Tear of Snow เทพนิยายทะลุมิติ
เขียนโดย zusuran
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.12 น.
แก้ไขเมื่อ 8 เมษายน พ.ศ. 2562 13.53 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ชาติกำเนิดที่แตกต่าง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 8 ชาติกำเนิดที่แตกต่าง
“มะ…ไม่จริงใช่ไหม”
ซาคุโระพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้เท่าที่จะทำได้ เธอไม่เชื่อว่าคนที่เข้มแข็งและรักคนอื่นมากกว่าตัวเองอย่างโฮโนโอะจะเป็นอสูรอย่างที่กาโระได้พูดออกมา
“เจ้ามันโชคร้ายโฮโนโอะ เจ้ารู้อยู่แล้วเทพธิดาสีเงินนั่นเป็นผู้พิทักษ์ ถ้ามันลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ล่ะก็ ทั้งอสูรและปีศาจทั้งหลายก็จะพบกับจุดจบ และหนึ่งในนั้นก็คือคนหน้าโง่อย่างเจ้า!”
“แล้วไง”
น้ำเสียงราบเรียบแทรกขึ้นพร้อมๆสายตาดุดันที่จ้องมองขึ้นมาอย่างท้าทายอยู่ลึกๆ
“แค่ความตาย คิดว่าข้ากลัวรึไง ข้าจะเป็นใครมาจากไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า ขอแค่นางฟื้นขึ้นมาได้ แม้แต่วิญญาณข้าก็ยอมมอบให้อยู่แล้ว”
คำพูดหนักแน่นไม่มีความลังเลหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย ซาคุโระรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปพักหนึ่งเมื่อจ้องตาสีฟ้าคู่นั้น นี่คือสิ่งที่โฮโนโอะต้องการตั้งแต่แรกแล้วอย่างนั้นเหรอ อยากอ้าปากร้องตะโกนถามออกไปเสียแต่ตอนนี้ แต่ความร้อนจากพิษไข้ก็หนักเกินกว่าจะฝืนลืมตาต่อ
“ยอมเหรอ ถึงเจ้าจะไม่สนใจชีวิตตัวเองมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า เพราะยังไงข้าก็ไม่มีทางคืนนางเด็กนี่ให้หรอก ถ้าอยากตายนักก็ตายมันซะตอนนี้เลยเป็นยังไง!”
สิ้นเสียงกาโระขวานคู่กายก็พุ่งเข้าหาโฮโนโอะที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ก่อนที่คมขวานจะถึงตัวชายหนุ่ม พลังประหลาดที่ไร้ตัวตนก็แหวกอากาศเข้ามาตัดโซ่ที่ยึดติดอยู่ด้ามขวานจนขาดสะบั้น ขวานคู่กายของอสูรร่างยักษ์หลุดลอยเฉี่ยวเส้นผมชายหนุ่มไปปักอยู่ที่โขดหินด้านหลังที่อยู่ไม่ไกล
ตูม!
เคร้ง!...
“อ๊ะ! อะไรกัน โซ่ของข้า ขวานของข้า!”
“แส่ไม่เข้าเรื่อง”
โฮโนโอะพึมพำขึ้นเสียงแผ่วเมื่อเงยหน้าไปเห็นเงาของคนสองคนที่ยืนอยู่เหนือทิวไม้คือมิราอิกับฟุยูกิ แถมในมือมิราอิยังมีลูกไฟสีขาวล่องลอยอยู่พร้อมที่จะพุ่งออกมาเล่นงานศัตรูได้ทุกเมื่อ
“โชคดีที่มาทันนะ”
“ไอ้เด็กบ้า!”
กาโระคำรามอย่างเคียดแค้นพลางเหลียวมองไปหาเจ้าของพลังประหลาดที่ตัดโซ่ของตนขาด มิราอิยืนตระหง่านอยู่เหนือทิวไม้และแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยัน และในระหว่างนั้นเสียงหวานๆที่เย็นยะเยือกก็ดังแทรกขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่เพิ่งปรากฏ
“ซื่อบื้อกว่าที่คิดอีกนะขอรับ”
“อ๊ะ! นั่นมัน”
อสูรจอมพลังกาโระงงเป็นไก่ตาแตก ขณะที่โฮโนโอะจับจ้องหญิงสาวที่หลับตานิ่งอยู่ในอ้อมแขนของน้องชายอยู่เงียบๆ ความรวดเร็วของฟุยูกิกับมิราอิใช่ว่าจะธรรมดาที่ไหน เรื่องแค่นี้ก็คงเหมือนกับเข้ามาหยิบของไปเท่านั้น
“เป็นไปไม่ได้ ทำไมมันเร็วขนาดนี้”
ชึบ!
“ถ้าขยับแม้แต่ก้าวเดียวล่ะก็หัวเจ้าได้หลุดออกจากบ่าแน่ เจ้าอสูรอัปลักษณ์”
“เร็วจริงๆ!”
กาโระเพิ่งรู้สึกกดดันอย่างนี้ครั้งแรก ความเย็นยะเยือกที่ควบคุมได้กระทั่งอากาศรอบตัว ทำให้มันตระหนักถึงความร้ายกาจของชายหนุ่มที่มันเพิ่งเคยเห็นหน้า
“ร้ายกาจ…ทั้งความรวดเร็ว พลังทำลาย แล้วยังดาบน้ำแข็งนี่อีก!”
