โซ่รักไฟปรารถนา

-

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 22.01 น.

  10 ตอน
  0 วิจารณ์
  12.20K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 22.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ตอนที่ 7 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ความจริงแล้วนราวิกาไม่ได้ตาฝาดหรือวิตกกังวลจนเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยไปเอง แต่เป็นเพราะมีดวงตาคู่คมจ้องมองเธอใช้ชีวิตประจำวันมาตลอดสี่วันแล้ว เขาอาจจะไม่ได้สะกดรอยตามเธอไปทุกแห่งหนเพราะหลังจากพิธีการฝังศพของท่านประธานาธิบดีแอนทอน ยังมีเรื่องราวมากมายตามมาเมื่อบุคคลสำคัญของรัฐบาลรวมทั้งผู้เป็นพ่อถูกเรียกตัวเข้าสอบสวนตามกระบวนการของคณะกรรมการชุดพิเศษที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปราบปรามการคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้น

นั่นทำให้โปลิน่า คุสโตดิเยฟต้องเดินทางมาแอลเมเรียตามคำขอร้องของลูกชาย ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะถูกกักตัวไว้ในเซฟเฮาส์ของรัฐบาลจนกว่าการสอบสวนเรื่องดังกล่าวจะชี้ชัดว่าอิกอร์ ซียานอฟ ไม่มีส่วนเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น ซ่องสุมกำลังรวมไปจนถึงอาวุธเถื่อน

อาการเศร้าซึม สำนึกผิดและพร่ำขอโทษกับความผิดพลาดในอดีตอยู่ตลอดเวลา ทำให้เชเชนนอฟไม่อาจนิ่งเฉยต่อคำขอร้องของผู้เป็นพ่อได้ น้ำตาที่ไหลรินออกมาผลักดันให้เชเชนนอฟเอ่ยปากขอร้องผู้เป็นแม่ให้ยอมเดินทางมาพบพ่ออีกครั้งหนึ่ง

ยี่สิบสี่ชั่วโมงเต็มแล้วที่พ่อถูกกักบริเวณให้อยู่ในเซฟเฮาส์ และไม่มีใครสามารถช่วยเหลืออะไรได้นอกเสียจากรอเวลาที่จะถูกปล่อยตัวออกมา นั่นหมายถึงไร้ซึ่งความผิดหรือมีความผิดจริงเตรียมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ถึงเวลานั้นจึงจะสามารถตั้งทีมทนายความเพื่อต่อสู้คดี ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าก่อนที่พ่อจะเดินทางเข้าพบคณะกรรมการชุดดังกล่าวนั้นได้พูดอะไรกับแม่บ้าง แม่ถึงได้ยอมพักที่คฤหาสน์ซียานอฟและฟอร์มทีมทนายฝีมือดีเข้าประชุมเป็นครึ่งค่อนวัน

...นั่นเป็นเรื่องน่าประหลาดแต่ถ้าเขาเข้าไปวุ่นวายหรือไถ่ถามถึงเหตุผลก็คงไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริงสักเท่าใดนัก จึงวางเฉยทำเป็นไม่สนใจและคอยดูความเคลื่อนไหวห่างๆ

กริ๊ง... กริ๊ง...

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เชเชนนอฟควานหาและดึงมันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วกรอกเสียงลงไปในขณะที่สายตาจ้องมองร่างสมส่วนที่เห็นเธอเป็นระยะๆ เดินง่วนอยู่ในร้านกาแฟฝั่งตรงกันข้าม นั่นทำให้ปลายสายเอ่ยทักทายขึ้นก่อน

“เชเชน... นั่นลูกอยู่ไหน ทำไมปาเวลกับมิเตียไม่รู้ว่าลูกอยู่ที่ไหน ทำอะไร” โปลิน่าเปิดฉากถามลูกชายในทันที เมื่อคืนนี้นั่งดูรายการทีวีรอจนผล็อยหลับ ตอนเช้าคาดว่าจะได้เจอหน้าแต่ก็ไร้ร่องรอย ซ้ำร้ายยังไม่มีใครตอบคำถามเธอได้สักคน

