลืมตาขึ้นมาสิ”
น้ำเสียงราบเรียบปนหงุดหงิดดังขึ้นใกล้ๆ ซาคุโระเบิกตาโพลงเหมือนกับคนที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้น้ำ เสียงหายใจติดขัดพร้อมทั้งร่ายกายที่สั่นสะท้าน เหมือนเด็กที่เพิ่งตื่นจากฝันร้าย
“แฮ่กๆๆ~โฮะ โฮโนโอะ!!”
“ข้าเอง” โฮโนโอะนั่งอยู่ข้างๆมองอย่างเป็นห่วงๆ สีหน้าของเขาดูเป็นกังวลและจับจ้องเธออย่างไม่วางตา
“เป็นอะไรไป”
“นี่ที่ไหน แล้วเด็กคนนั้นล่ะ….มันน่ากลัวที่สุดเลย ฉันไม่อยากอยู่คนเดียว!”
ซาคุโระพยายามกลั้นใจพูดออกมาจนจบประโยคแต่ก็ยังไม่สามารถระงับอาการสั่นสะท้านนั้นได้ จนกระทั่งสักพักมืออุ่นๆก็เข้ามาลูบศีรษะเธอเบาๆ
“ไหนลองบอกมาซิว่าเจ้ากลัวอะไร”
โฮโนโอะเอ่ยถามและพร้อมรั้งให้เธอหันมามาเผชิญหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่ซาคุโระได้ฟังถ้อยคำที่อ่อนโยนกว่าครั้งไหนๆปากของผู้ชายที่เธอคิดว่าเย็นชาที่สุด โฮโนโอะยังคงจ้องเธอเหมือนจะรอคำตอบ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลทำให้เธอร้อนวูบวาบเวลาได้จับจ้องและมองเข้าไปข้างใน ซาคุโระพยายามหลุบตาลงต่ำก่อนที่จะเล่าให้เขาฟังถึงความฝันอันน่าสะพรึงกลัว
“สิ่งที่ฉันเห็นครั้งสุดท้ายก็คือผู้ชายผมยาวสีขาว คนๆนั้นน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก”
“ชายผมขาวงั้นเหรอ”
โฮโนโอะทบทวนคำพูดของหญิงสาวเบาๆ สีหน้าของเขาตอนนี้เหมือนคนที่กำลังเลือกคำตอบ
“ในความฝันฉันไม่เห็นใคร ฉันนึกว่านายจะไม่ตามมาช่วยฉัน”
ซาคุโระรวบรวมความกล้าพูดออกไปได้สมใจนึก แต่คำพูดของเธอกลับทำให้ชายหนุ่มแทบสะอึกลืมแม้กระทั่งจังหวะหายใจ และบรรยากาศโดยรอบก็ตกอยู่ในภวังค์ของความเงียบ ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
“พูดอย่างนี้ เจ้าคงคิดว่าข้าเป็นพวกที่ชอบหนีเอาตัวรอดอย่างนั้นสินะ”
“ไม่ใช่นะ!”
“แล้วมันหมายความว่ายังไงล่ะ!”
โฮโนโอะสวนกลับด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ซาคุโระก้มหน้าหมดคำพูดจะแก้ตัว ก่อนที่จะพยายามเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดที่แผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
“ก็แค่กลัวว่านายจะทิ้งฉันไป…ก็เท่านั้น”
ซาคุโระยังคงก้มหน้าหลบสายตาของชายหนุ่มที่ยังจับจ้องอยู่ และทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็เงียบลงอีกครั้ง พลันเสียงพึมพำที่เบายิ่งกว่าเสียงลมพัดสะกิดให้หันมอง
“ลมพัดเย็นดีนะ”
“โฮโนโอะ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่อยากฟัง ข้าไม่เคยคิดจะทอดทิ้งเจ้า แล้วก็จะไม่ตายจนกว่าจะส่งเจ้ากลับบ้าน เพราะคนที่จะขีดเส้นตายให้ข้าได้ก็คือเจ้าคนเดียว ซาคุโระ”
ซาคุโระพอจะเข้าใจความหมายของประโยคสุดท้าย ถึงแม้ว่าคำพูดจะแข็งกระด้างและเขาจะไม่หันมามอง แต่เธอก็ซาบซึ้งจนเกือบจะหวั่นไหวกับคำพูดของเขาเข้าให้แล้ว ต่างฝ่ายต่างเงียบกริบ โฮโนโอะยังเหม่อมองออกไปเบื้องหน้าที่ตอนนี้พระอาทิตย์ยามเย็นกำลังย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงเข้ม
“ดูเหมือนจะไม่ได้เข้ามาขัดจังหวะนะ”
เสียงๆหนึ่งที่ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าใคร ดังขึ้นจากสถานที่ๆไม่ไกลเท่าไหร่นัก มิราอิกับฟุยูกิยืนนิ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นักดูเหมือนว่าพวกเขาจะแอบมองอยู่นานจนเบื่อเพราะบทไม่เป็นไปตามคาดจึงออกมา
“มากันแล้วเหรอ”
โฮโนโอะเป็นฝ่ายทักขึ้น ทั้งที่ทำหน้าตาเรียบเฉยแต่น้องชายทั้งสองกลับยิ้มกรุ้มกริ่มราวจะล้อเลียน ทำให้ชายหนุ่มระงับอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่
“มีอะไรก็พูดออกมาสิ!”
“เปล่านี่ พวกเราไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ว่าแต่ท่านซาคุโระ ดีขึ้นแล้วสินะขอรับ หลับไปสามวันสามคืนพอดีเลยนี่นะ”
มิราอิเดินเข้ามาใกล้และนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าพร้อมกับยิ้มหวาน ซาคุโระยิ้มรับแห้งพร้อมกับพยักหน้าหงึกหงักเท่าที่เรี่ยวแรงจะเอื้ออำนวย
“เหรอ ดีจังเลยนะขอรับ คิดว่ากิ่งไม้ปีศาจจะไม่ได้ผลซะอีก”
“กิ่งไม้ปีศาจ?”
ซาคุโระทบทวนคำศัพท์แปลกๆนั้นอย่างสงสัยระคน พร้อมกันนั้นก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มกำลังล้วงเอาของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อและชูร่าต่อหน้าเธอ ซึ่งมันก็ทำให้เธอเอามือปิดปากทันทีที่เห็น
“อุ๊บ! นี่มันอะไร มีกลิ่นคาวด้วย”
“อ้าว ก็กิ่งไม้ปีศาจไงขอรับ เหมือนขาแมลงแต่ไม่ใช่หรอก ข้าเอาเจ้านี่ปรุงเป็นยาให้ท่านกินน่ะ”
มิราอิตอบด้วยสีหน้าระรื่น ทำให้ซาคุโระหน้าเหวอไปทันที กิ่งไม้ที่ดิ้นไปมาเหมือนขาแมลงขนาดใหญ่ พร้อมทั้งเมือกใสๆที่มีกลิ่นคาวยิ่งกว่าเลือดเน่าๆ ยิ่งเห็นมันก็ยิ่งทำให้เธอขนลุกอยากอาเจียนออกมา แต่ฝันร้ายก็ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อชายหนุ่มยังคงเล่าถึงส่วนประกอบอื่นให้เธอฟังอีกหลายอย่าง
“อ้อ ยังมีอีกนะขอรับ นี่เป็นยาที่ข้าทำขึ้นเอง”
“มันคืออะไร”
“เลือดของอสรพิษที่อยู่ในป่าน่ะขอรับ มีหลายชนิดด้วย แล้วก็มีเมือกปลาปีศาจเล็บอีกา ลูกตาของอสูรนาๆพันธุ์ สกัดออกมาจนเป็นเม็ดด้วยเวทมนตร์รักษาของข้า…อ้าว ท่านซาคุโระเป็นอะไรไปขอรับ”
“นะ นายเอาของพวกนี้ ให้ฉันกินเหรอ!”
“ใช่แล้วขอรับ”
“กรี๊ดดดดดดดดดด!!!! อ๊วกกกกกกกก!!!”
เสียงกรีดร้องที่แหลมยิ่งกว่าเสียงอีกาดังลั่นสนั่นป่า สัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆต่างกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเนรีว ที่จำต้องอุดหูและถอยร่นออกไปให้ห่างกว่าที่เป็นเพราะทนเสียงนั้นไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับคนที่อยู่ใกล้อย่างเหล่าทายาททั้งสามที่ต้องรับเอาเสียงอันทรงพลังของเธอเข้าอย่างเต็มที่……..