โฮโนโอะพยายามทรงตัวให้ได้ดังใจ ก่อนที่จะเดินเข้ามาใกล้มิราอิและวางมือกดดาบให้ลดลงต่ำและละจากคอของกาโระ
“พอเถอะ”
“หึ ลุกขึ้นมาได้แล้วรึ แต่ว่าอย่ามาพูดดีหน่อยเลย เจ้าอสูรกึ่งเทพ”
กาโระเยาะเย้ยชายหนุ่มที่มีสภาพร่อแร่แม้จะยืนก็ยังไม่ไหว แต่คำพูดเย้ยหยันนั้นก็ทำให้อสูรร่างยักษ์ต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เพราะมิราอิได้กดปลายดาบลงที่คอเกิดเป็นแผลลึกพอที่จะเป็นทางให้เลือดไหลและเจ็บปวดเพราะความเย็นเยียบจากน้ำแข็ง
“อ๊ากกกก!!”
“อย่ามา~เสียมารยาทกับพี่ชายของข้า”
มิราอิคำรามอย่างโกรธเคืองพลางกดน้ำหนักลงไปที่ปลายดาบ เฉือนเนื้อหนังที่คออสูรกาโระให้ลงไปลึกกว่าเดิม แต่ในระหว่างนั้นโฮโนโอะกลับเข้ามารั้งดาบเอาไว้ สร้างความสงสัยระคนให้กับเขาเป็นอย่างมาก
“พอแล้วมิราอิ”
“ทำไมต้องห้ามข้าอยู่เรื่อย!”
“เก็บดาบ แล้วไปซะ”
“ว่าไงนะ!”
คำพูดเย็นชาที่ออกมาจากปากพี่ชายทำเอามิราอิอึ้ง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินและไม่เข้าใจ
“คิดจะทำอะไร”
“พวกเจ้ารีบไปซะ…ออกไปจากที่นี่ ให้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี…ไปสิ”
“นี่บ้าไปแล้วเหรอ! คิดจะให้ข้าหนีงั้นเหรอ”
“บอกให้ไปไงล่ะ!”
เสียงคำรามในลำคอมาพร้อมกับรังสีแห่งการฆ่าฟัน มิราอิชะงักไปทันทีที่ได้สัมผัสเข้าโดยตรง ในขณะที่โฮโนโอะยังจับจ้องอสูรกาโระอย่างไม่วางตา
“เจ้านี่เป็นคู่ต่อสู้ของข้า ห้ามใครหน้าไหนสอดมือเข้ามายุ่งเด็ดขาด”
“ท่านพี่…”
“ไปจากที่นี่ ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะทำได้ มิราอิ”
คำพูดประโยคสุดท้ายเหมือนเป็นการขอร้องมากกว่าสั่ง มิราอิไม่คิดห้ามเพราะรู้ว่ามันคงไร้ประโยชน์ และอีกอย่างสิ่งที่โฮโนโอะพูดก็แฝงไปด้วยเหตุผลจนหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียด้วย ถึงยังไงชีวิตของซาคุโระและฟุยูกิก็สำคัญ และเขาก็มีหน้าที่ต้องปกป้องอย่างสุดกำลังเช่นกัน
“เข้าใจแล้ว ยังไงก็อย่าตายละกัน”
จบคำพูดทิ้งท้ายมิราอิก็จากไปทั้งที่ไม่เต็มใจ เขาได้พาฟุยูกิและซาคุโระหลบไปจากตรงนั้น ตอนนี้ก็เหลือเพียงโฮโนโอะที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับกาโระตามลำพัง ชายหนุ่มหลับตานิ่งราวกับว่าอยากเอ่ยคำๆหนึ่งออกมา แต่ก็ต้องเก็บกลับไปไว้ในใจดังเดิม และหันมาจับจ้องอสูรคู่อริที่อยู่ตรงหน้า
กาโระตั้งท่าจะไล่ตามไป แต่ก็ไม่ง่ายนักเพราะยังมีโฮโนโอะขัดขวางอยู่
“คิดหนีรึ มันไม่ง่ายนักหรอก!”
“จะไปไหน กาโระ”
“เจ้าอสูร!”
“มาดวลกับอสูรอย่างข้าหน่อยเป็นยังไง”
สิ้นสุดประโยคสุดท้าย แผ่นดินรอบตัวโฮโนโอะและกาโระก็เริ่มสั่นสะเทือน ก่อนที่เปลวเพลิงจะปะทุขึ้นมาตามรอยแตกระแหงของผืนดิน ล้อมรอบพวกเขาทั้งเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง
การปะทุของพลังที่ร้ายกาจทำให้ผู้ที่เพิ่งตีตัวออกมาหยุดชะงัก และหันกลับไปมองอย่างเป็นกังวล
มิราอิพร้อมที่จะกลับไปทุกเมื่อ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจกลับไปนั้น ลูกไฟขนาดย่อมที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล ก็พุ่งเข้ามากระแทกเขาและฟุยูกิอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและทำได้เพียงกระชับร่างบางที่แน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนให้แน่น และปล่อยให้เพลิงสีแดงแต่ไร้ความร้อนนี้ห่อหุ้มรอบกายและพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
“เพลิงนี่มัน!...”
“ท่านพี่…ท่านพี่โฮโนโอะ!!”
โฮโนโอะเผชิญหน้าอยู่กับกาโระ ถึงจะได้ยินเสียงเรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขาก็ไม่คิดที่จะหันไปมอง จนกระทั่งเสียงนั้นได้ห่างหายไปในที่สุด นึกในใจว่าลูกไฟของตนที่ใช้ส่งน้องชายทั้งสองออกไปนั้นจะพาพวกเขาออกไปไกลพอที่จะสัมผัสพลังไม่ถึง กาโระเห็นสีหน้าที่อมทุกข์ของชายหนุ่มก็ยิ้มเยาะ
“เฮอะ! เรี่ยวแรงจะยืนก็แทบไม่มีแล้วยังจะไปห่วงคนอื่นอีก คิดเหรอว่าเพลิงแค่นี้จะหยุดข้าได้”
“ไม่คิดหรอก”
“ว่ายังไงนะ”
“เข้ามาเลย กาโระ บัญชีระหว่างเจ้ากับข้า จะจบลงวันนี้!”