“เอ่อ... แม่มีอะไรรึเปล่าครับ” ไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงใช้ประโยคคำถามแทน

“มีแน่” โปลิน่าตอบด้วยน้ำเสียงคาดโทษ “ข้อแรก ลูกทำให้แม่อารมณ์เสียเอามากๆ ที่ทิ้งให้นั่งกินมื้อเช้าคนเดียวในคฤหาสน์เห่ยๆ ที่เต็มไปด้วยของใช้ที่บ่งบอกว่าเจ้าของมีรสนิยมที่ไร้จิตวิญญาณของศิลปะ”

เชเชนนอฟเลิกคิ้วเพราะเข้าใจความหมายในคำพูดของแม่ ของใช้ราคาแพงสักแค่ไหนมันก็ดูไร้ความหมายเมื่อเป็นของที่เพิ่งสร้างขึ้น ไม่ใช่ของสะสมที่มีประวัติให้ค้นหา น่าศึกษา

เมื่อลูกชายเงียบเป็นเชิงยอมรับผิด โปลิน่าจึงพูดถึงความผิดในข้อต่อไป “ข้อที่สอง ลูกเป็นซีอีโอของไอจีโอ ซิสเทม การที่จะเดินทางไปไหนมาไหนโดยไม่มีผู้ติดตาม นั่นไม่ใช่เรื่องฉลาดนัก แต่ทั้งหมดนั่นยังไม่ทำให้แม่แปลกใจได้เท่ากับการแต่งตัวของลูกที่แม่เห็นจากกล้องวงจรปิด”

เชเชนนอฟหัวเราะร่วน... ถ้าจะมีผู้หญิงสักคนที่รู้ทันความคิดเขา คนคนนั้นคงจะเป็นแม่!

โปลิน่าขมวดคิ้วมุ่น เพราะพฤติกรรมของลูกชายนั้นช่างน่าสงสัยนัก “เสียงหัวเราะนั่นยิ่งแปลก ไม่ปฏิเสธแปลว่ายอมรับ ลูกหัวเราะเหมือนเด็กหนุ่มที่ถูกแม่จับได้ว่าแอบปีนหน้าต่างบ้านสาวสวยคนหนึ่ง แต่การแต่งตัวของลูกเหมือนพวกสโตกเกอร์ เสื้อยืดสีเทามีฮู้ด กางเกงยีนส์ขาดๆ กับรองเท้าผ้าใบ”

นานแค่ไหนแล้วที่ซีอีโอสุดเนี้ยบแห่งไอจีโอ ซิสเทม สลัดคราบการแต่งตัวแบบวัยรุ่นเพราะต้องสร้างภาพลักษณ์ให้ดูน่าเกรงขาม ทรงอิทธิพลและมีความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้าธุรกิจ

“ที่ยังไม่ปฏิเสธเพราะผมขำ ไม่ได้หมายความว่ายอมรับ”

“แม่มีอะไรให้ขำ”

“ก็ถ้าผมเป็นพวกสโตกเกอร์ แม่ก็คงเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยวิเคราะห์พฤติกรรม”

โปลิน่าเบ้ปากและถามกลับทันควัน “ก็แปลว่าแม่วิเคราะห์ได้ใกล้เคียงกับความจริงสินะ”

“ห่างไกลเป็นปีแสงเชียวล่ะ”

คนฟังพยักหน้ารับแม้จะไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดนัก และเธอรู้ดีว่าการพูดคุยกับลูกชายผู้แสนปราดเปรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากการพายเรือในอ่างน้ำ ซึ่งจะไม่ได้คำตอบอะไรเลยถ้าเจ้าตัวไม่เต็มใจจะพูดออกมาเสียเอง “เบื่อที่จะคุยกับลูก ก็แค่อยากได้คำตอบว่าคืนนี้แม่จะไม่ได้กินมื้อเย็นคนเดียว”