แล้วเวลาก็ผ่านไป เหล่าผู้เดินทางกำลังนั่งล้อมกองไฟเพื่ออาศัยไออุ่นท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเย็น
“หูอื้อไปหมด เสียงยัยนั่นมหาศาลจริงๆ” โฮโนโอะพึมพำพลางใช้นิ้วเขี่ยหูตัวเอง
“เทพเจ้าแห่งการทำลายล้างมากกว่าขอรับ” ฟุยูกิเสริมพร้อมทั้งเสียงถอนหายใจอย่างปลงตก
“พูดได้ดี”
ทั้งสองพึมพำอยู่ด้วยกัน พลางมองตามหญิงสาวที่กำลังเดินเชิดหน้าผ่านไปอย่างไม่สนใจใคร
“ท่านซาคุโระจะไปไหนเหรอขอรับ”
“ไปสูดอากาศ อย่าริอ่านตามฉันมาเชียวนะ!”
“ท่าทางจะโกรธเรื่องสูตรยาของท่านพี่มิราอิเอามากๆเลยนะขอรับ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว เจ้าคนที่ปลุกอารมณ์นั่นก็โดนไม่ใช่น้อยเลยนี่”
โฮโนโอะพูดเชิงประชดพลางหันไปมองคนที่นอนไร้เรี่ยวแรง สภาพไม่ต่างจากคนไร้วิญญาณ เพราะโดนเสียงเทพเจ้าแห่งการทำลายล้างกรอกหูไปเต็มๆ
“น่าจะปรุงยากรอกปากให้หลับไปตลอดชาติซะ”
ชายหนุ่มพร่ำบ่นอย่างเหนื่อยล้า เสียงกรีดร้องของหญิงสาวคงจะทำให้เขาหูอื้อไปอีกนานเลยทีเดียว
ดึกดื่นยามค่ำคืน อากาศเริ่มทวีความหนาวเหน็บ ซาคุโระยังคงนั่งชันเข่าอยู่บนขอนไม้ใหญ่ข้างลำธารสายเล็กๆ สายลมพัดผ่านทำให้เธอเริ่มห่อตัวเพราะความหนาวที่กัดกินจนถึงแกนกระดูก
พรึ่บ!
เสียงผ้าเสียดสีกับอากาศเบาบาง ก่อนที่ความอบอุ่นจะเข้ามาคลุมจากด้านหลัง พอเหลียวกลับไปก็พบกับฟุยูกิที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลัง
“ฟุยูกิ!”
“เห็นว่ายังไม่กลับ ก็เลยออกมาดูขอรับ”
“ขอบคุณนะ”
ซาคุโระเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมกระชับเสื้อคลุมเอาไว้แน่น เด็กหนุ่มรับคำขอบคุณของเธอด้วยรอยยิ้ม และเดินเข้ามานั่งลงข้างๆพร้อมทั้งมองไปทางเดียวกับเธอ ความเงียบเข้ามาครอบคลุมเหมือนอย่างเคย มีเพียงเสียงน้ำไหลในลำธารที่ดังคละเคล้ากับสายลมที่พัดผ่านเท่านั้น แต่เพียงไม่นานฟุยูกิก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นเอง
“ยังโกรธท่านพี่ของข้าอยู่เหรอขอรับ”
“ฉันไม่ได้โกรธหรอกจ้ะ แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ”
“อย่างนั้นเหรอขอรับ”
“ว่าแต่ฟุยูกิ…เธอโชคดีมากเลยนะที่มีพี่ชายอย่างสองคนนั้น”
“ขอรับ ข้าเป็นคนที่โชคดีที่สุดเลย”
ฟุยูกิยอมรับด้วยสีหน้าระรื่น ก่อนที่จะย้อนกลับมาถามซาคุโระบ้าง ซึ่งคำถามของเขาก็ทำให้เธอหน้าสลดลงทันที
“แล้วท่านซาคุโระล่ะขอรับ”
“หืม”
“ท่านซาคุโระก็คงจะมีพี่น้องเหมือนกันสินะ”
“ใช่ ฉันเคยมีพี่ชาย…แต่ว่าตอนนี้เขาอยู่บนสวรรค์แล้วล่ะ”
“ข้าขอโทษนะขอรับ ข้าไม่ควรถามท่านอย่างนั้นเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ซาคุโระรีบปัดความกังวลของเด็กหนุ่มทิ้งและยิ้มรับเหมือนเป็นเรื่องตลก ฟุยูกิมองเธอตาไม่กะพริบ คิดๆดูแล้วนี่คงเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นดวงตาของเขาตรงๆ มันเป็นสีเงินประกายมุกเช่นเดียวกับเส้นผมของเขาซึ่งแตกต่างจากโฮโนโอะและมิราอิโดยสิ้นเชิง มองแล้วก็รู้สึกเหมือนต้องมนตร์สะกดจนละสายตาหนีไม่ได้ แต่ความคิดนั้นก็หยุดชะงักเมื่อเด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำและเบนสายตาออกไปทางอื่นด้วยท่าทางขวยเขิน ก่อนจะพูดออกมาแก้เก้อ
“สวยดีนะขอรับ”
“เอ๊ะ? อะไรเหรอ”
“ดอกไม้บนใบหน้าของท่านซาคุโระ ตอนนี้มันเป็นสีเงิน ข้าชอบมันมากเลยขอรับ”
สีเงินเหรอ จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อปานดอกไม้ของซาคุโระเป็นสีม่วงมาแต่ไหนแต่ไร
“ข้าชอบท่านซาคุโระขอรับ”
ซาคุโระอยากหงายท้องตกขอนไม้ไปเสียตอนนี้ จู่ๆหนุ่มน้อยหน้าหวานก็สารภาพออกมาต่อหน้าว่าชอบเธอ มันทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบเหมือนมีคนมาจุดไฟในตัวยังไงอย่างนั้น
แปะ…
ฝ่ามือเรียวบางของเด็กหนุ่มเอื้อมมาแตะดวงแก้มของซาคุโระเบาๆ นิ้วเย็นๆลูบวนอยู่ที่ปานบนแก้มของซาคุโระ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้และแตะจุมพิตลงบนปานนั้นแผ่วเบา จากนั้นเขาก็ลุกเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร ซาคุโระผ่อนลมหายใจออกช้าๆ มองตามเด็กหนุ่มที่เดินหายไปในความมืด จูบที่เด็กหนุ่มแตะลงบนปานที่แก้มของเธอนั้นมันเย็นชืดเหมือนน้ำแข็ง จนหนาวสะท้านไปทั้งตัว
“คิดจะทำอะไรของเขากันนะ”
“ทำถึงขนาดนั้นแล้ว ยังไม่รู้อีกเหรอ”
“เฮือก! ฮะ โฮโนโอะ!”
โฮโนโอะที่ยืนกอดอกอยู่ริมลำธาร ห่างจากขอนไม้ที่เธอนั่งอยู่ไกลเป็นวา คำพูดแข็งกระด้างสะกิดเพียงน้อยนิด แต่กลับทำให้ซาคุโระหน้าแดงระเรื่อ
“นายมาทำอะไรที่นี่!”
“ที่ตรงนี้เป็นของเจ้าคนเดียวรึไง”
ชายหนุ่มสวนกลับด้วยคำพูดกวนๆ เหมือนกับว่าเขาจะไม่พอใจเธออยู่ตลอดเวลายังไงอย่างนั้น
“งั้นเหรอ งั้นฉันไปนอนล่ะ”
ซาคุโระพูดเชิงประชดกลับพร้อมทั้งกระโดดลงจากขอนไม้จะเดินกลับไปยังที่พัก แต่พอก้าวออกไปได้เพียงสามก้าว คำพูดประชดประชันก็ตามมาอีกประโยคใหญ่ๆ
“ฟุยูกิยังเด็กไม่ประสีประสา อย่าริอ่านมาหลอกน้องชายข้าเด็ดขาด เจ้าลูกผู้หญิง”
“ว่าไงนะ!”
“ได้ยินชัดแล้วนี่”
คำพูดนั้นมาพร้อมกับความเจ็บปวดที่ไร้ตัวตน ซาคุโระรู้สึกเจ็บแปลบที่กลางอกขึ้นมากะทันหัน โฮโนโอะยังยืนหันหลังให้เธอ เขาคงคิดอยากส่งเธอกลับบ้านเร็วๆ กระทั่งชื่อของเธอเขาก็ยังเรียกได้ไม่ถึงสามครั้งด้วยซ้ำ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบที่สุด
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เคยคิดจะยุ่งกับพวกนายสามคนพี่น้องอยู่แล้ว สบายใจได้เลย”
“รู้ตัวก็ดี”
“รีบพาฉันไปที่หุบเขานั่นเร็วๆสิ มัวชักช้าอยู่ทำไม!”