โฮโนโอะท้าทายอย่างไม่กริ่งเกรง อารมณ์กาโระเดือดปุดๆกับคำท้าทายที่เหมือนจะดูถูกตน และไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าหาโจมตีอย่างไม่เปิดช่องโหว่ให้อีกฝ่าย
“แล้วก็อย่ามาร้องขอชีวิตจากข้าก็แล้วกัน เจ้าเด็กดื้อด้าน!”
“นั่นควรจะเป็นคำพูดของผู้ชนะมากกว่า!”
ตูมมมมม!!!!
ฟากหนึ่งของภูเขาที่อยู่ไกลโพ้น ลูกไฟสีแดงร้อนแรงสองลูกได้ร่วงลงมาจากฟากฟ้าและกระแทกพื้นดินเสียงดังสนั่นไปทั้งป่า
ตูมมม!!
พลังมหาศาลร่วงลงกระแทกพื้นดินจนยุบลงไปเป็นหลุมขนาดใหญ่ ม่านควันลอยโขมงออกมาพร้อมๆกับเสียงไอเพราะสำลักฝุ่น
“แค่กๆ~ ดูท่าทางเราจะยังไม่เละนะ”
มิราอิโอดครวญใช้แขนเสื้อโบกม่านควันที่อยู่รายล้อมออกเล็กน้อยพอให้เห็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบกาย สิ่งแรกที่มองเห็นคือใบหน้าละอ่อนของฟุยูกิที่อยู่ข้างๆและยังมีซาคุโระที่หมดสติอยู่ในอ้อมแขน ฟุยูกิประคองร่างที่ไร้สติขึ้นพิงไหล่ตัวเอง พลางมองไปรอบๆอย่างไม่คุ้น
“ที่นี่….ไกลมากสินะ”
เด็กหนุ่มรำพึงเสียงสั่นพร้อมทั้งสีหน้าเศร้าสร้อย มิราอิเหลือบมองเพียงหางตาแต่ก็พลอยหดหู่ไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกของฟุยูกิมีหรือที่เขาจะไม่รู้ เด็กหนุ่มคงจะหดหู่ที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเห็นภาพพี่ชายกำลังหายไปจากสายตา
“อย่าทำหน้าซังกะตายอย่างนั้นสิ ฟุยูกิ”
“เอ๊ะ”
“เลิกทำหน้าเหมือนใครกำลังจะตายซะที เห็นแล้วไม่สบอารมณ์”
มิราอิพูดเชิงปลอบใจพลางลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของตัวเอง ก่อนที่จะเดินเข้ารับร่างซาคุโระจากน้องชาย
“ขอรับ”
ฟุยูกิเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วพร้อมกับลุกปัดฝุ่นออกจากเสื้อและเดินตามหลังพี่ชายไปอย่างไม่รอช้า
ภายในถ้ำที่ตื้นเขินแต่กลับซับซ้อน มิราอิวางร่างหญิงสาวลงบนพื้นและให้เธอนอนพิงผนังถ้ำแทนหมอน และใช้ฝ่ามือวางทาบลงบนหน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนที่สัมผัสนั้นจะทำให้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมา
“มีไข้สูงมาก ถ้าไม่รีบรักษาคงไม่ทันการแน่”
พลันเกิดแสงวูบวาบสีเงินโปร่งใสก็ปรากฏอยู่ในอุ้งมือของฟุยูกิก่อนจะกลายเป็นน้ำแข็งก้อนพอดีมือและส่งให้มิราอิโดยไม่รอให้เขาได้เอ่ยปากขอ ชายหนุ่มรับมาไว้ในมือและใช้เวทมนตร์ทำให้กลายเป็นน้ำในชั่วพริบตา ก่อนที่จะเอาผ้าสีขาวที่ชอบพกติดตัวไว้มาชุบน้ำและวางทาบบนหน้าผากหญิงสาว
“เอาล่ะ น่าจะพอช่วยได้นิดหน่อย”
มิราอิหันมาปรุงยาด้วยสมุนไพรที่หามาได้บวกกับเวทมนตร์รักษาที่มี ฟุยูกิแอบมองพี่ชายเป็นครั้งคราวที่เขาเผลอ ไม่ว่าเมื่อไหร่เวทรักษาของมิราอิก็เป็นเลิศและยอดเยี่ยมเสมอ แต่ทำไมล่ะ…ทำไมเวทมนตร์ของพี่ชายถึงรักษาความเจ็บปวดให้เขาไม่ได้
“เอาล่ะ เท่านี้ก็น่าจะพอแล้วล่ะนะ” มิราอิถอนหายใจยกมือปาดเหงื่อที่ไหลซึมบนหน้าผากเล็กน้อยหลังจากกรอกยาเข้าปากซาคุโระจนหมด ระหว่างนั้นฟุยูกิก็เปรยออกมาเบาๆ
“เขาจะเป็นไรไหมนะ”
“ปีศาจชั้นหางแถวแบบนั้นทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”
“ข้ารู้ แต่ว่า…”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มเริ่มสั่นพร้อมกับมือทั้งข้างที่วางอยู่บนตักเริ่มกำแน่น ซึ่งมันเป็นท่าทางที่มิราอิไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่ได้เห็น
“ข้าจะออกไปดูลาดเลาข้างนอก แล้วก็อย่าคิดตามออกไปล่ะ”
“ข้าทราบแล้วขอรับ”
ฟุยูกิรับปากอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่พลางมองตามหลังพี่ชายที่เดินดุ่มๆออกไปยังปากถ้ำ ในใจของฟุยูกิแล้วมิราอิเป็นคนที่อ่อนโยนอบอุ่น แต่บางเวลาก็น่ากลัวยิ่งกว่าโฮโนโอะเป็นหลายเท่า โดยเฉพาะการอ่านใจออกทะลุปรุโปร่ง เด็กหนุ่มหันกลับมามองหญิงสาวที่หลับไม่ได้สติอยู่ใกล้ๆ ตอนนี้ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย และต้องใช้เวลาอีกนานกว่าเธอจะฟื้น เพราะฤทธิ์ยาที่ทำจากกิ่งไม้ปีศาจผสมกับเวทรักษาขั้นสูงนั้น รุนแรงขนาดที่จะใช้เป็นยาพิษทำให้หลับไปตลอดกาลได้เลยทีเดียว
