โซ่รักไฟปรารถนา
เขียนโดย ศิริพารา
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 22.01 น.
แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 22.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) ตอนที่ 9 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากนั่งสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ นราวิกาก็ตัดสินใจพาลูกสาวเดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ที่รับตัวอันเดรเข้ามารักษาในตอนแรก จึงได้คำตอบว่ามีชายร่างสูงใหญ่สองคนเป็นคนพาตัวคนป่วยเข้ามาส่งและชื่อที่แจ้งเอาไว้เพื่อให้เจ้าหน้าตำรวจติดต่อกลับก็มีอยู่สองชื่อ หนึ่งในนั้นคือเชเชนนอฟ คุสโตดิเยฟ
‘แม่ขา... แม่รู้จักเจ้าชายด้วยเหรอคะ’
‘แม่คุยอะไรกับเขา แล้วเขาชื่ออะไรคะ พีด้าก็ลืมถามมัวแต่คุยกับเจ้าชายเพลิน ความจริงไม่ได้คุยเพลินหรอก มัวแต่เขินมากกว่า’
อีกสารพัดคำถามถึงเจ้าชาย สีหน้าและแววตาบ่งบอกว่ามีความสุข ชื่นชอบกับการที่ได้คุยกับ... พ่อบังเกิดเกล้า!
นราวิกากล้ำกลืนฝืนยิ้มให้ลูกสาว เลือกที่จะชวนคุยเรื่องอื่นแต่เธอก็ลืมไปว่าทุกครั้งที่ทำเช่นนี้นั่นทำให้ลูกสาวเข้าใจแล้วว่าตนกำลังบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถาม
การวางเฉยและเบี่ยงเบนความสนใจไปเรื่องอื่น ไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก ยิ่งออกคำสั่งห้ามไม่ให้พีด้าพูดคุยกับเขาอีกนั่นยิ่งทำให้ลูกสาวต่อต้าน ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลหัวข้อที่เธอและลูกคุยกันก็ยังไม่พ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา ได้พักใช้ความคิดสักหน่อยก็ช่วงที่อยู่ในโบกี้รถไฟใต้ดินซึ่งมารยาทของชาวแอลเมเรียนั้นจะไม่พูดคุยกัน
ออกจากมีโตรเดินมาถึงบ้านยังไม่พ้นคำถามเดิมๆ ซึ่งนราวิกาไม่ได้หงุดหงิดใจกับคำถามเดิม แต่หงุดหงิดตัวเองที่ไม่อาจอธิบายอะไรได้ดีไปกว่าการเงียบ
“หนูไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องห้ามไม่ให้พูดคุยกับเขา ทั้งที่แม่ก็รู้จักเขาแล้วหนูก็ชอบเขา” พีด้าบอกพร้อมด้วยใบหน้าบึ้งตึง ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องส่วนตัว ทิ้งให้คนเป็นแม่ได้แต่ถอนหายใจจนขี้คร้านจะนับ
ถ้าเชเชนนอฟไม่ใช่พ่อของพีด้า เธอก็คงคิดหาคำอธิบายได้ดีกว่านี้ ด้วยเหตุผลและความจำเป็นหลายอย่างที่ทำให้เธอไม่ได้เดินเข้าไปหาและบอกว่าตั้งท้อง จนเวลาล่วงเลยมาถึงแปดปี เวลาทุกวินาที ทุกวันนั้นเธอทุ่มเทให้กับการเลี้ยงดูฟูมฟักและไม่เคยมานั่งคิดว่าจะตอบคำถามอย่างไร
จริงอยู่ว่ามีช่วงวัยหนึ่งของพีด้าที่มักถามถึงพ่อ เมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ มีทั้งพ่อและแม่พร้อมหน้า แต่เธอก็อธิบายให้ลูกฟังด้วยเหตุผลง่ายๆ สั้นๆ ตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลังว่า... พ่อของพีด้าได้ตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว
เหตุผลที่อาจจะฟังดูตลก คร่ำครึแต่นั่นก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเธอ เพราะไม่เคยคาดคิดสักครั้งว่าวันหนึ่งเชเชนนอฟจะมายืนอยู่ตรงหน้า แล้วพีด้าตั้งคำถามกับเธอว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร?
...เพื่อนเก่า แฟนหนุ่มคนแรกของแม่ หรือพ่อของลูก
ไม่ว่าจะในสถานะใด จริงเท็จสักแค่ไหน นราวิกาก็ไม่อยากให้ลูกสาวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพ่อบังเกิดเกล้าที่ไม่เคยรู้เลยว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ถึงแปดปีเต็มแล้ว
คงเป็นคืนแรกที่นราวิกาไม่อาจข่มตาให้หลับหรือข่มใจให้สงบได้ เธอพลิกตัวกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง เปลี่ยนท่านอนทั้งตะแคงซ้าย-ขวา จนนอนหงายลืมตาโพลงในความมืดมองเพดานอยู่ครู่ใหญ่ รำคาญใจที่นอนไม่หลับและคำถามมากมายที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับเชเชนนอฟก็กวนใจอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเขาบังเอิญไปเจออันเดรถูกซ้อมในกาสิโนจึงนำตัวส่งเข้าโรงพยาบาลอย่างพลเมืองดีทั่วไปแล้ว...
