โซ่รักไฟปรารถนา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 22.01 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 22.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ตอนที่ 8 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเช้าของวันต่อมาเชเชนนอฟและโปลิน่า มีโอกาสเข้าพบกับอิกอร์ ซียานอฟเป็นครั้งแรกหลังจากที่ถูกกักตัวเพื่อนสอบสวนความผิดเป็นเวลาหกวันเต็ม ทุกอย่างเป็นไปตามที่เชเชนนอฟคาดการณ์เอาไว้ มีคนอยู่สองจำพวกที่ถูกปล่อยตัวออกมาจากเซฟเฮาส์
จำพวกแรกคือไร้ซึ่งความผิด ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการซ่องสุมกำลัง การคอร์รัปชั่นและอาวุธเถื่อน
ส่วนพ่อของเขานั้นอยู่ในจำพวกหลังซึ่งสืบทราบเบื้องต้นว่ามีส่วนพัวพันกับความผิด นั่นหมายความว่าการพบหน้ากันครั้งนี้เกิดขึ้นในห้องคุมขังของนักโทษทางการเมือง ทั้งที่ถูกตัดสินโทษเด็ดขาดแล้วและอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา เพียงแค่แยกห้องคุมขังทั้งสองส่วนออกจากกันเท่านั้น
“อนุญาตให้เยี่ยมได้ครั้งละสามสิบนาที วันละหนึ่งครั้งเท่านั้นนะครับ” ผู้คุมบอกกฎพร้อมกดสวิตช์ควบคุมประตูห้องแบบอัตโนมัติให้เปิดออก
น่าละอายไม่น้อยที่ให้อดีตภรรยาและลูกชายได้เห็นในสภาพเช่นนี้ อิกอร์ ซียานอฟ นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลในยุโรปเหนือ กว้างขวางและมีคอนเนกชั่นกับบุคคลสำคัญไปทั่วโลก แต่ตอนนี้กลับต้องอยู่ในชุดสีขาวสลับดำซึ่งเป็นชุดของผู้ต้องหาที่ยังอยู่ในขั้นตอนรอพิจารณาคดี ซ้ำร้ายเขายังถูกใส่กุญแจมือยึดไว้กับแท่นเหล็กโค้งซึ่งยึดกับโต๊ะอย่างหนาแน่นอีกทอดหนึ่ง
“แย่จังที่ต้องให้คุณกับลูกเห็นผมในสภาพแบบนี้ ความจริงผม...”
“ฉันเตรียมทีมทนายความเอาไว้แล้ว” โปลิน่าพูดขึ้นมาเสียก่อนเพราะเพียงเท่านี้ก็รู้สึกสงสารอดีตสามีมากพอแล้ว จึงไม่อยากให้เขาต้องพูดออกมาเช่นนี้ รังแต่จะบั่นทอนกำลังใจตัวเองเปล่าๆ “ความจริงแล้วที่ปรึกษากันเอาไว้ ทนายบอกว่าเราจะมีเวลาหารือกันทุกวันวันละชั่วโมง แต่เมื่อกี้นี้ผู้คุมเพิ่งบอกว่ามีเวลาให้แค่ครึ่งชั่วโมงเอง”
อิกอร์ยิ้มเนือยๆ ราวกับคนปลงตก “ถึงแอลเมเรียจะเป็นเป็นประชาธิปไตยมานาน แต่อย่าลืมว่ารากฐานของคอมมิวนิสต์นั้นหยั่งรากลึกในสายเลือด เพราะฉะนั้นอย่าได้หวังว่าจะรับสิทธิที่ควรจะได้ หรือบริการที่โลกตะวันตกให้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม”