ซาคุโระตะคอกเสียงดังและเดินออกไปอย่างหัวเสีย เธอรู้ว่าโฮโนโอะเย็นชา ซึ่งเป็นปกติของเขาตั้งแต่ที่พบกัน แต่มาคราวนี้เธอกลับเจ็บใจที่เขาพูดกับเธอแบบนั้น มันทำให้เธอรู้สึกเจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พอรู้ว่าหญิงสาวได้เดินจากไปไกล โฮโนโอะก็หันกลับมาที่ขอนไม้ที่เดิมที่เธอเคยนั่ง คำพูดทุกคำที่พูดออกไปไม่ใช่ความตั้งใจจริงของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะ…
“เห็นเขาอยู่กับคนอื่นก็เลยเกิดความหึงหวงงั้นเหรอ”
มิราอิที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ยืนกอดอกอยู่อีกฟากฝั่งของลำธารและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย โฮโนโอะแอบกำมือแน่น โกรธขนาดไหนก็แสดงออกมาไม่ได้เพราะตนเองก็เป็นอย่างที่น้องชายพูดจริงๆ
“ถ้าชอบก็บอกไปเลยสิว่าชอบ จะเก็บเอาไว้ทำไม”
“หุบปากเจ้าซะ มิราอิ”
“หึ แทงใจดำงั้นเหรอ”
โฮโนโอะไม่มีคำพูดจะต่อกรกับมิราอิ จึงทำได้เพียงเดินหนีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอย่างที่เคยทำบ่อยๆ แต่พอก้าวไปได้เพียงก้าวเดียว น้ำเสียงและคำพูดของน้องชายก็ดังเข้ามาขัด เหมือนเชือกที่เข้ามาพันธนาการและรั้งไม่ให้เดินต่อ
“นั่นสินะ นางก็เหมือนเงาพระจันทร์ที่อยู่ในน้ำ ถึงต้องการมากแค่ไหนก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า ที่แตะตัวกันและมองเห็นกันได้ในตอนนี้ ก็คงเป็นเพราะวิญญาณดวงนั้นเป็นสิ่งชักพาเท่านั้นเอง”
“ใครจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับข้า เมื่อได้ริคกะกลับมาเมื่อไหร่ นางก็ไม่มีความหมายสำหรับที่นี่อีกต่อไป”
“เย็นชาจริงนะ”
“เลิกเซ้าซี้ซะที ข้ารำคาญ”
โฮโนโอะไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับน้องชาย ทั้งที่รู้ดีอยู่เต็มอกว่าเธอคนนั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่ในโลกแห่งนี้ สักวันเธอต้องจากไป และวันนั้นมันต้องมาถึงอย่างแน่นอน พอคิดได้อย่างนั้นแล้ว จึงพยายามหักห้ามใจที่มันระส่ำระส่าย ไม่ให้แสดงออกมาให้ใครเห็น
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆแต่ก็หนีไม่พ้นปัญหาที่เกิดขึ้นมาภายในกลุ่ม และตัวต้นเหตุก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากพ่อแง่แม่งอนอย่างเจ้าชายสุดเฮี้ยวกับแม่สาวขี้วีนที่สุดแสนจะเอาแต่ใจ
“นายว่าไงนะ!”
“ก็บอกว่าเราต้องปีนเขาขึ้นไปไงเล่า!”
“ฉันปีนมาตั้งสามสิบกว่าลูกแล้วนะ นี่นายมาถูกทางรึเปล่าเนี่ย!”
ซาคุโระรัวคำพูดใส่ไม่ยั้ง เธอเดินทางร่วมกับชายหนุ่มในเทพนิยายทั้งสาม หนทางก็ใช่ว่าจะง่ายๆ ไหนจะหน้าผาไหนจะปีศาจที่ดักรอเล่นงานมาตลอดทาง จนถึงตอนนี้มันทำให้เธอทั้งเบื่อและเหนื่อยจนไม่อยากไปต่อ แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกรู้สาเหมือนเธอนี่สิมันน่าโมโห
“ฉันเหนื่อยแล้วนะ ไหนจะเจอปีศาจไหนจะต้องปีนหน้าผา นายไม่เหนื่อยบ้างรึไง!”
“แล้วเจ้าจะบ่นอะไรนักหนา คนที่ต้องบ่นอย่างนั้นน่ะมันน่าจะเป็นข้ามากกว่า!”
โฮโนโอะสวนกลับอย่างฉุนๆ ตลอดการเดินทางเขามักจะได้ยินเสียงกรี๊ดเวลาเจอปีศาจ รึไม่ก็เสียงบ่นอิดออดเวลาที่ต้องเดินไกลๆ จนทำให้เขาเริ่มหมดความอดทน แต่พอสวนกลับเข้าจริงๆก็ทำให้เธอต้องทำหน้าบึ้งตึงใส่ทันทีนี่สิมันน่าโมโหยิ่งกว่า และคนที่มองดูอยู่ห่างๆก็พลอยเหนื่อยใจไปด้วย
“สองคนนั่นไม่พอใจอะไรกันนักหนานะ”
“ปล่อยให้ทะเลาะกันอย่างนั้นแหล่ะดีแล้ว ขืนเข้าไปยุ่งเดี๋ยวจะพลอยโดนลูกหลงเปล่าๆ”
มิราอิพูดขึ้นในระหว่างที่เอนหลังพิงกับผิวขรุขระของต้นไม้ข้างทาง ฟุยูกินั่งลงบนขอนไม้พร้อมทั้งเสียงถอนหายใจยาว พวกเขาต่างก็เหนื่อยล้ากับการเดินทางที่เติมไปด้วยอันตรายหลากหลายรูปแบบ มาถึงตอนนี้พวกเขาที่ไม่แสดงอาการอะไรกลับอ่อนระทวยอยากหลับตาลงไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็คงไม่ง่ายนักที่จะทำอย่างนั้น เพราะภาพที่ทั้งสองเห็นอยู่ก็คือเวทีขนาดย่อมที่กำลังมีการโต้วาทีกันระหว่างหญิงสาวขี้วีนกับพี่ชายที่สุดจะเฮี้ยวของพวกเขา
“เฮอะ!! พอที พูดกับคนเอาแต่ใจเช่นเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์”
“เชอะ! ฉันไม่อยากไปแล้ว”
ซาคุโระตัดบทไปเสียดื้อๆ แต่ชายหนุ่มกลับไม่มีอาการสะทกสะท้านและไม่มีท่าทีว่าจะหันมาง้อ หนำซ้ำยังพูดสวนกลับมาอย่างไม่สนใจ
“ตามใจ ข้าจะไม่ปกป้องเจ้าอีกแล้ว รู้เอาไว้ซะด้วย”
“ฉันก็ไม่ได้ขอ! ไม่อยากง้อคนเย็นชาเห็นแก่ตัว!”
หญิงสาวพูดใส่แลบลิ้นปริ้นตาให้ก่อนที่จะเชิดหน้าเดินห่างออกไปหลายเมตร โดยที่ไม่สนใจว่าชายหนุ่มจะโกรธอภิมหาโกรธกับท่าท่างของเธอ
“ผู้หญิงทุกคนในโลกเป็นอย่างนี้ทุกคนรึเปล่านะ ยายบ้านี่”
โฮโนโอะเดือดเสียจนอยากเข้าไปเขกกบาลเล็กๆนั้นเสียงให้บุบไปข้าง แต่ก็ต้องระงับอารมณ์นั้นเอาไว้เพราะเห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง และที่สำคัญเขาอาจจะโดนอะไรบางอย่างสวนกลับมาอย่างเจ็บแสบกว่าเดิม จึงได้แต่ปล่อยให้ความโกรธพุ่งปรี๊ดอยู่ในใจและให้มันค่อยๆระบายออกมาเหมือนรถจักรไอน้ำ
เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง มิราอิและฟุยูกิเผลอหลับไปเพราะความเหนื่อย ในขณะที่โฮโนโอะนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่ห่างออกไปหลายเมตร ซาคุโระนั่งหันหลังให้แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายเข้ามางอนง้อ จนกระทั่งผ่านไปหลายนาทีเธอก็ตัดสินใจที่จะหันกลับไปหาและขอโทษเสียเอง
แต่ก่อนที่จะได้ทำอย่างที่ใจคิด เสียงโครมครามเหมือนดินถล่มก็ทำให้เธอชะงักฝีเท้าและหันไปมองทางต้นตอของเสียง และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็ประจักษ์อยู่ต่อหน้า
ครึ่ก~
“กรี๊ดดดดดดดดดด!!!!”