เพราะเหตุใดถึงต้องเข้ามาข้องเกี่ยวกับพีด้า นับๆ ดูตั้งแต่วันแรกที่พีด้าเล่าให้ฟังว่าเห็นเจ้าชายรูปหล่อจนถึงวันนี้ก็นานเกินสัปดาห์?
เพราะอะไรรูปที่อยู่ในกระเป๋าสตางค์ของอันเดรถึงไปอยู่กับเขาได้??
แล้วทำไมเขาถึงได้เกิดความสงสัย เกี่ยวกับเรื่องพ่อของพีด้า???
...ยังมีอีกหลายคำถามที่ประดังประเดเข้ามา สุดท้ายเธอต้องผุดลุกขึ้นมานั่งกลางเตียง บางครั้งก็อยากกรีดร้องออกมาดังๆ ไม่ว่าจะหันหน้าไปหาใครก็คงจะมีแต่คนตั้งคำถาม ทั้งลูกทั้งผู้ชายใจร้าย เพื่อนคนเดียวที่สามารถระบายความอัดอั้นใจได้ทุกเรื่องก็ต้องมีอันมาล้มเจ็บ แม่ซึ่งป่วยนอนติดเตียงมานานก็ไม่ควรที่จะต้องมารับรู้เรื่องไม่สบายใจไปกับเธอด้วย
นราวิกาหย่อนปลายเท้าลงจากเตียงแล้วย่องออกมาจากห้องนอนด้วยปลายเท้าเพราะไม่อยากให้แม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก เธอและแม่นอนห้องเดียวกันซึ่งก่อผนังปูนขึ้นมากั้นกลางเพื่อให้พื้นที่ส่วนตัวกับเธอบ้างตามสมควร ส่วนอีกห้องนั้นมีพื้นที่เล็กกว่ามากจึงยกให้เป็นห้องนอนส่วนตัวของพีด้า
เมื่อออกมาอยู่นอกห้องนอนจึงเดินเหินไปอย่างปกติ จุดหมายคือตู้เย็นเพราะหวังว่านมอุ่นๆ จะช่วยให้หลับสบายขึ้น แม้จะเหลือเวลาอีกเพียงแค่สองชั่วโมงก็จะถึงเวลาตื่นนอน ความเงียบสงัดที่รายล้อมรอบตัวนี้ยังทำให้เสียงเทนมสดลงในแก้วยิ่งดังชัดเจน ก่อนจะอุ่นในไมโครเวฟยังไม่วายคิดถึงภาพสุดท้ายที่ฝ่ามือแกร่งนั้นโอบเข้าที่เอวคอดของผู้หญิงคนนั้น
‘มาได้ถูกเวลาแล้ว ที่รัก’
คำเรียกขานที่เคยเป็นของเธอตอนนี้กลับกลายเป็นของผู้หญิงคนอื่น ความชอกช้ำใจที่เกิดขึ้นจากเขาและความลำบากยากแค้นที่เลี้ยงดูเลือดเนื้อเชื้อไขที่ร่วมกันสร้างขึ้นมาเพียงลำพัง ยิ่งทำให้ภาพเรื่องราวในอดีตรื้อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำแสนหวานชัดเจนมากแค่ไหน ความโหดร้าย เสียใจอย่างรุนแรงในวันที่จากลายิ่งชัดเจนกว่า
ติ๊ง...
เสียงไมโคเวฟดังขึ้นพร้อมๆ กับขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นอีกครั้งจนเธอต้องหลับตาแล้วห่อไหล่เข้าหากัน แต่กลับเห็นใบหน้าของเชเชนนอฟผุดขึ้นมาในความมืดมิด รอยยิ้มเย้ยหยันและแววตาคมกริบบ่งบอกว่ากำลังเรียกร้องบางอย่างจากเธอยังตามหลอกหลอนได้เป็นอย่างดี แต่คำพูดของเขานั้นยังก้องอยู่ในหู...