“พรุ่งนี้เราจะนั่งกินมื้อเช้าด้วยกันครับ” คำตอบนั้นคือการปฏิเสธอันนุ่มนวล

คนเป็นแม่หัวเราะพรืดออกมา มองสาวแอลเมเรียแสนสวยที่นั่งยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าแล้วตั้งคำถามอีกครั้งอย่างลองใจ “ต่อให้เย็นนี้แม่มีสาวสวยมาร่วมโต๊ะอาหารด้วย ลูกก็ไม่สนใจเรอะ”

เชเชนนอฟเดาได้ไม่ยากว่าสาวสวยคนนั้นคือวลาด้า “เทียบกันแล้วผมน่าจะมีแรงดึงดูดต่อเธอมากกว่าแม่นะ หลังแม่วางสายจากผม ไม่เกินห้านาทีเธอต้องโทรหาผม”

พ่อคนเสน่ห์แรง โปลิน่าคิดอย่างค่อนขอดในใจพร้อมกับเลื่อนโทรศัพท์ลงแล้วยิ้มให้สาวสวยตรงหน้าอย่างเป็นมิตร “ฉันก็ยังไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่าเขาอยู่ที่ไหน แถมยังบอกว่าฉันมีแรงดึงดูดต่อเธอน้อยกว่าเขา อีกห้านาทีเธอต้องโทรหาเขาแน่ๆ”

“โอ้... เชเชนนี่ เหลือเชื่อจริงๆ” ได้ยินเช่นนั้นวลาด้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร

“เธอน่าจะอยู่กินมื้อเที่ยงเป็นเพื่อนฉันนะ อย่างน้อยก็รอสักชั่วโมงค่อยโทรหาเขา บางทีอาจลดอีโก้ในตัวเชเชนลงได้บ้าง ฉันเลี้ยงลูกชายให้มีความมั่นใจในตัวเองเหลือเกิน”

“นับเป็นเรื่องดีนะคะ ขาดอะไรก็สร้างได้แต่ถ้าขาดความมั่นใจ คงจะเป็นผู้นำไม่ได้”

โปลิน่ายิ้มและคิดในใจว่าสาวสวยเจ้าของบริษัทผลิตยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์นี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา และถ้าได้พูดคุย ทำความรู้จักมากกว่านี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย ถ้าผู้หญิงทั้งสวยและฉลาดก็น่าสนใจ ถึงอย่างไรเสียลูกชายของตนก็อยู่ในวัยที่ควรจะมีครอบครัวเสียที

ความจริงแล้วโปลิน่าไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของลูกชาย เพราะบทเรียนชีวิตคู่ที่ไม่ได้มีรากฐานมาจากความรักทำให้เธอเข็ดขยาด แต่การได้พูดคุยกับวลาด้าก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากมองในทางตรงข้ามก็ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะด้วยประสบการณ์ชีวิตที่มีมากกว่าย่อมทำให้มองคนคนหนึ่งได้ชัดเจนกว่า

 

หลังวางสายจากผู้เป็นแม่ราวชั่วโมง เชเชนนอฟถึงได้รับโทรศัพท์จากวลาด้า แม้เวลาจะคลาดเคลื่อนไปมากแต่เรื่องนั้นกลับไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลย ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะสายตาที่จ้องมองร่างสมส่วนซึ่งทำหน้าที่ของเธออยู่ในร้านกาแฟ บางครั้งก็เข้าไปเป็นบาริสต้าเอง บางครั้งก็สลับออกมาเป็นพนักงานเสิร์ฟซึ่งทำให้เขาต้องขยับเข้ามายืนหลบ โดยใช้มุมของตึกที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามเป็นกำบัง

สโตกเกอร์ (Stalker) พวกถ้ำมอง แอบติดตาม คอยดูความเคลื่อนไหวของคนคนหนึ่งโดยไม่ให้รู้ตัวผุดขึ้นมาในหัว เพราะเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอดระยะเวลาสี่วันที่ผ่านมา ทำไมจะไม่รู้ว่าเธอต้องรู้สึกว่าถูกจ้องมองแต่กลับไล่หาคนที่ทำให้เกิดความหวาดหวั่นใจนั้นไม่ได้