เพราะความตกใจทำให้ซาคุโระกรีดร้องออกมาสุดเสียง เมื่อได้เห็นก้อนหินขนาดยักษ์กลิ้งลงมาจากเขาและพุ่งตรงลงมาที่ตัวเองยืนอยู่ และเสียงกรีดร้องของเธอก็ทำให้ทั้งคนที่หลับอยู่และคนที่หันหลังให้สะดุ้งดีดตัวลุก
“อันตราย!!!”
โฮโนโอะตะโกนสุดเสียงพร้อมทั้งวิ่งเข้ามาหา แต่ก็สายไปเพียงเสี้ยวนาที เมื่อก้อนหินกลิ้งลงมาทับพื้นดินยุบลงไปกว่าครึ่ง เรี่ยวแรงแทบไม่เหลือเมื่อภาพสุดท้ายที่เห็นคือร่างบางๆที่กำลังจะถูกทับจมดิน
ความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่คือ ตายแน่…เธอต้องตายแน่ๆ
“ท่านหญิง ไม่เป็นไรนะขอรับ”
เสียงทุ้มที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นราวกับเสียงกระซิบ ซาคุโระเบิกตาโพลงรีบหันหาต้นตอของเสียงจนได้พบกับดวงตาที่แสนจะคมเฉียบที่จับจ้องอยู่ใกล้เพียงคืบ
“นะๆๆๆนายเป็นใครน่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
ความตกใจทำให้เธอดิ้นขลุกขลักและเหวี่ยงกำปั้นทุบอกเขานับไม่ถ้วน ชายหนุ่มปริศนายอมวางเธอลงแต่โดยดี เธอยังช็อกอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ ทันทีที่ได้ยินเสียงดุดันของโฮโนโอะพร้อมๆกับเห็นเขากำลังวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็เหมือนจะวูบไหวไปอย่างรวดเร็ว และพอลืมตาก็รู้ว่าอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ไม่รู้จัก
ซาคุโระรีบถอยห่างชายหนุ่มแปลกหน้า จนแผ่นหลังชนมิราอิที่เดินเข้ามาจากด้านหลัง ชายหนุ่มประคองไหล่เธอไว้พลางเอ่ยถามและจับจ้องไปยังชายปริศนาอย่างพิจารณา
“ท่านซาคุโระไม่เป็นไรนะขอรับ”
“ฉะ ฉันไม่เป็นไร”
“แล้วนั่น…”
ซาคุโระหันมาจ้องมองชายหนุ่มที่ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้า ใบหน้าและดวงตาคมเฉียบไม่แพ้โฮโนโอะ ผ้าสีขาวโพกศีรษะปกปิดเส้นผมเอาไว้มิดชิด เช่นเดียวกับการแต่งกายที่สะอาดสะอ้านและเรียบง่ายคล้ายมิราอิ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าไว้ใจ
“นายเป็นใคร”
“แหม ทำท่าอย่างกับว่าข้าเป็นปีศาจอย่างนั้นล่ะ”
น้ำเสียงที่ตอบคำถามานั้นช่างเย็นเยียบเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ซาคุโระสะดุ้งเฮือกและถอยห่างออกอีกก้าว แต่ก็ไม่วายที่จะถูกจ้องมองด้วยสายตาที่เหมือนจะอ่านใจเธอออกเสียทุกเรื่อง และรอยยิ้มที่ไม่บ่งบอกอารมณ์นั้นมันทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อยากอยู่ตรงนั้นอีก และพอสะบัดออกจากมือมิราอิและหันกลับไปเพื่อจะวิ่งออกไปจากตรงนั้น ใบหน้าของเธอก็ซบเข้ากับอกโฮโนโอะที่เพิ่งเข้ามาหา
ปึก!...
“เป็นอะไรรึเปล่า”
“ไม่เป็นไร”
ซาคุโระตอบออกไปพยายามทำเสียงเรียบที่สุดเท่าที่จะเรียบได้ แต่ร่างกายกลับสั่นเทาและยังกุมเสื้อของเขาเอาไว้แน่น ไม่นานนักก็รู้สึกว่ามือข้างหนึ่งของเขาลูบศีรษะเบาๆ ทำให้ความหวาดกลัวนั้นเริ่มหายไปทีละน้อย
“เจ้าเป็นใคร”
โฮโนโอะจ้องมองชายแปลกหน้าพร้อมกับคำถามที่ไม่ค่อยเป็นมิตร ยังไงเขาก็ไม่ไว้ใจใครนอกจากน้องชายทั้งสอง เพราะบนเส้นทางที่แสนอันตรายนี้คงไม่มีใครที่น่าไว้ใจและให้เข้าใกล้สิ่งที่เขากำลังปกป้องอยู่
“ขออภัยที่เสียมารยาท ข้าชื่อเนรีว เป็นชาวบ้านแถวนี้ขอรับ”
ชายหนุ่มตอบคำถามอย่างถ่อมตน คำพูดที่เรียบง่ายและถ่อมตัวสุดๆดูเผินๆก็ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดา แต่มิราอิกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่ถูกพัดผ่านไปเผินๆ โดยเฉพาะจากชายแปลกหน้าคนนี้ แต่ก็ต้องเก็บเอาไว้เงียบๆเพราะอาจจะเป็นสิ่งที่คิดมากไปคนเดียว
ซาคุโระหายสั่นกลัวและผละจากอกโฮโนโอะกลับมามองเนรีว แต่เธอก็ยังไม่กล้าที่จะห่างจากการเกาะกุมของชายหนุ่มไปไหน เพราะรู้สึกวังเวงเวลาที่ดวงตาคมสีประหลาดนั้นจับจ้องมา สักพักสัมผัสเบาบางจากมือของฟุยูกิที่วางทาบลงบนไหล่ก็ทำให้เธอได้สติกลับคืน
“ท่านซาคุโระ ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ”
“อะ อื้อ”
“ไปกันเถอะ”
โฮโนโอะไม่พูดพร่ำทำเพลงก่อนที่จะฉุดแขนเธอเดินจากไป ตามด้วยมิราอิและฟุยูกิที่เดินตามหลัง แต่ก่อนที่เดินออกไปได้ไกล เนรีวก็เอ่ยเรียกเสียก่อน
“ดะ เดี๋ยวก่อนขอรับ!”
“มีอะไรเหรอ”
ซาคุโระเป็นคนถามขึ้นเอง เธอและโฮโนโอะหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ข้างหลัง ยกเว้นมิราอิและฟุยูกิที่ใช้หางตาแลเพียงน้อยนิด
“อะ เอ่อ ถ้าไม่รังเกียจ ขอเชิญพวกท่านไปพักที่หมู่บ้านข้าก่อนก็ได้ หมู่บ้านของข้าอยู่ใกล้ๆนี้เอง”
คำเอ่ยชวนของชายแปลกหน้าทำเอาทุกคนตกอยู่ในความเงียบไปพักหนึ่ง และไม่นานมิราอิก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นเหมือนจะขอความเห็นจากคนอื่น
“เอาไงดีล่ะ”
“ฮื่อ…”
ฟุยูกิพ่นลมหายใจไม่ขอออกความเห็น ยิ่งเป็นโฮโนโอะแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชายหนุ่มเมินเฉยต่อคำเชิญชวน แต่ซาคุโระกลับคิดว่าเป็นคำพูดที่ดี เพราะว่าเธอเหนื่อยและต้องการพักผ่อน แต่ก่อนที่จะได้ตกปากรับคำออกไป ความตั้งใจของเธอก็ถูกขัดด้วยเสียงของชายหนุ่มที่ยืนจับมือเธอเอาไว้แน่น
“ขอบใจสำหรับความหวังดี แต่พวกข้าคงไม่กล้าเอาความเดือดร้อนไปให้หมู่บ้านของเจ้าหรอก”
โฮโนโอะไม่สนใจสีหน้าที่ไม่พอใจของซาคุโระพร้อมทั้งกึ่งจูงกึ่งลากเธอให้เดินไปด้วยกัน แต่ทันใดนั้นเองแรงสั่นสะเทือนก็ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงัก
“อ๊ะ!! อะไร”
“ปะ ปีศาจ!!”