เมื่อเธอและลูกเป็นแค่เรื่องไร้สาระสำหรับเขา แล้วเขายังจะต้องการอะไรจากเธอ มันน่าสมเพชตัวเองนักที่คิดไปเอง กังวลใจไปเองว่าตนและลูกเป็นสิ่งที่เขาจะกลับมาเรียกร้อง
นราวิกาอดยิ้มค่อนขอดตัวเองไม่ได้ ในขณะที่ถือแก้วนมสดอุ่นจัดเดินออกมานั่งอยู่บนโต๊ะอเนกประสงค์ชุดกะทัดรัด เธอเกือบสิ้นสติเพราะร่างสูงใหญ่ที่ยืนห่างกันแค่ก้าวเดียว ความมืดทำให้เธอไม่ได้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนนักแต่การที่เขาใช้ฮู้ดคลุมศีรษะยิ่งทำให้คนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกไม่ความปลอดภัยที่เกิดขึ้นหลายๆ ครั้งมาติดกันหลายวัน ประสาทหลอนหนักมากขึ้นไปอีก
ไม่ทันได้ทำอะไรนมสดที่เพิ่งออกจากไมโครเวฟก็ถูกสาดเข้ามาเต็มๆ โชคยังดีที่เขาสวมเสื้อหนาไม่อย่างนั้นคงถูกนมอุ่นจัดลวกจนได้แผลไปแล้ว
มันเป็นการป้องกันตัวตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด นราวิกาฉวยโอกาสที่เขาชะงักงันอยู่ชั่วครู่ หมุนตัวกลับตั้งใจจะวิ่งไปหยิบมีดตรงเคาน์เตอร์แต่แรงจู่โจมจากด้านหลังนั้นมหาศาลนัก ฝ่ามือใหญ่ปิดปากเธอเอาไว้แน่นส่วนอีกข้างยังล็อกตัวเธอไว้แน่น
“อื้อ... อ่อยอ่ะ อื้อ” นราวิกาพยายามส่ายหน้าไปมา แต่ยิ่งทำเช่นนั้นแรงกดของฝ่ามือใหญ่ยิ่งหนักขึ้นจนเธอรู้สึกเจ็บ นั่นยังไม่ทำให้ตกใจได้เท่าท่อนแขนแกร่งที่สอดเข้ามาใต้ฐานอกแล้วฝ่ามือข้างหนึ่งก็เกาะกุมที่ทรวงอกของเธอเต็มๆ
เชเชนนอฟไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามเธอแต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมาะเจาะและตอนนี้เขาก็ได้สัมผัสก้อนเนื้อนุ่มหยุ่นซึ่งมีเพียงเสื้อผ้ายืดย้วยตัวเดียวกั้นกลาง
“หยุด อย่าดิ้นให้มากนัก จะปลุกคนทั้งบ้านขึ้นมาดูหรือไง” เชเชนนอฟกดเสียงต่ำบอกดุๆ แม้เสื้อที่เขาใส่จะเป็นผ้าเนื้อหนาแต่นมสดอุ่นจัดที่กระเซ็นมาถูกผิวเนื้อช่วงลำคอนั้นสร้างความแสบร้อนขึ้นมาเป็นริ้วๆ
เสียงคุ้นหูทำให้นราวิการู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร แล้วฝ่ามือที่ออกแรงบีบเคล้นทรวงอกเธอเป็นจังหวะนี้ยิ่งทำให้ทั้งโกรธทั้งโมโห เธออาศัยจังหวะที่เขาเผลอสะบัดตัวออกจากวงแขนแข็งแรงแล้วรีบไปกดสวิตช์ไฟให้ได้เห็นชัดๆ กับสองตา
แน่นอนว่าที่เธอเป็นอิสระได้นั้นเพราะเขาตั้งใจที่จะปล่อยอยู่แล้ว เชเชนนอฟไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบถอดเสื้อของตนออกทางศีรษะทันที แต่การกระทำนั้นกลับทำให้นราวิกาเบิกตากว้าง หันไปคว้ามีดปลายแหลมที่อยู่บนเคาน์เตอร์มาถือเอาไว้
“ทำบ้าอะไร ออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้นะ” แหวออกไปอย่างเหลืออด นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ ที่เขาบุกเข้ามาในบ้านไม่ต่างจากโจรโรคจิต
ทั้งคำถาม น้ำเสียง ท่าทางที่แสดงออกมานั้นบ่งบอกชัดเจนว่าเขากำลังจะข่มขืนเธอ นั่นทำให้เชเชนนอฟหัวเราะพรืดแล้วใช้สายตาชนิดหนึ่งมองเธอราวกับผู้หญิงไร้ค่า นอนแบให้ฟรีๆ ยังไม่เอาเลย
แน่นอนว่านราวิการับความรู้สึกที่ส่งผ่านมาทางสายตานั้นได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน ทว่าเขากลับเดินเปลือยท่อนบนเดินไปหยุดตรงกล่องยา ราวรู้จักและคุ้นเคยกับข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเป็นอย่างดี
“วันก่อนเห็นอยู่ในนี้นี่นา อ้อ... เจอแล้ว” หยิบหลอดยาแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ
คำพูดที่หลุดออกมาและการทำตัวไม่ต่างจากเจ้าของบ้านทำให้นราวิกาอ้าปากค้าง มองตามร่างสูงใหญ่ที่เปิดประตูห้องน้ำทิ้งเอาไว้แล้วยืนทายาหน้ากระจกเงา แน่แล้วว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัยเหมือนมีคนคอยสะกดรอยตามที่เกิดขึ้นหลายครั้งต่อวันนั้น แท้จริงแล้วเธอไม่ได้อุปาทานไปเอง
“มันจะมากไปแล้วนะเชเชน คุณมีสิทธิ์อะไรมายุ่มย่ามในบ้านฉันแบบนี้” ถามเสียงแข็งทั้งยังกำมีดปลายแหลมเอาไว้แน่น