บางครั้งเธอยืนนิ่งแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ ราวกับมองหาบางอย่าง เสียงหวีดร้องเมื่อเช้ายังทำให้เขามีรอยยิ้มและเริ่มสนุกกับเกมที่สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยให้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ

สี่วันที่ผ่านมาเขารู้ว่าเธอจะออกจากร้านกาแฟเพื่อไปรับลูกสาวแล้วกลับมาใช้เวลาอยู่ในร้านสักสองชั่วโมงก็จะออกไปโรงพยาบาลพร้อมลูกเพื่อเยี่ยมสามี

คำว่า ‘ลูกและสามี’ ยังเหมือนน้ำกรดที่เทลงบนแผลกลัดหนองให้มันเหวอะหวะขึ้น เลวร้ายกว่าเดิมพร้อมกับคำถามเดิมๆ ที่ว่า...

อันเดรมันมีอะไรดีเธอถึงเลือกที่จะหักหลังเขาแล้วอยู่กับมัน สร้างครอบครัวกับมัน?

สิ่งที่ไม่เคยหาคำตอบให้กับตัวเองได้ถูกพักเอาไว้ชั่วขณะ เมื่อเห็นนราวิกาเดินออกมาจากร้านกาแฟซึ่งเป็นเวลาปกติที่เธอและลูกสาวจะเดินทางไปโรงพยาบาลด้วยกัน ทว่าวันนี้เธอกลับเดินออกจากร้านเพียงลำพัง

 

ในร้านกาแฟบรรยากาศอบอุ่นไม่ต่างจากนั่งอยู่ในมุมสบายๆ ของบ้านนั้น นราวิกาตัดสินใจที่จะฝากลูกสาวไว้กับพนักงานเสิร์ฟและบาริสต้าให้ช่วยกันดูแล

“แม่คะ วันนี้หนูทำการบ้านรออยู่ที่ร้านได้ไหม รับรองว่าจะไม่ออกไปเดินนอกร้านเด็ดขาด นะแม่นะ... น้า...”

เสียงออดอ้อนและเหตุผลร้อยแปดพันประการที่เธอได้ฟังตั้งแต่ก้าวพ้นประตูรั้วของโรงเรียนจนมาถึงร้านกาแฟ ทำให้นราวิกาอ่อนใจ ความจริงแล้วนึกสงสารลูกสาวไม่น้อยที่ต้องตะลอนๆ ไปไหนมาไหนกับเธอแบบตัวติดกันเช่นนี้ การกลับบ้านดึกและต้องเสียเวลาทำการบ้านอีกราวชั่วโมงจนต้องเลื่อนเวลานอนออกไปสองชั่วโมง ซึ่งสำหรับเด็กแล้วมันเป็นการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ สะสมเข้าสักหน่อยก็เกิดผลเสียจนเจ้าตัวบ่นไม่หยุด

นั่นทำให้นราวิกาตัดสินใจฝากลูกสาวไว้กับพนักงานหญิงทั้งสองคนซึ่งรับปากอย่างขันแข็งว่าจะดูแลไม่ให้พีด้าก้าวออกจากร้านโดยเด็ดขาด ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องดีนักแต่นราวิกาก็ต้องใจแข็งจนกว่าเรื่องแก๊งลักพาตัวเด็กจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามหรือจนกว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นมาตลอดสี่วันนี้จะจางหายไป

เมื่อร่างของนราวิกาเดินห่างออกไปจนลับตา เชเชนนอฟก็เดินข้ามถนนมุ่งหน้ามายังร้านกาแฟ

“เอสเพรสโซ่ร้อนหนึ่งแก้ว” เสียงห้าวที่ดังขึ้นสั่งออเดอร์กับบาริสต้าที่ยืนอยู่หลังบริเวณเคาน์เตอร์นั้น ไม่ได้ทำให้พีด้าซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาอย่างขะมักเขม้นนั้นละสายตาจากการบ้านของตนเลย

ด้วยความที่เด็กหญิงเป็นลูกของคนทรยศทำให้เชเชนนอฟมีอคติ ซึ่งเขารู้ดีว่านั่นไม่สมควรดึงเด็กที่ไม่รู้เดียงสามาข้องเกี่ยว แต่บางครั้งก็ทำใจลำบากที่จะพูดดีด้วย

ก๊อก... ก๊อก...