“พ่อมักมีเรื่องให้ผมประหลาดใจเสมอ” เชเชนนอฟเปรยขึ้นมาแล้วมองพ่อด้วยสายตาที่ไม่มีใครคาดเดาอารมณ์ได้ “ครั้งสุดท้ายที่นั่งกินมื้อเช้าด้วยกันนั่นดูใกล้เคียงกับพ่อที่ผมรู้จักมาตลอดอายุยี่สิบแปดปี พ่อเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้เพราะเจอผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง หรือเป็นเพราะห้าวันที่ผ่านมาพ่อยอมรับกับความผิดเหล่านั้นจริงๆ”
อาจจะดูเย็นชาไปสักหน่อยหากจะใช้คำถามเช่นนี้กับพ่อที่ยังตกอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก แต่อิกอร์ ซียานอฟ ที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่จะถอดใจจากอะไรง่ายๆ ยิ่งคำพูดในทำนองที่จะปล่อยให้เรื่องราวทุกอย่างผ่านไปนั่นยิ่งไม่ใช่พ่อ
ถ้าวันนี้... ตอนนี้... พ่อร้อนรน เรียกร้องให้ทุกคนระดมสมองและความคิดหาช่องโหว่ของกฎหมายให้รอดพ้นจากการกักขัง นั่นยังทำให้เขารู้สึกวางใจได้มากกว่านี้
“จริงสินะ ถ้าฉันเป็นอิกอร์ ซียานอฟ คงไม่นั่งนิ่งๆ อยู่แบบนี้” พูดพร้อมกระชากข้อมือของตัวเองขึ้น เหล็กกล้าเสียดสีกับข้อมือจนเป็นรอยแดง แต่เจ้าตัวกลับยิ้มอย่างขื่นใจเมื่ออดีตภรรยายื่นมามือแตะหลังมืออย่างให้กำลังใจ “ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร... แค่คุณยื่นมือเข้ามาช่วยผมเพียงเพราะคำขอโทษในวันนั้นผมก็ซาบซึ้งแล้ว ชีวิตหลังห้องขังอาจจะไม่ยาวนาน”
“พอเถอะอิกอร์ อย่าพูดต่อเลย” โปลิน่าเป็นคนออกปากห้าม แต่อิกอร์กลับหัวเราะ แม้จะฝืนทำแต่ก็อยากให้ทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นแค่เรื่องตลก
“มันเรื่องจริงนี่ พ่อแม่ผมไม่มีใครอยู่ได้เกินเจ็ดสิบปีสักคน ถ้าต้องถูกจำคุกจริงๆ ก็คงรับโทษได้ไม่นาน”
จบคำพูดของอิกอร์ประตูอัตโนมัติก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับเสียงของเจ้าหน้าที่คนเดิมที่ดังขึ้น “หมดเวลาแล้วนะครับ”
เด็ดขาด เข้มงวดและไม่มีการผ่อนปรน นั่นทำให้สองแม่ลูกคุสโตดิเยฟลุกจากเก้าอี้และ โปลิน่าก็หันไปพูดกับอดีตสามีเร็วๆ ก่อนจะก้าวออกมาจากห้อง
“พรุ่งนี้ฉันจะมาพร้อมกับทีมทนายความ”
อิกอร์ยิ้มอย่างขอบคุณเพราะไม่คาดคิดว่าผู้หญิงที่ตั้งแง่เป็นอริกับตนมาตลอดเวลานั้นจะยอมลดทิฐิและวางอดีตที่ไม่น่าจดจำต่อกันไว้แล้วหันมาช่วยเหลือตนเช่นนี้ ประตูที่ปิดลงนั้นเป็นเหมือนม่านเหล็กกั้นให้รู้สำนึกกับความผิดที่ตนได้ก่อไว้ในอดีต
ความรู้สึกของสองแม่ลูกคุสโตดิเยฟนั้นแตกต่างกันลิบลับ โปลิน่าเชื่อและให้อภัยอดีตสามีอย่างง่ายดาย จนลูกชายที่อยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมาตลอดเวลานั้นงุนงงไปกับการตัดสินใจของคนเป็นแม่ แต่เขาก็เลือกที่จะเงียบไม่เข้าไปก้าวก่ายในการตัดสินใจนั้น
“การเงียบและคิดหาคำตอบด้วยตัวเองไม่ได้ทำให้ความหงุดหงิดใจของลูกลดลงหรอกนะเชเชน” โปลิน่าเปรยขึ้นเมื่อรถยนต์คันใหญ่แล่นออกมาได้ไกลพอสมควร