นอกปากถ้ำ มิราอิยืนนิ่งอยู่บนโขดหินริมหน้าผา และยังไม่ลดละที่จะตามสัมผัสจิตของผู้ที่อยู่ไกลโพ้น
“เขาไม่มีทางเป็นอะไรแน่ ก็เขาต่างจากพวกเรานี่”
ชายหนุ่มพึมพำคละเคล้ากับสายลมที่พัดอ่อนๆ เมฆหนาได้ปกคลุมทัศนียภาพบนท้องฟ้าจนไม่เหลือแสงใดให้ส่องสะท้อนลงมายังพื้นผิวที่เหยียบย่ำอยู่เบื้องล่าง ความเหนื่อยล้าทำให้เขาได้เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่ซุ่มดูอยู่ก็ได้ออกมาจากที่ซ่อน
แสงสีทองเป็นประกายดุจพระอาทิตย์ปรากฏร่างของเด็กน้อยตัวจิ๋วตรงหน้าชายหนุ่มที่หลับอยู่ ดวงตาสีทองเฉิดฉายกวาดมองไปรอบๆอาณาบริเวณ ก่อนที่จะกลับมาจับจ้องร่างบางๆที่นอนนิ่งอยู่ภายในถ้ำ
“ท่านเทพธิดา”
เสียงเล็กๆเอ่ยขึ้นแผ่วๆ พร้อมกับเท้าเล็กๆที่เปลือยเปล่าทั้งสองข้างก้าวเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เด็กน้อยร่างเล็กจิ๋วที่ถูกห่อหุ้มด้วยละอองแสงสีทองนั่งลงข้างๆหญิงสาวผู้หลับใหล พลางจับจ้องใบหน้าละอ่อนของผู้ที่เธอได้เอ่ยเรียกเมื่อครู่ แต่ก่อนที่มือเล็กๆนั้นจะได้เอื้อมเข้าไปแตะใบหน้านั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเด็กหนุ่มที่ฟุบหลับอยู่ข้างๆเริ่มตื่น ทำให้เด็กน้อยปริศนาหายไปอย่างรวดเร็ว
“เมื่อกี้เหมือนมีคนมาที่นี่ ท่านพี่งั้นเหรอ”
ฟุยูกิพึมพำพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ซาคุโระยังหลับสนิทและมิราอิก็ยังอยู่ที่ปากถ้ำ
“เราคงฝันไปล่ะมั้ง”
พอคิดดังนั้นเด็กหนุ่มก็หลับไปอีกหนด้วยความเหนื่อยอ่อนที่ยังหลงเหลือ
“เกือบไปแล้วสิ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นราวกับเสียงระซิบ ก่อนที่ร่างสีทองของเด็กน้อยคนเดิมจะปรากฏขึ้นและสลายกลายเป็นละอองระยิบระยับล่องลอยออกไปพร้อมๆกับสายลมอ่อนๆที่พัดลงสู่ป่าเบื้องล่าง ปล่อยให้ผู้ที่อ่อนล้าทั้งสามได้พักผ่อนกันตามลำพัง
กองเพลิงที่ร้อนระอุปะทุขึ้นดุจลาวาที่ระเบิดออกจากปล่องภูเขาไฟ ความร้อนแรงของเพลิงกาฬกินเนื้อที่ออกไปไกลกว่าที่จินตนาการเอาไว้ จากป่าทึบที่เยือกเย็นบัดนี้กลับกลายเป็นลานเพลิงที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
โฮโนโอะกำลังประมือกับอสูรกาโระท่ามกลางกองเพลิงนรกอันร้อนระอุ ทั้งคู่ต่างใช้พลังของตนผลัดกันรุกรับอย่างบ้าคลั่งดั่งกองเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่รายล้อม
“หึ…เอาแต่ตั้งรับมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว! หมดแรงแล้วรึไงกัน โฮโนโอะ”
กาโระเยาะเย้ยพลางจับจ้องชายหนุ่มที่แทบจะยืนไม่ไหว สภาพของโฮโนโอะร่อแร่ไม่ต่างจากคนใกล้หมดลมหายใจใช้ดาบประคองตัวเองไม่ให้ล้ม
“ตราบใดที่ข้ายังไม่ตายก็ไม่มีผู้ชนะหรอก”
ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น กาโระรู้สึกไม่สบอารมณ์ขนาดหนักกับความดื้อรั้นของชายหนุ่มตรงหน้าที่มันช่างเหมือนตนเหลือเกิน
“พูดได้ดีนี่…แต่รู้เอาไว้ไอ้หนู ว่าข้าเกลียดคนที่เหมือนข้าที่สุด! นั่นหมายความว่าข้าเกลียดเจ้า! เกลียด! เกลียด! แล้วก็เกลียด!!!! จงกลับไปนรกที่เจ้าสิงสู่ซะเถอะ!!!!”
ขวานสีสนิมถูกห่อหุ้มด้วยไอปีศาจสีดำอันร้อนแรง แหวกอากาศลงมาหมายจะตัดทุกอย่างที่ขวางทางให้ขาดสะบั้น โฮโนโอะหลบวิถีการโจมตีที่รุนแรงนั้นไปพร้อมๆกับใช้ดาบที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์รับโซ่ที่กวัดแกว่งเข้ามาอีกทาง กาโระไม่ยอมหยุดและยังคงฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำ
“ฮ่าๆๆ!!! เป็นยังไงล่ะดิ้นรนไปก็ไม่มีประโยชน์แล้วไอ้หนู!”