นิ้วเรียวยาวที่เคาะลงบนโต๊ะแล้วถือวิสาสะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงกันข้ามกับลูกสาวของเจ้าของร้าน ทำให้บาริสต้าและพนักงานเสิร์ฟมองภาพนั้นเป็นสายตาเดียวกัน แต่เมื่อได้เห็นว่าพีด้าเงยหน้าขึ้นแล้วเบิกตากว้าง ยิ้มให้อย่างสดใส ก็ทำให้พนักงานทั้งสองคนเข้าใจว่ารู้จักกับลูกค้าผู้หล่อเหลาคนนี้

ยิ่งมีคนชมว่าตาโต พีด้ายิ่งชอบเบิกตากว้าง ห่อริมฝีปากสีสดฉ่ำทุกครั้งที่ดีใจและตกใจ ซึ่งสาวน้อยไม่รู้ตัวหรอกว่านั่นทำให้อคติที่อยู่ในจิตใจของคู่สนทนานั้นลดลงไปกว่าครึ่ง

“คุณมาได้ไงคะ” พีด้าถามยิ้มๆ ในขณะที่มือยังเขียนไม่หยุด

ไม่น่าแปลกใจเลยหากจะพูดคุยกับคนที่เคยเจอหน้ามาแล้วสองครั้ง อีกทั้งก็เป็นลูกค้าที่เคยมาใช้บริการ คำว่าคนแปลกหน้าที่แม่ย้ำนักย้ำหนาจึงไม่ได้จำกัดเจ้าชายรูปหล่อเข้าไว้ด้วย

“ก็เดินเข้ามาน่ะสิ” ตอบแบบกำปั้นทุบดินและหลุดหัวเราะออกมาเมื่อสาวน้อยขมวดคิ้ว ก้มหน้าต่ำมองตาขวาง “เดินเข้ามาจริงๆ นี่ก็มาตามสัญญา”

“สัญญาอะไรคะ”

สัญญาที่ให้ไว้กับคนทรยศว่าจะดูแลลูกเมียให้น่ะสิ ตอบในใจและอดที่จะเย้ยหยันตัวเองไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเพียงเหตุผลจอมปลอมที่เขาเอาไว้ปลอบใจตัวเอง เอาไว้ตอบในตอนที่สั่งตัวเองให้ละสายตาจากเธอไม่ได้ เหมือนกับตอนนี้ที่เขานิ่งงันเพราะทุกครั้งที่มองดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มจะรู้สึกเหมือนมองดวงตาของตนเองผ่านกระจกเงา

ทว่าความเงียบงันกลับทำให้สาวน้อยเอียงหน้ามองอย่างรอคอยคำตอบ ซึ่งเชเชนนอฟก็รอให้พนักงานเสิร์ฟกาแฟเรียบร้อยแล้วจึงตอบคำถามนั้น

“โกโก้ร้อนไง ผ่านไปไม่กี่วันลืมคำพูดตัวเองแล้วเรอะ” ถามแล้วปรายตามองคนที่สั่นหน้าเร็วๆ เป็นคำตอบ

“เปล่าลืมค่ะ แต่หนูบอกคุณว่าจะเลี้ยงเหรอ” พีด้าถามงงๆ และนึกทบทวนคำพูดตัวเอง สุดท้ายก็พูดโพล่งออกมา “เลี้ยงก็ได้นะคะ แต่ต้องโทรไปขออนุญาตแม่ก่อน แม่บอกว่าเงินหายาก ต้องใช้อย่างประหยัดทุกเหรียญ แล้วโกโก้หนึ่งแก้วก็ตั้งร้อยสามสิบเหรียญ”

คำตอบนั้นทำให้เชเชนนอฟหัวเราะพรืดออกมา สอนให้ลูกประหยัดในขณะที่พ่อมันเป็นนักพนันเนี่ยนะ หึ! น่าสมเพชพ่อแม่และน่าสงสารลูก