เชเชนนอฟหันมายิ้มที่มุมปากให้คนเป็นแม่แล้วไหวหัวไหล่อย่างยอมรับ “ผมไม่ได้หงุดหงิดใจ แต่แค่... แปลกใจว่าทำไมแม่ถึงเชื่อพ่อง่ายนัก”
“เพราะแม่ได้คำขอโทษ”
คำตอบนั้นทำให้พ่อค้าอาวุธสงครามหันกลับไปมองหน้าแม่อีกครั้ง แล้วย้ำถามอย่างไม่อยากเชื่อหู “ง่ายๆ แค่นี้”
“ชีวิตคู่ไม่ง่ายหรอกลูก... บางทีทะเลาะกัน ความคิดไม่ลงรอยกัน แต่ทุกอย่างจบลงได้เพราะคำขอโทษ ซึ่งแม่ไม่เคยได้รับเลยตลอดการใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายที่ชื่ออิกอร์ ซียานอฟ” โปลิน่าบอกแล้วปรายตามองลูกชายที่อยู่เคียงข้างตนมาตลอดเวลา มันคงเป็นเรื่องปกติที่ลูกชายจะเข้าอกเข้าใจคนเป็นแม่ ในขณะที่พ่อจะมีความเอ็นดูลูกสาวมากกว่า “ถ้าลูกเคยรอคอยอะไรมาจนเกิดความเบื่อหน่าย รอมานานจนคิดว่าความโกรธแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว อย่าว่าแต่คำขอโทษเลย แค่รอยยิ้มอย่างจริงใจ ลูกก็ไม่ถือโทษโกรธเคืองเขาแล้ว”
“ผมนึกว่าแม่เกลียดพ่อเสียอีก”
“ผู้หญิงนะเชเชน จะเกลียดคนที่เคยนอนเตียงเดียวกันได้มากสักแค่ไหนกันเชียว ถ้าแม่เกลียดพ่อของลูกจริงๆ มีเหรอที่จะทนแชร์อากาศบนโลกใบนี้ร่วมกับเขาได้ บางทีแม่อาจจะสั่งเก็บเขาไปตั้งแต่ก่อนเซ็นใบหย่าด้วยซ้ำ” ตอบด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“โหดอย่างนั้นเชียว” กระเซ้าเย้าแหย่แม่และเพิ่งได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอารมณ์ของผู้หญิงช่างลึกซึ้ง บางครั้งก็ยากเกินกว่าจะทำความเข้าใจ
ดูตัวอย่างแม่ของเขาหน่อยเป็นไร ท่าทีที่แสดงออกมาว่าชังน้ำหน้าพ่อนักหนา แต่แค่คำขอโทษสั้นๆ ง่ายๆ กลับพลิกจากอริให้กลับมาเป็นมิตรได้อีกครั้ง ทว่าการทอดถอนหายใจของแม่นั้นก็ทำให้เขาหลุดออกมาจากความคิดของตน
“เหลือเวลาอีกแค่ห้าวัน พ่อของลูกก็ต้องขึ้นศาลแล้ว แต่ความจริงเรามีเวลาเตรียมตัวแค่สองชั่วโมงครึ่ง”
เธออาจจะช่วยหาทีมทนายความฝีมือยอดเยี่ยม มีลูกล่อลูกชน ไหวพริบเป็นเลิศ แต่ทุกคนเพิ่งมาศึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน แล้วเรื่องที่อิกอร์ทำก็เป็นความลับสุดยอด การจะเก็บเอกสารที่เป็นความลับดังกล่าวนั้นมันก็น้อยนิดเต็มที
เชเชนนอฟรู้ถึงความตั้งใจดี หวังดีของแม่ที่จะช่วยพ่ออย่างบริสุทธิ์ใจแต่เท่าที่เขาสืบรู้มานี้ ความผิดของพ่อมีมากและยากเกินจะหาช่องโหว่ของกฎหมายแล้วสลัดความผิดให้พ้นตัว
“บางทีถ้าเราเปลี่ยนจุดประสงค์จาก...” เว้นระยะในคำพูดแล้วสบสายตาคนเป็นแม่พลางเลื่อนมือไปวางบนหลังมือนุ่ม บีบกระชับเป็นจังหวะอย่างให้กำลังใจ “ทำให้พ้นผิดเป็นรับโทษน้อยที่สุด ความเป็นไปได้น่าจะมีมากกว่า”