ซาคุโระแทบผงะเมื่อเห็นบางอย่างกำลังแหวกพื้นดินโผล่ขึ้นมาตรงหน้า มิราอิและฟุยูกิออกมารับหน้าก่อน จึงได้รู้ว่าสิ่งที่โผล่พ้นออกมาจากใต้ดินไม่ใช่ปีศาจ แต่เป็น…
“ไม่ใช่ปีศาจหรอก มันคืองู!”
“ใหญ่มหึมาเลยนะขอรับ”
“มันไม่ได้มีตัวเดียว ทุกคนระวังตัวนะ!”
โฮโนโอะตะโกนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมทั้งยึดมือซาคุโระเอาไว้แน่น อสูรกายร่างยักษ์รูปร่างเป็นงูสีขาวและมีดวงตาสีแดงถึงสองตัว ส่งเสียงคำรามและพุ่งเข้าหาชายหนุ่มทั้งสามอย่างบ้าคลั่ง และมันยังเจาะจงที่โฮโนโอะที่มีซาคุโระอยู่ข้างกาย หางที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคมฟาดผ่าอากาศลงมายังพื้นดินจนเกิดเป็นเม็ดดินเล็กๆฟุ้งกระจายไปทั่ว ซาคุโระถูกบางอย่างเข้ามากระแทกจนทำให้เธอหลุดมือโฮโนโอะออกมาไกล
พลั่ก!
“เจ็บ~”
ฟ่อ!
เสียงคำรามของอสรพิษดังอยู่ใกล้เพียงคืบ หญิงสาวนั่งจมปกอยู่ที่พื้นพยายามองไปยังต้นตอของเสียงที่ปะปนอยู่ภายในม่านควันที่ฟุ้งกระจาย จนกระทั่งได้จ้องเข้ากับดวงตาสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากหน้าเพียงคืบ ลำตัวสีขาวขนาดใหญ่ปรากฏชัดในสายตา พร้อมกับลิ้นสองแฉกโผล่พ้นออกมาจากปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคม
“อะๆๆๆ โฮโน…โอะ ช่วยด้วย!”
ฟ่ออออออ~
“โฮะโนะโอะ!”
“ซาคุโระ เจ้าอยู่ที่ไหน ซาคุโระ!”
เสียงดังแว่วมาท่ามกลางกลุ่มควันที่ยังหนาตา ซาคุโระพยายามเปล่งเสียงที่มีอยู่เพียงน้อยนิดออกไปเพื่อเรียกหาชายหนุ่ม แต่เสียงที่เปล่งออกมาได้นั้นไม่ต่างจากเสียงกระซิบของสายลมที่พัดผ่านหู แม้แต่เจ้าของเสียงก็แทบจะไม่ได้ยิน งูยักษ์อ้าปากกว้างหมายจะงับร่างเธอให้ขาดเป็นสองท่อน
ก๊าซซซซ!!!!
“กรี๊ดดดดดดดด!!!!!”
ปลายเขี้ยวที่เต็มไปด้วยพิษโผล่พ้นออกมาจากปากประจักษ์ต่อสายตา ซาคุโระหลับตาแน่นกรีดร้องสุดเสียง เธอมองไม่เห็นอะไรอีกนอกจากความมืด พลันรู้สึกเหมือนมีคนเข้ามาผลักเธอออกไป
พลั่ก!
“อะ…!”
พอลืมตาและมองกลับไปที่เดิมก็ถึงกับเบิกตากว้าง เมื่อเห็นงูยักษ์งับร่างของเนรีวจนเลือดอาบ
“นะ เนรีว!”
“ไม่เป็นไรนะขอรับ”
ซาคุโระพูดไม่ออกกับภาพที่เห็น งูยักษ์ฝังเขี้ยวเข้าที่ร่างของเนรีวและยังไม่มีท่าที่ว่าจะปล่อยง่ายๆ แต่ในขณะนั้นพวกของมันอีกตัวก็หลุดจากการโจมตีของพวกมิราอิและพุ่งเข้ามาหาเธอจากทางด้านหลัง
“อ๊ะ! แย่แล้ว ท่านซาคุโระ!!”
ฟ่ออออออ!!!!
“กรี๊ดดดดด!!!!”
“บ้าเอ๊ย!!!”
ควากกกกกก!!!
เสียงขู่คำรามดังก้องไปทั่วท้องฟ้า โฮโนโอะโผล่ออกมาจากกลุ่มควันและคว้าเข้าที่คอของอสรพิษร่างยักษ์ก่อนที่มันจะเข้ามาเขมือบเหยื่อสุดล้ำค่าเพียงเสี้ยวนาที ชายหนุ่มออกแรงบีบจนร่างของมันขาดเป็นสองท่อนอย่างน่าอนาถ เลือดคาวๆของอสรพิษร่างยักษ์สาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ ซาคุโระรีบเอามือปิดปาก รู้สึกอยากอาเจียนเต็มที งูยักษ์สีขาวอีกตัวที่ยังงับเนรีวเอาไว้แน่น มันเหลือบมองโฮโนโอะที่ยังถือส่วนหัวของพวกมันเอาไว้ในมือ มันเหวี่ยงเนรีวออกไปให้พ้นทางก่อนที่จะพุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มที่ยังยืนนิ่ง
ฟ่อ!!!
“โฮโนโอะ!!!”
“เกะกะลูกตาจริงๆ!”
ชายหนุ่มบริภาษด้วยน้ำเสียงดุดัน ก่อนที่จะเหวี่ยงลำตัวที่ติดกับส่วนหัวของงูยักษ์ ใส่เจ้าตัวสีขาวที่เลื้อยเข้ามาหาอย่างเกรี้ยวกราด แรงเหวี่ยงที่อัดแน่นไปด้วยอารมณ์โทสะทำให้อสรพิษร่างยักษ์กระเด็นออกไปไกลพร้อมกับส่วนหัวของคู่ของมัน
ผลัวะ!
เมื่อเหตุการณ์สงบแต่อารมณ์ที่ยังพุ่งพล่านกลับยังไม่สงบ โฮโนโอะหันมาทางซาคุโระที่นั่งนิ่งเหมือนคนเป็นอัมพาต และไม่มีคำพูดอะไรออกมาจากปากนอกจากมือทั้งสองข้างที่ยื่นเข้ามาฉุดตัวเธอให้ลุกขึ้นยืน
“ท่านซาคุโระ ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ!”
เสียงมิราอิดังออกมาจากกลุ่มควัน ไม่นานนักก็ปรากฏร่างออกาให้เห็นรางๆ ทั้งมิราอิและฟุยูกิยังสบายดีไม่มีรอยขีดขว่านนอกจากรอยเปื้อนของดินที่เกาะตามเสื้อผ้า ซาคุโระได้แต่พยักหน้าในขณะที่ใจยังเต้นแรงไม่หาย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างที่นอนจมกองเลือดอยู่ไม่ไกล
“เนรีว!”
“หือ”
ซาคุโระไม่รอให้ใครบอก เธอเข้าไปหาชายหนุ่มที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนช่วยชีวิต เลือดสีแดงสดเอ่อล้นท่วมตัวพร้อมทั้งเสียงหายใจที่รวยริน
“ท่าทางจะถูกพิษเข้าไม่ใช่น้อยเลย”
มิราอิที่เข้ามาหยุดยืนมองอยู่ข้างหลังพึมพำขึ้นอย่างพิจารณา ซาคุโระทำอะไรไม่ถูกนอกจากจะหันมาขอความช่วยเหลือจากคนที่เป็นเลิศด้านการรักษาอย่างเขา
“มิราอิ ช่วยรักษาเขาทีสิ! เธอเป็นหมอไม่ใช่เหรอ”
“สนใจทำไม อยากแส่หาเรื่องเองนี่”
เสียงห้าวๆที่ยังมีอารมณ์ฉุนดังแทรกขึ้นมา ซาคุโระไม่ต้องเสียเวลาเดาว่าเป็นใคร และมันก็ทำให้เธอเกิดความไม่พอใจขึ้นมาในทันที
“เขาช่วยชีวิตฉันเอาไว้นะ นายอย่าเป็นคนแล้งน้ำใจนักเลย!”
“ว่าไงนะ!”
“เอาล่ะๆ ข้าจะรักษาเขาก็ได้ เลิกทะเลาะกันได้แล้ว”
มิราอิแทรกกลางก่อนที่จะเกิดสงครามโต้วาทีระหว่างซาคุโระกับโฮโนโอะ
“กลางป่าแบบนี้ยังมีกะใจจะรักษาด้วยเหรอ”
“งั้นเราก็ไปที่บ้านของเขาสิ”
“คนหรือปีศาจก็ยังไม่รู้ บางทีมันอาจจะแกล้งทำเล่นละครตบตาพวกเราก็ได้”
“โฮโนโอะ!”