“ชิ!”
“จงชดใช้ที่เคยทำกับข้าซะ! ย้ากกกก!!!”
สิ้นสุดเสียงตะเบ็งเซ็งแซ่ของอสูรร่างยักษ์ โซ่ที่โผล่ขึ้นมาจากผืนดินก็เข้ามารัดขาทั้งสองข้างของชายหนุ่มและกระชากจนเขาต้องล้มไปตามแรง
พลั่ก!!
“อั๊ค!”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะช้าลงมากเลยนะ!!”
“ฝันเฟื่อง”
โฮโนโอะยันกายลุกพลางมองอสูรร่างยักษ์ด้วยสายตาที่เย้ยหยัน ยิ้มเยาะอย่างสมน้ำหน้า ทันใดนั้นเองขวานที่พุ่งเข้ามาหมายจะปลิดลมหายใจเขาก็หยุดชะงัก
“เจ้ามันแค่อสูรโง่เง่า ตายๆไปซะ!”
กึก!
“อะไรกัน! ขวานของข้า….ขยับไม่ได้!”
“หึ”
“จะ เจ้าทำอะไร!”
โฮโนโอะไม่ตอบพร้อมกันนั้นก็ยกมือขึ้นเหนือหัวและเปล่งเสียงที่ดังกึกก้องออกมาอย่างแน่วแน่
“จงเปล่งประกายร้อนรุ่มดุจใจข้า!…ดาบเพลิงนรก จงออกมา!”
สิ้นเสียงที่ดังก้องกังวาน ในฝ่ามือของโฮโนโอะก็เกิดประกายแสงเจิดจ้าดั่งกองไฟที่กำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง และเปลี่ยนเป็นดาบรูปร่างเรียวยาวที่ถูกเปลวเพลิงห่อหุ้ม กาโระตกตะลึงและรีบผละออกห่างเพราะความร้อนที่แทบจะทำให้ผิวหนังไหม้เกรียม
“อะไรกัน! ดาบนั่น มันยังมีไม้ตายอยู่อีกรึ”
“โทษทีนะ ที่จริงก็ไม่อยากใช้นักหรอก เพราะข้ายังควบคุมมันไม่ได้ดีพอ แต่ว่า…”
ฉึก!
“อั๊ค!”
“สำหรับอสูรอย่างเจ้าคงไม่จำเป็นต้องควบคุมพลังอะไรหรอก”
“จะ เจ้า~…โฮโนโอะ!”
“เรื่องอะไรข้าต้องลงนรกไปคนเดียว เป็นแบบนั้นข้าก็เหงาแย่น่ะสิ จริงไหม”
โฮโนโอะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบในขณะที่เพลิงจากดาบที่เสียบทะลุอกกาโระเริ่มลุกลามเข้าหาตัวเขา
“โฮโนโอะ ไอ้เด็กเวร!!!”
“มอดไหม้ไปพร้อมกันเถอะ กาโระ!”
“ยะ อย่า!!”
“ เพลิงนรกเจ็ดโลกันต์!!!”
สิ้นเสียงสุดท้ายชายหนุ่มก็หลับตาลงช้าๆอย่างปลงตก กองเพลิงปะทุขึ้นเหนือท้องฟ้ายามราตรี อากาศโดยรอบถูกเผาไหม้ด้วยไอร้อน วายวอดไปพร้อมกับร่างของอสูรสองตนที่อยู่ท่ามกลางกองเพลิง
กาโระไม่สามารถถอดดาบที่ปักอยู่กลางอกออกได้ เช่นเดียวกับโฮโนโอะที่ไม่มีทางหลุดพ้นจากบ่วงโซ่ที่พันธนาการเอาไว้
“ข้านี่มันแย่จริงๆ ทั้งที่พูดออกมาว่าจะส่งยายนั่นกลับบ้านแท้ๆ”
โฮโนโอะพึมพำยิ้มบางๆพลางลืมตาขึ้นมามองแสงแรกของวันใหม่ที่กำลังโผล่พ้นขอบภูเขา แสงแรกของรุ่งสางที่กำลังเข้ามาเยือน ได้สาดส่องทะลุกองเพลิงมาสะท้อนที่ดวงตาของเขาอย่างน่าประหลาด ชายหนุ่มหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งมองแสงสีทองอ่อนๆที่แตะขอบภูผานั้นด้วยความรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ
“รู้สึก….เสียดายอยู่นิดๆเหมือนกันแฮะ ความจริงก็อยากมองให้นานกว่านี้หน่อย”
ประโยคสุดท้ายได้ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เริ่มมืดดำและว่างเปล่า ไม่มีแม้เสียงของลมที่พัดผ่าน
กองเพลิงจากนรกทวีความรุนแรงเผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในวงล้อมของมันให้มอดไหม้อย่างไม่ละเว้น และแรงกดดันมหาศาลที่ปะทุขึ้นเสียดท้องฟ้ายามรุ่งสาง เหมือนจะเป็นข่าวสารบอกเหตุถึงคนไกล
มิราอิสะดุ้งตื่นเมื่อสัมผัสได้ถึงความกดดันประหลาด ฟุยูกิวิ่งออกมาจากถ้ำตรงไปยังริมหน้าผาและตั้งท่าจะกระโดดลงไปอย่างไม่ยั้งรอ
“ท่านพี่!”
“ฟุยูกิ อย่า!!”
“ปล่อยข้านะ!”
“ไม่! ถ้าปล่อยเจ้าข้าก็ผิดสัญญากับเขาน่ะสิ!”
เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีว่าจะฟังและยังพยายามสะบัดตัวให้พ้นจากพันธนาการของพี่ชาย ตอนนี้เขาไม่ได้ต่างไปจากคนเสียสติที่ร้องเรียกหาแต่คนๆเดียว
“ข้าจะไปหาท่านพี่ ปล่อยข้า!!”
“พูดไม่รู้เรื่องรึไง หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
“อ๊าก!!!!”
ฟุยูกิร่ำร้องออกมาอย่างคนเสียสติ แม้ว่าร่างกายจะถูกรั้งเอาไว้ แต่มือทั้งสองข้างก็ยังไขว่คว้าไปข้างหน้าพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบลงมาเป็นสาย เหมือนจะขาดใจเมื่อรู้สึกสูญเสียสิ่งสำคัญไป
ปึก!
พลั่ก!
มิราอิใช้สันมือทุบเข้าที่ท้ายทอยไปเสียแรงๆ ร่างเด็กหนุ่มทรุดฮวบลงอย่างไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ยังมีเสียงสะอึกสะอื้นร้องไห้อยู่ไม่ขาดช่วง
“ห้ามข้าทำไม…ห้ามข้าไว้ทำไม”
“เจ้าเด็กบ้า คิดว่าข้าอยากทำอย่างนี้นักเหรอ! ถ้าปล่อยเจ้าไป ก็ไม่ต่างจากส่งเจ้าไปตายน่ะสิ!!”
มิราอิพยายามทำใจแข็งแบกร่างที่อ่อนปวกเปียกนั้นกลับเข้าไปในถ้ำ ในขณะที่ภาพของการสูญเสียในอดีตกำลังผุดขึ้นมาในหัว ก่อตัวเป็นความรู้สึกผิดดั่งตราบาปที่ลบล้างเท่าไหร่ก็ไม่หาย ขณะที่จิตได้สัมผัสถึงการรุกล้ำเข้ามาใกล้ของบางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นมิตร
บางอย่างที่คืบคลานเข้ามานั้นมีกลิ่นสาบ!...
ซาคุโระยังไม่ได้สติซึ่งเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่กินเข้าไปและต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายวัน แต่รู้สึกว่าที่นี่คงจะไม่เหมาะแก่การพักผ่อนเสียแล้ว มิราอิช้อนร่างบางขึ้นอุ้มพาดบ่ามืออีกข้างคว้าคอเสื้อฟุยูกิให้ลุกขึ้นยืนและพยุงออกไปจากถ้ำริมหน้าผา ถึงจะยังไม่รู้ว่าเจ้าของกลิ่นสาบนั้นคืออะไร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีนักหากจะอยู่รอดูมันปรากฏตัว
“นี่เราจะไปไหนขอรับ!”
“ไปจากที่นี่น่ะสิ!”
ชายหนุ่มกึ่งแบกกึ่งลากสองร่างที่อ่อนปวกเปียกมุ่งหน้าสู่ป่าเบื้องล่างด้วยความเร็ว แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นร่างของอสูรที่ไหม้เกรียมพุ่งเข้ามาหาด้วยความเร็วดั่งพายุ
“เจอแล้ว!”
“กาโระ!”
มิราอิจับจ้องร่างอันไหม้เกรียมของอสูรอย่างตกตะลึง กาโระยังไม่ตายแสดงว่าโฮโนโอะ…แพ้งั้นเหรอ!
อสูรร่างยักษ์ผิวหนังไหม้เกรียมร่อนตัวลงเหยียบพื้นดินก่อนที่จะย่างสามขุมเข้ามาเรื่อยๆ มิราอิที่รับภาระแบกคนสองคนเอาไว้ไม่สามารถขยับได้สะดวก ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นขวานที่ถูกเผาจนดำเหมือนถ่านพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว
“ตายซะ!!”
ตูมมมมมมม!!
พลังทำลายของขวานเหล็กได้ทำลายพื้นเป็นหลุมลึกกลวงโบ๋ ถึงมิราอิจะหลบได้หวุดหวิดแต่ก็เป็นเหตุให้ทั้งฟุยูกิและซาคุโระหลุดมือกระเด็นออกไปคนละทาง
“แย่ล่ะสิ!”
“หึๆๆ พวกเจ้าต้องตาย เหมือนเจ้าเทพกึ่งอสูรนรกหน้าโง่นั่น”
กาโระบริภาษออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ คำพูดประโยคสุดท้ายทำเอามิราอิชะงักไปชั่ววูบก่อนที่แทนที่ด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นจากเบื้องลึกของจิตใจ
“ไม่จริง!”
“หึๆๆ โฮโนโอะมันตายไปแล้ว”
“หยุด…”
“รับไม่ได้งั้นรึ จะบอกให้เอาไหมว่ามันตายยังไง หือ”
“หุบปาก!”
มิราอิพยายามสะกดความโกรธเอาไว้อย่างสุดกำลัง ในขณะฟุยูกิที่ควบคุมอารมณ์ไม่เป็นเริ่มเดือดพล่านและมีพละกำลังขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้าทำอะไร!”
“ฟุยูกิ!”
“เจ้าบังอาจฆ่าท่านพี่ของข้าเหรอ!”
ฟุยูกิที่ไม่ต่างจากคนขาดสติกำลังพุ่งตัวเข้าหากาโระอย่างไร้ความลังเล อสูรร่างยักษ์ที่เกรียมไปทั้งร่างแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันพลางยกขวานขึ้นเหนือหัว หมายจะฟันร่างของเด็กหนุ่มให้ขาดเป็นสองท่อน
“หาที่ตาย เดี๋ยวจะช่วยสงเคราะห์ให้เอง!”
“ฟุยูกิ อย่า!”