โปลิน่าพยักหน้ารับเพราะเธอเองก็คิดเช่นนั้นหลังจากที่ได้ร่วมหารือกับทีมทนายความ “ก็หวังให้เป็นอย่างนั้น”
หลังกลับจากเยี่ยมอดีตสามี เธอและเชเชนนอฟเรียกทีมทนายความเข้ามาระดมความคิด และต้องเตรียมเอกสารทุกอย่างให้ครบถ้วนเพราะในแต่ละวันนั้นมีเวลาปรึกษาหารือกับอิกอร์เพียงแค่สามสิบนาที แม้ทนายความยังไม่เปลี่ยนเป้าหมายที่จะทำให้ลูกความพ้นจากความผิดไปเสียทีเดียว แต่คำสั่งและเหตุผลของซีอีโอแห่งไอจีโอ ซิสเทม ก็เป็นความจริงที่ไม่อาจมองข้ามได้เช่นกัน
แม้ลูกชายจะถกปัญหาในทุกข้อเท็จจริงตามเอกสารมากมายกับทีมทนายความอย่างออกรส แต่นั่นก็เป็นเพราะทุกคนอยากให้อิกอร์ ซียานอฟ ได้รับบทลงโทษที่น้อยที่สุดหรือพ้นจากความผิด ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งเมื่อเทียบกับข้อหาซ่องสุมกำลังเถื่อนและเป็นผู้ผลิตอาวุธสงครามเถื่อน
ข้อได้เปรียบนั้นมีเพียงแค่ว่า... ยังไม่มีใครสารภาพว่าอิกอร์ ซียานอฟเกี่ยวข้องกับการซ่องสุมกองกำลังนี้และยังไม่มีใครพบคลังอาวุธสงครามเถื่อนที่ว่านี้เท่านั้น
ทว่าหลังจากการหารือสิ้นสุดลงในช่วงบ่ายของวัน ลูกชายของเธอกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นทุกวันที่ผ่านมา กระทั่งปาเวลและมิเตียก็ไม่ได้รับคำสั่งแต่อย่างใด นั่นทำให้โปลิน่าเกิดความประหลาดใจยิ่งนัก และไม่มีทางที่เธอจะล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของลูกชาย นอกเสียจากว่าแอบทำอย่างลับๆ
ว่ากันว่าความพึงพอใจของมนุษย์นั้นไร้ขอบเขตและขีดจำกัด การทรยศ หักหลังและภาพครอบครัวที่สมบูรณ์นั้นสร้างความแค้นเคืองให้พ่อค้าอาวุธสงคราม แต่ในขณะเดียวกันการได้เฝ้ามอง ได้รับรู้ความเป็นไปของเธอและลูกในแต่ละวัน ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นๆ
บาดแผลในใจนั้นลึกมากสักแค่ไหน เขาก็ต้องหาทางเยียวยาตัวเองมากเท่านั้น
เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นสั่งกาแฟในเมนูเดิม ใกล้เคียงกับเวลาเดิมเมื่อสองวันที่แล้วทำให้พีด้าหันขวับกลับไปมองยังต้นกำเนิดเสียง แล้วยิ้มสดใสมองตามร่างสูงใหญ่ที่เดินจากเคาน์เตอร์มานั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม
เชเชนนอฟแทบจะยกมือขึ้นไปดึงผมเปียข้างหนึ่งให้เด็กร้ายเดียงสารู้สึกตัว เมื่อรอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นไม่ต่างจากสาวน้อยกำลังเขินอายแฟนหนุ่ม แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่วางเฉยเท่านั้น
“ว้าว... วันนี้มาแบบเจ้าชายใจร้าย”