“ทั้งชีวิตนี้เราก็ไว้ใจใครไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือขอรับ”
น้ำเสียงเย็นเยียบที่สอดแทรกเข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศให้เหน็บหนาวจนขนลุก แต่เพราะสีหน้าที่ยังยิ้มแย้มทำให้ไม่มีใครสนใจในความหมายของมัน รวมไปทั้งคนที่กำลังเล่นละครอยู่ในตอนนี้ด้วย
บนเขายังมีหมู่บ้านเล็กๆตามที่เนรีวได้บอกเอาไว้จริงๆ และยังมีชาวบ้านอาศัยอยู่ ที่บ้านหลังหนึ่งท่ามกลางบ้านหลายหลังที่รายล้อม หญิงชราแก่หง่อมที่บอกว่าเป็นยายของเนรีวกำลังร้องห่มร้องไห้ระบายน้ำตาออกมาเกือบจะได้เป็นถัง
“โฮ!!!~เนรีว ไม่น่าเล้ย!”
เสียงร้องไห้คร่ำครวญของหญิงชราทำให้ซาคุโระหวั่นไหวไปด้วย เธอยังนั่งอยู่ใกล้มองมิราอิที่รักษาบาดแผลด้วยสมุนไพรบวกกับเวทมนตร์รักษาที่ช่ำชอง ไม่นานนักบาดแผลฉกรรจ์ที่ร่างของเนรีวก็ค่อยๆสมานกันจนปิดสนิท
“แผลก็หายดีแล้ว ทำไมเขายังไม่ฟื้นล่ะมิราอิ”
ทันทีที่ได้ยินคำถามมิราอิก็หันมามองหน้าหญิงสาวเพียงเสี้ยวนาทีก่อนที่จะหันกลับไปมองเนรีว แต่ความรู้สึกอาจจะต่างไปจากซาคุโระนิดหน่อย มีบางอย่างที่เขารู้สึกว่ามันแปลกเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งจากชายคนนี้ จากหญิงชราที่คร่ำครวญอยู่ข้างๆ และจากหมู่บ้านแห่งนี้ที่เหมือนกันไปหมดกระทั่งสายลมอุ่นๆที่พัดผ่าน และน่าแปลกที่งูยักษ์เข้าไปทำร้ายพวกเขาแต่กลับไม่มาทำร้ายคนที่หมู่บ้านแห่งนี้แม้แต่น้อย
ชายหนุ่มตกอยู่ในห้วงความคิดในขณะที่สายตายังคงมองมาที่ซาคุโระสลับกับเนรีวที่ยังนอนนิ่ง ทันใดนั้นเสียงกุกกักที่ดังเข้ามาแทรกก็ทำให้เขาต้องเบี่ยงเบนสายตาหันไปมอง และเห็นโฮโนโอะลุกพรวดพราดเดินออกไปด้วยท่าทางที่ดูหงุดหงิดเต็มที
กึง!!
“ท่านพี่จะไปไหนเหรอขอรับ”
“ไปให้ไกลหูไกลตาบางคนแถวนี้”
ชายหนุ่มตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ก่อนที่จะเดินออกไปจากกระท่อมโดยไม่สนใจที่จะหันกลับมามองคนที่อยู่ข้างหลัง ซาคุโระได้ฟังคำพูดหมางเมินอย่างนี้มาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง คำพูดที่ออกมาจากปากโฮโนโอะเป็นคำประชดประชันเหมือนจะหลอกด่าเธอทางอ้อมทุกอย่าง หญิงสาวลุกเดินออกไปจากกระท่อม โดยมีสายตาสองคู่ที่มองตามตาปริบๆ และไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังแสยะยิ้มพึงพอใจในผลงานอยู่เงียบๆ
ในป่าที่ห่างออกมาจากหมู่บ้านนับกิโลเมตร ในที่สุดซาคุโระก็วิ่งตามโฮโนโอะจนเกือบทัน แต่ชายหนุ่มกลับไม่สะท้านและยังมีท่าทีเมินเฉยราวกับว่าเธอไม่มีตัวตน แม้กระทั่งเสียงของเธอเขาก็ยังไม่สนใจที่จะรับฟัง ซึ่งมันก็ทำให้เธอยิ่งไม่พอใจและย่ำเท้าตามเขาอย่างไม่ลดละ
“นี่ บอกให้รอเดี๋ยวไงล่ะ ไม่ได้ยินรึไง!”
“…………”
“ตาบ้าโฮโนะ.. ว้าย!!!”
พลั่ก!
เพราะความมืดจนแทบมองไม่เห็นทางบวกกับทุ่งหญ้าที่ทั้งรกและทึบ เธอย่ำเท้าตามชายหนุ่มด้วยอารมณ์โกรธที่พุ่งกระฉูดจนทำให้ลืมมองทางเดินที่เต็มไปด้วยหินและขอนไม้น้อยใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในกอหญ้า จนไปสะดุดล้มหน้าทิ่มลงบนพื้นหญ้าเข้าจริงๆ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าชายหนุ่มที่เดินอยู่ตรงหน้าจะหันกลับมามองแถมยังซ้ำเติมด้วยคำพูดที่เหมือนจะออกปากไล่เธอไปให้ไกล
“ซุ่มซ่าม…แต่ก็ดีแล้วล่ะ สมน้ำหน้า”
“หนอย~…โอ๊ย!!”
“กลับไปซะ”
คำพูดเพียงประโยคสั้นๆทำเอาบรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท คำพูดที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มคนนี้ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเธอเสียงเหลือเกิน ซาคุโระรู้สึกน้อยใจขึ้นมารุนแรง เธอมองแผ่นหลังของเขาอย่างโกรธเคือง เขาไม่หันมามองและยังทำท่าว่าจะเดินต่อไปอย่างไม่สนใจไยดี
“นายมันบ้า คนใจดำ!”
“อยากไปไหนก็ไปเลย”
“ว่าไงนะ!”
“ไปซะ”
ชายหนุ่มยังพูดด้วยน้ำเสียงโทนเดิมก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป ซาคุโระยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ทั้งเจ็บทั้งโกรธแถมยังรู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“นายมันบ้า เห็นฉันเป็นสิ่งของที่จะโยนไว้ที่ไหนก็ได้งั้นเหรอ!”
“…..”
“โฮโนโอะเจ้าคนบ้า ไปตายซะ!!”
ผัวะ!!
“โอ๊ย!”
บางอย่างลอยแหวกอากาศเข้ามาลงที่ท้ายทอยของโฮโนโอะอย่างแรง ชายหนุ่มหัวคะมำเซไปข้างหน้าหลายก้าว และสิ่งที่เข้ามาอัดกบาลเขาคือขอนไม้ขนาดย่อม และคนที่กล้าประทานมันมาสู่หัวเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากสาวเจ้าที่ยังกำมือแน่นและค้างอยู่ในท่าเหวี่ยงแสนงามอยู่ข้างหลังเขา
“จะมากไปแล้วนะ!”
“นี่มันยังน้อยไป ถ้าเทียบกับสิ่งที่นายทำกับฉันล่ะก็!…”
“ข้าไปทำอะไรให้เจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็สิ่งที่นายกำลังทำอยู่ตอนนี้ไง! นายเป็นอะไรไปโฮโนโอะ ทำไมถึงได้เย็นชานัก ฉันทำให้นายหนักใจเรื่องอะไรนายก็บอกฉันมาสิ”
ซาคุโระพูดออกมาเหมือนจะง้องอน แต่ดูท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้าจะไม่ยินดียินร้ายกับคำพูดของเธอเท่าไหร่ เขามองเธออย่างหยิ่งๆก่อนจะพูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย
“นั่นสินะ…เจ้าทำให้ข้าหนักใจมาตั้งแต่ต้น ถ้าหากเจ้าไม่มาที่โลกนี้ ถ้าหากข้าไม่พบกับเจ้า ก็คงไม่ต้องมาหนักใจเพราะเจ้าอยู่ทุกวันอย่างนี้หรอก”
“ฉะ ฉัน…เป็นภาระให้นายจริงเหรอ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก เจ้าทำให้ข้าหนักใจมากกว่า”
“เรื่องอะไร”
“………..”
“เรื่องอะไร! นี่อย่าเดินหนีไปแบบนี้นะ!”