ตอบแล้วก็ทำท่าว่าจะเลื่อนตัวลงจากเก้าอี้ไปโทรศัพท์หาคนเป็นแม่ ทว่าเชเชนนอฟกลับวางมือลงบนท่อนแขนเล็ก ห้ามเอาไว้เสียก่อน “อย่าเลยคนสวย แม่เธอคงกำลังยุ่ง”

เมื่อได้เป็นคนสวยของคนหล่ออีกครั้ง พีด้าก็ยิ้มเขิน แก้มแดง รีบดึงแขนตัวเองมาประสานไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงเกยคางไว้กับแขนของตน

“เขินรึ?”

คำถามนั้นยิ่งทำให้เจ้าตัวอายม้วนแล้วคำตอบที่หลุดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มนั่นยิ่งทำให้เชเชนนอฟแทบหน้ามืด

“ก็ถูกชมว่าสวยก็ต้องเขินสิคะ หรือเวลามีคนชมว่าคุณหล่อแล้วไม่เขิน”

แก่แดด ร้ายกาจและยังเป็นเด็กไม่รู้เดียงสานัก คงจะเอามาผสมรวมกันแล้วเรียกแม่เด็กแก่แดดนี้ว่า ร้ายเดียงสา ดูจะเหมาะสมที่สุดแล้ว ทว่าคำตอบที่หลุดออกมากลับไม่ได้เป็นเช่นที่คิดในใจ “ก็คงไม่หล่อเท่าไหร่ เธอถึงไม่ได้เรียกฉันว่าเจ้าชายเหมือนเดิม”

ทว่าบทสนทนาต้องหยุดชะงักเมื่อวลาด้าเดินมาหยุดที่ข้างโต๊ะซึ่งมีกระจกใสแจ๋วกั้นแล้วยกมือทักทายชายหนุ่ม สาวสวยอยู่ในชุดสุดหรูนั้นทำให้พีด้ามองตามไม่กะพริบตาจนเธอเดินเข้ามาในร้านแล้วทรุดตัวนั่งลงบนโต๊ะชุดเดียวกัน

“นึกยังไงนัดฉันที่ร้านนี้คะ” วลาด้าถาม

“ก็... คิดเผื่อคุณว่าบางทีอาจจะอยากดื่มกาแฟ” เชเชนนอฟตอบแล้วหันไปแนะนำให้สาวสวยต่างวัยทั้งสองได้รู้จักกัน แต่ก็ติดตรงที่ว่าเขาเองก็ยังไม่รู้ชื่อของเด็กร้ายเดียงสาเลย “แนะนำตัวเองหน่อยสิ คนสวย”

แม้ลึกๆ แล้วไม่ชอบใจเท่าไรที่มีคนสวยกว่ามานั่งด้วยแต่เมื่อถูกเรียกว่าคนสวยทีไรก็จะอ่อนปวกเปียก ว่านอนสอนง่ายทุกที “หวัดดีค่ะ หนูชื่อพีด้า”

“หวัดดีพีด้า ฉันวลาด้านะจ๊ะ” วลาด้าแนะนำตัวและเปิดความสัมพันธ์อันดีกับเด็กหญิงก่อน เพราะคิดว่าพ่อแม่เด็กคงจะรู้จักกับเชเชนนอฟ “เคยมีใครชมเธอไหมว่าตาโตมาก น่ารักที่สุด”

“ค่ะ คุณก็สวยมากๆ เหมือนกัน” พีด้าตอบและเงียบไปชั่วครู่ เมื่อวลาด้าเผยอปากเตรียมจะกล่าวคำขอบคุณ เสียงแหลมกลับพูดโพล่งออกมา ซึ่งเป็นจังหวะที่เหมาะเจาะเพราะต่อให้แก่แดดแก่ลมแค่ไหนก็คงไม่อาจคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของผู้ใหญ่ได้ “แต่แม่หนูสวยกว่า”