คำทักทายนั้นทำให้เชเชนนอฟเหลือบสายตาลงสำรวจตัวเองแล้วจึงเข้าใจในความหมายนั้น เขาใส่สูทแต่ไม่ได้ผูกเนกไทและยังปลดกระดุมเสื้อสองเม็ดแรกออกด้วย “แล้วถ้าเจ้าชายใจร้ายจริงๆ เธอจะเกลียดฉันไหม”
คนถูกถามรีบวางดินสอสีแล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปากตัวเองแล้วส่ายหน้าเร็วๆ เป็นคำตอบ
เป็นอีกครั้งที่เชเชนนอฟอยากดีดหน้าผากมนโทษฐานที่ทำท่าทางเขินอายได้เกินกว่าวัยไปหลายปี แต่ก็ทำได้เพียงแค่ปั้นหน้าเมื่อยแล้วเริ่มตะล่อมถามในข้อสงสัยที่กวนใจมาตั้งแต่เมื่อคืน การใช้เวลาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ แม้จะเป็นตอนกลางคืนแต่เขาก็สำรวจและจดจำได้ทุกมุม
...มันน่าประหลาดที่ไม่ได้เห็นข้าวของเครื่องใช้ของผู้ชายที่ควรมีในห้องน้ำ ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางรองเท้า มีเพียงรูปภาพติดผนังแค่รูปเดียวที่แขวนไว้เหนือทีวี มันดูผิดวิสัยไปจากครอบครัวทั่วไปและตอนนี้เขาก็กำลังคิดหาคำถามดีๆ มาตะล่อมถามเด็กร้ายเดียงสา
ถ้าเป็นเด็กคนอื่นๆ ที่ไม่รู้มาก ไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แบบนี้ โจทย์ของเขาก็คงง่ายขึ้น
“เอ่อ... อยู่แต่ในร้านแบบนี้ไม่เบื่อเหรอ ฉันไม่เห็นเธอออกไปเล่นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เลย” ถามพลางแกว่งน้ำตาลในถ้วยกาแฟอยู่สักสองรอบ แม้จะยกมันขึ้นดื่มแต่ยังจ้องมองใบหน้าจิ้มลิ้ม ใจเย็นรอฟังเธอตอบเพื่อที่จะเปลี่ยนคำถามต่อไป
“หนูสัญญากับแม่ไว้ค่ะ ช่วงนี้มีแก๊งลักเด็กเยอะ แม่หนูกลัวจนแทบจะไม่กล้าปล่อยหนูไว้คนเดียว” พีด้าตอบตามความจริง
“แล้วแม่ไปไหนถึงได้ทิ้งเราไว้คนเดียว”
“ไม่ได้ทิ้งนะ หนูต้องทำการบ้าน แม่ต้องไปเยี่ยมอันเดรที่โรงพยาบาลค่ะ”
เข้าทางแล้ว เชเชนนอฟคิดในใจ “ใครคืออันเดร พ่อเธอเหรอ”
พีด้าส่ายหน้าพร้อมตอบคำถาม “เปล่าค่ะ ลุงอันเดร เป็นเพื่อนแม่”
คำตอบนั้นทำให้เชเชนนอฟหรี่ตามองสาวน้อยราวกับไม่เชื่อในคำตอบ ตวัดเสียงถามด้วยความตกตะลึง “อันเดรไม่ใช่พ่อเธอเรอะ”
อีกครั้งที่พีด้าละสายตาจากการบ้านแล้วส่ายหน้าไปมาจนผมเปียทั้งสองข้างไกว่ตามแรงนั้น “ไม่-ใช่-ค่ะ มันยากเหรอคะ คุณถึงไม่เข้าใจ”
อะไรที่ถูกย้ำถามบ่อยๆ หลายๆ ครั้งนั่นแปลว่าต้องเป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยากมาก พีด้าคิดและเรียนรู้มาเช่นนี้
“เอ่อ... มัน ซับซ้อน...” คำตอบของคนที่กำลังเรียบเรียง ลำดับความคิด เขาเข้าใจมาตลอดว่าอันเดร ก่อนหมดสติยังกำรูปของนราวิกาและพีด้าเอาไว้แน่น ซึ่งนั่นก็บ่งบอกให้รู้อยู่แล้วว่าเป็นห่วงเป็นใย เรื่องปกติสามัญของคนเป็นพ่อ แต่คำตอบที่ย้ำหนักแน่นว่าอันเดรไม่ใช่พ่อของพีด้านี้คืออะไร!?
เชเชนนอฟตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เขากะพริบตาติดๆ กันเมื่อเห็นสาวน้อยโบกมือให้กับใครสักคนที่เดินผ่านกระจกใสไปเมื่อครู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเขาก็ไม่ทันตั้งตัว เสียงเรียกที่ดังขึ้นด้วยความดีใจยังไม่อาจเรียกสติของพ่อค้าอาวุธสงคราม ผู้ที่ไม่เคยจนต่อแต้มให้ใครในเชิงธุรกิจ
“แม่ขา... ทำไมกลับมาเร็วจัง” พีด้าถามด้วยน้ำเสียงสดใสและไม่ทันได้สังเกตว่าคนเป็นแม่นั้นก้าวเข้ามาในร้านได้ไม่กี่ก้าวก็ยืนนิ่ง กระเป๋าที่ถือไว้ในมือหลุดร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น นั่นทำให้พีด้าเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้แล้วเดินไปหยิบกระเป๋าถือขึ้นมาพลางแนะนำเจ้าชายที่เคยเล่าให้แม่ฟังรู้จัก “คนนี้ไงคะ เจ้าชายที่หนูเคยเล่าให้แม่ฟัง”
มันเหมือนโลกหยุดหมุน ดวงตาสองคู่กำลังจ้องมองกันโดยไม่มีทีท่าว่าใครจะเป็นฝ่ายละสายตาก่อน นราวิกาตกใจจนต้องยกมือขึ้นทาบอก จังหวะของหัวใจที่เต้นระส่ำ มือเท้าเย็นเฉียบ เพราะในชีวิตนี้ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้พบเจอเขาซึ่งๆ หน้าเช่นนี้
“เชเชน...” เสียงหวานที่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากอิ่มนั้นเบาโหวงจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
ทว่าคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่กลับคว้ามือแม่ไว้แล้วถามยิ้มๆ ด้วยความขวยเขิน “หล่อใช่ไหมคะ”
เชเชนนอฟเองก็ไม่อาจบรรยายความรู้สึกที่ได้มองหน้า สบตาเธอตรงๆ เช่นนี้ได้ ความจริงแล้วเขามีร้อยแปดพันวิธีที่คิดไว้ในหัวว่าจะรับมือกับเธออย่างไร เมื่อถึงเวลาอันสมควรที่ควรเปิดเผยตัว แต่เหมือนกำลังสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกกับเรื่องที่พีด้ายืนยันว่าอันเดรไม่ใช่พ่อ!