โฮโนโอะไม่ได้ให้คำตอบทั้งยังจะเดินหนี ซาคุโระรู้สึกอึดอัดในความเงียบของเขาเหลือเกิน เธอก้าวเท้าเดินตามทั้งที่ขายังเจ็บ เข้าไปกระชากคอเสื้อของเขาจนสุดแรงเพื่อหวังจะให้เขาล้มหงายท้องหรือไม่ก็หันมาหา แต่สิ่งที่เธอทำกลับทำให้เธอแทบผงะหงายเสียเอง โฮโนโอะเอี้ยวตัวกลับมาหาและก้มลงประกบริมฝีปากกับเธอ
ซาคุโระมืดแปดด้านทันที มือที่กุมคอเสื้อของเขาเริ่มสั่น ก่อนที่มันจะอ่อนยวบและทิ้งห้อยลงข้างลำตัว โฮโนโอะมองเธอด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์ ในขณะที่เขาค่อยๆผละจากเธอและถอยห่างไปสามก้าว ความเงียบเข้ามาครอบคลุมอยู่ไม่นานเขาก็เป็นฝ่ายหันหลังให้และพูดขึ้น
“ข้าอยากอยู่คนเดียว”
“อะ…”
“ไปสิ!”
เสียงตวาดดังกึกก้องเหมือนเดิม แต่ซาคุโระกลับรู้สึกว่ามันแสบแก้วหูยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า และมันก็ผ่าลงกลางใจเธอโดยตรง สร้างความเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกมีดบาด เธอถอยหลังออกห่างจากเขาทีละก้าว ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไปทั้งน้ำตาที่รื้นขึ้นมาคลอหน่วยพร้อมกับความสับสนที่เริ่มจะไม่มีคำตอบ
เธอเกลียดเขา แต่ทำไมถึงเดินตามเขาอยู่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจตัวเอง…
โฮโนโอะหันกลับมามองตามเงาสีดำเล็กๆที่กำลังไกลออกไปจนลับตา ท้ายทอยที่ถูกขอนไม้บินมาฟาดแทบจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยเมื่อเทียบกับความรู้สึกปั่นป่วนในใจที่แทบจะทะลักออกมาข้างนอก
“ข้าผิดงั้นเหรอ ข้าเป็นคนผิดงั้นเหรอ ทำไมต้องมาลงที่ข้าทุกทีเลย!”
ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสีย นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าตัวเองไปทำอะไรผิดนักหนา
ซาคุโระเดินกลับมายังกระท่อมเหมือนคนที่ไร้วิญญาณ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นมิราอิที่ยืนพิงฝาอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า เมื่อชายหนุ่มมองเห็นเธอที่เดินเกผลกก็เดินเข้ามาหาพร้อมคำถามที่ห่วงใย
“ท่านซาคุโระ บาดเจ็บหรือขอรับ…ท่านร้องไห้!”
ซาคุโระไม่พูดพร่ำทำเพลงและซบหน้ากับไหล่ของเขาเพื่อพักพิง ก่อนที่จะปล่อยให้น้ำตาที่เหลือไหลออกมา
“ขอโทษนะมิราอิ ขอฉันยืมไหล่เธอซักพักนะ”
ซาคุโระปล่อยน้ำตาลงมาบนไหล่ของชายหนุ่มซึ่งเป็นที่รองรับ สักพักเธอก็ได้ยินเสียงถอนหายใจของเขาพร้อมๆกับรู้สึกถึงสัมผัสเบาๆที่ไหล่และศีรษะ มิราอิยอมให้เธอยืมไหล่และปลอบใจเธอจนหายเศร้าไปเปราะหนึ่ง ก่อนจะพยุงเธอเข้ามาในกระท่อมและใช้เวทรักษาอาการเท้าแพลงให้จนหาย เขานิสัยดี…แต่คงจะดีกว่าถ้าคนที่มารักษาเธอนั้นเป็นโฮโนโอะ พอคิดไปถึงตอนที่ได้สัมผัสกับความอบอุ่นแปลกๆก็เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าราวกับอมน้ำร้อน
“ท่านซาคุโระยังเจ็บอยู่หรือเปล่าขอรับ”
“ไม่ ขอบคุณนะมิราอิ แล้วก็…ขอโทษด้วยที่ทำให้เธอเป็นห่วง”
“ข้าเต็มใจขอรับ” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องเล็กจิ๋ว ก่อนที่สีหน้าจะนิ่งและเปลี่ยนบทพูดไปอย่างแนบเนียน
“ท่านพี่ของข้าก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ ท่านซาคุโระอย่าไปใส่ใจให้มากเลยนะขอรับ”
“ใครว่าฉันใส่ใจหมอนั่นกัน!” ซาคุโระขึ้นเสียงและรีบสะบัดหน้าไปอีกทางเพื่อหลบใบหน้าที่กำลังขึ้นสีอ่อนๆ แต่ทางที่หันไปก็ดันมีฟุยูกินอนตะแคงจ้องตาแป๋วอยู่
“ฮะๆๆ ท่านซาคุโระนิสัยเหมือนท่านพี่จริงๆ ปากแข็งกันทั้งคู่”
“ฉะ ฉันเปล่านะ!”
“หึๆ…เอาเถอะ ยังไงก็อย่าเพิ่งตัดสินเขาเพียงแค่การกระทำเล็กน้อยเลยนะขอรับ”
“เอ๊ะ”
“ข้ากับฟุยูกิน่ะ อยู่กับพี่ชายคนนี้มาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้นนิสัยของเขาเป็นยังไงข้าย่อมรู้ดีและเชื่อว่าซักวันท่านซาคุโระจะรู้จักพวกเรามากขึ้น เพราะฉะนั้น…อย่าได้ลาจากพวกเราไปเพียงแค่ปัญหาเล็กน้อยเลยนะขอรับ”
คำพูดสุดท้ายมาพร้อมกับสายตาตัดพ้อเหมือนอ้อนวอน ซาคุโระกลั้นใจปะติดปะต่อคำพูดแทบไม่ทัน หนสุดท้ายก็ได้แต่พึมพำเสียงขัด
“ฉะ…ฉัน…ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันเล่า”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีขอรับ” แล้วมือหนาก็เอื้อมมาลูบแก้มซาคุโระตำแหน่งที่มีปานดอกไม้เบาๆ
“ร่าเริงเถอะนะขอรับ ดอกไม้สีเทาไม่เหมาะกับใบหน้าของท่านซาคุโระเลยสักนิด”
“สีเทาเหรอ” มันเปลี่ยนสีไปอีกแล้ว
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรซาคุโระถึงได้รู้สึกใจหายเมื่อเห็นรอยยิ้มอบอุ่นของชายหนุ่มตรงหน้า การได้พูดคุยกับเขาทำให้เธอลืมไปเสียสนิทว่ากำลังโกรธใครบางคนอยู่ มิราอิมีรอยยิ้มนั้นที่สวยงาม แต่ทำไมดวงตาของเขากลับเศร้านัก
“ข้าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกเสียหน่อยขอรับ ท่านซาคุโระพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทาง”
ซาคุโระพยักหน้ารับเป็นเวลาที่ชายหนุ่มเดินออกไปจากกระท่อม ถึงจะอยากนอนเพียงใดแต่ในใจกลับว้าวุ่นจนข่มตาไม่หลับ ฟุยูกินอนหลับตานิ่งอยู่ข้างๆดูๆไปก็น่ารักไม่เบา ส่วนเนรีว…..ทำไมรายนี้ถึงได้นิ่งนัก นิ่งเสียจนรู้สึกวังเวงชอบกล
“ฮึก! อ๊า~”
“เอ๊ะ…ฟุยูกิ!”
จู่ๆฟุยูกิก็มีท่าทางทะรนทุรายส่งเสียงครางเหมือนฝันร้าย ซาคุโระละสายตาจากเนรีวเอี้ยวตัวเข้าไปปลุกเพื่อให้เด็กหนุ่มลืมตา
“ฟุยูกิ…ฟุยูกิ!”