เกิดความเงียบงันเข้าครอบคลุม เพราะไม่มีใครคิดว่าพีด้าจะตอบเช่นนั้น ที่ร้ายไปกว่านั้นแม่เด็กร้ายเดียงสายังจ้องทั้งคู่สลับกันตาแป๋วแล้วก้มหน้าลงไปทำการบ้านต่อ

ทะเลาะกับผู้ใหญ่ด้วยกันแล้วถูกตอกหน้าด้วยคำพูดเจ็บแสบวลาด้ายังโต้กลับได้อย่างเต็มที่ แต่นี่แม่ตัวดีกลับทำหน้าซื่อตาใส และมันก็ดูเหมือนพวกวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินนักหากทำเช่นนั้นจึงได้แต่ยิ้มแล้วทำให้มันเป็นเรื่องโจ๊ก

“พูดอย่างนี้ ฉันชักอยากเจอแม่หนูแล้วล่ะสิ”

ทว่าเชเชนนอฟกลับรับรู้ถึงความรู้สึกของวลาด้าจึงชวนเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณไม่สั่งอะไรมาดื่มเหรอ”

“ไม่ล่ะค่ะ ฉันเพิ่งกินมื้อเที่ยงกับแม่คุณ นั่งคุยกันตามประสาผู้หญิงสักพักแล้วถึงได้ออกมาหา ยังอิ่มอยู่เลย” วลาด้าตอบแล้วลังเลใจอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ถามออกไปเมื่อมองไปรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าสนใจ “คุณมีธุระที่นี่หรือเปล่าคะ คือฉัน...”

“เปล่า ผมแค่มาดื่มกาแฟ”

“อ้าว นึกว่ารู้จักกับพ่อแม่ของพีด้าเสียอีก”

เชเชนนอฟไหวหัวไหล่แล้วยกกาแฟขึ้นดื่มจนหมดแก้ว นั่นไม่ได้เป็นคำตอบที่แน่ชัดให้กับวลาด้าเลยสักนิด แต่เธอก็ไม่อยากจะไปสนใจเพราะอยากชวนเขาไปหาที่นั่งบรรยากาศโรแมนติกพูดคุยกันเสียมากกว่า

“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับคุณน่ะค่ะ เราไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกันดีไหม” วลาด้าเสนอ

ความจริงแล้วเขาไม่คิดว่าวลาด้าจะมาหาเร็วขนาดนี้ ยังไม่ได้ตะล่อมถามถึงเรื่องที่อยากรู้เลยแล้วในขณะที่เชเชนนอฟกำลังชั่งใจนั้น เสียงเจื้อยแจ้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อ้าว... นึกว่าจะรอเจอแม่หนูก่อน อีกสักครึ่งชั่วโมงก็มาแล้วนะคะ แม่บอกเอาไว้ว่างั้น”

แน่นอนว่าคนที่ทำตัวเป็นสตอล์กเกอร์ ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับนราวิกาตรงๆ จึงรับคำวลาด้าในทันที นั่นทำให้หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจแล้วเปิดกระเป๋าถือหยิบช็อกโกแลตออกมาวางไว้ใกล้มือพีด้า

“ฉันแบ่งช็อกโกแลตให้เธอสองชิ้นเลย เพราะเธอเป็นเด็กดี รักแม่” พูดจบแล้วลุกขึ้นยืนรอร่างสูงใหญ่ที่กำลังยืดตัวขึ้นเต็มความสูง

“พีด้า... เธอยังติดโกโก้ร้อนฉันอยู่แก้วหนึ่งนะ”

พีด้ายิ้มสดใสพลางพยักหน้ารับเร็วๆ มองตามเจ้าชายและผู้หญิงอีกคนเดินออกไปจากร้าน ทว่าสายตาก็ไปปะทะเข้ากับห่อช็อกโกแลตสองชิ้น นั่นทำให้รอยยิ้มร้ายกาจเกิดขึ้นก่อนจะรีบเก็บขนมของโปรดไว้ในช่องเล็กๆ ของกระเป๋านักเรียน

 