กาโระแสยะยิ้มอย่างผู้ชนะพร้อมกับเหวี่ยงขวานเข้ามาหมายจะฟันร่างของเด็กหนุ่ม แต่แล้วก็พบว่าร่างที่พุ่งเข้ามานั้นเป็นเพียงเงาที่หลอกตา และร่างจริงนั้นได้ลอยตัวอยู่กลางอากาศพร้อมกับคำพูดที่แสนจะเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งที่ก้องกังวาน
“ตายเหรอ นั่นมันคำพูดของข้ามากกว่า”
“อ๊ะ! เงารึ”
“ฟุยูกิ!”
“จงตื่นขึ้น! เหล่าภูตเทวะที่สถิตอยู่มิติอันไกลโพ้น…”
ฟุยูกิร่ายเวทกักขระ มิราอิเบิกตากว้างเมื่อได้ยินบทเวทมนตร์ประหลาดที่น้องชายท่อง มันเป็นเวทมนตร์แห่งความมืดที่ร้ายกาจเกินกว่าสายเลือดบริสุทธิ์จะครอบครอง แต่ทำไม…ทำไมน้องชายของเขาถึงได้รู้จัก!
“เจ้าบ้า รู้ตัวรึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา!”
“จงตื่นขึ้น! และเข้ามาสิงสถิตในตัวข้า!”
ฟุยูกกิร่ายเวทจบโดยไม่สนใจฟังเสียงที่ร้องลั่นของคนที่อยู่ข้างหลัง และในชั่วพริบตาที่เวทมนตร์นั้นได้สิ้นสุด แสงวูบวาบหลากสีก็ปรากฏขึ้นในมือสองข้างและขยายใหญ่ขึ้นเหมือนลูกบอลที่ถูกห่อหุ้มด้วยใบมีดโกน
“เจ้าเด็กบ้าเรียกพวกนั้นมาจากไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะฟุยูกิ!”
“อย่ามาขวางดีกว่าน่า!”
“อั๊ค!”
มิราอิทรุดลงกับพื้นทันทีที่โซ่ของกาโระเข้ามารัดคออย่างไม่ทันตั้งตัว โซ่นั้นกำลังดูดกลืนพลังที่อยู่ในตัวของเขา และคงไม่มีทางหยุดจนกว่าพลังในตัวเขาจะหมดสิ้น
“หึๆ รออยู่ตรงนั้น ดูจุดจบของเจ้าเด็กสิ้นคิดดีกว่า”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!”
ชายหนุ่มพยายามแผดเสียงร้องแต่กลับไร้ประโยชน์ สิ่งที่พอมองเห็นผ่านม่านตาที่กำลังจะปิดอย่างโรยแรง ก็คือสายตาเย้ยหยันของอสูรร่างยักษ์ที่กำลังหัวเราะราวผู้ชนะ
“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุด ในที่สุดชัยชนะก็เป็นของข้า วะฮ่าๆๆ!”
ตูมมมมม!!
เสียงระเบิดรุนแรงดังสนั่นจนเกิดเป็นม่านควันหนาทึบ มิราอิพยายามมองฝ่าเข้าไปในม่านควันนั้น ไม่นานนักร่างฟุยูกิก็ลอยหวือออกมาพร้อมๆกับโซ่ที่รัดคออยู่เริ่มคลายออก มิราอิรีบกระชากออกและเข้าไปรับร่างที่กำลังดิ่งพสุธา ฟุยูกิแน่นิ่งแต่ก็ยังมีสติและดวงตาทั้งสองข้างยังกลอกกลิ้งไปมา มิราอิมองเห็นประกายระยิบระยับที่คอของเด็กหนุ่ม นั่นคือเข็มสะกดพลังที่จะทำให้คนที่ได้ลิ้มรสมันกลายเป็นอัมพาตตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าจนกว่าจะถูกดึงออก มีใครซักคนฝังมันเข้าที่คอของฟุยูกิ และคนที่ใช้เข็มสะกดพลังผู้อื่นได้ นอกจากเขาแล้วยังมีอีกคนที่ช่ำชอง…แล้วเขาก็อยู่ที่นี่
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ”
“เฮือก!!”
ทั้งสองสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยันเสียงทุ้มต่ำที่ดังเล็ดรอดออกมาจากกลุ่มควันที่ยังหนาตา ไม่นานก็ได้เห็นเงารางๆของคนที่กำลังเดินออกมาจากม่านควัน และปรากฏเด่นชัดในเวลาไม่นาน
“ท่าน พี่!”
“เราไม่ได้ตาฝาด”
มิราอิจับความรู้สึกตัวเองไม่ถูก คนที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสองคือโฮโนโอะไม่ผิดแน่ ไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาจากไหน แต่ที่น่าตกใจที่สุดก็คือตามร่างกายของชายหนุ่มไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน และพอสายตาของเขาหันมาจับจ้อง ทั้งขวานและโซ่ของกาโระก็ละลายกลายเป็นของเหลวในชั่วพริบตา ซึ่งมันก็ทำให้กาโระอึ้งจนพูดออกมาไม่ได้ศัพท์
“ปะๆๆ เป็นไปไม่ได้! จะๆๆเจ้าตายไปแล้วนี่ ทำไม…”
“เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าใครถึงตัวตนของข้านะกาโระ”
โฮโนโอะสวนกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ผิดกับพลังเพลิงอัคคีที่รายล้อมอยู่รอบกาย ดวงตาสีฟ้าได้กลับกลายเป็นสีแดงเพลิงเจิดจ้าและจับจ้องกาโระอย่างประเมินค่าว่าเป็นเพียงฝุ่นผง
“ข้าเตือนเจ้าแล้วกาโระ และจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว”
“ไม่ อย่า!”
“ร้องขอชีวิตเป็นกับเขาด้วยเหรอ แต่มันสายไปแล้วล่ะ เพราะเจ้าดันมายุ่งกับสิ่งที่ข้าหวงห้าม!”