รอยแดงเป็นปื้นตรงช่วงแผงอกสร้างความปวดแสบปวดร้อนให้ไม่น้อย แล้วต้นเหตุที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ยังไม่กล่าวคำขอโทษสักคำ ซ้ำร้ายยังมายืนด่าฉอดๆ
เขายิ่งเงียบ เธอยิ่งโกรธ การสะกดรอยตามแต่ทำให้เธอรู้ตัวนั่นมันเป็นเรื่องน่าละอายใจยิ่งนัก มันคือการคุกคามความรู้สึก คุมคามสิทธิเสรีภาพอย่างไม่น่าให้อภัย
“ออกไปจากบ้านฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจให้มาลากคอคุณไปเข้าตะราง”
“กลัวตายล่ะ ทำคนอื่นเจ็บแล้วยังไม่รู้จักขอโทษ” ตอบกลับแล้วทิ้งหลอดยาลงไปในอ่างล้างหน้า มองเธออย่างไม่สบอารมณ์
นราวิกามองรอยแดงที่อยู่ต่ำลงมาจากช่วงคอเล็กน้อยซึ่งใหญ่ราวหนึ่งฝ่ามือ แต่ทั้งหมดนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเขาไม่ถือวิสาสะเข้ามาในบ้านเธอเช่นนี้ “ก็ฉันป้องกันตัว ใครเขาใช้ให้ย่องเข้ามาในบ้านคนอื่นยามวิกาลแบบนี้ มันมีแต่โจรนั่นแหละที่ทำกัน”
“โจรที่ไหนจะเลือกปล้นบ้านซอมซ่ออย่างนี้ หัวคิดขี้เลื่อย” ไม่พูดเปล่าแต่เดินออกมาจากห้องน้ำ และกวาดสายตาทั่วร่างสมส่วนอย่างไม่เกรงใจ แสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องน้ำยังทำให้เห็นเรือนร่างที่อวบอัดขึ้นจากเดิม ยอดทรวงที่ชูชัน อกเป็นอก เอวเป็นเอว สะโพกผายภายใต้ชุดนอนเก่าๆ
นราวิกายกมือขึ้นกอดอกในทันทีและนั่นทำให้เขาหัวเราะ ใช้สายตาเช่นเดิมมองเธออีกครั้ง “อย่าบังอาจมาใช้สายตามองฉันเหมือนผู้หญิงไร้ค่า ถ้าสมองยังไม่เสื่อมก็ไม่น่าจะลืมว่าเพิ่งลวนลามฉันไปเมื่อครู่”
เชเชนนอฟไหวหัวไหล่รับกับคำพูดของเธอ รู้สึกวิเศษเชียวล่ะที่ได้สัมผัสความนุ่มหยุ่นของทรวงอกอวบใหญ่ นับว่าพอทดแทนกันได้กับความปวดแสบปวดร้อนถ้าจะแลกกับการมองสัดส่วนยั่วใจเมื่อครู่
“ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน เห็นก็ต้องมอง ใกล้มือก็ต้องขยำให้มันรู้กันไปว่าของแท้หรือของเทียม เรื่องง่ายๆ ไม่เห็นจะซับซ้อนตรงไหน คุณก็ประกาศเองว่าผ่านมาหลายคน อย่ามาถือเป็นเรื่องใหญ่ บางทีอาจจะอยากถอดชุดนอนเก่าๆ นั่นทิ้งก็ได้” ไม่ใช่แค่คำพูดแต่ท่าทางยังกวนโมโหถึงขีดสุด
ดูถูก เหยียดหยามแล้วยังใช้ท่าทางกวนประสาทยั่วโมโหเธอ ทว่าเธอจะไม่มีทางชนะเขาได้เลยหากยังอ่อนแอ ทำตัวเป็นผู้หญิงอ่อนต่อโลกแบบนี้
การตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันจึงเป็นวิธีการที่นราวิกาเลือกใช้
“โอ๊ย... ก็เพราะผ่านมานักต่อนักแล้วน่ะสิ พอเจอของเก่าห่วยๆ เลยทนที่จะอยู่ใกล้ไม่ได้ คิดเข้าข้างตัวเองน่ะได้แต่ต้องดูด้วยว่าฉันติดใจคุณรึเปล่า” ถ้าเธอไม่ได้ตาฝาด สาบานว่าได้เห็นความเกรี้ยวกราดจากดวงตาคู่คม แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น เขาก็เดินผ่านหน้าไปทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดี่ยว
ไม่เจอกันแปดปีพัฒนาการยอดเยี่ยมมากทั้งสัดส่วนและคำพูดคำจา เชเชนนอฟคิดในใจแต่จะบอกให้รู้ว่าเธอคิดผิดมหันต์หากจะเอาชนะเขาด้วยคำพูดแรงๆ
“ก็น่าเสียดายที่ไม่ได้แสดงฝีมือเพราะผมไม่นิยมหยิบของที่คายทิ้งแล้วขึ้นมากิน” ไม่พูดเปล่าแต่ยิ้มที่มุมปากแล้วตีคิ้วใส่ตาเธออย่างท้าทาย “มันมีแต่เชื้อโรค”
‘เรื่องไร้สาระ’ และ ‘ตัวเชื้อโรค’ แต่ละคำพูดเจ็บแสบที่หลุดออกมาจากปากเขานั้นช่างกระแทกใจเธออย่างรุนแรง จนอยากจะวิ่งหนีแล้วไปร้องไห้กับตัวเองให้สาแก่ใจนัก แต่สิ่งที่ทำได้คือกล้ำกลืนฝืนความเจ็บช้ำเอาไว้จนลึกแล้วตวาดไล่เสียงดุ
“ออกไป ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้ ถ้าที่นี่มันต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มีแต่เชื้อโรคก็ไม่ต้องมาเสนอหน้าให้เห็นอีก อย่าเฉียดใกล้เข้ามาในบ้านหลังนี้อีกยิ่งดีเพราะมันเป็นบุญคุณกับฉันอย่างมาก” นราวิกาชี้นิ้วไปยังประตู “มาทางไหนออกไปทางนั้นเลยไป...”