“คงไม่ต้องรักษามารยาทด้วยการพูดว่ายินดีที่ได้พบกันอีกครั้งหรอกนะ นราวิกา” แม้สีหน้าจะดูราบเรียบและยังมีรอยยิ้มให้เธอ แต่คำทักทายด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันนั้นก็ทำให้นราวิกาแทบจะไร้แรงทรงตัว
นัยน์ตาสีฟ้าเข้มที่คอยกวนใจมาตลอดสัปดาห์ทำให้เธอรู้ว่าภาพที่เห็นและคิดว่าตัวเองตาฝาดไปนั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด ทว่าสายตาที่เขาใช้มองเธอนั้นดูร้ายกาจและเต็มไปด้วยไฟโทสะมากกว่าครั้งสุดท้ายที่เธอตัดสินใจเดินออกจากเพนต์เฮาส์สุดหรูนั่นเสียอีก
คำถามกระแทกใจต่อมาจึงเกิดขึ้นว่า... ถ้าเกลียดชังเธอถึงอย่างนี้แล้วมานั่งคุยอยู่ในที่ที่เป็นอาณาเขตของเธอได้อย่างไร สัญชาตญาณของคนเป็นแม่ไม่เคยพลาด เธอดึงตัวลูกสาวที่ยืนอยู่ใกล้เข้ามาแนบกายแล้วหันไปสั่งพนักงานเสิร์ฟที่ยืนอยู่บริเวณนั้นเสียงแข็ง
“พาพีด้าเข้าไปหลังร้าน อย่าออกมาจนกว่าฉันจะเรียก ทุกคน”
ไม่เคยสักครั้งที่จะได้ยินน้ำเสียงในโทนดุกร้าวเช่นนี้ นั่นทำให้พนักงานและลูกสาวต้องปฏิบัติตามคำสั่งโดนไร้ซึ่งข้อโต้แย้ง นั่นทำให้คนที่นั่งอยู่ไม่ไกลเบ้ปากและโคลงศีรษะราวกับจะชื่นชม
“เฉียบขาดดี ดูแกร่งขึ้นเยอะ” ไม่พูดเปล่าแต่ยังกวาดสายตามองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ความจาบจ้วง ไม่เกรงใจที่ส่งผ่านมาให้ทางสายตานั้นทำให้นราวิกาต้องกำมือแน่น สิ่งที่เธอปกปิดไว้นั้นเหมือนชนักติดหลังที่สร้างความหวาดกลัวต่อผู้ชายที่กำลังยืดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ก็คงดีกว่าคุณ หยาบคายได้มากกว่าเดิมเยอะ”
เชเชนนอฟหัวเราะร่วนแต่เป็นเสียงหัวเราะที่ข่มขวัญ คุกคามความรู้สึกของคนฟังยิ่งนัก นั่นยังไม่นับรวมกับการสาวเท้าเข้าไปหาเธอ ทุกก้าวที่เขามุ่งหน้าและเธอถอยหลังนั้นยิ่งทำให้นึกลำพองใจ
“อย่าเข้ามานะ ไม่งั้นฉันจะโทรเรียก...”
“ตำรวจ” เชเชนนอฟพูดโพล่งออกมาเสียเอง “เอาสิ! แจ้งข้อหาอะไรดี”
ไม่ผิดจากคำพูดของเขาหรอก ถ้าแจ้งความจริงๆ แล้วจะกล่าวหาเขาอย่างไร “ฉันจะโทรเรียกสามีให้มาจัดการกับคุณ ไม่ถึงห้านาทีอันเดรต้องมาถึงที่นี่”
เธออาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นคนพาอันเดรไปส่งโรงพยาบาล และอาจจะไม่รู้ว่าพีด้าได้ย้ำกับเขามาหลายครั้งแล้วว่าอันเดรไม่ใช่พ่อ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้เขาจ้องเธอนิ่งอย่างจับผิดเพราะกำลังสงสัยว่า... ทำไมถึงต้องโกหกว่าอันเดรคือสามี
ความตกใจ หวาดกลัวไปต่างๆ นานานั้น ทำให้นราวิกาเดินเข้าไปติดกับของเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“ถ้าคุณเอ่ยชื่อผู้ชายสักร้อยล้านคนบนโลกใบนี้มา ผมจะไม่แปลกใจหรือสงสัยเลยสักนิด เพราะก่อนที่คุณจะเข้ามาพีด้าเพิ่งบอกผมว่าอันเดรไม่-ใช่-พ่อ” ใบหน้างดงามที่ถอดสีนั้นยิ่งทำให้เขาเกิดความสงสัยและดักคออย่างรู้ทันความคิดเมื่อเห็นเธอเริ่มเผยอริมฝีปาก “อย่าบอกนะว่านั่นเป็นคำพูดของเด็ก เชื่อถือไม่ได้ ไร้น้ำหนัก ลูกคุณรู้ความกระทั่งแยกแยะได้ว่าใครหล่อ ไม่หล่ออย่างนั้น”