จบคำพูดประโยคสุดท้ายแสงสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของชายหนุ่มที่ยกขึ้นเหนือหัว ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นดาบรูปร่างเรียวยาวที่ถูกห่อหุ้มด้วยเพลิงกาฬอันร้อนดั่งลาวา กาโระคุ้นตาและยังจดจำความเจ็บปวดที่ได้สัมผัสกับสิ่งๆนี้ได้ดี
“มะๆๆไม่นะ ข้าสำนึกผิดแล้ว อภัยให้ข้าด้วยเถอะ โฮโนโอะ!”
“เรียกชื่อข้าเหรอ คงจะจำความเจ็บปวดที่ถูกมันแทงทะลุร่างขึ้นมาล่ะสิ แต่ว่าเสียใจด้วย ตอนนี้มันสายเกินไปสำหรับคำแก้ตัว ลงไปชดใช้ในนรกเถอะ!!!”
“อ๊าคคคค!!!”
เพียงตวัดดาบน้อยนิด เพลิงกาฬอันร้อนแรงก็เผาผลาญร่างของอสูรอย่างไร้ปราณี ร่างของกาโระขาดเป็นสองท่อนและหลอมละลายไปอย่างรวดเร็ว
มิราอิและฟุยูกิตกตะลึงกับภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาจนพูดไม่ออก นึกในใจอยู่ซ้ำๆว่าคนๆนี้ไม่เหมือนโฮโนโอะที่พวกเขาเคยรู้จักเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหันกลับมามองพวกเขาก่อนที่จะเดินเข้ามาหาและทรุดลงนั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้า เอื้อมมือเข้ามาหาฟุยูกิและดึงเข็มสะกดพลังที่ต้นคอออกพร้อมกับทำลายจนไม่เหลือแม้เศษผง
“อึก! แฮ่กๆๆ…เป็นท่านจริงๆเหรอ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามในขณะที่มองใบหน้าคมคายที่และดวงตาสีฟ้าที่คุ้นเคย
“ท่านกลับมาได้ยังไง”
มิราอิที่เก็บความข้องใจไม่อยู่เอ่ยถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่โฮโนโอะกลับไม่แสดงอาการอะไรและยังเสมองออกไปทางอื่น ก่อนที่จะเปรยขึ้นลอยๆ
“เจ้าก็น่าจะรู้ไม่ใช่รึไง”
“อึก!” ใช่ มิราอิรู้ดี
“เจ้าลูกผู้หญิงอยู่ที่ไหนล่ะ”
“จริงสิ! ท่านซาคุโระ”
ฟุยูกิโพล่งขึ้นพร้อมดีดตัวลุกจากอ้อมแขนพี่ชายอย่างรวดเร็ว โฮโนโอะขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเห็นท่าทีลุกลี้ลุกลนของน้องชายทั้งสองที่สอดส่องสายตามองหาบางอย่าง แต่สิ่งที่ได้พบกลับมีเพียงความว่างเปล่า ไร้ซึ่งร่างของหญิงสาวที่พูดถึง
“หายไป!”
“หมายความว่ายังไง!”
“เป็นไปได้ยังไง ยาที่ข้าใช้ทำให้นางหลับไปสามวันสามคืนเชียวนะ!”
มิราอิแย้งขึ้นทันควันเมื่อท่ามกลางลานกว้างปราศจากร่างของหญิงสาว แม้เงาก็ไม่สะท้อนให้เห็น สิ่งที่พบมีเพียงเสื้อคลุมของตัวเองที่กองอยู่ริมหน้าผา
“ซาคุโระ”
ในระหว่างที่โฮโนโอะกังวลหวาดหวั่นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอคนนั้น ฟุยูกิก็ชะงักไปทันทีเมื่อมีบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้ามาคล้ายจะสะกิดบอกข่าว สักพักเด็กหนุ่มก็เปรยออกมาอย่างคนสติเลื่อนลอย
“นางอยู่ที่ป่าเบื้องล่าง…”
“ว่ายังไงนะ”
“นอนหลับอยู่ที่ทุ่งหญ้า…ใต้ต้นไม้ใหญ่!”
ฟุยูกิพูดออกมาราวกับมองเห็นภาพจริงๆ มิราอิตกตะลึงในดวงตาที่เหม่อลอยนั้นอย่างบอกไม่ถูก หลายครั้งหลายหนที่เขาเห็นน้องชายเป็นอย่างนี้ ทุกครั้งก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหญิงสาวทั้งหมด
“ไปกันเถอะ”
โฮโนโอะพูดพร้อมออกเดินนำหน้าไปตามด้วยมิราอิและฟุยูกิที่เดินข้างกันอยู่ด้านหลัง ในใจของชายหนุ่มยังคงคิดถึงแต่หญิงสาวอย่างหวาดหวั่น
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ถูกรายล้อมด้วยป่าทึบ ร่างของหญิงสาวยังคงแน่นิ่งอยู่บนผืนหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่ที่คอยให้ร่มเงา มีใครบางคนพาเธอมาที่นี่ และยังรู้ด้วยว่าเหล่าทายาททั้งสามกำลังจะมาที่นี่เช่นกันเพื่อตามหาเธอคนนี้
“มากันแล้วสินะ ทายาทแห่งราชันย์…อยากเจอเร็วๆจังเลย ฮิๆๆ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นเป็นประโยคก่อนที่เสียงหัวเราะใสๆจะดังตามมา เจ้าของเสียงหัวเราะเล็กๆยังคงนั่งแกว่งเท้าไปมาอยู่บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่เหนือร่างของหญิงสาวที่นอนนิ่ง ดวงตาสีทองเจิดจรัสฉายแววซุกซนทอดมองไปยังป่าทึบเหมือนกำลังรอคอยอะไรสักอย่างที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ฮิๆๆ…รีบมาเร็วเข้า ข้าอยากพบพวกท่านเร็วๆ”
……………………………………………………………………….
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