ยิ่งเธอควบคุมอารมณ์ไม่ได้นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่าเพลี่ยงพล้ำต่อเขาไปแล้วหลายก้าว แน่ล่ะว่าพ่อค้าอาวุธสงครามที่ไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำกับผู้หญิงคนไหนเริ่มสนุกเพราะคำพูดที่ทำให้เธอเจ็บช้ำแล้วต้องยืนนิ่ง ข่มอารมณ์อยู่หลายนาทีก่อนจะสรรหาคำพูดมาโต้กลับนั้น มันเป็นเหมือนหนทางบำบัดความทรมานของตน เกมนี้เพิ่งเริ่มและเขาก็ยังสนุกไม่พอ
ยิ่งเธอโต้กลับตามแรงอารมณ์ยิ่งทำให้เขาพึงพอใจมากเท่านั้น!
“จุ... จุ... จุ...” ยั่วโมโหไม่พอยังพยักพเยิดไปยังเสื้อของตนที่กองอยู่บนพื้น สั่งเธอราวกับเป็นทาสรับใช้ “ไปซักเสื้อมาให้สิ ผมคงไม่บ้าเดินเปลือยท่อนบนออกไปทั้งที่อากาศต่ำว่าสิบองศาหรอกนะ”
นราวิกาหัวเราะพรืดออกมา อ้าปากค้าง เบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อหูว่ายังหลงเหลือผู้ชายบ้าอำนาจอยู่บนโลกนี้ “เฮอะ! จะบอกให้ว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณไม่มีคุณค่าสำหรับฉันหรอก กระทั่งเสื้อตัวนั้นถ้าจะเอามาทำผ้าขี้ริ้วยังไม่เคยอยู่ในความคิด เพราะฉะนั้นอย่ามาออกคำสั่งกับฉัน แล้วถ้าคุณยังจะนั่งอยู่ในบ้านที่มีแต่เชื้อโรค ฉันจะเรียก...”
“ตำรวจ”
เชเชนนอฟยังต่อให้จนจบประโยคแล้วยังนั่งเป็นยักษ์ปักหลั่นอยู่ที่เดิม ทว่ายังไม่ทันได้ตอบกลับว่าอย่างไร เขาก็ดักคอขึ้นอีกทั้งที่เธอเพียงแค่เผยอริมฝีปาก
“แนะนำให้นะ ควรจะไปเรียกพ่อของเด็กแก่แดดนั่นมา อ่อ... ไม่สิ ไอ้ชั่วนั่นมันนอนไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่โรงพยาบาลนี่นะ งั้นเอาใหม่... ไปเรียกไอ้ทุเรศไหนที่คุณบอกว่าผ่านมานักต่อนักมากระทืบผมให้จมดินก่อนสิ แล้วค่อยเรียกตำรวจมาลากคอผมเข้าตะราง แบบนี้ค่อยสะใจสมกับความเจ็บช้ำที่คุณข่มมันไว้ไง”
โอ... ใครก็ได้ช่วยลากไอ้โรคจิตนี่ออกไปไกลๆ ที
การที่เขารู้และมองออกว่าเธอเจ็บปวดกับคำพูดร้ายกาจ นั่นหมายความว่าเขาตั้งใจที่จะใช้คำพูดเหล่านั้นทำร้ายเธอ เขาตั้งใจทำให้เธอเสียขวัญ สะกดรอยตามแล้วตั้งใจเผยตัวเองให้เห็นให้จินตนาการไปต่างๆ นานา แล้วยังเรียกลูกสาวที่เธอฟูมฟักมาด้วยชีวิตว่า ‘เด็กแก่แดด’ ไม่มีความเอ็นดู สัมผัสไม่ได้ถึงความอ่อนโยนเลยสักนิด
ในขณะที่นราวิกายังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง นึกหวาดระแวงว่าสิ่งที่เขาทำนั้นน่ากลัว เหมือนคนโรคจิตพวกสโตกเกอร์ ผู้ชายที่เธอรู้จักเมื่อแปดปีที่แล้วไม่เคยแสดงท่าทีเช่นนี้ให้เห็น ทว่าเวลาที่แยกจากจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเช่นนี้ก็ทำให้เชื่อไปกว่าครึ่งว่าจิตใจของเขาอาจจะมีปัญหา
ก็คนดีๆ ที่ไหนจะทำให้คนอื่นจิตหลอนแบบนี้!