โอ... ใครก็ได้ช่วยฉันที! นราวิกาคร่ำครวญในอก
เมื่อก่อนเคยคิดว่าการหาคำตอบมาอธิบายให้ลูกสาวได้เข้าใจช่างเป็นเรื่องที่ยากลำบากนัก แต่การโกหก ปิดบังสักเรื่องให้คนที่ฉลาดเป็นกรดเชื่ออย่างสนิทใจนั้นยากยิ่งกว่า
สายตาที่จ้องมองอย่างจับผิดและท่าทางคุมคามที่ไม่ยอมผ่อนปรนนี้ ทำให้นราวิกาหมดสิ้นความอดทน ตอกกลับออกไปอย่างเหลืออด “ก็ฉันจะท้องกับใครหน้าไหน นอนกับผู้ชายมาจนไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของลูกแล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ มายุ่งอะไรกับครอบครัวของฉัน”
ยิ่งเธอประกาศราวกับว่าเป็นผู้หญิงรักสนุก นอนกับผู้ชายจนไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของลูกยิ่งทำให้เขาโกรธจัด เริ่มควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ใจจริงแล้วอยากจะเข้าไปเขย่าตัวเธอให้หยุดพ่นคำพูดแย่ๆ นั้นออกมา
แต่ท่าทางที่เธอถอยหลังกรูดอย่างขยะแขยง หวาดกลัวนั่นต่างหากที่ห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนั้น แต่กลับโยนบางอย่างที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงทิ้งลงบนโต๊ะที่ตั้งอยู่ด้านหลังเธอ
“งั้นอันเดรมันก็คงเป็นหนึ่งในคู่นอนที่ยังห่วงใยคุณกับลูก ลูกของใครก็ไม่รู้สินะ ถึงได้กำรูปไว้แน่นขนาดนี้”
ทว่าก่อนที่ทั้งคู่จะวิวาทะกันต่อนั้น ประตูของร้านก็ถูกเปิดเข้ามาโดยสาวสวยจัดคนหนึ่งซึ่งมองทั้งคู่ที่ยืนประจันหน้ากัน นั่นทำให้เธอชะงักการก้าวเดินแล้วหยุดยืนตรงหน้าประตูร้าน
“เอ่อ... ฉันมาผิดเวลาไปไหมคะ” การยืนอยู่ในระยะที่ใกล้กันเช่นนี้ ทำให้วลาด้าคิดว่าทั้งคู่รู้จักกัน ความจริงแล้วเธอไม่ได้นัดกับเชเชนนอฟเอาไว้ก่อน แต่เมื่อไปหาที่คฤหาสน์ซียานอฟไม่เจอก็เลยคิดว่าเขาน่าจะมานั่งจิบกาแฟที่ร้านนี้
“ไม่” ห้วนจนแทบเป็นเสียงตวาด แต่ประโยคต่อมากลับเป็นอีกคนละความรู้สึกซึ่งเสียดแทงหัวใจของนราวิกาเหลือเกิน “มาได้ถูกเวลาแล้ว ที่รัก”
วลาด้ายิ้มรับกับคำเรียกนั้น และมองคนที่เดินเข้ามาโอบเอวตนอย่างไม่เข้าใจนัก “ฉันรอข้างนอกได้นะคะ ถ้าคุณยังมีธุระคุยกับเธอ”
“เรื่องไร้สาระ” ตอบแล้วส่ายหน้าก่อนจะเกี่ยวเอวบางเดินออกไปจากร้าน
นราวิกาได้แต่มองตามและคิดว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้หันกลับมามองในตอนที่เธอทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรงเช่นนี้ ทว่าสายตาไปกระทบกับกระดาษที่ยับยู่ยี่จึงเลื่อนมือไปหยิบมันขึ้นมาคลี่ออก จึงได้พบว่ามันเป็นรูปในวันเกิดของพีด้าซึ่งเธอเห็นอันเดรใส่มันไว้ในกระเป๋าสตางค์ แล้ววันต่อมาก็เกิดเรื่องขึ้น หากแต่มันไปอยู่กับเชเชนนอฟได้อย่างไร?
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