“ท่านซาคุโระ”
“ฝันร้ายเหรอ”
ซาคุโระเอ่ยถามพลางใช้หลังมือซับเหงื่อบนหน้าผากให้ ฟุยูกิหน้าซีดเผือดหายใจหอบถี่ทั้งที่ลืมตาตื่น มือไม้สั่นเท่ายื่นหาที่ยึดเกาะนั่นคือมือของเธอ เด็กหนุ่มกุมมือเธอแน่นพลางเอ่ยเสียงแหบพล่า
“จู่ๆก็รู้สึกแปลกๆ”
“แปลก…”
ซาคุโระรู้สึกถึงไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากเด็กหนุ่ม มันเย็นเยียบไม่ต่างจากน้ำแข็ง ราวกับว่าพลังของเขากำลังไหลออกมาจากร่าง ฟุยูกิยกมือขวาที่เริ่มสั่นลูบไปมาที่อกตำแหน่งของหัวใจก่อนจะขยุ้มอกตัวเองแรงๆ
“เธอเจ็บเหรอ! เดี๋ยวนะ รอเดี๋ยวฉันจะไปตามมิราอิมา”
“เห็นทีจะให้ทำอย่างนั้นไม่ได้”
น้ำเสียงเย็นเยียบดุจดังอสรพิษที่ส่งเสียงคำราม ซาคุโระรวบรวมความกล้าที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดหันกลับไปมองด้านหลังและได้พบกับเนรีวซึ่งกำลังเงื้อดาบขึ้นเหนือศีรษะและฟันลงมาอย่างไม่รีรอ
“ท่านซาคุโระระวัง!”
ปึก!
“ฟุยูกิ!”
ที่ฟันลงมาเป็นเพียงสันดาบ แต่ก็ร้ายกาจเสียจนทำให้ฟุยูกิที่เบี่ยงตัวมารับแทนต้องล้มกองกับพื้นอย่างแน่นิ่ง เนรีวแสยะยิ้มเหี้ยมพลางดึงผ้าโพกศีรษะออกเผยให้เห็นเรือนผมสีขาวยาวสยายตกกลางหลัง เพียงเท่านั้นก็สะกดซาคุโระไม่ให้ขยับได้อย่างง่ายดาย ภาพความฝันเมื่อหลายวันก่อนผุดขึ้นในกล่องความจำ ชายผมขาวในความฝันของเธอคือเนรีว!
“เน…รีว!”
“ได้เวลาเดินทางไกลแล้ว เจ้าหญิง”
สิ้นสุดคำพูดเนรีวก็เอื้อมมือมาหมายจะฉุดกระชากเธอให้ลุก แต่ก่อนที่มือนั้นจะถึงตัวเธอเพียงคืบ อากาศรอบตัวก็กลายเป็นคมมีดเชือดเข้ากลางฝ่ามือของชายหนุ่มทันที
ฉัวะ!
“มิราอิ!”
เจ้าของใบมีดล่องหนนั้นคือมิราอิที่ยืนหอบแฮกอยู่หน้ากระท่อมนั่นเอง ดูจากสภาพที่ค่อนข้างจะยับเยินแล้วคาดว่าเขาคงต่อสู้กับอะไรซักอย่างที่อยู่ข้างนอกแน่ๆ
“เก่งไม่เบานี่ ทายาทแห่งราชันย์”ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวเอ่ยพลางเลียเลือดที่ฝ่ามืออย่างไม่สะอิดสะเอียน
“คิดอยู่แล้วว่ามันแปลกๆ ที่แท้เจ้าคืออสูรงูขาวสินะ เนรีว!”
อสูร…ชายผู้นี้คืออสูรงั้นเหรอ! นี่เธอหลงกลอสูรอย่างหน้าไม่อายเชียวเหรอ อยากเอาหัวโขกพื้นขอโทษโฮโนโอะเสียสักร้อยรอบจริงๆ ทำไมเธอไม่ฟังเขาตั้งแต่แรกนะ!
“เก่ง…แต่ก็ยังเก่งไม่พอหรอกนะเจ้าหนู”
เนรีวพูดเยาะเย้ยและเข้าประชิดตัวซาคุโระอย่างรวดเร็ว ความเร็วระดับนี้ไม่มีทางหนีพ้นและเพียงไม่นานสติของเธอก็ดับวูบลงไปทันทีพร้อมกับชื่อของคนที่เธออยากเจอมากที่สุด
โฮโนโอะ…
“ท่านซาคุโระ!”
ที่แท้หนุ่มชาวบ้านธรรมดาๆคนนั้นก็คืออสูรงูขาว และยายแก่คนนั้นก็คืองูยักษ์ที่เล่นงานพวกเขาเมื่อตอนกลางวัน ซาคุโระไร้สติและอยู่ในมือเนรีวอย่างง่ายดาย ส่วนฟุยูกิก็หมดสติอยู่ข้างๆ ภาพน้องชายคนเล็กนอนฟุบอยู่อย่างแน่นิ่งทำให้อารมณ์โกรธพวยพุ่งออกมาจนเก็บไม่อยู่
“สารเลวเอ๊ย!”
“ช่วยไม่ได้ พวกเจ้ามันโง่เอง”
เนรีวพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พร้อมกันนั้นประตูทุกบานก็ถูกปิดสนิท ควันพิษเริ่มหนาแน่นและส่งกลิ่นจนมิราอิเริ่มรู้สึก
“แค่กๆ…นี่มันอะไร!”
“หึ ควันพิษนี่ ถึงเจ้าจะเป็นทายาทแห่งราชันย์ก็ไม่มีทางต้านทานได้หรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะจัดการเจ้าก่อนยาจะออกฤทธิ์เป็นยังไง!”
มิราอิโกรธจนควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ไหว มือข้างหนึ่งตวัดผ่าม่านควันที่หนาแน่นจนแหวกเป็นทางเหมือนกับว่าฝ่ามือนั้นคมกริบยิ่งกว่ามีดดาบ ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาอสูรผมขาวที่ยืนยิ้มให้อย่างเย้ยหยัน
เฟี้ยววววววว!
ความเร็วที่ไม่มีใครกล้าเทียบแม้แต่เนรีวก็ยังตกใจ แต่เพราะควันพิษที่อัดแน่นทำให้ชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง เป็นโอกาสที่เนรีวรอมาแสนนาน
พลั่ก!
“หึ หมดแรงแล้วสินะ”
บนยอดเขาที่เป็นทุ่งหญ้าราบห่างจากหมู่บ้านหลายโยช โฮโนโอะนั่งพิงต้นไม้และเผลอหลับไปพลันสะดุ้งตื่นขึ้นและมองขึ้นไปบนฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆสีดำ คืนนี้เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง แต่กลับมีหมู่เมฆมาบดบังจนไม่แน่ใจว่าคืนนี้จะมีพระจันทร์ปรากฏให้เห็นหรือเปล่า
“คืนนี้แล้วสินะ”
ในระหว่างที่ความคิดกำลังโลดแล่นไปอย่างไร้จุดหมาย เสียงเล็กๆที่คุ้นหูก็ดังขึ้นเบี่ยงเบนสายตาของเขาให้หันไปมองหา
“ปล่อยเอาไว้อย่างนี้จะดีเหรอ”
“เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
โฮโนโอะเอ่ยถามทันทีที่มองเห็นเด็กหญิงนามว่าลีอานั่งแกว่งเท้าอยู่บนกิ่งของต้นไม้ที่เขาพิงอยู่ ผู้มาใหม่ไม่สนใจที่จะตอบคำถาม และพูดออกมาราวกับว่าอ่านใจเขาออกทะลุปรุโปร่ง
“ความรู้สึกของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกนะ ท่านก็รู้ดีไม่ใช่เหรอเจ้าคะ ท่านโฮโนโอะ”
“คิดจะมาพูดกับข้าแค่นี้น่ะเหรอ”
“ถ้ายังเอาแต่ใจแบบนี้ การพลัดพรากที่ท่านกลัวนักหนาก็คงจะเกิดขึ้นแล้วล่ะ”
“หมายความว่ายังไง เจ้าต้องการจะบอกอะไรกันแน่”
“ชายแปลกหน้าคนนั้น…เป็นคนอันตราย”
ลีอาตอบด้วยสีหน้าที่ยังนิ่ง โฮโนโอะชะงักไปทันที ภาพใบหน้าซาคุโระผุดขึ้นมาในหัวชัดเจนก่อนที่มันจะค่อยๆหายไป
“ดูนั่นสิ…แผนการของชายคนนั้น ได้เริ่มขึ้นแล้ว”
เด็กหญิงพยักพเยิดหน้าไปทางหมู่บ้านที่อยู่เบื้องล่าง โฮโนโอะมองลงไปทันทีที่เห็นก็ทำให้เขาแทบสะอึก สิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในหมู่บ้านคือฝูงงูที่ยั้วเยี้ยยิ่งกว่าไส้เดือน หนึ่งในนั้นที่สังเกตได้ชัดเจนก็คืองูยักษ์ตัวเดิมที่เคยเล่นงานพวกเขาเมื่อตอนกลางวัน
“อะไรกัน นั่นมัน…งู!”
“ดูแค่นี้ก็น่าจะรู้แล้วไม่ใช่เหรอเจ้าคะ”
“ซาคุโระ!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