ทว่าอาการนิ่งเงียบไปนั้นกลับทำให้เชเชนนอฟเข้าใจว่า เธอกำลังคิดหาข้ออ้างในเรื่องพ่อของเด็กแก่แดดนั่นมาอธิบาย คำโกหกของเธอเมื่อช่วงบ่ายนั่นแหละที่กวนใจเขามาตลอดเวลา ทั้งที่สั่งตัวเองแล้วว่าจะไม่ย่องเข้ามาในบ้านหลังนี้อีก แต่สุดท้ายเขากลับต้องหาคำตอบให้ได้ว่าพ่อของเด็กนั่นเป็นใคร แล้วทำไมเธอต้องโกหก?
“ไง... เงียบไปนี่คือกำลังหาคำโกหก หรือนึกไม่ออกว่าจะเรียกคนไหนดี เยอะจัด”
ฟิ้ว...
มีดปลายแหลมที่อยู่ในมือถูกขว้างออกไปในทิศทางที่ไอ้โรคจิตนั่งสบายอยู่ราวกับพระราชา แต่เขากลับลุกขึ้นเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไว แทบจะกระโจนเข้าไปคว้าร่างอวบอัดเอาไว้ในตอนที่เธอหมุนตัวเตรียมจะวิ่งหนี
คราวนี้นราวิกาถูกรัดเอาไว้อย่างแน่นหนาจนปลายเท้าลอยเหนือพื้น ปล่อยให้เขาเดินถอยหลังกลับไปนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม นั่นเท่ากับว่าเธอยังทับอยู่บนหน้าขาแกร่ง ยิ่งดิ้นรนท่อนแขนแข็งยิ่งเสียดสีฐานทรวงอก มืออีกข้างที่ใช้ปิดปากเธอยังออกแรงกดจนต้องทิ้งตัวพิงพาดเขาตลอดทั้งแผ่นหลัง ศีรษะเกยอยู่กับบ่าหนา
เชเชนนอฟหัวเราะในลำคอ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอกำลังกลัว แต่ยิ่งเห็นเธอกลัว ต่อสู้เอาตัวรอดหนักข้อขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสร้างความพึงพอใจให้เขามากเท่านั้น
ยิ่งปลอบใจเหยื่อยิ่งหวาดกลัว! “ตัวสั่นเชียว กลัวทำไม”
“อื้อ...” นราวิกาแทบจะร้องไห้ ความเจ็บจากแรงกดของฝ่ามือนั้นน้อยนิดนักกับความหวาดกลัวที่เกิดจากท่าทางของเขา
เชเชนนอฟก้มลงกดเสียงต่ำข้างใบหูบาง รูป รส กลิ่นและเสียงที่คิดว่าไม่ส่งผลต่อการควบคุมตัวเองมานานถึงแปดปีเต็ม นั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด เธอยั่วใจ ยิ่งดิ้นยิ่งปลุกไฟปรารถนาให้คุโชน
ชุดนอนผ้ายืดย้วยไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกน้อยลงเลยว่ากล้ามเนื้ออันอุดมสมบูรณ์กำลังเคลื่อนไหวเป็นคลื่นลอน เสียดสีอยู่กับแผ่นหลังของเธอ แม้พยายามดันเท้าทั้งสองข้างกับพื้นเป็นหลักให้ทรงตัวลุกขึ้นจากเขาแต่นั่นไร้ผล เมื่อท่อนขาข้างหนึ่งเกี่ยวกระหวัดขาทั้งสองข้างของเธอ
“ร้องดังๆ สิ ยิ่งร้องก็รู้ว่ายิ่งเจ็บตัว” ฝ่ามือที่ทาบอยู่กับสีข้างได้สัมผัสเธออย่างสนิทชิดเชื้อขึ้น ฟอนเฟ้นหนักขึ้นทุกครั้งที่เธอดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจ็บจนน้ำตาแทบร่วงและหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจกับปฏิกิริยาที่เขาแสดงออกมา นี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าที่เคยรู้จักกันดีแต่เธอกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของไอ้โรคจิตซึ่งกำลังดุนดันความอลังการเข้ากับบั้นท้ายของเธอ ทุกครั้งที่ดิ้นมันจะขยับเขยื้อนตอบรับเนื้อตัวของเธอ
การที่จู่ๆ เธอหยุดดิ้นรนทำให้เขาผงกศีรษะขึ้นมองเสี้ยวใบหน้างดงามด้วยความแปลกใจ “เหนื่อยเปล่าใช่ไหม อย่าแม้แต่จะคิดทำร้ายร่างกายผมเหมือนผู้หญิงข้างถนน จำเอาไว้”
นราวิกาพยักหน้ารับเร็วๆ และหลับตาแน่นปี๋ เมื่อเห็นว่าเขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงพึงใจและข่มขวัญเธอในคราวเดียวกัน ที่แย่ไปกว่านั้นยังก้มหน้าเข้ามาใกล้จนเจ็บร้าวไปทั้งลำคอและข้างแก้มเมื่อต้องสู้กับแรงกดจากฝ่ามือหนา
“ทำไมต้องโกหกว่าอันเดรเป็นพ่อของเด็กนั่น แล้วถ้ามันไม่ใช่พ่อ ทำไมมันถึงได้ห่วงนัก ห่วงถึงขนาดกล้าฝากให้ผมดูแล”
ความสงสัยของผู้ชายคนนี้จะไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อถือพอ นั่นคือสิ่งที่นราวิกาคิดในใจและกำลังใช้สมองอย่างหนักเพื่อหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือมาอธิบาย หวังว่าการสนองตอบต่อความต้องการของเขาจะทำให้เธอหลุดพ้นจากอ้อมแขนที่สร้างความร้าวระบมไปทั้งกายไม่ต่างจากถูกคีมเหล็กบีบรัด
“อื้อ...”
“เตือนไว้ก่อนว่าอย่าคิดจะปิดบังเพราะผมไม่เอาคุณไว้แน่ ถ้าจับโกหกได้ทีหลัง” ดุดัน แข็งกร้าว ไร้ซึ่งความปรานี เมื่อเธอรีบพยักหน้ารับจึงค่อยเลื่อนมือออกจากริมฝีปาก
นราวิกาขยับกรามไปมาอย่างเจ็บปวด แต่เสียงที่ย้ำถามขึ้นก็เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าไม่มีทางที่จะถ่วงเวลาเพื่อคิดหาเหตุผลได้อีกแล้ว
“ตอบ” แค่เลื่อนมือออกจากปากเธอเท่านั้น ฝ่ามืออีกข้างยังแนบชิดอยู่ตรงสีข้าง ขาข้างหนึ่งยังเกี่ยวขาเรียวไว้แน่นแม้ชายกระโปรงจะร่นขึ้นมาสูงจนน่าหวาดเสียว เขาก็ไม่สนเพราะผิวเนื้อช่วงขาที่โผล่พ้นชายผ้าออกมาให้เห็นนั้นดูเจริญตาไม่น้อย
“ก็อันเดรนั่นแหละ” นราวิกาทบทวนว่าไม่ผิดหากจะยืนยันว่าอันเดรคือพ่อของลูก เพราะถ้าเป็นคนอื่นก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันนั่นยิ่งเป็นการกระตุ้นความสงสัยของเขาให้มากขึ้น “ฉัน... คือเราก็แค่สนุก ไม่คิดว่าจะมีพีด้าหลังจากที่เลิกกันไม่นาน”
“อืม... ก็ไม่แปลกที่คนทรยศสองคนจะรักสนุก แต่มันน่าแปลกและผิดวิสัยคนรักสนุกที่ไม่กำจัดมารหัวขนนั่นทิ้ง”
ถ้าไม่ได้ตกอยู่ในสภาพที่เป็นรองถึงขนาดนี้ สาบานว่าเธอต้องเอาเลือดหัวของไอ้โรคจิตนี่ออกมาให้ได้ ไม่เหลียวแล ไม่ดูแลไม่เคยว่า แต่มีสิทธิ์อะไรมาเรียกลูกสาวของเธอว่ามารหัวขน!
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะใช้อารมณ์ แต่เธอควรจะเอาตัวรอดด้วยวิธีที่น่าจะหลุดพ้นจากการเกาะกุมของเขาเสียก่อน “ก็ฉันกลัวเจ็บ กลัวตาย กลัวมันไปทุกอย่าง แล้วก็มารู้เอาตอนที่ท้องได้สี่ห้าเดือน ใครจะไปกล้าเสี่ยงชีวิต”
เหตุผลที่ควรผลักไสผู้หญิงรักสนุกออกไปให้ห่างตัว แต่เขากลับรัดร่างเธอให้แน่นขึ้น ให้เธอได้รับความเจ็บปวดแล้วกดเสียงต่ำถามทุกอย่างที่สงสัย “แล้วทำไงให้เด็กนั่นเข้าใจว่าพ่อคือเพื่อนของแม่ สอนให้เรียกพ่อแท้ๆ ว่าลุง งั้นสิ”
“ก็เขาเป็นลูกฉัน ฉันอุ้มท้องมา เลี้ยงมา จะสอนยังไงมันก็เป็นสิทธิ์ขาดของฉันคนเดียว” นราวิกาเริ่มบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ถึงคุณจะเห็นฉันเป็นผู้หญิงไม่ดี สำส่อนแค่ไหน แต่ก็เลี้ยงลูกจนโต แล้วก็ไม่แคร์ด้วยว่าลูกจะขาดพ่อ ถ้าพ่อมันจะหูหนวกตาบอด ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ฉันก็เลี้ยงของฉันมาได้”
นราวิกาต้องกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่นเพราะไม่อยากให้เขาได้รู้ว่าเธอกำลังร้องไห้ แต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลออกมาไม่ขาดสาย
“แน่ใจนะว่าที่พูดนั่นหมายถึงอันเดร”
“แล้วจะมีใครล่ะ”
“ก็... แล้วไง มันดูไม่เมกเซนส์เอาเสียเลย ถ้าอันเดรมันชั่วขนาดนั้นแล้วคุณปล่อยให้เด็กนั่นไปคลุกคลีกับคนชั่ว” ถามว่าเชื่อไหม... ก็ไม่มั่นใจทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำพูดและน้ำเสียงสั่นเครือสร้างความคลางแคลงใจให้กับเชเชนนอฟยิ่งนัก
“อันเดรกลับตัวเป็นคนดีได้ มันมีเหตุผลข้อไหนที่ฉันจะไปกีดกันลูกไม่ให้รู้จักกับอันเดร แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าพ่อของพีด้ายังทำตัวแย่ๆ เหมือนเดิมก็อย่าหวังเลยว่าฉันจะให้ลูกเสวนาด้วย”
นราวิกาตั้งใจเรียกอันเดรและพ่อของลูกสาวให้แตกต่างกันเพราะความจริงเป็นคนละคนกัน ถ้าเขาเป็นคนมีเหตุผล ไม่เอาแต่ใช้อารมณ์เหมือนเมื่อครั้งที่จากกันทั้งที่ยังพูดจากันไม่เข้าใจ ก็จะเข้าใจในความหมายที่เธอซ่อนเอาไว้
“มันกลับตัวนี่หมายถึงลดละเลิกเป็นผีพนัน แต่อย่าลืมนะว่ามันเกือบตายในกาสิโนอยู่รอมร่อ” ประเด็นที่เธอชี้ไปยังเป็นอันเดร เขาก็ต้องมุ่งเป้าไปที่อันเดร
ทว่าตอนนี้หัวใจของนราวิกาบอบช้ำนัก เธอกำลังปิดบังความจริงกับคนที่ควรต้องรู้ตัวที่สุดในโลกว่าใครคือพ่อบังเกิดเกล้าของลูกสาว และถ้าเขายังเอาแต่มองว่าเธอเป็นคนไม่ดี รักสนุก ทรยศหักหลังอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนี้ นั่นบ่งบอกแล้วว่าต่อให้รู้ว่าพีด้าเป็นลูกแท้ๆ เขาก็จะไม่รักไม่เอ็นดูเพราะเป็นลูกที่เกิดจากผู้หญิงที่เขาตราหน้าว่าทรยศ!
“ที่ควรบอกฉันก็บอกไปหมดแล้ว คุณยังจะมาซักไซ้ไล่เลียงเหมือนกับว่าฉันกำลังโกหกคำโตเพื่ออะไร” นราวิกาชะงักคำพูดความเจ็บช้ำที่จุกอยู่กลางอกแล้วรวบรวมกำลังใจที่เหลืออยู่น้อยนิด ตวาดเสียงดุ “อย่าคิดเอาเองนะว่าพีด้าจะเป็นลูกของคุณเพียงเพราะอายุแกอยู่ในช่วงที่เรานอนด้วยกัน เพราะถ้าคิดแบบนั้นคุณก็รู้นี่ว่าฉันก็อยู่กับอันเดรด้วย”
สิ้นเสียงสั่นเครือแต่ทว่ากลับมีความเกรี้ยวกราดเจืออยู่ในน้ำเสียงนั้นก็ทำให้เชเชนนอฟลุกขึ้นแล้วปล่อยร่างเธอลงกับโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างๆ ราวกับเป็นของร้อน
ให้ธรณีสูบจมดิน อย่าให้เขาได้มีลมหายใจอีกเลย สาบานได้ว่าไม่เคยคิดจนวินาทีนี้ที่ได้ยินเธอพูดออกมานั่นแหละ!
ขอให้เธอตกนรกหมกไหม้ ถ้าความจริงแล้วเด็กแก่แดดนั่นจะเป็นลูกสาวของเขา ผู้หญิงบ้า เธอร้ายกาจกว่าที่เขาคิดนัก พ่อค้าอาวุธสงครามเดินไปหยิบเสื้อยืดของตนที่กองอยู่บนพื้นแล้วก้าวยาวๆ ออกจากบ้านหลังซอมซ่อโดยไม่หันกลับมามองร่างที่ขดตัวร้องไห้อยู่บนโซฟา
เขาไปแล้ว... เธอปลอดภัยจากการคุกคามทางร่างกายและความรู้สึก แต่น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายนี้กลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นราวิกาขดตัวอยู่บนโซฟาไม่ต่างจากลูกบอลเก่าที่ถูกเจ้าของโยนทิ้ง ร้องไห้แต่ต้องกลั้นเสียงสะอื้นเพราะกลัวว่าแม่และลูกสาวจะตื่นขึ้นมาเห็นสภาพของตนในตอนนี้
เธอไม่รู้หรอกว่าคำตอบที่ให้ไปนั้นเขาจะเชื่อถือมากน้อยสักแค่ไหน แต่การที่เขารีบปล่อยมือแล้วโยนลงบนโซฟานี้ไม่ต่างจากเธอเป็นตัวเชื้อโรคนั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าทุกอย่างไร้ซึ่งข้อกังขา ทว่าเธอเองกลับไม่ได้คำตอบใดๆ ในการพบหน้ากันอีกครั้งในรอบแปดปีนี้เลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