วันนี้เป็นวันแรกที่นราวิกาตัดสินใจวางแผนตารางเวลาเสียใหม่เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเรียนของลูกสาว เธอตัดสินใจว่าจะไปรับพีด้ามาฝากไว้ที่ร้านกาแฟแล้วเดินทางไปเยี่ยมอันเดร สักสองชั่วโมงก่อนจะกลับมารับพีด้ากลับบ้านโดยไม่รอให้ถึงเวลาปิดร้าน ซึ่งจะทำให้ตารางเวลาของพีด้าเลื่อนเข้ามาเป็นปกติ

วันแรกที่ตัดสินใจเช่นนี้ก็ทำให้ลูกสาวเข้านอนตามเวลาปกติ ถึงแม้ว่าตัวเธอจะต้องเดินทางย้อนกลับไปกลับมา เหนื่อยมากขึ้นแต่ก็ยังดีกว่าต้องดึงเอาลูกสาวมาอดหลับอดนอนจนเผลอนั่งหลับในชั้นเรียน แล้วถูกคุณครูตำหนิมาเช่นวันนี้

แน่นอนว่าเรื่องเจ้าชายสุดหล่อและมีนัดเลี้ยงโกโก้ร้อนนั้นเป็นเรื่องน่าขันสำหรับนราวิกา อีกทั้งคิดว่าเป็นลูกค้าในร้านจึงได้แต่พยักหน้ารับและกดเสียงต่ำบอกให้เข้านอน ก่อนจะเพ้อเจ้อเรื่องความหล่อเหลาไปมากกว่านี้

 

เชเชนนอฟไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้มีความพึงพอใจนักกับการที่ทำให้นราวิกาหวาดระแวง สองวันต่อมาเขาก็ยังทำตัวไม่ต่างจากพวกโรคจิต และมีพัฒนาการในความพึงพอใจนั้นขึ้นเรื่อยๆ จากที่ซ่อนตัวอย่างมิดชิด ก็เริ่มเปิดเผยให้เธอเห็นวับๆ แวมๆ ให้เธอคาดเดาและจินตนาการเอาเอง

จากที่แอบมองห่างๆ เขากล้าพอที่จะย่องเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ตอนกลางดึกแล้วนั่งมองเธอหลับใหลอยู่ในห้อง มันเหมือนกำลังเดินมาถึงทางแยก เหมือนคนอับจนหนทางทั้งที่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือเมียของเพื่อนทรยศ แม้จะเป็นคนเคยรักและสร้างบาดแผลลึกให้อย่างเจ็บแสบกลับสามารถที่จะนั่งมองเธอได้โดยสงบ

ใบหน้างดงาม รูปร่างอวบอิ่มที่อยู่ภายใต้ชุดนอนทำให้เขาต้องหลับตาลง ข่มไฟปรารถนาที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างน่าละอาย ลูกสาวของทั้งคู่ยังมีแรงดึงดูดให้เขาอยากพูดจา อยากเข้าใกล้และคิดไปไกลว่าหากนั่นคือลูกสาวของตนและนราวิกา โลกทั้งใบนี้จะศิวิไลซ์สักแค่ไหน

เชเชนนอฟได้แต่สอดมือเข้าดึงทึ้งเส้นผมของตัวเองสุดแรง ลองดูสิว่าความเจ็บที่ร่างกายได้รับจะดึงความคิดชั่วร้ายนี้ออกไปจากสมองได้หรือไม่?!

เปล่าเลย...

เขาเดินเข้าไปชิดข้างเตียงแล้วลากปลายนิ้วไปตามกรอบหน้ารูปหัวใจ เสียงห้าวที่เปล่งออกมานั้นกำลังเตือนเธอให้รู้ตัวว่าเขาจะไม่ยอมไร้ตัวตนคอยติดตามเธอเป็นเงาอยู่เช่นนี้ตลอดไป “เป็นเพียงแค่เงา... ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะไร้ตัวตน แต่มันถึงเวลาแล้วที่คุณต้องรู้ซึ้งกับความทรมานที่เสียดแทงหัวใจผมอยู่ทุกวินาที”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา